ไม่อยู่..อยู่แต่ตัวข้าคนเดียว
คุณหมอสันต์ครับ
ผมคิดว่าผมกำลังเป็นโรคจิตชนิดสองบุคลิค คือผมมีปัญหากับภรรยา บางวันผมรู้สึกเกลียดเธอมากถึงขีดที่ตัดสินใจจะหย่าขาดจากกันเสียที เธอช่างมีความไม่ดีมากเหลือเกินคุณหมออย่าให้ผมเล่าเลย แต่ก็มีบางวันที่ผมรู้สึกเมตตาต่อเธอ ผมเข้าใจว่าเธอก็เป็นเธออยู่อย่างนั้น แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือผมตัวจริงคือคนไหนกันแน่ ผมควรจะทำอย่างไรจึงจะตอบคำถามนี้ได้ครับ
.................................................
ตอบครับ
จดหมายของคุณไร้สาระมากเลยนะ ผมจะไม่ตอบคำถามคุณตรงๆ แต่จะเล่านิทานให้ฟัง ผมเล่าเรื่องนี้จากงานเขียนของไมเคิล เทย์เลอร์ เท็จจริงอย่างไรผมไม่ยืนยันนะ แต่เนื้อหาของเรื่องผมยืนยันว่ามีประโยชน์ทั้งสำหรับคุณและท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย
เป็นเรื่องของกษัตริย์มิถิลานครชื่อชนะตะ (ก็คือคนที่เป็นพ่อของนางสีดา นางเอกในเรื่องรามเกียรติ์นั่นแหละ) มีชีวิตอยู่ราว 700 ปีก่อนคริสต์ วันหนึ่งราชาชนะตะฝันที่จริงจังมากว่าได้นำทัพเข้าสู่สงครามแล้วพ่ายแพ้ ตัวเองต้องทิ้งอาวุธโล่ห์และเครื่องทรงหนีศัตรู รอนแรมผ่านป่าอย่างหิวโหยไปถึงกระท่อมชายหมู่บ้านนอกเขตอาณาจักรของตัวเอง ไปเคาะประตู หญิงแก่เปิดมาดูแล้วรีบปิดประตูเพราะความกลัวคนรูปร่างสูงใหญ่มีแต่รอยบาดเจ็บ แต่เธอก็มีเมตตาว่า
"ข้าให้เจ้าเข้ามาไม่ได้หรอก แต่เจ้าเอาถั่วและเครื่องเทศและน้ำที่ข้าให้ลอดประตูนี้ไปต้มกินเองที่เตาไฟหลังบ้านได้"
พระราชาพยายามไปจุดไฟต้มถั่วด้วยความยากลำบากจนสำเร็จ กำลังที่มือไม้สั่นด้วยความหิวเทถั่วต้มลงบนใบกล้วยตั้งท่าจะกิน หมูป่าสองตัวฟัดกันมาจากทางไหนไม่รู้มากัดกันต่อตรงหน้าแล้วกลิ้งทับถั่วต้มกลายเป็นถั่วตำคลุกโคลนแบนแต๊ดแต๋ไปเสียแล้ว พระราชาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียดายพร้อมกับสะดุ้งตื่นพบว่าตัวเองอยู่ในเครื่องทรงนอนอยู่ในเตียงหรูหราในพระราชวังและท้องอิ่มอยู่ จึงรำพึงว่า
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง"
เป็นได้ไหมว่าฉันเป็นคนหิวโหยที่เพิ่งสูญเสียถั่วต้มไปในโคลนแล้วฝันว่าฉันเป็นพระราชาอยู่ในปราสาทใหญ่นี้ ฉันเป็นใครกันแน่ แล้วอันไหนคือความจริง
นับตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ดูเหมือนจะบ้าไปเสียแล้ว ว่าราชการก็ไม่ได้ ได้แต่รำพึงว่า
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง"
เดือดร้อนต้องเรียกว่าผู้รู้ทั่วราชอาณาจักรมาตอบคำถามนี้ ตอบได้ไม่ถูกใจก็ถูกจับใส่คุก
ในเมืองมิถิลานั้นมีชายหนุ่มพิการอยู่คนหนึ่งชื่ออัชตาวะกระ เป็นลูกของครูพราหมณ์ วันหนึ่งพ่อของเขาไม่กลับบ้านและแม่ของเขากำลังกระวนกระวาย ชายหนุ่มจึงถามแม่ว่า
"พ่ออยู่ไหน แล้วทำไมแม่ถึงดูโศกเศร้า" แม่ตอบว่า
"พ่อเจ้าไปตอบคำถามให้พระราชา ข้าเกรงว่าพ่อของเจ้าคงตอบไม่ได้เหมือนอย่างคนอื่นๆ และคงจะถูกจับขังคุกไปแล้ว" หนุ่มพิการตอบว่า
"งั้นข้าจะไปตอบคำถามให้พระราชาเพื่อปลดปล่อยพ่อออกจากคุกเอง"
ว่าแล้วก็ผลุนผลันออกจากบ้านไปมิไยที่แม่จะอ้อนวอนว่าอย่าเข้าไปอยู่ในคุกอีกคนหนึ่งเลย แล้วแม่จะอยู่กับใคร
เมื่อไปถึงวังชายหนุ่มก็ถูกนำเข้าเฝ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะถากถางเพราะความพิการ หนุ่มพิการเงยหน้ามองกษัตริย์แล้วว่า
"องค์ราชะ ทำไมพระองค์ถึงมีแต่ช่างทำรองเท้าอยู่ในโถงพระราชวัง"
คำพูดสามหาวหยาบกระด้างสะกดให้ทั้งโถงเงียบกริบรอฟังปฏิกริยาของพระราชา ซึ่งกลับตอบอย่างใจเย็นว่า
"ทำไมเจ้ามาดูถูกเหล่าเสนาบดีที่ปรึกษาของข้า" อัชตะวะกระตอบว่า
"พวกเขาต้องเป็นช่างทำรองเท้าแน่เลย เพราะเขามองเห็นแต่หนังข้างนอกของข้า เห็นแต่ความพิการและวัยที่ยังอ่อนด้อยของข้า พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่าวิญญาณนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ภายในอายุหรือร่างกายนี้แต่อย่างใด"
พระราชาเริ่มสนใจชายหนุ่ม แล้วเล่าเรื่องและคำถามคลาสสิกนั้นกับเขา
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง" ชายหนุ่มพิการถามกลับว่า
"ตอนที่พระองค์หิวโหยอดอาหารอยู่หลังกระท่อมที่ชายป่า ปราสาทราชวังและข้าทาสบริพารที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ไปอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่าละพะยะค่ะ" พระราชาตอบว่า
"ไม่อยู่ อยู่แต่ตัวข้าคนเดียว" ชายหนุ่มถามอีกว่า
"แล้วตอนนี้ที่พระองค์อิ่มหมีพีมันมีอำนาจมีอยู่ในราชวังมีข้าราชบริพารห้อมล้อม กระท่อมชายป่าและหมูป่าสองตัวที่กัดกันจนกลิ้งทับถั่วต้มของพระองค์และกระท่อมนั้นอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าละพะยะคะ" พระราชาตอบว่า
"ไม่อยู่ อยู่แต่ตัวข้าคนเดียว" ชายหนุ่มพูดต่อว่า
"ของจริงไม่มีว่าบัดเดี๋ยวมีอยู่ บัดเดี๋ยวหายไป ของจริงต้องปรากฎอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นทั้งความอดอยากหิวโหยที่กระท่อมชายป่า และความอิ่มหมีพีมันท่ามกลางข้าราชบริพารในราชวังล้วนไม่ใช่ของจริง แต่จิตเดิมแท้ที่สงบเย็นซึ่งดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลานั่นแหละคือของจริง" และว่า
"สิ่งใดๆที่ปรากฎต่อจิตรับรู้นี้ล้วนเป็นอนิจจังที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ สิ่งที่เป็นของจริงไม่เปลี่ยนแปลงคือจิตเดิมแท้ในตัวเรา หากเข้าถึงก็จะปัดเป่าความสงสัยได้หมดสิ้น แต่ว่าการคิดและการพูดไม่อาจเข้าถึงมันได้ มีแต่จะก่อความสงสัยและความไม่พึงพอใจให้มากยิ่งขึ้น ต้องวางความคิดและหยุดการพูดใดๆลงเสีย จึงจะเข้าถึงมันได้"
เรื่องนี้จบลงด้วยเจ้าหนุ่มพิการได้เป็นครูสอนกษัตริย์จนบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมคิดว่าผมกำลังเป็นโรคจิตชนิดสองบุคลิค คือผมมีปัญหากับภรรยา บางวันผมรู้สึกเกลียดเธอมากถึงขีดที่ตัดสินใจจะหย่าขาดจากกันเสียที เธอช่างมีความไม่ดีมากเหลือเกินคุณหมออย่าให้ผมเล่าเลย แต่ก็มีบางวันที่ผมรู้สึกเมตตาต่อเธอ ผมเข้าใจว่าเธอก็เป็นเธออยู่อย่างนั้น แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือผมตัวจริงคือคนไหนกันแน่ ผมควรจะทำอย่างไรจึงจะตอบคำถามนี้ได้ครับ
.................................................
ตอบครับ
จดหมายของคุณไร้สาระมากเลยนะ ผมจะไม่ตอบคำถามคุณตรงๆ แต่จะเล่านิทานให้ฟัง ผมเล่าเรื่องนี้จากงานเขียนของไมเคิล เทย์เลอร์ เท็จจริงอย่างไรผมไม่ยืนยันนะ แต่เนื้อหาของเรื่องผมยืนยันว่ามีประโยชน์ทั้งสำหรับคุณและท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย
เป็นเรื่องของกษัตริย์มิถิลานครชื่อชนะตะ (ก็คือคนที่เป็นพ่อของนางสีดา นางเอกในเรื่องรามเกียรติ์นั่นแหละ) มีชีวิตอยู่ราว 700 ปีก่อนคริสต์ วันหนึ่งราชาชนะตะฝันที่จริงจังมากว่าได้นำทัพเข้าสู่สงครามแล้วพ่ายแพ้ ตัวเองต้องทิ้งอาวุธโล่ห์และเครื่องทรงหนีศัตรู รอนแรมผ่านป่าอย่างหิวโหยไปถึงกระท่อมชายหมู่บ้านนอกเขตอาณาจักรของตัวเอง ไปเคาะประตู หญิงแก่เปิดมาดูแล้วรีบปิดประตูเพราะความกลัวคนรูปร่างสูงใหญ่มีแต่รอยบาดเจ็บ แต่เธอก็มีเมตตาว่า
"ข้าให้เจ้าเข้ามาไม่ได้หรอก แต่เจ้าเอาถั่วและเครื่องเทศและน้ำที่ข้าให้ลอดประตูนี้ไปต้มกินเองที่เตาไฟหลังบ้านได้"
พระราชาพยายามไปจุดไฟต้มถั่วด้วยความยากลำบากจนสำเร็จ กำลังที่มือไม้สั่นด้วยความหิวเทถั่วต้มลงบนใบกล้วยตั้งท่าจะกิน หมูป่าสองตัวฟัดกันมาจากทางไหนไม่รู้มากัดกันต่อตรงหน้าแล้วกลิ้งทับถั่วต้มกลายเป็นถั่วตำคลุกโคลนแบนแต๊ดแต๋ไปเสียแล้ว พระราชาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียดายพร้อมกับสะดุ้งตื่นพบว่าตัวเองอยู่ในเครื่องทรงนอนอยู่ในเตียงหรูหราในพระราชวังและท้องอิ่มอยู่ จึงรำพึงว่า
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง"
เป็นได้ไหมว่าฉันเป็นคนหิวโหยที่เพิ่งสูญเสียถั่วต้มไปในโคลนแล้วฝันว่าฉันเป็นพระราชาอยู่ในปราสาทใหญ่นี้ ฉันเป็นใครกันแน่ แล้วอันไหนคือความจริง
นับตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ดูเหมือนจะบ้าไปเสียแล้ว ว่าราชการก็ไม่ได้ ได้แต่รำพึงว่า
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง"
เดือดร้อนต้องเรียกว่าผู้รู้ทั่วราชอาณาจักรมาตอบคำถามนี้ ตอบได้ไม่ถูกใจก็ถูกจับใส่คุก
ในเมืองมิถิลานั้นมีชายหนุ่มพิการอยู่คนหนึ่งชื่ออัชตาวะกระ เป็นลูกของครูพราหมณ์ วันหนึ่งพ่อของเขาไม่กลับบ้านและแม่ของเขากำลังกระวนกระวาย ชายหนุ่มจึงถามแม่ว่า
"พ่ออยู่ไหน แล้วทำไมแม่ถึงดูโศกเศร้า" แม่ตอบว่า
"พ่อเจ้าไปตอบคำถามให้พระราชา ข้าเกรงว่าพ่อของเจ้าคงตอบไม่ได้เหมือนอย่างคนอื่นๆ และคงจะถูกจับขังคุกไปแล้ว" หนุ่มพิการตอบว่า
"งั้นข้าจะไปตอบคำถามให้พระราชาเพื่อปลดปล่อยพ่อออกจากคุกเอง"
ว่าแล้วก็ผลุนผลันออกจากบ้านไปมิไยที่แม่จะอ้อนวอนว่าอย่าเข้าไปอยู่ในคุกอีกคนหนึ่งเลย แล้วแม่จะอยู่กับใคร
เมื่อไปถึงวังชายหนุ่มก็ถูกนำเข้าเฝ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะถากถางเพราะความพิการ หนุ่มพิการเงยหน้ามองกษัตริย์แล้วว่า
"องค์ราชะ ทำไมพระองค์ถึงมีแต่ช่างทำรองเท้าอยู่ในโถงพระราชวัง"
คำพูดสามหาวหยาบกระด้างสะกดให้ทั้งโถงเงียบกริบรอฟังปฏิกริยาของพระราชา ซึ่งกลับตอบอย่างใจเย็นว่า
"ทำไมเจ้ามาดูถูกเหล่าเสนาบดีที่ปรึกษาของข้า" อัชตะวะกระตอบว่า
"พวกเขาต้องเป็นช่างทำรองเท้าแน่เลย เพราะเขามองเห็นแต่หนังข้างนอกของข้า เห็นแต่ความพิการและวัยที่ยังอ่อนด้อยของข้า พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่าวิญญาณนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ภายในอายุหรือร่างกายนี้แต่อย่างใด"
พระราชาเริ่มสนใจชายหนุ่ม แล้วเล่าเรื่องและคำถามคลาสสิกนั้นกับเขา
"นั่นเป็นของจริง หรือนี่เป็นของจริง" ชายหนุ่มพิการถามกลับว่า
"ตอนที่พระองค์หิวโหยอดอาหารอยู่หลังกระท่อมที่ชายป่า ปราสาทราชวังและข้าทาสบริพารที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ไปอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่าละพะยะค่ะ" พระราชาตอบว่า
"ไม่อยู่ อยู่แต่ตัวข้าคนเดียว" ชายหนุ่มถามอีกว่า
"แล้วตอนนี้ที่พระองค์อิ่มหมีพีมันมีอำนาจมีอยู่ในราชวังมีข้าราชบริพารห้อมล้อม กระท่อมชายป่าและหมูป่าสองตัวที่กัดกันจนกลิ้งทับถั่วต้มของพระองค์และกระท่อมนั้นอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าละพะยะคะ" พระราชาตอบว่า
"ไม่อยู่ อยู่แต่ตัวข้าคนเดียว" ชายหนุ่มพูดต่อว่า
"ของจริงไม่มีว่าบัดเดี๋ยวมีอยู่ บัดเดี๋ยวหายไป ของจริงต้องปรากฎอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นทั้งความอดอยากหิวโหยที่กระท่อมชายป่า และความอิ่มหมีพีมันท่ามกลางข้าราชบริพารในราชวังล้วนไม่ใช่ของจริง แต่จิตเดิมแท้ที่สงบเย็นซึ่งดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลานั่นแหละคือของจริง" และว่า
"สิ่งใดๆที่ปรากฎต่อจิตรับรู้นี้ล้วนเป็นอนิจจังที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ สิ่งที่เป็นของจริงไม่เปลี่ยนแปลงคือจิตเดิมแท้ในตัวเรา หากเข้าถึงก็จะปัดเป่าความสงสัยได้หมดสิ้น แต่ว่าการคิดและการพูดไม่อาจเข้าถึงมันได้ มีแต่จะก่อความสงสัยและความไม่พึงพอใจให้มากยิ่งขึ้น ต้องวางความคิดและหยุดการพูดใดๆลงเสีย จึงจะเข้าถึงมันได้"
เรื่องนี้จบลงด้วยเจ้าหนุ่มพิการได้เป็นครูสอนกษัตริย์จนบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์