ก่อนที่คุณจะเป็นจิตแพทย์ หรือก่อนจะเป็นแพทย์ หรือก่อนจะเป็นคน
สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูกำลังเรียนแพทย์อยู่ชั้นปีที่2ค่ะ เป็นแพทย์ชนบท หนูมีความคิดที่อยากจะเรียนต่อเฉพาะทางจิตเวชเพราะมันคือความฝันของหนู แต่หนูสนใจจะเรียนต่อที่อังกฤษค่ะ ไม่ทราบว่าสามารถเรียนได้ไหมคะ แล้วสามารถเรียนจบกลับมาสอบเอาใบประกอบเพื่อทำงานเป็นจิตแพทย์ที่ไทยได้ไหมคะ หรือต้องจบเฉพาะทางจากมหาวิทยาลัยในไทยเท่านั้นถึงจะสอบได้
ขอบคุณอาจารย์ล้วงหน้าค่ะ
...............................................
ตอบครับ
เรียนได้ครับ มีวิธีเรียนสี่แบบ เรียงตามลำดับความยากไปหาง่ายดังนี้
1. ไปตั้งต้นเรียนแพทย์ที่อังกฤษใหม่เลย คือเริ่มต้นที่สนามหลวง แล้วเดินตามเส้นทางที่หมออังกฤษเขาเดินกัน
2. เรียนจบแพทย์ไทยแล้ว สอบ PLAB test ให้ได้ก่อน แล้วสมัครไปเป็นแพทย์ประจำบ้าน (registrar) ที่อังกฤษ ครบเวลาแล้วสอบบอร์ดอังกฤษ (FRCPsych) กลับมาบ้านเราก็จะได้รับการรับรองเท่าบอร์ดไทย หากเลือกทางนี้ ถ้าชีวิตนี้คิดจะมี ผ. ให้หาไว้ก่อนที่จะไปเรียนก็จะดี เพราะกว่าจะเรียนจบสอบแล้วสอบอีกกว่าจะสอบได้ใช้เวลานานหลายปีมาก กว่าจะถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นนางทึนทึกหา ผ.ไม่ได้ไปเสียแล้ว (หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น)
3. เรียนจบแพทย์ไทย แล้วฝึกอบรมจิตเวชในเมืองไทยแล้ว สอบบอร์ดไทยได้แล้ว ไปเป็น Fellow ทางจิตเวชที่อังกฤษนานประมาณ 1-2 ปี
4. เรียนจบแพทย์ไทย แล้วฝึกอบรมจิตเวชในเมืองไทยแล้ว สอบบอร์ดไทยได้แล้ว ทำงานแล้ว หาโอกาสไปเข้าคอร์สทางด้านจิตเวชหรือจิตวิทยาระยะสั้นๆนับกันเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไม่นับเป็นปี มีคอร์สแยะมาก เพราะอังกฤษเป็นประเทศที่มีอาชีพหลักทางทำคอร์สขาย
ผมตอบคำถามคุณแล้วนะ คราวนี้ให้ผมพูดในสิ่งที่คุณไม่ได้ถามบ้าง คือผมจะพูดในประเด็นที่ว่าก่อนที่คุณจะเป็นจิตแพทย์ หรือแม้กระทั่งก่อนที่คุณจะเป็นแพทย์ หรือแม้กระทั่งก่อนที่คุณจะเป็นคน โดยเริ่มต้นกันที่เมืองไทยนี้ มันมีอะไรบ้างไหมที่คุณควรจะเรียนรู้ฝึกฝน
