จะออกธุดงค์โดยเอาสมุดบัญชีแบงค์ใส่ไว้ในย่าม

กราบเรียนคุณหมอสันต์
     ผมเต็มกลืนกับชีวิตครอบครัวแล้ว ผม 62 ลูกๆพ้นอกไปหมดแล้ว เหลือแต่เมียขี้งกและขี้บ่นซึ่งนับวันแต่จะอาการหนักขึ้นๆหนึ่งคน เธอบ่นตลอดแบบว่าแทบไม่เคยเห็นใครดี ผมกำลังคิดว่าจะยกสมบัติทั้งหมดให้เมีย เหลือแต่เงินพอให้ตัวเองใช้เล็กน้อย แล้วออกธุดงค์ไปไม่ให้ใครรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนหรือไม่ก็บวชไปเลย เพื่อจะได้พบกับความสุขในชีวิตที่แท้จริงเสียที อยากได้คำแนะนำจากคุณหมอครับว่าทำแบบนี้ดีไหม

..........................................................

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. ใครกันแน่ที่เป็นปัญหา ขอโทษ เมียข้า หรือตัวข้า ถ้าเมียข้าเป็นปัญหา ถ้าเธอคนนี้ไปเป็นเมียคนอื่นก็จะไม่มีปัญหากับข้าใช่ไหม แสดงว่าจริงๆแล้วปัญหามันเกิดเพราะเมียผิดสะเป๊คทำให้ "ข้า" นี้ต้องเสียศักดิ์ชั้นของการเป็นสามีที่มีระดับหรือเปล่า ผู้ชายดีๆอย่างตัวข้านี้ มามีเมียสั่วๆอย่างนี้ได้ไง
     ในชีวิตของคนเรานี้ อีโก้จะคอยบอกเราว่าคนอื่นเป็นคนผิดอยู่เรื่อย มีแต่เราเป็นคนถูกอยู่คนเดียว คนอื่นห่วยแตกอยู่เรื่อย มีเราใช้การได้อยู่คนเดียว ผมไม่เคยได้ยินใครพูดกับผมเลยว่าตัวเขาหรือตัวเธอเองเป็นคนผิดขณะที่คนอื่นถูก คือคนเราพยายามปกป้องความเป็นบุคคลหรืออีโก้ของเรามากเกินไป โรคนี้คงจะไม่หายไปไหน ตราบใดที่เรายังเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่เราคิดขึ้นมา มันไม่ใช่ของจริง และหากโรคนี้ยังไม่หาย ก็อย่าหวังว่าจะหลุดพ้นไปไหน ไม่ว่าคุณจะออกเดินธุดงค์ไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เพราะความเป็นบุคคลของคุณหรือสะเป๊คที่คุณวางไว้ว่าคุณต้องเป็นคนระดับนี้มันเป็นความคิดอยู่ในหัวของคุณเอง มันจะติดตามคุณไป แล้วคุณจะหลุดพ้นได้อย่างไร

     ประเด็นที่ 2. ในความเป็นเรานี้ ส่วนไหนกันแน่ที่เป็นปัญหา ชีวิตประกอบด้วยสามส่วนคือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความรู้ตัว ร่างกายเรานี้มีสถานะเทียบเท่ารถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ความคิดของเราก็มีสถานะเทียบเท่าได้กับซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ชุดหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรพิศดารกว่านั้น ทุกวันนี้คนกลัวว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (artificial intelligence) จะครอบครองมนุษย์ในอนาคต แต่การยอมรับปัญญาประดิษฐ์มาบงการชีวิตจะไม่เปลี่ยนโครงสร้างของชีวิตมนุษย์ไปจากปัจจุบันนี้เลย ทุกวันนี้ปัญญาประดิษฐ์ในรูปของสมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ทก็บงการความคิดเราไปเกินครึ่งแล้ว แค่ในอนาคตมันอาจมีผลให้ความคิดของมนุษย์แต่ละคนมาคล้ายกันมากขึ้นเท่านั้น ประเด็นของผมคือทั้งร่างกายก็ดี ความคิดก็ดี มันไม่ใช่ "ฉัน" ที่แท้จริง ฉันที่แท้จริงเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นผู้สังเกตรับรู้ร่างกายและความคิดนี้อยู่ต่างหาก ความหลุดพ้นก็คือการสามารถวางความคิด วางร่างกาย ถอยไปเป็นความรู้ตัว ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงดั้งเดิมของเรา จากตรงนั้นมองออกมาจะเห็นความคิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะเห็นว่าความคิดที่ผ่านมาผ่านไปก็เหมือนความฝันที่เมื่อตื่นแล้วก็หายไป การตื่นจากความเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นเพียงความฝันหรือละครที่เล่นกันสั้นๆ การตื่นแบบนี้แหละ คือความหลุดพ้น ซึ่งเป็นสนามที่มีผู้เล่นเพียงสามเจ้า ย้ำอีกที คือ (1) ความคิด (2) ร่างกาย และ (3) ความรู้ตัว ไม่เกี่ยวกับสถานที่ภายนอกใดๆหรือบุคคลภายนอกคนไหนๆทั้งสิ้น

