ที่เดินของผู้สูงอายุ..ไม่มีหมา ไม่มีรถยนต์
หลายวันมานี้ไม่ได้ตอบจดหมายผู้ป่วยเลย พอจะว่างจากแค้มป์ GHBY สำหรับผู้บริหารแบ้งค์เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน กำลังจะพักรอแค้มป์ RDBY10 ที่จะเข้าปลายสัปดาห์นี้ เพื่อนก็ชวนไปเที่ยวภูกระดึง สามวัน สองคืน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมยังไม่เคยไป ก็จึงไปกับเขา เพิ่งกลับมาถึงมวกเหล็กเมื่อคืน ก่อนที่จะกลับมาหยิบจับงานที่ค้างคาอยู่ ขอใช้เวลาสักเล็กน้อยเล่าเรื่องไปเที่ยวภูกระดึงให้แฟนบล็อกที่เป็นผู้สูงอายุฟังนะ
2 ธค. 61
พอตัดสินใจจะไปเที่ยวกับเขาก็มีแต่เสียงท้วงติงรวมทั้งจากคนใกล้ชิดที่จำใจต้องติดตามไปด้วย ว่าภูกระดึงมันเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้สูงอายุนะ สำหรับคนหัวเข่าไม่ดีนะ สำหรับคนเป็นโรคหัวใจนะ สำหรับคนกลัวที่สูงนะ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นมันเป็นสะเป๊คประจำตัวหมอสันต์ทุกอย่าง ผมก็ได้แต่บอกเหล่าผู้หวังดีเหล่านั้นว่า
"สาระพัดปัญหาที่คนเรามองเห็นนั้น ล้วนเป็นการชงเอาประสบการณ์ในอดีตไปคาดการณ์อนาคตทั้งสิ้น ใจคอคุณจะไม่ลองเสาะหาความแปลกใหม่ในชีวิตด้วยการเดินไปข้างหน้าแบบไม่ต้องเชื่อมโยงกับอดีตบ้างเลยหรือ"
ในวันที่ออกเดินทาง การนับหัวครั้งสุดท้ายทั้งคณะมีกันเก้าคน เป็นคนสูงอายุเกือบหมด ที่อายุมากกว่าเขาเพื่อนคือเจ็ดสิบกว่า ดังนั้นหมอสันต์จึงจัดเป็นระดับกลางๆ มีผู้ชายฝรั่งและผู้หญิงญี่ปุ่นด้วย เป็นเพื่อนของเพื่อนคนที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการจัดทัวร์นี้อีกที เช่ารถตู้หนึ่งคัน ออกจากบ้านบนเขาที่มวกเหล็กแต่เช้า 6.30 น. หลับๆตื่นๆมาในรถ มาถึงตีนเขาภูกระดึงเอาตอน 12.00 น. ชั่งกระเป๋าที่จะให้เขาหาบขึ้นไปให้ จ่ายเงินค่าหาบ กินข้าว แล้วก็ออกเดินเท้าขึ้นภู ทางอุทยานอนุเคราะห์อุปกรณ์ปีนเขาให้ฟรี นั่นคือไม้ไผ่แห้งสำหรับแทนไม้เท้าคนละอัน
อากาศร้อนเปรี้ยง แต่ก็มีที่พักให้เป็นระยะๆ เพื่อนฝรั่งที่มาด้วยซึ่งศึกษาข้อมูลมาก่อนบอกว่าภูกระดึงนี้มีความสูงจากทะเล 1280 เมตร แต่ช่วงที่ไต่ความสูงชันมีเฉพาะกม.แรกและกม.สุดท้ายเท่านั้น ตรงกลางค่อนข้างราบเรียบ เท่ากับว่าช่วงไต่ความสูงต้องมีความชันเกิน 60 องศาขึ้นไป
ที่ว่ากันว่ามาภูกระดึงหัวเข่าจะพังนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะอวัยวะที่ใช้ทั้งขาขึ้นขาลงจริงๆแล้วไม่ใช่หัวเข่า แต่เป็นกล้ามเนื้อหน้าขา (quadriceps) หลังขา (hamstrings) และน่อง (gastroc) ความสูงทั้งหมดที่ต้องไต่หากเทียบเป็นตึกที่สูงชั้นละ 4 เมตรก็คือประมาณ 300 ชั้น ดังนั้นสำหรับคนที่หัวเข่าไม่ดีหากอยากมาภูกระดึงก็มาได้ เพียงแต่ต้องค่อยๆซ้อมเดินขึ้นลงบันไดตามแบบที่หมอสันต์เคยแนะนำ (https://www.youtube.com/watch?v=hr8PsRcrDwE) ให้ได้ 300 ชั้นในหนึ่งวันก่อน ก็จะขึ้นลงภูได้อย่างสบายๆ สามร้อยชั้นนะ ไม่ใช่สามร้อยขั้น แต่ตัวผมเองมาแบบไม่ทันได้ซ้อมอะไรหรอก เพราะมัวแต่ทำงานและลืม จึงต้องมาลุ้นกับของจริงเอาตอนนี้ อาศัยการเดินจริงๆกับภูเขาจริงๆเป็นการซ้อมไปในตัว ใช้หลักการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แบบว่าเดินช้าๆ จับจังหวะการเดินให้เข้ากับการหายใจ หายใจเข้าทางจมูลลึกๆ หายใจออกช้าๆทางปาก ผ่อนคลายร่างกายให้เต็มที่ก่อนที่จะก้าวในแต่ละก้าว ขณะเดียวกันก็เอาหลักการรับรู้พลังงานของร่างกาย (ชี่) มาประยุกต์ด้วย คือขณะที่ผ่อนคลายร่างกายก็ลาดตระเวณความสนใจไปทุกรูขุมขนทั่วร่างกาย รับรู้ความรู้สึกยิบๆยับๆจิ๊ดๆจั๊ดๆตามผิวหนังและความรู้สึกบนกล้ามเนื้อไปด้วย หากพบว่าตรงไหนตึงก็บอกให้เขาผ่อนคลาย ตรงไหนเริ่มปวดหรือล้าก็ผ่อนการเดินลงพร้อมกับรับรู้พลังงานบริเวณนั้นมากขึ้นจนเขาหายเมื่อยหายล้าจึงค่อยขยับเพิ่มความเร็วในการเดินขึ้น เช่นเดียวกัน การจับการหายใจก็จะรู้อาการหอบเหนื่อยไปด้วย หากหอบเหนื่อยมากก็เดินช้าลง จดจ่ออยู่ที่ทีละก้าว ทีละก้าว ไม่ต้องไปสนใจว่าจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าถึงจะถึงเมื่อไหร่ ใจโปร่งโล่ง ร่างกายเบา เดินแบบนี้เดินทั้งวันก็ไม่มีเหนื่อย ไม่ว่าความชันจะมากแค่ไหนก็ตาม คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดก็เดินได้ เพราะไม่มีช่วงจังหวะไหนจะเฆี่ยนให้ร่างกายต้องเร่งออกแรงจนหัวใจปั๊มไม่ทันเลย อย่างไรก็ตามเพื่อนฝรั่งเห็นผมเดินช้ามากเขาตะโกนแซวว่า