เมืองไทยเรานี้วิทยาการในภาพรวมไม่ได้ล้าหลัง โดยเฉพาะคอนเซ็พท์ต่างๆที่ฝรั่งคิดขึ้น เราศึกษาเกาะติดและเอามาประยุกต์ใช้แบบเข้าถึงและได้ผลดีมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็เรียกว่าได้ว่าพอตามเขาทัน แต่สิ่งหนึ่งที่ระบบการศึกษาของเราไม่ได้ให้เลย หรือพยายามให้แล้วแต่ไม่มีใครเก็ทเลย..0% นับตั้งแต่เข้าเรียนอนุบาลถึงจบป.เอกไม่ว่าสาขาไหน มิหนำซ้ำดูเหมือนว่ายิ่งเรียนไปนานยิ่งโง่ลง สิ่งนั้นก็คือความเข้าใจในแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นงงมากว่าทำไมระบบการศึกษาของเราถึงออกหวยมาเป็นอย่างนี้ได้ เราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ มีเปลือกของศาสนาพุทธห่อหุ้มแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เรากลับเป็นคนที่อยู่ห่างไกลแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าคนชาติอื่น ภาษาอื่น ศาสนาอื่นเสียอีก อามิตตาภะ..พุทธะ
ผมไม่ได้จะมาชวนคุณถกว่าจะต้องแก้ปัญหานี้อย่างไรหรอกนะ เพราะนี่เป็นปัญหาของลุงตู่ คือเป็นปัญหาของชาติ ไม่ใช่ปัญหาของผม แต่ผมเพียงแค่อยากจะบอกคุณว่าที่คุณคิดจะไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนานั้นก็ดีแล้วและผมสนับสนุนสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ว่ากว่าจะได้ไปจริงมันก็ยังมีเวลาอยู่อีกตั้งหลายปี ในระหว่างนี้คุณศึกษาและทดลองปฏิบัติแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจสักหน่อยก่อนไปเรียนของฝรั่งต่อดีไหม มันจะได้เป็นการต่อยอดความรู้ลงไปบนรากฐานที่มั่นคง หากไม่เช่นนั้นแล้วคุณจบวิชาฝรั่งมาก็จะไปยึดติดคอนเซ็พท์ของฝรั่งจนแกะไม่ออก ทั้งๆที่คอนเซ็พท์ใดๆมันก็เป็นเพียงความคิด แต่เมื่อยึดติดแล้วเวลาจะแทรกสิ่งดีๆจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไปทีหลังก็จะแทรกไม่เข้า ผมรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์จิตเวชผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง เอยชื่อคุณก็ต้องคุ้นหรือเคยได้ยิน แพทย์ประจำบ้านจิตเวชทั่วประเทศต่างอยากหาโอกาสได้หมุนเวียนไป elective อยู่กับท่าน นัยว่าท่านลึกซึ้งในหลักวิชาจิตเวช อาจารย์ท่านนั้นพูดกับผมว่า
"..ทั้งหมดนี้ผมเอามาจากพระพุทธเจ้า แต่ผมไม่บอกเรสิเด้นท์ (แพทย์ประจำบ้าน) อย่างนั้นหรอกนะ บอกไม่ได้หรอก ถ้าผมบอกว่าเอามาจากธรรมะของพระพุทธเจ้าพวกเขาจะเลิกเชื่อถือทันที เวลาที่เขาตื่นเต้นกับคอนเซ็พท์ที่ผมสอนและถามหาเรเฟอเร้นซ์ ผมต้องแอบสอดไส้ไว้ในงานวิจัยหรือหลักคิดของปรมาจารย์ฝรั่งทางจิตเวชที่พวกเขาคุ้นเคยชื่อเสียงอยู่แล้ว ซึ่งผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนั้นมันก็ลอกของพระพุทธเจ้ามา ลอกอย่างลวกๆไม่เข้าใจเองลึกซึ้งด้วยซ้ำ.."