     ประเด็นที่ 3. ในมิติของสถานที่ คุณจะค้นหาความรู้ตัวซึ่งเป็น "ฉัน" ตัวจริงใช่ไหม มันอยู่ที่ไหนละ ข้างในหรือข้างนอก มันอยู่ข้างในนะ แล้วการจะเข้าไปข้างใน คุณต้องใช้เครื่องบิน รถ เรือ หรือเดินเท้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องใช่ไหม ถ้างั้นคุณเข้าไปยังไง วิธีเข้าไปก็คือคุณแค่นิ่งๆเงียบๆ วางความคิดลง เพราะความคิดเป็นความกระเพื่อมไหว นิ่ง เงียบ อยู่ที่นี่ นั่นแหละ ที่นี่เดี๋ยวนี้ ตรงนี้แหละคือความรู้ตัว ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้น ประเด็นของผมคือคุณอยู่ตรงนี้แล้วนะ มันไม่ได้ยากถึงขนาดต้องสละเรือนออกบวชหรือละทิ้งครอบครัวออกธุดงค์ จริงอยู่ การจะกลับเข้าไปค้นหาข้างในมันก็ต้องมีการฝึกฝนทักษะกันบ้างนะ เพราะข้างในของคุณมันถูกยึดครองด้วยความคิดมานาน คุณแค่ใช้เวลาที่ว่างจากงานที่จำเป็นในการดูแลครอบครัวก็พอแล้วที่คุณจะใช้ฝึกฝนนี้

     ประเด็นที่ 4. ในมิติของเวลา ความหลุดพ้น ไม่ได้เกิดในอนาคต แต่เกิดเดี๋ยวนี้ ความตั้งใจของคุณที่พยายามจะได้เป็น (becoming) พยายามจะประสบความสำเร็จ (achieving) พยายามจะบรรลุ (attainment) มันกลับจะพาคุณไกลออกไปจากเดี๋ยวนี้แบบไกลออกไป ไกลออกไป..ไกลออกไปจนกู่ไม่กลับ คุณจะหลุดพ้นคุณไม่ต้องไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ในอนาคต อยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้แหละ แค่วางความคิดลง แล้วในการจะหลุดพ้น คุณอย่าไปมุ่งที่ความสมบูรณ์แบบ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีสติหรือจอดความสนใจอยู่ที่ความรู้ตัวได้ตลอดเวลานะ  อีกอย่างหนึ่งผมไม่รู้หรอกว่าอีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าชีวิตผมจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่มีญาณหยั่งรู้อย่างนั้นดอก แต่มันสำคัญที่สิ่งภายนอก ความคิด อารมณ์ กิจกรรม ความสัมพันธ์ ไม่สามารถดึงเราออกจากการเป็นความรู้ตัวได้อีกต่อไปแล้วต่างหาก ผมไม่ตื่นเต้นกับโมเมนต์ถัดไปข้างหน้า ไม่อาลัยหาสิ่งที่ผ่านมาแล้วข้างหลัง สำหรับผมคำว่า what next? ไม่มี ไม่มีอะไรให้ผมรอคอย ถ้าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้แล้วหากคุณลองรู้สึก ลอง feel มันดู มีอะไรเหลืออยู่บ้างไหม คุณจะพบว่าสิ่งที่เหลืออยู่มันไม่ใช่อะไรที่จะต้องพยายามประคอง ประคบประหงม กุม บีบ ปกป้องเอาไว้ หรือต้องวิ่งไปหาเลย มันอยู่ได้ของมันเอง คือมันเป็นสิ่งที่ไม่ไปไหน ความจริงมันอยู่ของมันที่นี่อยู่แล้ว มันไม่เคยมา มันก็จึงไม่ต้องไป มันเป็นแค่ความนิ่งๆ เงียบๆ ว่างๆ แต่เป็นความตื่นอยู่และมีความสามารถรับรู้ได้ ถ้ามันไม่นิ่งแสดงว่ามีผู้มาสะกิด ผมหมายถึงความคิดหรือนักพากย์ประจำตัวคุณนั่นเอง แต่ว่าความคิดมันมาแล้วก็ไป มันจะไม่มีน้ำยาอะไรเลยถ้าคุณไม่เอาความสนใจไปให้ราคาแก่มัน ความคิดมันก็เป็นแค่ตัวตลกละคอนสัตว์ มันเป็นคุณไม่ได้ถ้าคุณไม่ยอมให้มันเป็น