"คุณจะเอาแอสไพรินแบบเคี้ยวไหม ผมมีนะ"
น่าเสียดายที่คนสวนใหญ่ไม่ได้เดินในแบบของคนแก่อย่างหมอสันต์ พวกเขาเดินแบบรีบๆจ้ำๆจะไปถึงที่หมายเร็วๆจะได้พ้นๆความยากลำบากตรงนี้ไปเสียที พวกเขากำลังหนีสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาเสาะหา ได้แต่ถามกันว่าถึงไหนละ อีกนานไหม เช็คกูเกิ้ลดูซิขึ้นมาได้กี่เมตรแล้ว บางครั้งก็ด่าไปด้วย บางครั้งก็สบถไปด้วย ทำให้ทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด แล้วก็ทะเลาะกัน ว่ากันว่าเป็นแฟนกันหากกำลังหวานอยู่ดีๆอย่าพากันมาภูกระดึง เพราะจะมาแตกกันที่นี่ แล้วตรงหน้าผมตอนนี้ก็มีอยู่คู่หนึ่งพอดี รุนแรงถึงกับฝ่ายหนึ่งจะไปอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมให้ไปต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ฝ่ายจะไปก็ผลักฝ่ายไม่ยอมให้ไปแรงๆจนเกือบจะตกหน้าผาที่สูงชันจนคนเห็นเหตุการณ์ต้องเผลอร้องวี้ดออกมา ความร้อน ความเหนื่อย ความเครียด เป็นเชื้อประทุทำให้การทะเลาะกันถึงจุดเดือดเร็วขึ้น ผู้คนหยุดมองด้วยความตลึง เป็นห่วง แต่ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง หรือไม่ก็..จะไป แต่กลัวพลาดที่จะเห็นฉากเด็ดๆของทริปนี้
ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่อย่างช้าๆ เข้าไปตบไหล่ฝ่ายชายซึ่งเป็นคนต่างชาติ และพูดกับเขาเป็นภาษาอังกฤษแบบให้กำลังใจว่า
"เราเป็นลูกผู้ชาย เธออาจจะทำอะไรผิดพลาดมหันต์ แต่ให้อภัยเธอเสียเถอะ" เขาฮึดฮัดมาก หายใจฟืดฟาดพูดว่า
"ใช่ ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมรู้ และผมก็ให้อภัยเธอมาตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย แต่เธอยึดเอากระเป๋าเงินและพาวเวอร์แบงค์ของผมไปหมด พูดดีๆยังไงเธอก็ไม่ยอมคืน แล้วผมจะให้อภัยเธอต่อไปได้อย่างไร" ผมหันไปทางผู้หญิงและพูดกับเธอว่า
"เราก็ยอมเขาสักครึ่งทางสิ คืนของเขาให้เขาเสียไม่ดีหรือ" เธอแหวกลับมาใส่ผมฉอด ฉอด ฉอด ทันทีว่า
"อ๋อ.. พี่เชื่อเขาหรือ พี่เชื่อที่เขาพูดใช่ไหม" ผมรีบแก้ตัวว่า
"เปล่า เปล่า ลุงไม่รู้หรอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร แต่มันจะเป็นมาอย่างไรไม่สำคัญ ลุงเพียงแต่บอกว่าหากเราผ่อนปรนให้เขาสักครึ่งหนึ่ง มันก็เป็นความเมตตานะ สัญญากับลุงได้ไหมว่าหนูจะผ่อนให้เขาสักครึ่งหนึ่ง"
เธอยังฮึดฮัดไม่พูดอะไร แต่ผมเห็นแววตาเฮี้ยวบนใบหน้าสะสวยนั้นอ่อนโยนลง ฝ่ายชายก็คงสัมผัสได้ เขายอมเปิดทางให้ผู้หญิงไปข้างหน้าแต่โดยดี ผมหันไปตบไหลผู้ชายและสำทับอีกครั้งว่า
"ใจเย็นๆ"
ผมหันหน้าเดินขึ้นเขาโดยไม่หันกลับมามองอีก ทั้งคู่ยังยืนห่างกันและตะโกนส่งเสียงทะเลาะกันต่อแต่เบาลง เพื่อนที่แอบหันกลับไปดูเหตุการณ์รายงานว่าผู้หญิงโยนกระเป๋าเงินใส่หน้าผู้ชาย และกระเป๋านั้นร่วงลงกับพื้น อ้า.. นั่นแหละ วิธีพบกันที่ครึ่งทางของเธอ
เราหันกลับมาสนใจการเดินทางของเราต่อ เพื่อนที่เคยมาบอกว่าใกล้จะถึงซัมแฮ่กซึ่งเป็นจุดพักและมีอะไรเย็นๆให้ดื่มแล้ว ขณะที่กำลังเผลอดีใจนั้นก็มีเสียงวีดว้ายและผู้ชายวัยกลางคนๆหนึ่งซึ่งกำลังเดินทางลงจากเขาพลาดท่าอะไรสักอย่าง เขากำลังกลิ้งหลุนๆอย่างไม่เป็นท่าลงมาทางที่ผมอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อช่วยหยุดเขาแต่เขาคว้าตอไม้เล็กๆและหยุดตัวเองได้ตรงหน้าผมพอดีโดยที่ผมยังไม่ทันได้ออกแรงช่วยอะไรเลย ได้แต่พะยุงตัวเขาขึ้น ผมสังเกตว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ส่วนคนรอบข้างก็ถามกันเซ็งแซ่ว่า
"เจ็บไหม เป็นอะไรไหม"
เขาปัดฝุ่นแล้วยิ้มยืนยันกับทุกคนว่าเขาไม่เป็นไร ก๊วนนักท่องเที่ยวที่เดินตามหลังลงมาเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งก็ซุบซิบวิเคราะห์ข่าวในหมู่กันเองตามธรรมเนียม สว.ชายพูดว่า
"เจ็บนะไม่เจ็บหรอก แต่อาย เจ็บเดี๋ยวก็หาย แต่อายกลับไปถึงบ้านแล้วยังไม่หาย" แล้วก็มีเสียงสว.หญิงสอดขึ้นว่า
"ถึงขั้นนี้แล้วใครมามัวอายอยู่ก็บ้าแล้ว เหนื่อยถึงขั้นนี้ฉันไม่เหลือฟอร์มอะไรแล้ว"
ผมฟังอยู่ก็นึกเห็นด้วยอยู่ในใจ ว่า "องค์" หรือตัวตนของเรานี้ มันจะก๋าอยู่ได้ก็เฉพาะในยามที่เราไม่ได้ผจญความยากลำบาก แต่เมื่อใดที่เรายากลำบากสุดถึงขีดหนึ่ง องค์นี้มันก็จะจ๋อยไป เพราะองค์มันไม่ใช่ของจริง ความเป็นเราที่แท้จริงนั้นมันเป็นการรับมือกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นไปทีละช็อตแบบไม่มีองค์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเผชิญความยากลำบากถึงขีดสุดเจ้าองค์ตัวปลอมนี้ก็จะเผ่นหนีเราไป เมื่อนั้นแหละ เป็นโอกาสทองที่เราจะได้เป็นเราที่แท้จริงเสียที
ตลอดทางที่ผ่านมา มีป้ายให้ระวังช้างเป็นระยะๆ จนเพื่อนสว.ผู้ร่วมทางคนหนึ่งบ่นคนเขียนป้ายว่า
"บอกแต่ให้ระวังช้าง ระวังช้าง แต่ไม่เห็นบอกว่าเวลาช้างมาจะให้กูทำอย่างไร"
ในคณะเรา บ้างเดินช้า บ้างเดินเร็ว แต่ในที่สุดส่วนใหญ่ก็มาพบกันที่ซัมแฮ่ก เรานั่งดื่มน้ำมะพร้าวทอดอารมณ์มองลูกหาบที่ส่วนใหญ่ถอดเสื้อเผยให้เห็นกล้ามกำลังเหงื่อท่วมแบกน้ำหนักระดับ 80 กก.ต่อคน บ้างอายุมากจนรู้สึกว่าน้ำหนักนั้นมันอาจจะมากเกินไปสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ผมสังเกตเห็นเกือบทุกคนเปิดเพลงหมอลำขณะหาบ บ้างยักเยื้องได้จังหวะอยู่ในที สังเกตจากการที่เขาหรือเธอถึงกับยอมก้าวถอยนิดหนึ่งเมื่อจังหวะเพลงมันน่าถอย ผมสังเกตรองเท้าที่พวกเขาใส่ บ้างใส่รองเท้านันยาง บ้างก็รองเท้าแตะ แต่บ้างก็มีรองเท้าบู้ทอย่างดีระดับนอร์ทเฟซใส่เลยทีเดียว นึกฉงนอยู่ในใจว่าลูกหาบมีปัญญาซื้อรองเท้าระดับนี้มาใส่กันเลยหรือนี่
เราคุยกันฆ่าเวลาให้หายเหนื่อย ผมถามเพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นว่า
"จริงหรือที่ญี่ปุ่นมีสถานที่เป็นป่าที่เวลาคนแก่อยากตายก็เข้าไปในป่านั้นแล้วไม่กลับมาอีกเลย" เพื่อนคนไทยอีกคนเสริมว่า
"ได้ยินว่าอยู่แถวทะเลสาปทั้งห้า" เพื่อนญี่ปุ่นพยักหน้าและว่า
"โอะบะซุเตะ นั่นมันเป็นเรื่องเล่าปรัมปราเมื่อสมัยเก่าก่อน สมัยนี้ไม่มีใครทำอย่างนั้นแล้ว" ผมถามว่า
"แล้วคนแก่เขาไปของเขาเอง หรือว่าลูกหลานเขาเอาไปปล่อย" เธอตอบว่า
"ก็มีทั้งสองอย่าง ที่ลูกหลานพาไปนั้นก็เป็นเพราะผู้สูงอายุตัดสินใจไปและขอให้ลูกหลานพาไปส่ง" ผมว่า
"น่าสนใจนะ ถึงจุดหนึ่งผมอาจจะอยากจะไปที่แบบนั้นบ้าง" เธอตอบโดยแทบไม่ต้องคิด พร้อมกับชี้มือไปที่พุ่มไม้หลังป้ายระวังช้างป่าว่า
"คุณไม่ต้องไปถึงโน่นหรอก คุณเดินเข้าไปตรงนี้ก็ได้ "
หิ หิ หิ แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อไป ปีน ปีน ปีน จนขึ้นมาถึงจุดสูงที่สุดที่เรียกว่าหลังแป คนไทยกรูไปถ่ายรูปเป็นหลักฐานกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิตภูกระดึง" ส่วนคนต่างชาติเดินไปชมวิวผานกเค้าที่เห็นลิบๆอยู่ข้างล่าง จากนั้นก็เดินบนพื้นราบไปอีกราว 3 กม. ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซื้อข้าวกิน อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วมาอยู่ราว 11 องศา แล้วเข้าพักที่บ้านพักของอุทยานซึ่งมีความสะดวกเทียบได้กับโรงแรมระดับประมาณ 1 ดาว
3 ธค. 61
อิ่มอร่อยกับอาหารเช้าแบบซื้อเขากินแล้ว เราก็พากันออกเดิน มีนักท่องเที่ยวทุกวัยอยู่บนทางเดิน บนภูกระดึงนี้ทางเดินเป็นพื้นที่ราบเรียบ สองข้างทางเดินเป็นป่าสนสองใบ อากาศเย็น เป็นทางเดินที่ถูกเสป็คที่เดินสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งจะต้อง
(1) ไม่มีหมา
(2) ไม่มีรถยนต์
(3) อากาศเย็นดี
(4) มีธรรมชาติ สูงๆต่ำๆบ้างก็ดี
(5) มีทางเดินรอบหนึ่งประมาณ 1-3 กม.
ตัวผมเองเคยคิดจะทำที่เดินออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุให้ได้สะเป๊คทั้ง 5 ข้อนี้แต่ก็ยังไม่มีปัญญา มาครั้งนี้ผมพบโดยบังเอิญว่าทางเดินบนภูกระดึงมีสมบัติทั้งห้าประการครบถ้วน จากจุดหนึ่งไปหาอีกจุดหนึ่งระยะประมาณ 1-3 กม. โดยมีที่พักของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง อากาศเย็น ปลายทางทุก 1-3 กม.ก็มีน้ำตกบ้าง หน้าผาบ้าง ให้ปิกนิกอ้อยอิ่งได้ครึ่งค่อนวัน บ่ายร้อนจัดก็หลบเข้างีบในที่พัก
ดังนั้นผมแนะนำแฟนๆบล็อกที่เป็นผู้สูงวัยว่าหากท่านจะหาที่เดินออกกำลังกายที่ได้สะเป็คครบถ้วน ให้ท่านมาเดินที่ภูกระดึง มาครั้งหนึ่งให้วางแผนอยู่บนนี้สัก 7-14 วัน ให้เช่าบ้านพักของอุทยาน จะดีกว่านอนเต้นท์ เพราะกลางวันในเต้นท์จะร้อน แต่ในบ้านพักจะเย็น ให้เตรียมผลไม้มาแยะๆ จ้างลูกหาบแบกมา เพราะบนนี้ไม่มีผลไม้ทาน มีก็แต่แตงโม (ลูกละ 350 บาท) ส่วนผลไม้อื่นๆหายาก
อยู่ที่นี่กลางคืนอากาศเย็นแบบกรอบๆ (crispy) ทำให้นอนหลับสนิทและหลับสบาย ตื่นนอนสายๆแล้วค่อยออกไปเดินเล่น บ่ายๆก็กลับเข้าที่พักเพื่องีบสักงีบหนึ่ง เย็นๆก็ออกไปเดินเล่นอีกรอบ แต่ละรอบไม่ต้องเดินไกล เอาแค่คราวละสามสี่กม.ก็พอ เป้าหมายก็น้ำตกโน้นน้ำตกนี้บ้าง หรือผาโน้นผานี้บ้าง แม้แต่สวนดอกไม้ป่าบนภูกระดึงนี้ก็มีแต่ไม่มีใครรู้จักหรือให้ความสนใจหรือไฮไลท์มันขึ้นมา ไปถึงก็ไปตั้งปิกนิกอ้อยอิ่งอยู่ได้แห่งละครึ่งค่อนวัน ทำแบบนี้ได้ทุกวัน อย่าไปกังวลกับการขึ้นและลงภูที่ใครต่อใครวาดให้เห็นเป็นอุปสรรคที่น่ากลัว เพียงแค่ซ้อมเดินขึ้นลงบันไดช้าขึ้นลงให้ได้วันละ 200-300 ชั้นผมรับประกันได้ว่าท่านเดินขึ้นลงภูกระดึงได้ฉลุยแน่ๆ
เราเดินกันมาได้พักใหญ่ก็มาถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นน้ำตกเล็กๆที่เงียบสงบ มีลานหินให้นั่งสมาธิหน้าน้ำตกด้วย ฟังว่าเวลาใบเมเปิลร่วงลงบนลานหินจะเป็นสีแดงฉานลานตาไปหมด แต่เวลาที่เรามาถึงนี้ใบเมเปิลซึ่งออกสีแดงกะหร็อมกะแหร็มได้ร่วงไปหมดเกลี้ยงแล้วเรียบร้อยก่อนหน้านี้
เราเดินทางกันไปถึงจุดท่องเที่ยวชื่อสระอโนดาษ เป็นทะเลสาปเล็กๆอยู่กลางพื้นที่คล้ายๆปากปล่องภูเขาไฟหากจะเปรียบทั้งภูกระดึงเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง วันที่เรามาถึงนี้เป็นวันธรรมดาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก สระอโนดาษจึงเป็นสถานที่เงียบสนิท น้ำในบึงนิ่งดุจกระจกเงา
ผมแอบเดินสำรวจไปรอบๆบึง พบว่ามีลำธารน้ำใสไหลรินเล็กๆเสียงดังจ๊อกๆ ผมชวนหมอสมวงศ์ลงไปนั่งปิกนิกบนธารหินกันสองคน หยิบขนมปังโฮลวีทขึ้นมากินกับน้ำเปล่า รู้สึกว่าเมื่อยล้าที่กล้ามเนื้อพับใน (vastus medialis) จนหากจะฝืนเดินต่อไปคงแย่ จึงล้มตัวลงนอนบนแผ่นหิน เอาหมวกปิดหน้า ฟังเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ แล้วเคลิ้มไป ได้ยินเสียงเพื่อนๆเรียกแผ่วๆว่าไปกันเถอะ เขาจะไปดูผาหล่มสักกัน ซึ่งอยู่ห่างออกไป 8 กม. ผมจึงตะโกนตอบไปว่า
"คุณไปกันเถอะ ผมพบสิ่งที่ผมแสวงหาแล้ว"
ผมตื่นขึ้นมา สองตายายพากันเดินกลับมาที่พัก เพื่อเตรียมตัวออกเดินยาวไปพบกับเพื่อนๆซึ่งจะไปดูตะวันตกดินกันที่ผาหมากดูก ขณะที่รอหมอสมวงศ์อาบน้ำ ผมออกมายืนรับอากาศเย็นที่หน้าบ้านพัก เห็นกวางใหญ่ตัวเมียตัวหนึ่งเยี่ยมหน้าพ้นจากชายป่าออกมาเมียงมองอยู่แต่ไกล ไกลจนเกือบมองไม่เห็นลูกตา ผมตั้งใจพูดกับเธอเบาๆว่า
"คุณสนใจขนมปังโฮลวีทของเวลเนสวีแคร์ไหมละ"
ดูเหมือนเธอจะเก็ท จึงยุรยารตออกจากป่าเดินตรงรี่มาหาผมเป็นระยะทางราวสามร้อยเมตร ท่าทางเธอจะตั้งท้องเสียด้วย ทั้งๆที่รู้ๆอยู่ว่าการให้อาหารแก่สัตว์ป่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อสัญญากับเธอผู้นี้แล้วก็ต้องรักษาสัญญา เพราะสัญญาก็เป็นกฎหมายเหมือนกัน ปรากฎว่าเธอชอบขนมปังโฮลวีทของเวลเนสวีแคร์แฮะ คงเป็นเพราะมันมีนัทอยู่ในนั้น คราวนี้เธอเดินตามตื้อผมต้อยๆ ผมหมดขนมปังไปหลายแผ่น จนกลัวจะไม่พอแจกเพื่อนมื้อเช้าพรุ่งนี้ จึงต้องตัดใจบอกว่า
"พอแล้ว เดี๋ยวน้ำหนักเกินแล้วจะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อร้งนะ"
บ่ายคล้อยแล้ว เราสองตายายออกเดินอีกรอบเพื่อไปผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2.5 กม. ไปถึงก็ไปสมทบกับเพื่อนๆซึ่งประสบความสำเร็จในการเดินตากแดดเปรี้ยงๆเป็นระยะ 8 กม.จากสระอโนดาษเพื่อไปชมผาหล่มสัก แล้วเดินต่อมาที่นี่อีกราว 10 กม. เพื่อมาดูดวงอาทิตย์ตกร่วมกับผม ซึ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จและเดินลัดออกมาจากที่พักเพียง 2.5 กม.เท่านั้นเอง หิ หิ ผมยอมแพ้ คุณชนะ
4 ธค. 62
วันนี้เราตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อจะเอาสัมภาระมากองให้ลูกหาบก่อนเวลา 6.00 น. ไม่มีใครอ้อยอิ่งเพราะผอ.ทัวร์บอกว่าใครเอาสัมภาระมาไม่ทันเวลาลูกหาบออกต้องหาบลงเอง หิ หิ ที่จริงเขาไม่ได้พูดหรอก ผมพูดแทน ทุกคนประพฤติดี มาตรงเวลา เราไปกินอาหารเช้ากันที่ร้าน ตั้งใจว่าจะเก็บบรรดากาแฟ ขนมปัง ขนมพาย ที่เราขนขึ้นมาเองให้หมด แต่ก็ไม่มีปัญญาชงกาแฟเอง เพราะบนนี้ไม่มีไฟฟ้า แล้วเราก็ไม่ได้หาบเตาแก้สปิกนิกมา จึงทำทีเป็นฟอร์มไปขอซื้อน้ำร้อนที่ร้านค้า เธอก็รู้แกวแต่ก็บอกเราอย่างสุภาพว่า
"น้ำร้อนต้มให้ฟรีค่า..า"
ด้วยความเกรงใจพวกเราจึงต้องอุดหนุนปาท่องโก๋ของเธอไปถาดเล็กๆถาดหนึ่ง และเก็บขนมปังของตัวเองกลับบ้านใครบ้านมัน
การเดินทางขาลงโหดคนละแบบกับขาขึ้น แต่ก็โหดพอๆกันเพราะต้องอาศัยกำลังขาและน่องคอยยั้งตัวเองไว้ไม่ให้คะมำหน้าตลอดทาง เมื่อลงมาถึงแล้วคนต่างชาติรีบไปอาบน้ำ แต่คนไทยซักแห้ง แล้วก็มานั่งรอลูกหาบซึ่งออกเดินทางมาก่อนเราแต่ยังมาไม่ถึง ผมนั่งสมาธิรอเพื่อผ่อนคลายร่างกายให้หายปวดเมื่อย แต่ก็แอบเห็นและได้ยินเพื่อนฝรั่งเอารองเท้าบู้ทของตัวเองไปให้ลูกหาบคนหนึ่ง เพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นถามว่า
"อ้าว แล้วคุณไม่ใส่รองเท้าหรือ" เพื่อนฝรั่งตอบว่า
"มันเก่าแล้ว เป็นเวลาที่ผมจะซื้อของใหม่เสียที"
ข้างลูกหาบคนนั้นพอได้รองเท้าไปแล้วเขาดูดีใจอย่างออกนอกหน้าจนอดใจไม่อยู่ ต้องถอดรองเท้าของตัวเองออกแล้วลองรองเท้าใหม่เดี๋ยวนั้นเลยแบบลุกลี้ลุกลน มันใหญ่กว่าเท้าของเขาหลายเบอร์ แต่เขาก็ยังดีใจอยู่ดี จนผมอดไม่ได้ต้องคอมเมนท์ค่อนแคะเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนญี่ปุ่นและฝรั่งว่า
"ดูเขาจะดีใจเกินมูลค่าสิ่งที่เขาได้รับจริงไปแยะนะ" เพื่อนฝรั่งได้ยินก็ร้องว่า
"อ้าว ผมนึกว่าคุณนิพพานไปแล้ว คุณแอบดูอยู่หรือนี่"
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
2 ธค. 61
พอตัดสินใจจะไปเที่ยวกับเขาก็มีแต่เสียงท้วงติงรวมทั้งจากคนใกล้ชิดที่จำใจต้องติดตามไปด้วย ว่าภูกระดึงมันเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้สูงอายุนะ สำหรับคนหัวเข่าไม่ดีนะ สำหรับคนเป็นโรคหัวใจนะ สำหรับคนกลัวที่สูงนะ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นมันเป็นสะเป๊คประจำตัวหมอสันต์ทุกอย่าง ผมก็ได้แต่บอกเหล่าผู้หวังดีเหล่านั้นว่า
"สาระพัดปัญหาที่คนเรามองเห็นนั้น ล้วนเป็นการชงเอาประสบการณ์ในอดีตไปคาดการณ์อนาคตทั้งสิ้น ใจคอคุณจะไม่ลองเสาะหาความแปลกใหม่ในชีวิตด้วยการเดินไปข้างหน้าแบบไม่ต้องเชื่อมโยงกับอดีตบ้างเลยหรือ"
ในวันที่ออกเดินทาง การนับหัวครั้งสุดท้ายทั้งคณะมีกันเก้าคน เป็นคนสูงอายุเกือบหมด ที่อายุมากกว่าเขาเพื่อนคือเจ็ดสิบกว่า ดังนั้นหมอสันต์จึงจัดเป็นระดับกลางๆ มีผู้ชายฝรั่งและผู้หญิงญี่ปุ่นด้วย เป็นเพื่อนของเพื่อนคนที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการจัดทัวร์นี้อีกที เช่ารถตู้หนึ่งคัน ออกจากบ้านบนเขาที่มวกเหล็กแต่เช้า 6.30 น. หลับๆตื่นๆมาในรถ มาถึงตีนเขาภูกระดึงเอาตอน 12.00 น. ชั่งกระเป๋าที่จะให้เขาหาบขึ้นไปให้ จ่ายเงินค่าหาบ กินข้าว แล้วก็ออกเดินเท้าขึ้นภู ทางอุทยานอนุเคราะห์อุปกรณ์ปีนเขาให้ฟรี นั่นคือไม้ไผ่แห้งสำหรับแทนไม้เท้าคนละอัน
อากาศร้อนเปรี้ยง แต่ก็มีที่พักให้เป็นระยะๆ เพื่อนฝรั่งที่มาด้วยซึ่งศึกษาข้อมูลมาก่อนบอกว่าภูกระดึงนี้มีความสูงจากทะเล 1280 เมตร แต่ช่วงที่ไต่ความสูงชันมีเฉพาะกม.แรกและกม.สุดท้ายเท่านั้น ตรงกลางค่อนข้างราบเรียบ เท่ากับว่าช่วงไต่ความสูงต้องมีความชันเกิน 60 องศาขึ้นไป
มองลงไปจากไหล่ทางเดิน เห็นผานกเค้าตะคุ่มอยู่ข้างล่าง |
ที่ว่ากันว่ามาภูกระดึงหัวเข่าจะพังนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะอวัยวะที่ใช้ทั้งขาขึ้นขาลงจริงๆแล้วไม่ใช่หัวเข่า แต่เป็นกล้ามเนื้อหน้าขา (quadriceps) หลังขา (hamstrings) และน่อง (gastroc) ความสูงทั้งหมดที่ต้องไต่หากเทียบเป็นตึกที่สูงชั้นละ 4 เมตรก็คือประมาณ 300 ชั้น ดังนั้นสำหรับคนที่หัวเข่าไม่ดีหากอยากมาภูกระดึงก็มาได้ เพียงแต่ต้องค่อยๆซ้อมเดินขึ้นลงบันไดตามแบบที่หมอสันต์เคยแนะนำ (https://www.youtube.com/watch?v=hr8PsRcrDwE) ให้ได้ 300 ชั้นในหนึ่งวันก่อน ก็จะขึ้นลงภูได้อย่างสบายๆ สามร้อยชั้นนะ ไม่ใช่สามร้อยขั้น แต่ตัวผมเองมาแบบไม่ทันได้ซ้อมอะไรหรอก เพราะมัวแต่ทำงานและลืม จึงต้องมาลุ้นกับของจริงเอาตอนนี้ อาศัยการเดินจริงๆกับภูเขาจริงๆเป็นการซ้อมไปในตัว ใช้หลักการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แบบว่าเดินช้าๆ จับจังหวะการเดินให้เข้ากับการหายใจ หายใจเข้าทางจมูลลึกๆ หายใจออกช้าๆทางปาก ผ่อนคลายร่างกายให้เต็มที่ก่อนที่จะก้าวในแต่ละก้าว ขณะเดียวกันก็เอาหลักการรับรู้พลังงานของร่างกาย (ชี่) มาประยุกต์ด้วย คือขณะที่ผ่อนคลายร่างกายก็ลาดตระเวณความสนใจไปทุกรูขุมขนทั่วร่างกาย รับรู้ความรู้สึกยิบๆยับๆจิ๊ดๆจั๊ดๆตามผิวหนังและความรู้สึกบนกล้ามเนื้อไปด้วย หากพบว่าตรงไหนตึงก็บอกให้เขาผ่อนคลาย ตรงไหนเริ่มปวดหรือล้าก็ผ่อนการเดินลงพร้อมกับรับรู้พลังงานบริเวณนั้นมากขึ้นจนเขาหายเมื่อยหายล้าจึงค่อยขยับเพิ่มความเร็วในการเดินขึ้น เช่นเดียวกัน การจับการหายใจก็จะรู้อาการหอบเหนื่อยไปด้วย หากหอบเหนื่อยมากก็เดินช้าลง จดจ่ออยู่ที่ทีละก้าว ทีละก้าว ไม่ต้องไปสนใจว่าจะถึงหรือไม่ถึง ถ้าถึงจะถึงเมื่อไหร่ ใจโปร่งโล่ง ร่างกายเบา เดินแบบนี้เดินทั้งวันก็ไม่มีเหนื่อย ไม่ว่าความชันจะมากแค่ไหนก็ตาม คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดก็เดินได้ เพราะไม่มีช่วงจังหวะไหนจะเฆี่ยนให้ร่างกายต้องเร่งออกแรงจนหัวใจปั๊มไม่ทันเลย อย่างไรก็ตามเพื่อนฝรั่งเห็นผมเดินช้ามากเขาตะโกนแซวว่า
"คุณจะเอาแอสไพรินแบบเคี้ยวไหม ผมมีนะ"
น่าเสียดายที่คนสวนใหญ่ไม่ได้เดินในแบบของคนแก่อย่างหมอสันต์ พวกเขาเดินแบบรีบๆจ้ำๆจะไปถึงที่หมายเร็วๆจะได้พ้นๆความยากลำบากตรงนี้ไปเสียที พวกเขากำลังหนีสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาเสาะหา ได้แต่ถามกันว่าถึงไหนละ อีกนานไหม เช็คกูเกิ้ลดูซิขึ้นมาได้กี่เมตรแล้ว บางครั้งก็ด่าไปด้วย บางครั้งก็สบถไปด้วย ทำให้ทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด แล้วก็ทะเลาะกัน ว่ากันว่าเป็นแฟนกันหากกำลังหวานอยู่ดีๆอย่าพากันมาภูกระดึง เพราะจะมาแตกกันที่นี่ แล้วตรงหน้าผมตอนนี้ก็มีอยู่คู่หนึ่งพอดี รุนแรงถึงกับฝ่ายหนึ่งจะไปอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมให้ไปต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ฝ่ายจะไปก็ผลักฝ่ายไม่ยอมให้ไปแรงๆจนเกือบจะตกหน้าผาที่สูงชันจนคนเห็นเหตุการณ์ต้องเผลอร้องวี้ดออกมา ความร้อน ความเหนื่อย ความเครียด เป็นเชื้อประทุทำให้การทะเลาะกันถึงจุดเดือดเร็วขึ้น ผู้คนหยุดมองด้วยความตลึง เป็นห่วง แต่ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง หรือไม่ก็..จะไป แต่กลัวพลาดที่จะเห็นฉากเด็ดๆของทริปนี้
ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่อย่างช้าๆ เข้าไปตบไหล่ฝ่ายชายซึ่งเป็นคนต่างชาติ และพูดกับเขาเป็นภาษาอังกฤษแบบให้กำลังใจว่า
"เราเป็นลูกผู้ชาย เธออาจจะทำอะไรผิดพลาดมหันต์ แต่ให้อภัยเธอเสียเถอะ" เขาฮึดฮัดมาก หายใจฟืดฟาดพูดว่า
"ใช่ ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมรู้ และผมก็ให้อภัยเธอมาตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย แต่เธอยึดเอากระเป๋าเงินและพาวเวอร์แบงค์ของผมไปหมด พูดดีๆยังไงเธอก็ไม่ยอมคืน แล้วผมจะให้อภัยเธอต่อไปได้อย่างไร" ผมหันไปทางผู้หญิงและพูดกับเธอว่า
"เราก็ยอมเขาสักครึ่งทางสิ คืนของเขาให้เขาเสียไม่ดีหรือ" เธอแหวกลับมาใส่ผมฉอด ฉอด ฉอด ทันทีว่า
"อ๋อ.. พี่เชื่อเขาหรือ พี่เชื่อที่เขาพูดใช่ไหม" ผมรีบแก้ตัวว่า
"เปล่า เปล่า ลุงไม่รู้หรอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร แต่มันจะเป็นมาอย่างไรไม่สำคัญ ลุงเพียงแต่บอกว่าหากเราผ่อนปรนให้เขาสักครึ่งหนึ่ง มันก็เป็นความเมตตานะ สัญญากับลุงได้ไหมว่าหนูจะผ่อนให้เขาสักครึ่งหนึ่ง"
เธอยังฮึดฮัดไม่พูดอะไร แต่ผมเห็นแววตาเฮี้ยวบนใบหน้าสะสวยนั้นอ่อนโยนลง ฝ่ายชายก็คงสัมผัสได้ เขายอมเปิดทางให้ผู้หญิงไปข้างหน้าแต่โดยดี ผมหันไปตบไหลผู้ชายและสำทับอีกครั้งว่า
"ใจเย็นๆ"
ผมหันหน้าเดินขึ้นเขาโดยไม่หันกลับมามองอีก ทั้งคู่ยังยืนห่างกันและตะโกนส่งเสียงทะเลาะกันต่อแต่เบาลง เพื่อนที่แอบหันกลับไปดูเหตุการณ์รายงานว่าผู้หญิงโยนกระเป๋าเงินใส่หน้าผู้ชาย และกระเป๋านั้นร่วงลงกับพื้น อ้า.. นั่นแหละ วิธีพบกันที่ครึ่งทางของเธอ
เราหันกลับมาสนใจการเดินทางของเราต่อ เพื่อนที่เคยมาบอกว่าใกล้จะถึงซัมแฮ่กซึ่งเป็นจุดพักและมีอะไรเย็นๆให้ดื่มแล้ว ขณะที่กำลังเผลอดีใจนั้นก็มีเสียงวีดว้ายและผู้ชายวัยกลางคนๆหนึ่งซึ่งกำลังเดินทางลงจากเขาพลาดท่าอะไรสักอย่าง เขากำลังกลิ้งหลุนๆอย่างไม่เป็นท่าลงมาทางที่ผมอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อช่วยหยุดเขาแต่เขาคว้าตอไม้เล็กๆและหยุดตัวเองได้ตรงหน้าผมพอดีโดยที่ผมยังไม่ทันได้ออกแรงช่วยอะไรเลย ได้แต่พะยุงตัวเขาขึ้น ผมสังเกตว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ส่วนคนรอบข้างก็ถามกันเซ็งแซ่ว่า
"เจ็บไหม เป็นอะไรไหม"
เขาปัดฝุ่นแล้วยิ้มยืนยันกับทุกคนว่าเขาไม่เป็นไร ก๊วนนักท่องเที่ยวที่เดินตามหลังลงมาเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งก็ซุบซิบวิเคราะห์ข่าวในหมู่กันเองตามธรรมเนียม สว.ชายพูดว่า
"เจ็บนะไม่เจ็บหรอก แต่อาย เจ็บเดี๋ยวก็หาย แต่อายกลับไปถึงบ้านแล้วยังไม่หาย" แล้วก็มีเสียงสว.หญิงสอดขึ้นว่า
"ถึงขั้นนี้แล้วใครมามัวอายอยู่ก็บ้าแล้ว เหนื่อยถึงขั้นนี้ฉันไม่เหลือฟอร์มอะไรแล้ว"
ผมฟังอยู่ก็นึกเห็นด้วยอยู่ในใจ ว่า "องค์" หรือตัวตนของเรานี้ มันจะก๋าอยู่ได้ก็เฉพาะในยามที่เราไม่ได้ผจญความยากลำบาก แต่เมื่อใดที่เรายากลำบากสุดถึงขีดหนึ่ง องค์นี้มันก็จะจ๋อยไป เพราะองค์มันไม่ใช่ของจริง ความเป็นเราที่แท้จริงนั้นมันเป็นการรับมือกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นไปทีละช็อตแบบไม่มีองค์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเผชิญความยากลำบากถึงขีดสุดเจ้าองค์ตัวปลอมนี้ก็จะเผ่นหนีเราไป เมื่อนั้นแหละ เป็นโอกาสทองที่เราจะได้เป็นเราที่แท้จริงเสียที
ตลอดทางที่ผ่านมา มีป้ายให้ระวังช้างเป็นระยะๆ จนเพื่อนสว.ผู้ร่วมทางคนหนึ่งบ่นคนเขียนป้ายว่า
"บอกแต่ให้ระวังช้าง ระวังช้าง แต่ไม่เห็นบอกว่าเวลาช้างมาจะให้กูทำอย่างไร"
เราคุยกันฆ่าเวลาให้หายเหนื่อย ผมถามเพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นว่า
"จริงหรือที่ญี่ปุ่นมีสถานที่เป็นป่าที่เวลาคนแก่อยากตายก็เข้าไปในป่านั้นแล้วไม่กลับมาอีกเลย" เพื่อนคนไทยอีกคนเสริมว่า
"ได้ยินว่าอยู่แถวทะเลสาปทั้งห้า" เพื่อนญี่ปุ่นพยักหน้าและว่า
"โอะบะซุเตะ นั่นมันเป็นเรื่องเล่าปรัมปราเมื่อสมัยเก่าก่อน สมัยนี้ไม่มีใครทำอย่างนั้นแล้ว" ผมถามว่า
"แล้วคนแก่เขาไปของเขาเอง หรือว่าลูกหลานเขาเอาไปปล่อย" เธอตอบว่า
"ก็มีทั้งสองอย่าง ที่ลูกหลานพาไปนั้นก็เป็นเพราะผู้สูงอายุตัดสินใจไปและขอให้ลูกหลานพาไปส่ง" ผมว่า
ยามสาย ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว |
"คุณไม่ต้องไปถึงโน่นหรอก คุณเดินเข้าไปตรงนี้ก็ได้ "
หิ หิ หิ แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อไป ปีน ปีน ปีน จนขึ้นมาถึงจุดสูงที่สุดที่เรียกว่าหลังแป คนไทยกรูไปถ่ายรูปเป็นหลักฐานกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิตภูกระดึง" ส่วนคนต่างชาติเดินไปชมวิวผานกเค้าที่เห็นลิบๆอยู่ข้างล่าง จากนั้นก็เดินบนพื้นราบไปอีกราว 3 กม. ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซื้อข้าวกิน อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วมาอยู่ราว 11 องศา แล้วเข้าพักที่บ้านพักของอุทยานซึ่งมีความสะดวกเทียบได้กับโรงแรมระดับประมาณ 1 ดาว
นักท่องเที่ยวทุกวัยมาภูกระดึง |
3 ธค. 61
อิ่มอร่อยกับอาหารเช้าแบบซื้อเขากินแล้ว เราก็พากันออกเดิน มีนักท่องเที่ยวทุกวัยอยู่บนทางเดิน บนภูกระดึงนี้ทางเดินเป็นพื้นที่ราบเรียบ สองข้างทางเดินเป็นป่าสนสองใบ อากาศเย็น เป็นทางเดินที่ถูกเสป็คที่เดินสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งจะต้อง
(1) ไม่มีหมา
(2) ไม่มีรถยนต์
(3) อากาศเย็นดี
(4) มีธรรมชาติ สูงๆต่ำๆบ้างก็ดี
(5) มีทางเดินรอบหนึ่งประมาณ 1-3 กม.
ไม่มีหมา ไม่มีรถยนต์ อากาศเย็นดี มีธรรมชาติ |
ตัวผมเองเคยคิดจะทำที่เดินออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุให้ได้สะเป๊คทั้ง 5 ข้อนี้แต่ก็ยังไม่มีปัญญา มาครั้งนี้ผมพบโดยบังเอิญว่าทางเดินบนภูกระดึงมีสมบัติทั้งห้าประการครบถ้วน จากจุดหนึ่งไปหาอีกจุดหนึ่งระยะประมาณ 1-3 กม. โดยมีที่พักของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง อากาศเย็น ปลายทางทุก 1-3 กม.ก็มีน้ำตกบ้าง หน้าผาบ้าง ให้ปิกนิกอ้อยอิ่งได้ครึ่งค่อนวัน บ่ายร้อนจัดก็หลบเข้างีบในที่พัก
ดังนั้นผมแนะนำแฟนๆบล็อกที่เป็นผู้สูงวัยว่าหากท่านจะหาที่เดินออกกำลังกายที่ได้สะเป็คครบถ้วน ให้ท่านมาเดินที่ภูกระดึง มาครั้งหนึ่งให้วางแผนอยู่บนนี้สัก 7-14 วัน ให้เช่าบ้านพักของอุทยาน จะดีกว่านอนเต้นท์ เพราะกลางวันในเต้นท์จะร้อน แต่ในบ้านพักจะเย็น ให้เตรียมผลไม้มาแยะๆ จ้างลูกหาบแบกมา เพราะบนนี้ไม่มีผลไม้ทาน มีก็แต่แตงโม (ลูกละ 350 บาท) ส่วนผลไม้อื่นๆหายาก
น้ำตกถ้ำใหญ่ เงียบดี แต่ว่าใบเมเปิลสีแดงร่วงลงไปหมดแล้ว |
อยู่ที่นี่กลางคืนอากาศเย็นแบบกรอบๆ (crispy) ทำให้นอนหลับสนิทและหลับสบาย ตื่นนอนสายๆแล้วค่อยออกไปเดินเล่น บ่ายๆก็กลับเข้าที่พักเพื่องีบสักงีบหนึ่ง เย็นๆก็ออกไปเดินเล่นอีกรอบ แต่ละรอบไม่ต้องเดินไกล เอาแค่คราวละสามสี่กม.ก็พอ เป้าหมายก็น้ำตกโน้นน้ำตกนี้บ้าง หรือผาโน้นผานี้บ้าง แม้แต่สวนดอกไม้ป่าบนภูกระดึงนี้ก็มีแต่ไม่มีใครรู้จักหรือให้ความสนใจหรือไฮไลท์มันขึ้นมา ไปถึงก็ไปตั้งปิกนิกอ้อยอิ่งอยู่ได้แห่งละครึ่งค่อนวัน ทำแบบนี้ได้ทุกวัน อย่าไปกังวลกับการขึ้นและลงภูที่ใครต่อใครวาดให้เห็นเป็นอุปสรรคที่น่ากลัว เพียงแค่ซ้อมเดินขึ้นลงบันไดช้าขึ้นลงให้ได้วันละ 200-300 ชั้นผมรับประกันได้ว่าท่านเดินขึ้นลงภูกระดึงได้ฉลุยแน่ๆ
สระอโนดาษ |
เราเดินกันมาได้พักใหญ่ก็มาถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นน้ำตกเล็กๆที่เงียบสงบ มีลานหินให้นั่งสมาธิหน้าน้ำตกด้วย ฟังว่าเวลาใบเมเปิลร่วงลงบนลานหินจะเป็นสีแดงฉานลานตาไปหมด แต่เวลาที่เรามาถึงนี้ใบเมเปิลซึ่งออกสีแดงกะหร็อมกะแหร็มได้ร่วงไปหมดเกลี้ยงแล้วเรียบร้อยก่อนหน้านี้
เราเดินทางกันไปถึงจุดท่องเที่ยวชื่อสระอโนดาษ เป็นทะเลสาปเล็กๆอยู่กลางพื้นที่คล้ายๆปากปล่องภูเขาไฟหากจะเปรียบทั้งภูกระดึงเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง วันที่เรามาถึงนี้เป็นวันธรรมดาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก สระอโนดาษจึงเป็นสถานที่เงียบสนิท น้ำในบึงนิ่งดุจกระจกเงา
คุณไปเถอะ ผมพบสิ่งที่ผมแสวงหาแล้ว |
ผมแอบเดินสำรวจไปรอบๆบึง พบว่ามีลำธารน้ำใสไหลรินเล็กๆเสียงดังจ๊อกๆ ผมชวนหมอสมวงศ์ลงไปนั่งปิกนิกบนธารหินกันสองคน หยิบขนมปังโฮลวีทขึ้นมากินกับน้ำเปล่า รู้สึกว่าเมื่อยล้าที่กล้ามเนื้อพับใน (vastus medialis) จนหากจะฝืนเดินต่อไปคงแย่ จึงล้มตัวลงนอนบนแผ่นหิน เอาหมวกปิดหน้า ฟังเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ แล้วเคลิ้มไป ได้ยินเสียงเพื่อนๆเรียกแผ่วๆว่าไปกันเถอะ เขาจะไปดูผาหล่มสักกัน ซึ่งอยู่ห่างออกไป 8 กม. ผมจึงตะโกนตอบไปว่า
"คุณไปกันเถอะ ผมพบสิ่งที่ผมแสวงหาแล้ว"
ผมตื่นขึ้นมา สองตายายพากันเดินกลับมาที่พัก เพื่อเตรียมตัวออกเดินยาวไปพบกับเพื่อนๆซึ่งจะไปดูตะวันตกดินกันที่ผาหมากดูก ขณะที่รอหมอสมวงศ์อาบน้ำ ผมออกมายืนรับอากาศเย็นที่หน้าบ้านพัก เห็นกวางใหญ่ตัวเมียตัวหนึ่งเยี่ยมหน้าพ้นจากชายป่าออกมาเมียงมองอยู่แต่ไกล ไกลจนเกือบมองไม่เห็นลูกตา ผมตั้งใจพูดกับเธอเบาๆว่า
เธอชอบขนมปังโฮลวีทของเวลเนสวีแคร์แฮะ |
"คุณสนใจขนมปังโฮลวีทของเวลเนสวีแคร์ไหมละ"
ดูเหมือนเธอจะเก็ท จึงยุรยารตออกจากป่าเดินตรงรี่มาหาผมเป็นระยะทางราวสามร้อยเมตร ท่าทางเธอจะตั้งท้องเสียด้วย ทั้งๆที่รู้ๆอยู่ว่าการให้อาหารแก่สัตว์ป่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อสัญญากับเธอผู้นี้แล้วก็ต้องรักษาสัญญา เพราะสัญญาก็เป็นกฎหมายเหมือนกัน ปรากฎว่าเธอชอบขนมปังโฮลวีทของเวลเนสวีแคร์แฮะ คงเป็นเพราะมันมีนัทอยู่ในนั้น คราวนี้เธอเดินตามตื้อผมต้อยๆ ผมหมดขนมปังไปหลายแผ่น จนกลัวจะไม่พอแจกเพื่อนมื้อเช้าพรุ่งนี้ จึงต้องตัดใจบอกว่า
"พอแล้ว เดี๋ยวน้ำหนักเกินแล้วจะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อร้งนะ"
ตะวันตกที่ผาหมากดูก |
4 ธค. 62
วันนี้เราตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อจะเอาสัมภาระมากองให้ลูกหาบก่อนเวลา 6.00 น. ไม่มีใครอ้อยอิ่งเพราะผอ.ทัวร์บอกว่าใครเอาสัมภาระมาไม่ทันเวลาลูกหาบออกต้องหาบลงเอง หิ หิ ที่จริงเขาไม่ได้พูดหรอก ผมพูดแทน ทุกคนประพฤติดี มาตรงเวลา เราไปกินอาหารเช้ากันที่ร้าน ตั้งใจว่าจะเก็บบรรดากาแฟ ขนมปัง ขนมพาย ที่เราขนขึ้นมาเองให้หมด แต่ก็ไม่มีปัญญาชงกาแฟเอง เพราะบนนี้ไม่มีไฟฟ้า แล้วเราก็ไม่ได้หาบเตาแก้สปิกนิกมา จึงทำทีเป็นฟอร์มไปขอซื้อน้ำร้อนที่ร้านค้า เธอก็รู้แกวแต่ก็บอกเราอย่างสุภาพว่า
"น้ำร้อนต้มให้ฟรีค่า..า"
ด้วยความเกรงใจพวกเราจึงต้องอุดหนุนปาท่องโก๋ของเธอไปถาดเล็กๆถาดหนึ่ง และเก็บขนมปังของตัวเองกลับบ้านใครบ้านมัน
การเดินทางขาลงโหดคนละแบบกับขาขึ้น แต่ก็โหดพอๆกันเพราะต้องอาศัยกำลังขาและน่องคอยยั้งตัวเองไว้ไม่ให้คะมำหน้าตลอดทาง เมื่อลงมาถึงแล้วคนต่างชาติรีบไปอาบน้ำ แต่คนไทยซักแห้ง แล้วก็มานั่งรอลูกหาบซึ่งออกเดินทางมาก่อนเราแต่ยังมาไม่ถึง ผมนั่งสมาธิรอเพื่อผ่อนคลายร่างกายให้หายปวดเมื่อย แต่ก็แอบเห็นและได้ยินเพื่อนฝรั่งเอารองเท้าบู้ทของตัวเองไปให้ลูกหาบคนหนึ่ง เพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นถามว่า
"อ้าว แล้วคุณไม่ใส่รองเท้าหรือ" เพื่อนฝรั่งตอบว่า
"มันเก่าแล้ว เป็นเวลาที่ผมจะซื้อของใหม่เสียที"
ข้างลูกหาบคนนั้นพอได้รองเท้าไปแล้วเขาดูดีใจอย่างออกนอกหน้าจนอดใจไม่อยู่ ต้องถอดรองเท้าของตัวเองออกแล้วลองรองเท้าใหม่เดี๋ยวนั้นเลยแบบลุกลี้ลุกลน มันใหญ่กว่าเท้าของเขาหลายเบอร์ แต่เขาก็ยังดีใจอยู่ดี จนผมอดไม่ได้ต้องคอมเมนท์ค่อนแคะเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนญี่ปุ่นและฝรั่งว่า
"ดูเขาจะดีใจเกินมูลค่าสิ่งที่เขาได้รับจริงไปแยะนะ" เพื่อนฝรั่งได้ยินก็ร้องว่า
"อ้าว ผมนึกว่าคุณนิพพานไปแล้ว คุณแอบดูอยู่หรือนี่"
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์