วิธีที่คุณจะเรียนแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ยาก คุณเรียนจากตัวคุณเองนี่แหละ ตัวคุณที่มีร่างกาย ความจำ ความคิด และความรู้ตัวนี่แหละ เรียนจากตรงนี้ก็พอ เรียนจากข้างในไม่ใช่เรียนจากข้างนอก ไม่ต้องไปเร่ียนจากที่อื่น เวลาที่ใช้เรียนก็คือเวลาที่คุณใช้ทำกิจในชีวิตประวันปกตินี่แหละ คุณไม่ต้องอ่านหนังสือเปะปะนะ ผมเตือนก่อน ไม่งั้นคุณจะหลงทาง
แต่ถ้าคุณคิดว่าต้องอาศัยหนังสือเป็นผู้ชี้นำ ผมแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งชื่อ "พุทธธรรม (ฉบับเดิม)" ผมเคยอ่านเล่มนี้เมื่อปีพ.ศ. 2514 คือเมื่อเกือบห้าสิบปีมาแล้ว จากตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือเล่มเล็กเล่มไหนสรุปสาระคำสอนของศาสนาพุทธได้ดีกว่าเล่มนี้ เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ้คราวสามร้อยกว่าหน้า เขียนโดยพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อท่าน ปยุต ปยุตโต เล่มนี้เล่มเดียวก็พอ ไม่ต้องอ่านมาก อย่าไปสนใจคำโต้แย้งว่าตรงนี้ตีความเพี้ยนตรงนั้นแปลผิด เอาเป็นว่าเนื้อหาหลักมันโอก็แล้วกัน เพราะหนังสือทุกเล่มล้วนมีเนื้อหาหลักเหมือนกันหมดคือสอนให้ปล่อยวางความคิด ไม่ต้องไปอ่านมาก ยิ่งอ่านมากยิ่งดักดาน ให้ใช้เวลาทั้งหมดที่มีโฟกัสไปที่การปฏิบัติฝึกฝนที่จะกลับเข้าไปในตัวเอง หันเหความสนใจจากภายนอกสู่ภายใน เรียนรู้ที่จะวางความคิดด้วยตัวเองให้เป็น แล้วคุณก็จะได้รู้จักแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า
หากคุณยังอยากจะอ่านให้มากขึ้นไปอีก ผมแนะนำว่าอย่าไปเที่ยวอ่านหนังสือเปะปะ ให้อ่านพระไตรปิฎกเท่านั้น เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกภาษาไทยหาอ่านง่าย ไม่ต้องไปกังวลว่าบางฉบับแปลไม่เหมือนกัน ฉบับไหนแปลผิดฉบับไหนแปลถูก เพราะสาระหลักมันยังได้อยู่ทั้งนั้นแหละ บนอินเตอร์เน็ทก็มีให้อ่านฟรี คุณอ่านเองตีความเองนะ ตีความผิดๆถูกๆก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปอ่านที่คนอื่นเขาตีความไว้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวคุณหลงทางเข้าป่าอีก แล้วไม่ต้องไปกังวลว่าโอ้โฮ จะให้อ่านทั้งหมดเลยหรือ ไม่ใช่ ไม่ต้องอ่านทั้งหมด พระไตรปิฎกแบ่งเป็นสามส่วน คือ (1) วินัยปิฎก เป็นเรื่องของพระสงฆ์ คุณไม่ต้องอ่าน (2) อภิธัมมปิฎก เป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังแต่งเสริมขึ้นเพื่ออธิบายขยายความ คุณก็ไม่ต้องอ่าน เพราะมันเยอะ (3) สุตตันตปิฎก เป็นคำสอนตรงของพระพุทธเจ้า คุณอ่านแค่นี้ และก็ไม่ต้องอ่านทุกหน้าดอก อ่านไม่กี่หน้าคุณก็เอาไปปฏิบัติได้แล้ว เพราะแต่ละหน้าก็จะเล่าเรื่องการสอนของพระพุทธเจ้า หน้านี้ไปพบคนนั้นท่านสอนว่าอย่างนี้ อีกหน้าหนึ่งเจอคนนี้ท่านสอนว่าอย่างโน้น คือท่านก็ปรับวิธีสอนของท่านไปเรื่อย แต่ว่าเนื้อหาที่สอนล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎก คุณอ่านไม่กี่หน้าคุณก็จับสาระไปปฏิบัติได้แล้ว นอกจากนี้มันยังมีพระไตรปิฎกฉบับย่อให้คนมีเวลาน้อยเลือกอ่านได้อีกด้วย เช่น "พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน" ที่พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยก็เป็นหนังสือย่อแบบเล่มเดียวจบที่ดีมาก
ย้ำอีกทีว่าในความเห็นของผม การจะเป็นจิตแพทย์ ความรู้ความเข้าใจถึงแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงขั้นนำมาปฏิบัติเองจนเห็นผลกับตัวเองนั้นเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุด หลังจากนั้นจะเรียนอะไรมาต่อยอดบนนั้นก็ได้ ผมแนะนำคุณอย่างแรงให้คุณเตรียมตัวเป็นจิตแพทย์ด้วยวิธีนี้ จิตแพทย์ตัวจริงเขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับผม แต่นี่คุณเขียนมาหาผม คุณก็ต้องฟังคำแนะนำของผมบ้าง..ถูกแมะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูกำลังเรียนแพทย์อยู่ชั้นปีที่2ค่ะ เป็นแพทย์ชนบท หนูมีความคิดที่อยากจะเรียนต่อเฉพาะทางจิตเวชเพราะมันคือความฝันของหนู แต่หนูสนใจจะเรียนต่อที่อังกฤษค่ะ ไม่ทราบว่าสามารถเรียนได้ไหมคะ แล้วสามารถเรียนจบกลับมาสอบเอาใบประกอบเพื่อทำงานเป็นจิตแพทย์ที่ไทยได้ไหมคะ หรือต้องจบเฉพาะทางจากมหาวิทยาลัยในไทยเท่านั้นถึงจะสอบได้
ขอบคุณอาจารย์ล้วงหน้าค่ะ
...............................................
ตอบครับ
เรียนได้ครับ มีวิธีเรียนสี่แบบ เรียงตามลำดับความยากไปหาง่ายดังนี้
1. ไปตั้งต้นเรียนแพทย์ที่อังกฤษใหม่เลย คือเริ่มต้นที่สนามหลวง แล้วเดินตามเส้นทางที่หมออังกฤษเขาเดินกัน
2. เรียนจบแพทย์ไทยแล้ว สอบ PLAB test ให้ได้ก่อน แล้วสมัครไปเป็นแพทย์ประจำบ้าน (registrar) ที่อังกฤษ ครบเวลาแล้วสอบบอร์ดอังกฤษ (FRCPsych) กลับมาบ้านเราก็จะได้รับการรับรองเท่าบอร์ดไทย หากเลือกทางนี้ ถ้าชีวิตนี้คิดจะมี ผ. ให้หาไว้ก่อนที่จะไปเรียนก็จะดี เพราะกว่าจะเรียนจบสอบแล้วสอบอีกกว่าจะสอบได้ใช้เวลานานหลายปีมาก กว่าจะถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นนางทึนทึกหา ผ.ไม่ได้ไปเสียแล้ว (หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น)
3. เรียนจบแพทย์ไทย แล้วฝึกอบรมจิตเวชในเมืองไทยแล้ว สอบบอร์ดไทยได้แล้ว ไปเป็น Fellow ทางจิตเวชที่อังกฤษนานประมาณ 1-2 ปี
4. เรียนจบแพทย์ไทย แล้วฝึกอบรมจิตเวชในเมืองไทยแล้ว สอบบอร์ดไทยได้แล้ว ทำงานแล้ว หาโอกาสไปเข้าคอร์สทางด้านจิตเวชหรือจิตวิทยาระยะสั้นๆนับกันเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไม่นับเป็นปี มีคอร์สแยะมาก เพราะอังกฤษเป็นประเทศที่มีอาชีพหลักทางทำคอร์สขาย
ผมตอบคำถามคุณแล้วนะ คราวนี้ให้ผมพูดในสิ่งที่คุณไม่ได้ถามบ้าง คือผมจะพูดในประเด็นที่ว่าก่อนที่คุณจะเป็นจิตแพทย์ หรือแม้กระทั่งก่อนที่คุณจะเป็นแพทย์ หรือแม้กระทั่งก่อนที่คุณจะเป็นคน โดยเริ่มต้นกันที่เมืองไทยนี้ มันมีอะไรบ้างไหมที่คุณควรจะเรียนรู้ฝึกฝน
เมืองไทยเรานี้วิทยาการในภาพรวมไม่ได้ล้าหลัง โดยเฉพาะคอนเซ็พท์ต่างๆที่ฝรั่งคิดขึ้น เราศึกษาเกาะติดและเอามาประยุกต์ใช้แบบเข้าถึงและได้ผลดีมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็เรียกว่าได้ว่าพอตามเขาทัน แต่สิ่งหนึ่งที่ระบบการศึกษาของเราไม่ได้ให้เลย หรือพยายามให้แล้วแต่ไม่มีใครเก็ทเลย..0% นับตั้งแต่เข้าเรียนอนุบาลถึงจบป.เอกไม่ว่าสาขาไหน มิหนำซ้ำดูเหมือนว่ายิ่งเรียนไปนานยิ่งโง่ลง สิ่งนั้นก็คือความเข้าใจในแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นงงมากว่าทำไมระบบการศึกษาของเราถึงออกหวยมาเป็นอย่างนี้ได้ เราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ มีเปลือกของศาสนาพุทธห่อหุ้มแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เรากลับเป็นคนที่อยู่ห่างไกลแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าคนชาติอื่น ภาษาอื่น ศาสนาอื่นเสียอีก อามิตตาภะ..พุทธะ
ผมไม่ได้จะมาชวนคุณถกว่าจะต้องแก้ปัญหานี้อย่างไรหรอกนะ เพราะนี่เป็นปัญหาของลุงตู่ คือเป็นปัญหาของชาติ ไม่ใช่ปัญหาของผม แต่ผมเพียงแค่อยากจะบอกคุณว่าที่คุณคิดจะไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนานั้นก็ดีแล้วและผมสนับสนุนสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ว่ากว่าจะได้ไปจริงมันก็ยังมีเวลาอยู่อีกตั้งหลายปี ในระหว่างนี้คุณศึกษาและทดลองปฏิบัติแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจสักหน่อยก่อนไปเรียนของฝรั่งต่อดีไหม มันจะได้เป็นการต่อยอดความรู้ลงไปบนรากฐานที่มั่นคง หากไม่เช่นนั้นแล้วคุณจบวิชาฝรั่งมาก็จะไปยึดติดคอนเซ็พท์ของฝรั่งจนแกะไม่ออก ทั้งๆที่คอนเซ็พท์ใดๆมันก็เป็นเพียงความคิด แต่เมื่อยึดติดแล้วเวลาจะแทรกสิ่งดีๆจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไปทีหลังก็จะแทรกไม่เข้า ผมรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์จิตเวชผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง เอยชื่อคุณก็ต้องคุ้นหรือเคยได้ยิน แพทย์ประจำบ้านจิตเวชทั่วประเทศต่างอยากหาโอกาสได้หมุนเวียนไป elective อยู่กับท่าน นัยว่าท่านลึกซึ้งในหลักวิชาจิตเวช อาจารย์ท่านนั้นพูดกับผมว่า
"..ทั้งหมดนี้ผมเอามาจากพระพุทธเจ้า แต่ผมไม่บอกเรสิเด้นท์ (แพทย์ประจำบ้าน) อย่างนั้นหรอกนะ บอกไม่ได้หรอก ถ้าผมบอกว่าเอามาจากธรรมะของพระพุทธเจ้าพวกเขาจะเลิกเชื่อถือทันที เวลาที่เขาตื่นเต้นกับคอนเซ็พท์ที่ผมสอนและถามหาเรเฟอเร้นซ์ ผมต้องแอบสอดไส้ไว้ในงานวิจัยหรือหลักคิดของปรมาจารย์ฝรั่งทางจิตเวชที่พวกเขาคุ้นเคยชื่อเสียงอยู่แล้ว ซึ่งผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนั้นมันก็ลอกของพระพุทธเจ้ามา ลอกอย่างลวกๆไม่เข้าใจเองลึกซึ้งด้วยซ้ำ.."
วิธีที่คุณจะเรียนแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ยาก คุณเรียนจากตัวคุณเองนี่แหละ ตัวคุณที่มีร่างกาย ความจำ ความคิด และความรู้ตัวนี่แหละ เรียนจากตรงนี้ก็พอ เรียนจากข้างในไม่ใช่เรียนจากข้างนอก ไม่ต้องไปเร่ียนจากที่อื่น เวลาที่ใช้เรียนก็คือเวลาที่คุณใช้ทำกิจในชีวิตประวันปกตินี่แหละ คุณไม่ต้องอ่านหนังสือเปะปะนะ ผมเตือนก่อน ไม่งั้นคุณจะหลงทาง
แต่ถ้าคุณคิดว่าต้องอาศัยหนังสือเป็นผู้ชี้นำ ผมแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งชื่อ "พุทธธรรม (ฉบับเดิม)" ผมเคยอ่านเล่มนี้เมื่อปีพ.ศ. 2514 คือเมื่อเกือบห้าสิบปีมาแล้ว จากตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือเล่มเล็กเล่มไหนสรุปสาระคำสอนของศาสนาพุทธได้ดีกว่าเล่มนี้ เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ้คราวสามร้อยกว่าหน้า เขียนโดยพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อท่าน ปยุต ปยุตโต เล่มนี้เล่มเดียวก็พอ ไม่ต้องอ่านมาก อย่าไปสนใจคำโต้แย้งว่าตรงนี้ตีความเพี้ยนตรงนั้นแปลผิด เอาเป็นว่าเนื้อหาหลักมันโอก็แล้วกัน เพราะหนังสือทุกเล่มล้วนมีเนื้อหาหลักเหมือนกันหมดคือสอนให้ปล่อยวางความคิด ไม่ต้องไปอ่านมาก ยิ่งอ่านมากยิ่งดักดาน ให้ใช้เวลาทั้งหมดที่มีโฟกัสไปที่การปฏิบัติฝึกฝนที่จะกลับเข้าไปในตัวเอง หันเหความสนใจจากภายนอกสู่ภายใน เรียนรู้ที่จะวางความคิดด้วยตัวเองให้เป็น แล้วคุณก็จะได้รู้จักแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า
หากคุณยังอยากจะอ่านให้มากขึ้นไปอีก ผมแนะนำว่าอย่าไปเที่ยวอ่านหนังสือเปะปะ ให้อ่านพระไตรปิฎกเท่านั้น เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกภาษาไทยหาอ่านง่าย ไม่ต้องไปกังวลว่าบางฉบับแปลไม่เหมือนกัน ฉบับไหนแปลผิดฉบับไหนแปลถูก เพราะสาระหลักมันยังได้อยู่ทั้งนั้นแหละ บนอินเตอร์เน็ทก็มีให้อ่านฟรี คุณอ่านเองตีความเองนะ ตีความผิดๆถูกๆก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปอ่านที่คนอื่นเขาตีความไว้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวคุณหลงทางเข้าป่าอีก แล้วไม่ต้องไปกังวลว่าโอ้โฮ จะให้อ่านทั้งหมดเลยหรือ ไม่ใช่ ไม่ต้องอ่านทั้งหมด พระไตรปิฎกแบ่งเป็นสามส่วน คือ (1) วินัยปิฎก เป็นเรื่องของพระสงฆ์ คุณไม่ต้องอ่าน (2) อภิธัมมปิฎก เป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังแต่งเสริมขึ้นเพื่ออธิบายขยายความ คุณก็ไม่ต้องอ่าน เพราะมันเยอะ (3) สุตตันตปิฎก เป็นคำสอนตรงของพระพุทธเจ้า คุณอ่านแค่นี้ และก็ไม่ต้องอ่านทุกหน้าดอก อ่านไม่กี่หน้าคุณก็เอาไปปฏิบัติได้แล้ว เพราะแต่ละหน้าก็จะเล่าเรื่องการสอนของพระพุทธเจ้า หน้านี้ไปพบคนนั้นท่านสอนว่าอย่างนี้ อีกหน้าหนึ่งเจอคนนี้ท่านสอนว่าอย่างโน้น คือท่านก็ปรับวิธีสอนของท่านไปเรื่อย แต่ว่าเนื้อหาที่สอนล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎก คุณอ่านไม่กี่หน้าคุณก็จับสาระไปปฏิบัติได้แล้ว นอกจากนี้มันยังมีพระไตรปิฎกฉบับย่อให้คนมีเวลาน้อยเลือกอ่านได้อีกด้วย เช่น "พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน" ที่พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยก็เป็นหนังสือย่อแบบเล่มเดียวจบที่ดีมาก
ย้ำอีกทีว่าในความเห็นของผม การจะเป็นจิตแพทย์ ความรู้ความเข้าใจถึงแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงขั้นนำมาปฏิบัติเองจนเห็นผลกับตัวเองนั้นเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุด หลังจากนั้นจะเรียนอะไรมาต่อยอดบนนั้นก็ได้ ผมแนะนำคุณอย่างแรงให้คุณเตรียมตัวเป็นจิตแพทย์ด้วยวิธีนี้ จิตแพทย์ตัวจริงเขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับผม แต่นี่คุณเขียนมาหาผม คุณก็ต้องฟังคำแนะนำของผมบ้าง..ถูกแมะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์