     คือผมกำลังจะบอกคุณว่าคุณไม่ต้องหนีบ้านหรือหนีเมียไปไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ หลุดพ้นที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ในชีวิตคนสามัญบ้านๆ มันมีสามจังหวะสำคัญนะที่จะทำให้คุณสัมผัสความหลุดพ้นได้ง่ายๆ คือ

     1. ในโมเมนต์ที่แรกเริ่มตื่นขึ้นตอนเช้า ณ ขณะนั้นความคิดของคุณยังงัวเงียไม่ทันตื่น ความคิดยังมาไม่แรง นั่นแหละ ให้เงี่ยหูให้ดี ลุกขึ้นนั่งมองดูความว่างๆเงียบๆนิ่งๆ ณ ขณะนั้น
     2. ในโมเมนต์กลางวันแสก บางเวลาที่คุณไม่มีอะไรจะทำ ไม่มีอะไรจะคิด ตรงนั้นแหละ ให้เงี่ยหูให้ดี ใส่ใจกับความเงียบและความว่างนั้น เมื่อสองวันก่อนผมสอนในแค้มป์โรคมะเร็ง ผู้ร่วมแค้มป์คนหนึ่งตั้งคำถามในชั้นเรียนว่า "คุณเคยไหม นั่งมองสวนดอกไม้หน้าบ้านแบบเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร" แหม พูดถูกใจผมจริงๆ นั่นแหละ ใช่เลย ตรงที่ว่างๆโดยไม่มีความคิดนั่นแหละ คือความรู้ตัวซึ่งเป็นความสงบเย็นแท้จริงที่ทุกคนหลงไปแสวงหากันที่ที่อื่นแทบเป็นแทบตาย
     3. ในโมเมนต์ที่กำลังจะนอนหลับ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ใส่ชุดนอน วางงาน วางหนังสือ ปิดทีวี ปิดไฟ ขึ้นเตียง จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่จะนั่งสมาธิวางความคิด อยู่กับความรู้ตัวโดยไม่คิดอะไร

     นอกจากสามจังหวะนี้แล้ว ทุกโมเมนต์ในชีวิตก็เป็นโอกาส ที่คุณจะเงี่ยหู ใส่ใจความรู้ตัว ซึ่งเป็นความเงียบในหัว ไม่ต้องไปธุดงค์ ไม่ต้องไปบวช ไปบวชคุณต้องถือศีลสองร้อยกว่าข้อเชียวนะ แค่ท่องจำข้อห้ามเหล่านี้และระวังไม่ให้ใครเขานินทาว่าร้ายเอาได้ว่าคุณเป็นตาเถรทุศีล แค่นี้คุณก็หนักแล้ว แถมพวกพระเถรเณรชีองค์อื่นๆรอบตัวคุณคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า "องค์" ของพวกท่านจะเบากว่าองค์ของเมียคุณ

     ประเด็นที่ 5. ในแง่ของความส้มพันธ์กับคนอื่น มันเริ่มที่ความสัมพันธ์กับตัวเองก่อน เมื่อฉันตัวนอกที่เป็นบุคคลไม่มี ก็จะเหลือแต่ฉันตัวในที่เป็นความรู้ตัว เมื่อไม่มีฉันที่เป็นบุคคลก็ไม่ต้องปกป้องหรือมองหาความมั่นคงปลอดภัย เพราะคอนเซ็พท์เรื่องความมั่นคงปลอดภัยเป็นความคิดที่ถูกชงหรือนำเสนอโดยอีโก้ซึ่งก็คือฉันที่เป็นบุคคล เมื่อไม่เหลือความเป็นบุคคล ทุกโมเมนต์ที่เกิดขึ้นจะเป็นปรากฎการณ์ใหม่ๆซิงๆสดๆที่ท้าทายน่าสนใจยิ่ง มันจะเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ไม่มีภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่างจากชีวิตในอดีตที่ผ่านมาเมื่อคุณพูดว่าคุณเห็นภรรยา คุณสร้างความเป็นบุคคลให้เธอโดยอัตโนมัติจากความจำของคุณเอง เท่ากับว่าในการมีชีวิตอยู่กับภรรยานี้จริงๆแล้วคุณอยู่กับความจำจากอดีตของคุณเอง ไม่ได้อยู่กับตัวตนข้างในซึ่งเป็นตัวของเธอจริงๆหรอก การบรรลุความหลุดพ้นก็คือเมื่อคุณมองดูภรรยาแล้วเห็นความจำของคุณเองกำลังก่อความคิดขึ้นในหัวคุณ มองเห็นว่าตัวคุณเองอยู่นอกกระบวนการก่อความคิดนั้นโดยอัตโนมัติ คุณเป็นแค่ผู้เฝ้าสังเกตอยู่ นั่นแหละคุณหลุดพ้นแล้ว โดยได้อาศัยภรรยาของคุณเป็นตัวช่วยนะ..อย่าลืม ยามที่คุณเฝ้าสังเกตมันจะมีแต่การทำ ไม่มีผู้ทำ ผู้ทำโผล่ขึ้นมาเมื่อการทำจบไปแล้ว เพราะว่าผู้ทำนั้นสร้างขึ้นมาโดยความจำ หากคุณไปปักใจว่าคุณเป็นผู้ทำ คุณก็หลุดจากความจริงที่ว่าคุณเป็นอะไรจริงๆไปเสียแล้ว

     ประเด็นที่ 6. ความไว้วางใจ (trust) อันนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้พูดถึงมาก่อน เพิ่งมาพูดถึงไม่นานมานี้เมื่อประสบการณ์สอนผมว่ามันเป็นประเด็นสำคัญ คือทุกๆสถานะการณ์ในชีวิตเกิดขึ้นพร้อมกับวิธีแก้ปัญหาในตัวของมันเองแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องไปกะเก็งระแวดระวังตอบโต้แต่อย่างใด จงแค่เปิดใจยอมรับ ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการต้องเลือกอะไรทั้งสิ้น แค่ตื่นและยอมรับยอมแพ้ทุกอย่างแบบศิโรราบ ปล่อยวางทุกอย่างด้วยความความไว้วางใจ (trust) ไว้วางใจในจักรวาลนี้ระดับ 100% ว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง ไม่ต้องพากย์ ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องพยายามอธิบาย คุณจึงจะหลุดพ้นได้ เหมือนอย่างแมวเวลามันหล่นลงมาจากที่สูง ขณะลอยอยู่กลางอากาศมันไม่เคยตะเกียกตะกายไขว่คว้า เพราะมันไว้วางใจว่ามันจะลงจอดบนดินได้โดยสวัสดิภาพ จะเรียกว่าความเชื่อมั่นก็ได้ แต่ไม่ใช่ความเชื่อแบบ belief นะ trust ไม่เหมือนกับ belief คุณต้องมีความไว้วางใจในความสุขที่ภายในซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความรู้ตัว การที่คุณยักเงินในบัญชีไว้เผื่อเหนียวว่าคุณได้ประกันความสุขสบายชัวร์ๆไว้ก่อนแล้วค่อยออกไปธุดงค์เสาะหาความหลุดพ้นโดยเอาสมุดบัญชีธนาคารใส่ไว้ในย่ามด้วย นั่นหมายความว่าคุณไม่ไว้วางใจว่าความสงบเย็นจากความรู้ตัวที่ภายในซึ่งปลอดจากความเป็นบุคคลนั้นเป็นของที่มีอยู่จริง คุณยังไว้วางใจคอนเซ็พท์เรื่องความเป็นบุคคลของคุณ ไว้วางใจชื่อคุณ ไว้วางใจสมุดบัญชีธนาคารของคุณมากกว่า อย่างนี้แล้วคุณจะหลุดพ้นไปไหนได้ละ

     คุณอ่านทั้งหกประเด็นนี้สักหลายๆเที่ยว แล้วตัดสินใจว่าจะไปบวชหรือไปธุดงค์หรือไม่เอาเองนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี