หนูรับไม่ได้กับการโกงการวิจัย
กราบเรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
หนูขอท้าวความก่อนนะคะ หลังจากที่หนูจบปริญญาตรีจาก ... หนูมาสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบัน .... มหาวิทยาลัย .... ในวันที่สอบสัมภาษณ์มีอาจารย์ประมาณสิบคนเป็นกรรมการ หลังจากวันสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งสัปดาห์มีอาจารย์โทรมา แกเป็นผู้หญิงค่ะ อายุห้าสิบกว่า แกก็บอกหนูว่าแกเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่สัมภาษณ์หนูในวันนั้น ดูจากผลการสอบสัมภาษณ์คิดว่าก็น่าจะผ่านได้เข้าเรียน และเสนอว่าตอนนี้อาจารย์มีทุน โครงการปริญญาเอก... อยู่ในมือ (ทุนนี้นักเรียนต้องมีชื่อแรกในเปเปอร์ 2 เปเปอร์) สำหรับการทำวิจัยเรื่องนึง สนใจไหม อาจารย์แกก็บอกให้ลองเอาไปคิดดูค่ะ และยังบอกว่าแกมีลูกศิษย์คนนึงที่จบเอกจากแก และตอนนี้ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ ..... ให้หนูไปลองคุยกับเขาดูได้ค่ะ จากงานวิจัยที่แกพูดมาเป็นแนวทางที่หนูมีความสนใจ และหนูก็ลองไปคุยกับอาจารย์ที่ ... ที่เป็นลูกศิษย์ ป.เอก ของแกค่ะ คำถามนึงที่หนูถามคือ อาจารย์ใจดีไหม อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ ป. เอก ก็พูดอ้อมๆบอกว่าอาจารย์แต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตนเอง (ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้เอะใจอะไร) และก็บอกว่าอาจารย์เป็นคนเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ค่ะ หลังจากนั้นหนูก็มีการปรึกษากับครอบครัว และสุดท้ายก็ตัดสินใจรับทุนและเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาปริญญาโทมาเป็นเอก
หลังจากเข้ามาเรียน course work ในสถาบันก็จะมีรุ่นพี่หรือเจ้าหน้าที่มาถามว่าน้องใหม่มีแลปหรือยัง เราก็ตอบไปว่ามีแล้วแลปอาจารย์คนนี้ค่ะ ทุกคนมีปฏิกิริยาเดียวกันเมื่อได้ยินชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของหนูคือ หงายเงิบเบาๆ ยิ้มแหยๆ และพูดว่า เออ! อาจารย์เค้าก็ดี หนูก็เริ่มใจไม่ดีตั้งแต่บัดนั้น พอมาเรียนวิชาที่แกสอนก็ใจไม่ดีหนักเข้าไปอีกจากการที่เห็นเค้าต่อว่าเด็กนักเรียนใน class ระหว่างนั้นก็มีคนเตือนอาจารย์บางท่านก็เตือนด้วยความหวังดีว่าเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาใหม่ดีไหม แต่หนูก็คิดว่าอยากจะลองดูสักตั้งอาจจะไหวก็ได้ หลังจากเรียนจบ course work ก็เข้าแลปทำวิจัยเต็มตัว และที่แลปจะมี lab meeting กับแกทุกวันจันทร์ทำให้หนูเห็นว่าหากทำงานไม่ตรงใจแก หรือทำอะไรผิด ก็จะถูกตวาด ต่อว่าอย่างรุนแรงบ้างไม่รุนแรงบ้าง เวลาผ่านไปก็ได้เห็นอุปนิสัยแกมากขึ้นทำให้รู้ว่าแกเป็นคนขี้วีน อะไรไม่ได้ดั่งใจก็ตวาด ตะคอกเด็กนักเรียน พูดเอาดีเข้าตัว ชั่วเข้าคนอื่น ความสำเร็จใดๆ สิ่งที่ดีใดๆคือมาจากแก แต่ปัญหาหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือมาจากนักเรียน ทำให้หนูไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศของการเรียนรู้ที่แท้จริง บรรยากาศของการที่อาจารย์กับนักเรียนจับมือสู้ไปด้วยกันแต่เหมือนอาจารย์เป็นเจ้านาย นักเรียนเป็นคนรับใช้ซะมากกว่า ด้วยเหตุนื้ทำให้เมื่อเกิดปัญหาเรื่องงานวิจัยขึ้นมาก็จะรู้สึกไร้ที่พึ่ง
ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร สรุปคือนอกจากจะต้องเครียดเรื่องแลปแล้วยังจะต้องมาเครียดเรื่องคน (ซึ่งก็คืออาจารย์ที่ปรึกษา) ทำให้หนูอดอิจฉาเพื่อนๆแลปอื่นไม่ได้ เพื่อนบางคนพูดกับหนูว่าหากเค้าตั้งใจทำแลปอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ถ้าผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงจะเครียด
แต่ลึกๆก็ก็ยังรู้สึกอุ่นใจว่ายังมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะสามารถช่วยเหลือให้ปัญหาทุกอย่างผ่านไปได้ หนูฟังแล้วน้ำตาจะไหล แต่สุดท้ายตอนนั้นหนูก็บอกกับตัวเองว่าโอเค ถ้าแกวีนแค่เรื่องงานเราอดทนได้ (ถึงตรงนี้หนูขอแสริมว่าหลังจากเข้าแลปหนูมีโอกาสได้เจออาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ปรึ
กษาหนู ที่หนูเคยไปคุยด้วยอะค่ะ เจออยู่สองสามครั้ง ครั้งนึง แกก็มาถามว่าอยู่แลปนี้เป็นไง และบอกอีกว่า อาจารย์แกก็เป็นแบบนี้แหละนะ อ่าว! ครั้งต่อมาแกก็พูดว่าแกบอกกับตัวเองว่าถ้าตัวเองเป็นอาจารย์จะไม่ทำตัวแบบอาจารย์ที่ปรึกษาหนู อ่าว! ตอนแรกไม่เห็นจะให้ข้อมูลอะไรเราเลยเรื่องนิสัยส่วนตัวอาจารย์) หนูก็อดทนมาเรื่อยๆจนเข้าปีที่สี่ มันมีเหตุการณ์คือ อาจารย์แกเหมือนมีอคติกับหนู หนูไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ได้แต่สันนิษฐานว่า
1. หนูอาจไปทำอะไรที่กระทบ ego แกและทำให้แกเสีย self และ
2. ตอนนั้นแลปมีปัญหาหนูก็ทำการทดลองสองสามอย่างเพื่อหาทางแก้ปัญหานั้น แต่หนึ่งในการทดลองที่หนูทำหนูไม่ได้ปรึกษาแกก่อน หนูหาข้อมูลเองแล้วก็ลองทำ preliminary experiment เล็กๆ และพบว่าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หนูจึงเอาไปบอกแก แต่หนูไมรู้จริงๆว่าการที่หนูทำ preliminary experiment
ข้างต้นนั้นไปทำให้แกโกรธมากๆได้อย่างไร เวลาพูดเรื่องนี้ทีไรแกก็เอาแต่ต่อว่า และพูดว่าจะทำทำไม ทำไปก็เอาลงเปเปอร์ไม่ได้ (แต่สำหรับหนูคิดว่า อย่างไรซะมันก็คือกระบวนการเรียนรู้ จะผิดจะถูกสามารถแนะนำกันดีๆได้ ไม่เห็นว่าจะต้องต่อว่ากันขนาดนี้) นอกจากนี้ พอหนูจะไป present งานให้ thesis
committee ฟังหนูต้องทำ presentation slide ไปให้แกดู พอมาถึง slide ของ preliminary experiment ข้างต้น แกถึงกับไม่ฟังแต่กลับถามถึงแต่งานอื่น หนูก็เลยตัดสไลด์ที่ว่าออกไป พอไป present จริง ระหว่างพรีเซนต์แกก็ทำเป็นถอนหายใจ กุมขมับ ทำเสียงปึงปังเป็นระยะ เหมือนจะแสดงความไม่พอใจในตัวหนูให้ committee ได้รู้ พอถึงช่วงถามคำถาม committee ก็ถามมาคำถามนึงซึ่งการจะตอบคำถามได้หนูต้องโยงถึง preliminary experiment นั้นที่หนูได้ทำไป committee ท่านก็ถามถึงรายละเอียดของการทดลองนั้น ระหว่างนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาหนูก็คอยโวยวายว่าจะทำทำไมไม่รู้ เอาลงเปเปอร์ก็ไม่ได้ แต่ท่าน committee กลับบอกว่า การทดลองนี้ก็สำคัญนะ ทำไมถึงไม่ใส่ใน presentation มา หนูก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง
หลังจากนั้นมาแกก็ไม่ได้ลดละความแรงลง ทุกครั้งที่หนูเข้าไปหาแกที่ห้องทำงาน เอางานไปให้ หรือไปติดต่ออะไร แค่แกเห็นหน้าหนู หนูยังไม่ทันพูดอะไร แกก็จะถอนหายใจใส่ สบถบ้างอะไรบ้าง ก่อนหนูออกจากห้องก็ต้องหาอะไรมาต่อว่าสักอย่าง เวลามี lab meeting พอคนอื่นพูดก็ดูรับฟังดี แต่พอถึงตาหนูก็ไม่ค่อยจะรับฟัง พยายามหาที่ให้หนูผิดจนได้ ต้องมีการต่อว่าแบบสาดเสียเทเสีย ชักแม่น้ำทั้งห้าและเหตุการณ์ในอดีต ความผิดพลาดในอดีตมาพูดเหมือนเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง พูดเหมือนหนูไม่มีความดี เวลาคนอื่นทำผิดพลาดก็อดไม่ได้ที่จะโยงมาหาหนูว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยทำผิดพลาดเรื่องนี้ บางครั้งเวลาแลปมีปัญหา หนูก็หาเปเปอร์ไปเสนอแกว่าคนอื่นเค้าทำกันแบบนั้นแบบนี้ แกบอกโอเคงั้นลองทำแต่กลับ assign งานนั้นไปให้ผู้ช่วยวิจัย และต่อมาก็มาพูดเหมือนว่างานนั้นเป็นงานที่แกกับผู้ช่วยวิจัยทำกันสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนูแต่อย่างใด เวลาหนูไปพรีเซนต์งานแกก็บอกหนูว่าให้พูดไปด้วยว่างานนั้นทำโดยผู้ช่วยวิจัย แกพยายามทำเหมือนหนูไม่ได้ทำอะไรไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับงานนั้น การกระทำของอาจารย์เหล่านี้ทำให้หนูแทบจะประสาทเสีย และปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หนูสูญเสียความมั่นใจในตนเอง และ self esteem ไป และไม่มั่นใจว่าตนเองจะเดินทางสายนี้ต่อไปได้อีกหรือทำมันเป็นอาชีพได้อีก และมันยังทำให้หนูเริ่มหมดศรัทธาในตัวแกเพราะสิ่งที่แก่ทำเหมือนจงใจจะทำร้ายหนู หนูคิดว่าตนเองก็เป็นแค่เด็กนักเรียนคนนึง ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งจะให้เก่งเท่าอาจารย์หนูก็คงทำไม่ได้ หนูแค่อยากจะมาเรียนหนังสือ หนูจึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์มาทำกับหนูขนาดนี้ทำไม สิ่งที่แกทำเหมือนไม่เห็นว่าหนูเป็นนักเรียนแล้ว เหมือนเห็นหนูเป็นศัตรูที่แกต้องทำลาย และเหมือนแกหลงลืมจรรยาบรรณ์ความเป็นอาจารย์ไปหมดสิ้น
แต่เรื่องที่สุดๆสำหรับหนูคือ มีเด็กนักเรียน ป.โท คนใหม่มาเข้าแลปค่ะ หนูขอบอก background คร่าวๆนะคะ เด็กคนนี้ฐานะที่บ้านน้องไม่ค่อยสู้ดี แม่เป็นแม่บ้าน พ่อขับแทกซี่ค่ะ พอน้องเข้ามาทำงานในแลปได้ซักพักมีอาการป่วย เหมือนต่อมน้ำเหลืองที่คอโตหลายจุด หนูจึงบอกน้องให้ไปหาหมอ ผลตรวจปรากฎว่าเธอติดเชื้อ HIV แต่สุดท้ายก็ทำความตกลงกันทุกฝ่ายทั้งอาจารย์และทุกคนในแลปว่าก็ให้น้องเรียนต่อไป อยู่ในแลปน้องคนนี้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์มากเพราะทำแลปเร็ว ได้ผลดีตลอด แลปแทบไม่เคยมีปัญหา แต่ละผลการทดลอง error bar เล็กมากสวยงาม พอคนอื่นๆที่ทำแลปลักษณะเดียวกันทำไม่ได้สวยเหมือนน้องเค้าทำก็จะถูกต่อว่า และให้ไปคุยกับน้องว่าเค้าทำยังไงถึงได้ดี แต่ถามทีไรก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากที่พวกเราทำเลย แถมพวกเรายังระมัดระวังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้หนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยเริ่มสงสัยในตัวน้องคนนี้เพราะหนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยทำแลปลักษณะเดียวกับน้องแต่การจะได้ผลให้สวยงามแบบน้องเค้านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยแค่ three independent experiments นี่ อย่าหวังเลย พวกเราจึงมีความสงสัยในตัวน้องคนนี้และประกอบกับว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ ซึ่งหากมีความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทั้งหนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยที่จะมีชื่อในเปเปอร์นี้ต้องเดือดร้อนแน่ พวกเราจึงตกลงกันไปบอกอาจารย์เพื่อนขอให้อาจารย์ช่วยพูดกับน้องว่าเราอยากขอดู raw data แต่อาจารย์ปฏิเสธ โดยพูดว่าถ้าพวกเธอสงสัยก็ไปถามเองสิมายืมมือชั้นให้ถามให้ได้อย่างไร เราสองคนจึงต้องจัดการเรื่องนี้เองค่ะ
สุดท้ายหนูมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่าน้องมีการตัดต่อ ตัดแปะ band บน Thin layer chromatography plate ให้ได้รูปที่สวยงาม เราจึงไปบอกอาจารย์ถึงสิ่งที่เราพบ อาจารย์เหมือนไม่ปักใจเชื่อและให้เราไปถามความจริงจากเจ้าตัวเอง จากที่หนูกล่าวข้างต้นว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู หลังจากพบหลักฐานว่าน้องมีการทำผิดจริยธรรมการวิจัยโดยการปลอมผลการทด ลอง หนูคิดว่าอาจารย์คงจะล้มเลิกความคิดนั้น แต่เปล่าเลย เช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณหกโมงเช้า ย้ำค่ะ หกโมงเช้า อาจารย์ถึงกลับโทรมาหาหนูและพูดว่าเค้าได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์หนูและขู่ว่าหากหนูยังยืนยันที่จะพูดว่าน้องคนนี้ปลอมผลและไม่ต้องการให้เอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์ เปเปอร์ของหนูก็เจ๊ง (เค้าใช้คำว่าเจ๊งจริงๆค่ะ) และทิ้งท้ายว่า นี่พี่แค่โทรมาให้ข้อมูลเฉยๆพอตอนบ่ายวันนั้นพวกเราจึงไปสอบถามกับตัวน้องว่าน้องทำการตัดต่อจริงหรือเปล่าตอนแรกน้องปฏิเสธแต่ซักไปซักมาน้องก็ยอมรับว่าทำจริงเราจึงไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่าน้องทำจริงหรือเปล่าน้องก็ยอมรับต่อหน้าอาจารย์ว่าทำจริง อาจารย์ก็เหมือนตักเตือนว่าที่เธอทำเนี่ยร้ายแรงนะ แต่ยังไม่วายยังมีการพูดปกป้อง พวกเราแทบจะหงายเงิบไปตรงนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวตัวเองเสียหน้าหรือเปล่า หลังจากนั้นพวกเราได้มีการขอ raw data จากน้องมาเพื่อตรวจสอบ เราพบการปลอมแปลงข้อมูลอย่างรุนแรง บางการทดลองน้องบอกว่าวัดค่าวันนั้นวันนี้ แต่พอไปดู raw data ที่ถูก save อัตโนมัติในเครื่องวัด กลับไม่มีข้อมูลตามวันเวลาที่น้องได้บอก สรุปคือ แทบจะทุกสิ่งคือปลอมหมด พวกเรารายงานสิ่งที่พบเจอให้อาจารย์ฟังตลอดหนูก็พยายามพูดว่าไม่เอาผลน้องคนนี้ใส่เปเปอร์ได้มั้ยเพราะมีพฤติกรรมทุจริตแบบนี้ แต่แกก็ยังยืนยันจะเอาผลของน้องคนนั้นลง อ้างว่าแกเช็คดีแล้วว่าเป็นความจริง (แต่อาจารย์ไม่เคยมาเช็ค raw data แบบที่พวกหนูทำ เช็คแต่ข้อมูลที่น้องส่งให้ซึ่งไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน) และพูดซ้ำคำเดิมว่า ถ้าไม่เอาผลน้องคนนั้นลงเปเปอร์เปเปอร์หนูก็เจ๊ง หรืออาจตีพิมพ์ได้แค่ journal ที่ impact factor ต่ำๆ และแกยังขู่ว่าเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ทุกอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เปเปอร์นี้เธอ (คือหนู) ก็ไม่ควรจะได้ชื่อแรกในเปเปอร์ เพราะแม้แต่ manuscript เธอยังไม่เขียนให้ชั้นเลย ซึ่ง ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ หนูเขียน manuscript ให้แกไปแล้ว ยื่นให้จารย์ต่อหน้าทุกคนในแลปตอน lab meeting แต่จะดีพอหรือไม่ดีพอจะเรียก manuscript มันก็เรื่องของอาจารย์ แต่สิ่งที่แกให้หนูเขียน หนูเขียนแล้ว ไม่ใช่ครั้งเดียวที่แกพูดแบบนี้ แต่หลายครั้ง เหมือนต้องการสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อขู่หนูและให้ยอมจำนนเอาผลของน้องคนนั้นลงเปเปอร์ หนูเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ที่แลปที่จบไปแล้วไปเรียนเอกอยู่ต่างประเทศ พี่เค้าเลยอีเมลล์ไปคุยกับอาจารย์ และตอนหลังหนูมาทราบว่า อาจารย์แกบอกพี่คนนั้นแบบเดียวกันว่าหนูไม่ได้เขียนแม้แต่ manuscript ให้แก หนูจึงไม่ควรได้ชื่อแรกในเปเปอร์ด้วยซ้ำ นั่นคือแกจงใจพูดโกหก หนูไม่รู้ว่าอาจารย์แกคิดอะไรอยู่ อย่างที่เห็นคือน้องมีการปลอมแปลงผลการทดลองอย่างรุนแรงหาความจริงไม่ได้ แต่อาจารย์ยังให้น้องไปช่วยงานพี่ผู้ช่วยวิจัย และสุดท้ายคือ พวกเราก็มาจับได้อีกว่าน้องปลอมแปลงผลการทดลองของงานที่ช่วยพี่เค้าทำ
ในใจหนูอยากจะปรึกษาเรื่องนี้กับ committee มาก แต่เอาเข้าจริงไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เลวร้ายสุดที่คิดได้คือ อาจารย์คงโดนตั้งกรรมการสอบ และน้องคงโดนยึดใบปริญญา หากเป็นเช่นนั้น หนูก็ไม่รู้ว่าน้องมันจะเป็นอย่างไร จากที่หนูเล่าข้างต้นเรื่องครอบครัวน้องที่ฐานะไม่สู้ดี และน้องเหมือนเป็นความหวังเดียวของบ้าน และด้วย HIV ที่น้องเป็น หากเธอโดนริบใบ ปริญญาอีก ไม่รู้ว่าเธอจะจบอนาคตตัวเองหรือเปล่า หนูไม่เคยมีความคิดจะทำลายชีวิตใคร หนูเพียงแค่อยากจะหาทางออกเรื่องเปเปอร์ แต่หนูไม่สามารถทำนายผลที่จะออกมาได้จริงๆ และพอไปปรึกษาหลายๆคนทุกคนก็แนะนำว่าให้ปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะหากเป็นเรื่องราวขึ้นมาไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาไม้ไหนกับหนูอีก และบอกให้หนูรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองและเอาปริญญาเอกมาให้ได้หนูก็ตกลงกับตัวเองว่าจะทนต่อไปทำเปเปอร์ที่สอง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นร้ายสุดกับตัวหนูอาจต้องลาออกไป และหากลาออก ก็ต้องชดใช้ทุนเป็นล้านบาท หนูก็ไม่อยากต้องให้พ่อแม่มารับผิดชอบในส่วนนี้แทนหนู
ต่อมาอาจารย์แกแก้เปเปอร์ของหนูเสร็จ แกเอามาให้หนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยตรวจดูและพูดดักคอว่านี่แค่ draft แรก ต้องแก้อีกเยอะ พอเปิดเข้าไปดูเท่านั้นแหละค่ะมีผลของน้องคนนั้นอยู่ในเปเปอร์ด้วย ที่มันจี๊ดใจคือ ผลของน้องคนนั้นกับผลของหนูมันอยู่ในกราฟเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่หนูส่งให้อาจารย์ก่อนหน้านี้เป็นกราฟแท่งที่มีผลของหนูคนเดียว และมีค่าตัวเลขกำกับบนแท่งกราฟ ทำให้หนูรู้ว่า แกคงอยากเอาผลของน้องคนนั้นลงเปเปอร์มาก แต่เนื่องจากหนูเคยแสดงออกว่าไม่อยากให้เอาลง แกเลยนำข้อมูลที่เป็นตัวเลขของหนูไปให้น้องคนนั้นทำเป็นกราฟที่มีผลของน้องกับของหนูรวมกัน เนื่องจากอาจารย์พูดว่า draft แรก หนูจึงยังไม่ได้พูดอะไรมาก และหวังว่าคงจะได้ดู final version แต่เปล่าเลย แก submit ไปเลยโดยไม่ให้หนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยตรวจสอบอีก มารู้อีกทีก็ reject แล้วแกก็เตรียม submit journal ใหม่ แต่ก็ไม่เคยมาให้พวกเราดูอีก และพูดว่า ชั้นไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเธอว่าชั้น edit อะไรไป สุดท้ายเปเปอร์ก็ตีพิมพ์และแกก็ใส่ชื่อหนูเป็นชื่อแรก แต่หนูพูดเลยว่าหนูไม่มีความภูมิใจ กลับรังเกียจเปเปอร์นี้เอามากๆ ตัวแกเองก็ยังมาพูดซ้ำๆเดิมๆว่าจริงๆหนูไม่ควรได้ชื่อแรก สิ่งที่แกทำทั้งหมด มันช่างไร้มโนธรรมเหลือเกินค่ะคุณหมอ หนูไม่เข้าใจว่าแกหลับตาลงได้อย่างไรทุกคืนๆทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองทำเรื่องไร้ศีลธรรมลงไป แกนึกถึงแต่ตัวเอง กล้าทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อคนอื่นที่มีชื่อร่วมในเปเปอร์ ดีไม่ดีหากเกิดอะไรขึ้นแกก็โยนมาให้ first author ซึ่งก็คือหนู อยู่กับแกมีแต่ความทุกทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นถึงแม้หนูอยู่มานานหลายปีแต่หนูก็ไม่เคยรับได้กับการกระทำของแกเลยค่ะ ไม่เคยปลงได้ หนูตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราควรทำยังไงดี เราควรทำยังไงดี แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ที่หนูบอกก่อนหน้าว่าหนูคิดว่าจะอดทนต่อไป หนูคิดว่าจะทนได้ แต่ตอนนี้เหมือนหนูจะทนไม่ได้ ในใจหนูไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ ยิ่งคิดซ้ำไปซ้ำมายิ่งยิ่งโกรธมากจนไม่มีสมาธิ จนเหมือนจะเป็นบ้าหนูแทบไม่เหลือ passion ในการทำงานแล้ว ไม่อยากจะตื่นไปทำงานเลยจิตใจไม่เคยมีความสงบมันหน่วงๆตลอดเวลาเพราะคิดแต่ว่าวันนี้ชั้นต้องเจอกับอะไรอีก หนูแค่อยากจะมาเรียนหนังสือ หนูไม่คิดเลยว่าต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้หนูควรจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ มีวิธีไหนให้หนูสามารถอยู่ต่อไปได้จนเรียนจบโดยไม่เสียสติไปก่อนไหมคะ หรือมีทางออกอื่นใดไหมคะ จะเป็นพระคุณมากหากคุณหมอกรุณาแนะนำหนูค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
......................................
ตอบครับ
วันนี้ิิเพิ่งจบการทำแค้มป์ RDBY6 มา เหนื่อยมาก ไม่ใช่ทำแค้มป์เหนื่อยนะ แต่เหนื่อยเพราะท้องเสียอย่างแรง ท้องเสียแถมเป็นไข้ปวดกล้ามเนื้ออยู่สามวันตลอดเวลาที่ทำแค้มป์ เนื่องจากก่อนทำแค้มป์ดันไปกินอาหารร้านที่ไม่เคยกินในตลาด จึงได้ข้อสรุปสำหรับชีวิตวันนี้มาสองข้อ คือ (1) แก่แล้วให้เจียมบอดี้บ้างอย่างเที่ยวกินอะไรซี้ซั้ว และ (2) วันนี้ไม่มีแรงตอบปัญหาการเจ็บป่วยที่ซีเรียส คงตอบได้แต่ปัญหามโนสาเร่ จึงหยิบจดหมายฉบับนี้มาตอบ
ประเด็นที่ 1. การที่อาจารย์เห็นลูกศิษย์เป็นคนโง่ราวกระบือ ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็ด่าตะพึด เขียนอะไรมาก็แก้จนดำพรึดจนลูกศิษย์บางคนอาจแอบพูดในใจว่า..แล้วทำไมอาจารย์ไม่เขียนแม่มเสียเองละครับ อันนี้มันเป็นธรรมดาของคนเป็นอาจารย์สไตล์อีโก้สูง ผมมีคนไข้ที่มีอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักเรีียนปริญญาเอกอยู่หลายท่าน บางท่านมีความเครียดในชีวิตมาก ผมถามว่าอาจารย์จะไปเครียดอะไรเพราะเป็นแค่ที่ปรึกษาของเขา อาจารย์ท่านหนึ่งตอบว่า
"ผมดูแลนักศึกษาสี่คน เท่ากับผมต้องทำงานวิจัยเองสี่ชิ้นเลยนะครับคุณหมอ เพราะพวกนี้รู้เรื่องอะไรจริงจังที่ไหน บางทีก็แหกตาผมปลอมข้อมูลขึ้นมาดื้อๆ หลายคนยังไม่เข้าใจกระบวนการวิจัยด้วยซ้ำ ครั้นจะจับตกหมดก็ไม่ได้ มาเรียนกับผมแล้วไม่มีใครจบเลยสักคนแล้วต่อไปผมจะทำมาหากินอะไร ทุกวันนี้แม้แต่ตัวเปเปอร์ของนักศึกษาเองผมต้องเขียนให้เองตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย...เกือบทุกคน"
หิ..หิ นี่เป็นการสอนปริญญาเอกแบบไทยๆ กล่าวโดยสรุปในประเด็นนี้ การที่อาจารย์ของคุณเป็นอาจารย์พันธ์อีโก้สูงเห็นศิษย์เป็นคนโง่นี้ คุณไม่ได้ตกที่นั่งนี้คนเดียว คุณให้อภัยทานและแผ่เมตตาให้ท่านเสียเถิด
ประเด็นที่ 2. การที่คนอีโก้สูง กลัวตัวตนของตัวเองจะด้อยค่าหากมีดาวดวงใหม่มาจรัสแสงอยู่ใกล้ๆ อันนี้ก็เป็นของธรรมดาอีก อีโก้ของครูสอนวิจัยก็คือนวัตกรรมหรือไอเดียใดๆจ๊าบๆที่จะแก้ปัญหายากๆในงานวิจัยที่ตนเองดูแลอยู่ จะต้องเกิดขึ้นจากสมองของตัวเองเท่านั้น เพราะคนอื่นล้วนซื่อบื้อจะไปมีปัญญาคิดเรื่องยากๆได้อย่างไร แต่ถ้าเกิดมีลูกกระจ๊อกในคอกคนใดคนหนึ่งเกิดฉายแววความฉลาดล้ำหน้าอาจารย์ขึ้นมา แน่นอนว่าอีโก้ของอาจารย์จะกระเทือนทันที ภาษาบ้านๆเรียกว่าอิจฉา และโดยไม่รู้ตัวอาจารย์ก็จะถูกอีโก้นั้นนำเสนอความคิดในรูปแบบต่างๆเพื่อปกป้องตัวอีโก้นั้นเอง จะออกมาในรูปของการไม่ยอมรับ โกรธ หรือหาทางล้มล้างทำลาย ก็แล้วแต่ ถ้าอาจารย์ท่านยังไม่บรรลุธรรมถึงขั้นแยกความรู้ตัวออกจากความคิดได้ ท่านก็จะหลงเข้าใจว่าความคิดที่อีโก้ของท่านนำเสนอนั้น เป็นตัวท่านเอง ท่านก็จะทำตามมันไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกความคิดของตัวเองหลอกใช้อยู่ การที่คุณไปฉายแววฉลาดให้คนขี้อิจฉาเห็น มันเป็นความผิดของใครละครับ ในโลกนี้คนขี้อิจฉามีอยู่ทั่วไป เรื่องมันเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะความไม่เจนจัดชีวิตของตัวคุณเองด้วยนะ เหมือนในเรื่องกำลังภายใน คนฝึกวิชากำลังภายในใหม่ๆพอสำเร็จวิชาขั้นต้นจะงำประกายแววตาไม่เป็น ไปทางไหนก็ฉายแววตามีกำลังภายในโอ่อ่าน่าเกรงขาม จนโดนพวกคนขี้อิจฉาหาเรื่องเอา คุณต้องฝึกตัวเองต่อไป ให้ถึงระดับงำประกายตาได้ คุณถึงจะอยู่รอดไปใช้ความฉลาดของคุณให้เป็นประโยชน์ในโลกที่เต็มไปด้วยคนขี้อิจฉาใบนี้ได้
ประเด็นที่ 3. กลไกการไล่ตามความฝันของคน มนุษย์ทุกคนมีความฝัน ความฝันก็คือความคาดหวังถึงอนาคตที่ยังไม่มีอยู่จริง วิธีการไล่ตามความฝันของคนเราจะแตกต่างกันไปตามความแรงของความอยากและเหตุการณ์แวดล้อม สมัยผมเป็นเด็กเคยวิ่งไล่จับกั่มเบ้อ (ผีเสื้อปีกโตๆ) ยิ่งใกล้จะจับได้ ตาและมือก็ยิ่งจดจ่ออยู่ที่กั่มเบ้อ แล้วก็ไปสะดุดเศษไม้ไผ่ที่ผู้ใหญ่เขาจักตอกแล้วทิ้งไว้บนพื้น ผลก็คือล้มป้าบ..บ ได้แผลอะสิครับ
อาจารย์ของคุณเป็นนักวิจัย ความฝันอันสูงสุดของท่านคือได้ทำงานวิจัยที่มีผลงาน surprise วงการวิทยาศาสตร์จนได้ตีพิมพ์ในเจอร์นาลระดับสูง การที่มีน้องใหม่ในทีมเข้ามาแล้วปั่นผลงานระดับน่าทึ่งๆออกมาเป็นระยะๆทำให้อาจารย์ของคุณรู้สึกว่าโอกาสที่จะได้ "ดัง" นั้นลอยลงมาอยู่แค่เอื้อมแล้ว ต่อมาเมื่อลูกทีมมาสะกิดว่าเจ้าน้องคนนั้นปลอมข้อมูลนะ มันเป็นการสะกิดบอกเอาตอนมือกำลังจะเอื้อมถึงกั่มเบ้ออยู่แล้ว มิใยที่ใครจะบอกว่าระวังตีนจะสะดุดไม้ไผ่นะ ก็ไม่ได้ยินแล้ว กลไกที่ความอยากได้ผลงานดีๆระดับน่าทึงไปตีพิมพ์จนยอมหลับตาเสียข้างหนึ่งเมื่อรู้ว่าลูกน้องปลอมผลการวิจัย มันเป็นอย่างนี้ อาจารย์ของคุณไม่ใช่นักวิจัยระดับสูงคนเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ งานวิจัยระดับเซอร์ไพร้ส์ในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์จำนวนมาก เมื่อมีการทำวิจัยซ้ำเรื่องก็แดงขึ้นมาว่ามีการปลอมข้อมูล แต่ทำไมคนถึงยังทำกันอยู่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าวงการเขาไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ แต่ที่ยังทำกันอยู่ได้ก็เพราะว่าความอยากดังหรืออีโก้มันแรงและมันมีแรงฉุดให้ค่อยๆแรงขึ้นๆจนติดลมบนเบรคไม่อยู่อย่างนี้นี่แหละ อีกอย่างหนึ่ง หากคิดแบบคนถนัดการโกงมันเป็นการลงทุนที่คุ้ม เพราะเมื่อเปเปอร์ดังคนที่มีชื่อเสียงและได้ประโยชน์เต็มๆคือลูกพี่ซึ่งเป็นที่ปรึกษางานวิจัยเพราะเป็นคนมีพื้นฐานชื่อเสียงสูงพอที่จะรองรับความดังนั้นได้ แต่ถ้าเปเปอร์ถูกเปิดโปงว่าปลอมข้อมูล คนที่จะเข้าปิ้งไม่ใช่ตัวลูกพี่นะ แต่เป็นลูกศิษย์ที่มีชื่อเป็นชื่อแรกในเปเปอร์นั้น เพราะการเป็นผู้มีชื่อแรกก็คือคือการเป็นหัวหน้าคณะวิจัย ส่วนลูกพี่ก็จะประมาณว่า
"หา..เกิดเรื่องอย่างนี้หรือ ดิฉันไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย มันเป็นงานวิจัยของเขา เขาไม่ได้ขอคำปรึกษาดิฉันในส่วนนั้นเลย.."
รอดตัวไป หิ..หิ
กล่าวโดยสรุปในประเด็นนี้ การแหกคอนเซ็พท์การเป็นนักวิจัยที่ดี มีทำกันอยู่เป็นประจำ ตัวคุณพลัดหลงเข้ามาอยู่ในวงที่คนเขาทำเรื่องอย่างนี้โจ๋งครึ่มตรงหน้าในฐานะผู้นำอย่างเป็นทางการในการทำผิดครั้งนี้ซะด้วย ลูกพี่ตัวจริงนั้นเธอมีประตูลับหนีออกหลังบ้านคนเดียวได้อยู่แล้ว แต่คุณไม่มีประตูหนี ประเด็นมันจึงอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น คือคุณจะหนีเรื่องร้ายที่จะหล่นใส่หัวตัวเองครั้งนี้อย่างไร ส่วนอาจารย์ท่านจะเป็นของท่านอย่างไร หรือน้องในทีมที่เป็นคนจนติดเชื้อเอดส์จะมีอนาคตเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้น ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณอย่าไปยุ่งเลย
ประเด็นที่ 4. ถ้าย้อนเวลาไปได้ คุณควรจะเอาตัวรอดจากเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ตอบว่า
1. เมื่อตอนคุณสงสัยว่าจะมีการปลอมข้อมูลในงานวิจัยที่คุณมีฐานะเป็นหัวหน้าในการตีพิมพ์ คุณทำการสืบเสาะหาความจริง นั่นคุณทำถูกต้องแล้ว
2. เมื่อคุณพบความจริง คุณรายงานอาจารย์ที่ปรึกษาและช่วยสรุปหลักฐานเชิงประจักษ์จนให้ท่านทราบแน่ชัดว่ามีการปลอมข้อมูล คุณก็ทำถูกต้องแล้ว
3. เมื่ออาจารย์ทราบแล้วได้ลงโทษนักวิจัยรุ่นน้องที่ทำการปลอมข้อมูลแบบหน่อมแน้มมาก ในใจคุณเห็นว่าท่านลงโทษน้อยไป แต่คุณเฉยเสีย คุณก็ทำถูกต้องแล้ว เพราะการดัดสันดานนักศึกษารุ่นน้อง เป็นหน้าที่ของอาจารย์ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
4. เมื่ออาจารย์เอานิพนธ์ต้นฉบับมาให้คุณช่วยดู โดยบอกว่านี่เป็นดราฟท์แรกนะ ยังจะต้องแก้กันอีกหลายยก คุณดูแล้วพบว่ามีการยัดข้อมูลปลอมเข้าไปทำให้ผลการวิจัยดูดีกว่าความเป็นจริงด้วย คุณก็ดูแล้วรู้ว่าผิดแต่ไม่ว่าอะไร โดยตั้งความหวังดราฟท์ท้ายๆจะต้องมีการแก้กันอีกหลายยก ค่อยไปว่ากัน ตรงนี้คุณทำไม่ถูกต้อง เพราะอย่างเป็นทางการแล้วคุณเป็นถึงหัวหน้าคณะในงานวิจัยนี้ การไม่เห็นชอบด้วยกับนิพนธ์ต้นฉบับในสาระสำคัญคุณต้องคัดค้านระดับหัวชนฝาตัั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นว่ามีประเด็นที่ผิดหลักจริยธรรมการวิจัย หากคุณไม่ยอมอาจารย์ก็ไม่ยอม ถ้าอาจารย์จะทำให้เปเปอร์เจ๊ง คุณก็ต้องยืนกรานว่าเจ๊งก็เจ๊ง ถ้าอาจารย์ว่าคุณหัวแข็งจะไม่ยอมเป็นที่ปรึกษาให้คุณแล้วคุณก็หาที่ปรึกษาใหม่ การที่คุณอ้างว่าอาจารย์บอกว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรก ทำให้คุณหลงกลไม่คัดค้าน จนอาจารย์ส่งนิพนธ์ต้นฉบับไปตีพิมพ์ได้สำเร็จโดยมีชื่อคุณหราอยู่เป็นชื่อแรกนำหน้าคณะนักวิจัยทั้งทีม มันฟังขึ้นไหมละ แบบว่า
"..จำเลยให้การว่าว่าอาจารย์ได้นำนิพนธ์ต้นฉบับมาให้จำเลยพิจารณาตรวจสอบก่อนส่งตีพิมพ์จริง และจำเลยให้การว่าเห็นอยู่ว่ามีการยัดไส้ข้อมูลปลอมมาในงานวิจัยจริง แต่ไม่ได้กระทำการคััดค้านถึงระดับที่พอจะเชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะสมคบกับอาจารย์สร้างงานวิจัยปลอมชิ้นนี้ โดยจำเลยอ้างว่าอาจารย์พูดว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรกยังจะต้องแก้กันอีกหลายรอบ ทำให้จำเลยตายใจว่าจะรอไปแก้ไขตอนดราฟท์ท้ายๆก็ได้ ทั้งที่จำเลยให้การว่าตั้งแต่เริ่มต้นทำงานด้วยกันมา อาจารย์มีพฤติการไม่ซื่อสัตย์ไม่น่า่ไว้วางใจมาโดยตลอด ทำให้น้ำหนักข้ออ้างของจำเลยที่ว่าตายใจด้วยคำพูดของอาจารย์ที่ว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรกจึงฟังไม่ขึ้น
เมื่อพิเคราะห์พยานแวดล้อม จำเลยให้การว่าตนเองได้รับทราบมาตลอดว่าอาจารย์ได้ส่งงานวิจัยไปขอตีพิมพ์ในวารสารฉบับที่ 1 แล้วถูกปฏิเสธ ต่อมาจึงได้ส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับที่สองและได้รับการตีพิมพ์ กระบวนการนี้ได้ใช้เวลานานหลายเดือนแต่จำเลยก็ไม่ได้กระทำการใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาอย่างแจ้งชัดที่จะไม่ร่วมปลอมผลการวิจัยในครั้งนี้
อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐาน พบว่าผลวิจัยที่ตีพิมพ์ข้อมูลปลอมในวารสาร มีชื่อของจำเลยปรากฏเป็นชื่อแรกในรายนามคณะผู้วิจัยซึ่งสื่อความหมายว่าจำเลยเป็นผู้นำในการทำวิจัยครั้งนี้และเป็นผู้รู้เห็นขั้นตอนรายละเอียดของการวิจัยครั้งนี้มากที่สุด
จึงวินิจฉัยว่าจำเลย...."
หิ หิ ดึกแล้วสมองผมเริ่มเพี้ยน จึงเขียนนอกเรื่องไปบ้าง กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่า
ประเด็นที่ 5. มาถึงตอนนี้แล้ว คุณควรจะทำอย่างไรต่อดีี ตอบว่า
ในเรื่องเปเปอร์ที่ 1 ที่ผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว ก็ให้มันจบไป องค์ความผิดได้กระทำกันจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็แล้วไปเถอะ จะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บก็ใช่ที่ สิ่งที่พึงทำคือให้อภัยตัวเองในความผิดพลาดที่ผ่านมา คนเราเกิดมาทุกคนล้วนเคยทำผิดกันมาทั้งนั้น ให้อภัยทุกๆคนที่เกี่ยวข้องด้วย แล้ววางความคิดไร้สาระเช่นความกลัวบาปจะตามมาขบหัวลงซะ
ตรงนี้ผมขยายความนิดหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ถูกใจคนเคร่งศาสนาหรือศีลธรรม คือสไตล์ของผมไม่โปรวิธีสร้างความกลัวเพื่อให้คนไม่กล้าทำชั่วเพราะกลัวบาป หรือเร่งทำดีเพราะกลัวไม่ได้ไปสวรรค์เมื่อตายแล้ว เพราะ "ความกลัว" ก็คือความคิดถึงอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง การสอนให้คนจมอยู่ในความกลัว จะนำพาให้ผู้คนบรรลุความสุขซึ่งต้องมีพื้นฐานอยู่บนการปล่อยวางความคิดได้อย่างไร การสอนแบบนั้นเราก็จะได้มาแต่คนบ้าดี คือยึดมั่นในการทำดีมีศีลธรรมแต่ไม่มีความสงบสุขในชีวิต เพราะนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ ในทางตรงกันข้าม ผมโปรการให้อภัย การยกโทษ การล้างบาป คุณทำเลวมามากเลยหรือ ไม่เป็นไร มา มะ โอม เพี้ยง..ง...ง บาปของคุณได้รับการลบล้างแล้ว ให้คุณวางความคิดถึงเรื่องร้ายๆเหล่านั้นลงซะ และมาตั้งต้นการเริ่มชีวิตใหม่ที่เดี๋ยวนี้ได้เลย นี่เป็นสไตล์ของผม
ในเรื่องเปเปอร์ที่ 2. ผมแนะนำว่าคุณก็ทำงานกับอาจารย์ท่านเดิมต่อไป โดยผมมีประเด็นว่า
1. ใช้บทเรียนจากเปเปอร์1 มาป้องกันปัญหาในเปเปอร์2 คุณต้องเกาะติดรายละเอียดของงานวิจัยทุกขั้นตอน ถ้ามีลางบอกใดๆว่ามีการปลอมข้อมูลเกิดขึ้นก็ต้องรีบเทคแอ๊คชั้นจากเบาไปหนัก ไม่ใช่จากเบาแล้วไปหยุดกลางคัน บอกจุดยืนของตัวเองให้ชัด และรักษาจุดยืนนั้นให้มั่นคง ปัญหาอื่นๆที่จะตามมาเช่นจะทะเลาะกับอาจารย์ จะเรียนจบช้า มันยังไม่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งไปกลัวหรือไปมะโน ถ้ามันเกิด ก็ให้เอาจุดยืนที่ปักหลักไว้แล้วนี้เป็นหลัก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แล้วทุกอย่างมันจะมีวิธีคลี่คลายตัวของมันลงได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
2. ให้คุณหัดมองให้เห็นด้านที่ดีของคนรอบตัว โดยเฉพาะของอาจารย์ของคุณบ้าง ยกตัวอย่างเช่นผมมองว่าแม้เธอจะด่าคุณด่าเช้าด่าเย็น แต่เธอก็ให้ชื่อคุณเป็นชื่อแรกในเปเปอร์ ทั้งๆที่ตัวเธอเองเป็นคนลงทุนลงแรงใช้ลูกเล่นกุ๊กกิ๊กพลิกแพลงเพื่อให้เปเปอร์ได้ตีพิมพ์ ยอมแม้กระทั่งหลับตาข้างหนึ่งเมื่อรู้ว่าลูกน้องปลอมข้อมูลเพื่อจะได้ผลวิจัยที่มีสีสันเตะตาบก.ชวนให้เขารับตีพิมพ์เปเปอร์มากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นการตีพิมพ์ภายใต้ชืี่อคุณในฐานะหัวหน้าคณะวิจัยนะ นั่นแสดงว่าอย่างน้อยเธอเป็นคนรักษาสัญญาในเรื่องจะให้คุณมีชื่อแรกในเปเปอร์ และถ้าจะมองแง่ดีมากกว่านั้น เธออาจจะยอมทำทั้งหมดนี้เพื่อคุณด้วยนะ ประเด็นคือให้คุณหัดมองให้เห็นด้านดีของคนหน่อย ด้านชั่วๆอย่าไปมองหานักเลย เมื่อหันเอาด้านดีเข้าใส่กัน สิ่งดีระหว่างกันก็จะค่อยๆเกิดขึ้น ถึงเราหันด้านดีให้เขาแต่เขาไม่หันให้เรา อย่างน้อยสิ่งร้ายๆหรือรังสีอำมหิตที่แผ่หากันก็ไม่เกิดผล เพราะมีแต่เครื่องส่งไม่มีเครื่องรับ
ผมเป็นคนชอบคลุกคลีอยู่ในแวดวงของผู้แสวงหาความหลุดพ้น หมายถึงพวกฝรั่งมังค่า ในแวดวงนี้บางคนไปบรรลุความหลุดพ้นขณะอยู่ในคุก ขณะที่สหธรรมิกหรือคนรอบตัวล้วนเป็นคนชั่ว (อย่างน้อยก็โดยคำพิพากษาของศาล) แต่ในบรรยากาศคนรอบตัวอย่างนั้นทำไมเขาวางความคิดจนหลุดพ้นได้ละ แต่นี่คุณอยู่ในมหาลัย ท่ามกลางอาจารย์และนักวิจัยซึ่งเป็นคนระดับพูดภาษาคนรู้เรื่องแล้วนะ ถ้าคุณยังทนคนรอบตัวในสังคมระดับนี้ไม่ได้ จะมีที่ไหนเหลือให้คุณอยู่ได้ละครับ
3. คุณจะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว แต่ปริญญาชีวิตยังเพิ่งจะเริ่มเข้าปีหนึ่ง การที่คุณเป็นทุกข์กับทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเดี๋ยวนี้ แสดงว่าคุณยังไม่เดียงสากับชีวิต ยังไม่รู้ว่าชีวิตคือเดี๋ยวนี้ จึงพลาดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิต มัวแต่ไปจมอยู่ในความคิด "เป็นตุเป็นตะ" ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตหรือเป็นการคาดการณ์ความเลวร้ายที่จะตามมาในอนาคต ผมแนะนำให้คุณหันมาสนใจการใช้ชีิวิตใน "เดี๋ยวนี้" ดูบ้าง ถ้ามีเวลาให้หาโอกาสมาเข้าแค้มป์ MBT สักครั้งก็จะดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูขอท้าวความก่อนนะคะ หลังจากที่หนูจบปริญญาตรีจาก ... หนูมาสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบัน .... มหาวิทยาลัย .... ในวันที่สอบสัมภาษณ์มีอาจารย์ประมาณสิบคนเป็นกรรมการ หลังจากวันสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งสัปดาห์มีอาจารย์โทรมา แกเป็นผู้หญิงค่ะ อายุห้าสิบกว่า แกก็บอกหนูว่าแกเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่สัมภาษณ์หนูในวันนั้น ดูจากผลการสอบสัมภาษณ์คิดว่าก็น่าจะผ่านได้เข้าเรียน และเสนอว่าตอนนี้อาจารย์มีทุน โครงการปริญญาเอก... อยู่ในมือ (ทุนนี้นักเรียนต้องมีชื่อแรกในเปเปอร์ 2 เปเปอร์) สำหรับการทำวิจัยเรื่องนึง สนใจไหม อาจารย์แกก็บอกให้ลองเอาไปคิดดูค่ะ และยังบอกว่าแกมีลูกศิษย์คนนึงที่จบเอกจากแก และตอนนี้ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ ..... ให้หนูไปลองคุยกับเขาดูได้ค่ะ จากงานวิจัยที่แกพูดมาเป็นแนวทางที่หนูมีความสนใจ และหนูก็ลองไปคุยกับอาจารย์ที่ ... ที่เป็นลูกศิษย์ ป.เอก ของแกค่ะ คำถามนึงที่หนูถามคือ อาจารย์ใจดีไหม อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ ป. เอก ก็พูดอ้อมๆบอกว่าอาจารย์แต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตนเอง (ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้เอะใจอะไร) และก็บอกว่าอาจารย์เป็นคนเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ค่ะ หลังจากนั้นหนูก็มีการปรึกษากับครอบครัว และสุดท้ายก็ตัดสินใจรับทุนและเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาปริญญาโทมาเป็นเอก
หลังจากเข้ามาเรียน course work ในสถาบันก็จะมีรุ่นพี่หรือเจ้าหน้าที่มาถามว่าน้องใหม่มีแลปหรือยัง เราก็ตอบไปว่ามีแล้วแลปอาจารย์คนนี้ค่ะ ทุกคนมีปฏิกิริยาเดียวกันเมื่อได้ยินชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของหนูคือ หงายเงิบเบาๆ ยิ้มแหยๆ และพูดว่า เออ! อาจารย์เค้าก็ดี หนูก็เริ่มใจไม่ดีตั้งแต่บัดนั้น พอมาเรียนวิชาที่แกสอนก็ใจไม่ดีหนักเข้าไปอีกจากการที่เห็นเค้าต่อว่าเด็กนักเรียนใน class ระหว่างนั้นก็มีคนเตือนอาจารย์บางท่านก็เตือนด้วยความหวังดีว่าเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาใหม่ดีไหม แต่หนูก็คิดว่าอยากจะลองดูสักตั้งอาจจะไหวก็ได้ หลังจากเรียนจบ course work ก็เข้าแลปทำวิจัยเต็มตัว และที่แลปจะมี lab meeting กับแกทุกวันจันทร์ทำให้หนูเห็นว่าหากทำงานไม่ตรงใจแก หรือทำอะไรผิด ก็จะถูกตวาด ต่อว่าอย่างรุนแรงบ้างไม่รุนแรงบ้าง เวลาผ่านไปก็ได้เห็นอุปนิสัยแกมากขึ้นทำให้รู้ว่าแกเป็นคนขี้วีน อะไรไม่ได้ดั่งใจก็ตวาด ตะคอกเด็กนักเรียน พูดเอาดีเข้าตัว ชั่วเข้าคนอื่น ความสำเร็จใดๆ สิ่งที่ดีใดๆคือมาจากแก แต่ปัญหาหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือมาจากนักเรียน ทำให้หนูไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศของการเรียนรู้ที่แท้จริง บรรยากาศของการที่อาจารย์กับนักเรียนจับมือสู้ไปด้วยกันแต่เหมือนอาจารย์เป็นเจ้านาย นักเรียนเป็นคนรับใช้ซะมากกว่า ด้วยเหตุนื้ทำให้เมื่อเกิดปัญหาเรื่องงานวิจัยขึ้นมาก็จะรู้สึกไร้ที่พึ่ง
ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร สรุปคือนอกจากจะต้องเครียดเรื่องแลปแล้วยังจะต้องมาเครียดเรื่องคน (ซึ่งก็คืออาจารย์ที่ปรึกษา) ทำให้หนูอดอิจฉาเพื่อนๆแลปอื่นไม่ได้ เพื่อนบางคนพูดกับหนูว่าหากเค้าตั้งใจทำแลปอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ถ้าผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงจะเครียด
แต่ลึกๆก็ก็ยังรู้สึกอุ่นใจว่ายังมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะสามารถช่วยเหลือให้ปัญหาทุกอย่างผ่านไปได้ หนูฟังแล้วน้ำตาจะไหล แต่สุดท้ายตอนนั้นหนูก็บอกกับตัวเองว่าโอเค ถ้าแกวีนแค่เรื่องงานเราอดทนได้ (ถึงตรงนี้หนูขอแสริมว่าหลังจากเข้าแลปหนูมีโอกาสได้เจออาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ปรึ
กษาหนู ที่หนูเคยไปคุยด้วยอะค่ะ เจออยู่สองสามครั้ง ครั้งนึง แกก็มาถามว่าอยู่แลปนี้เป็นไง และบอกอีกว่า อาจารย์แกก็เป็นแบบนี้แหละนะ อ่าว! ครั้งต่อมาแกก็พูดว่าแกบอกกับตัวเองว่าถ้าตัวเองเป็นอาจารย์จะไม่ทำตัวแบบอาจารย์ที่ปรึกษาหนู อ่าว! ตอนแรกไม่เห็นจะให้ข้อมูลอะไรเราเลยเรื่องนิสัยส่วนตัวอาจารย์) หนูก็อดทนมาเรื่อยๆจนเข้าปีที่สี่ มันมีเหตุการณ์คือ อาจารย์แกเหมือนมีอคติกับหนู หนูไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ได้แต่สันนิษฐานว่า
1. หนูอาจไปทำอะไรที่กระทบ ego แกและทำให้แกเสีย self และ
2. ตอนนั้นแลปมีปัญหาหนูก็ทำการทดลองสองสามอย่างเพื่อหาทางแก้ปัญหานั้น แต่หนึ่งในการทดลองที่หนูทำหนูไม่ได้ปรึกษาแกก่อน หนูหาข้อมูลเองแล้วก็ลองทำ preliminary experiment เล็กๆ และพบว่าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หนูจึงเอาไปบอกแก แต่หนูไมรู้จริงๆว่าการที่หนูทำ preliminary experiment
ข้างต้นนั้นไปทำให้แกโกรธมากๆได้อย่างไร เวลาพูดเรื่องนี้ทีไรแกก็เอาแต่ต่อว่า และพูดว่าจะทำทำไม ทำไปก็เอาลงเปเปอร์ไม่ได้ (แต่สำหรับหนูคิดว่า อย่างไรซะมันก็คือกระบวนการเรียนรู้ จะผิดจะถูกสามารถแนะนำกันดีๆได้ ไม่เห็นว่าจะต้องต่อว่ากันขนาดนี้) นอกจากนี้ พอหนูจะไป present งานให้ thesis
committee ฟังหนูต้องทำ presentation slide ไปให้แกดู พอมาถึง slide ของ preliminary experiment ข้างต้น แกถึงกับไม่ฟังแต่กลับถามถึงแต่งานอื่น หนูก็เลยตัดสไลด์ที่ว่าออกไป พอไป present จริง ระหว่างพรีเซนต์แกก็ทำเป็นถอนหายใจ กุมขมับ ทำเสียงปึงปังเป็นระยะ เหมือนจะแสดงความไม่พอใจในตัวหนูให้ committee ได้รู้ พอถึงช่วงถามคำถาม committee ก็ถามมาคำถามนึงซึ่งการจะตอบคำถามได้หนูต้องโยงถึง preliminary experiment นั้นที่หนูได้ทำไป committee ท่านก็ถามถึงรายละเอียดของการทดลองนั้น ระหว่างนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาหนูก็คอยโวยวายว่าจะทำทำไมไม่รู้ เอาลงเปเปอร์ก็ไม่ได้ แต่ท่าน committee กลับบอกว่า การทดลองนี้ก็สำคัญนะ ทำไมถึงไม่ใส่ใน presentation มา หนูก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง
หลังจากนั้นมาแกก็ไม่ได้ลดละความแรงลง ทุกครั้งที่หนูเข้าไปหาแกที่ห้องทำงาน เอางานไปให้ หรือไปติดต่ออะไร แค่แกเห็นหน้าหนู หนูยังไม่ทันพูดอะไร แกก็จะถอนหายใจใส่ สบถบ้างอะไรบ้าง ก่อนหนูออกจากห้องก็ต้องหาอะไรมาต่อว่าสักอย่าง เวลามี lab meeting พอคนอื่นพูดก็ดูรับฟังดี แต่พอถึงตาหนูก็ไม่ค่อยจะรับฟัง พยายามหาที่ให้หนูผิดจนได้ ต้องมีการต่อว่าแบบสาดเสียเทเสีย ชักแม่น้ำทั้งห้าและเหตุการณ์ในอดีต ความผิดพลาดในอดีตมาพูดเหมือนเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง พูดเหมือนหนูไม่มีความดี เวลาคนอื่นทำผิดพลาดก็อดไม่ได้ที่จะโยงมาหาหนูว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยทำผิดพลาดเรื่องนี้ บางครั้งเวลาแลปมีปัญหา หนูก็หาเปเปอร์ไปเสนอแกว่าคนอื่นเค้าทำกันแบบนั้นแบบนี้ แกบอกโอเคงั้นลองทำแต่กลับ assign งานนั้นไปให้ผู้ช่วยวิจัย และต่อมาก็มาพูดเหมือนว่างานนั้นเป็นงานที่แกกับผู้ช่วยวิจัยทำกันสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนูแต่อย่างใด เวลาหนูไปพรีเซนต์งานแกก็บอกหนูว่าให้พูดไปด้วยว่างานนั้นทำโดยผู้ช่วยวิจัย แกพยายามทำเหมือนหนูไม่ได้ทำอะไรไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับงานนั้น การกระทำของอาจารย์เหล่านี้ทำให้หนูแทบจะประสาทเสีย และปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หนูสูญเสียความมั่นใจในตนเอง และ self esteem ไป และไม่มั่นใจว่าตนเองจะเดินทางสายนี้ต่อไปได้อีกหรือทำมันเป็นอาชีพได้อีก และมันยังทำให้หนูเริ่มหมดศรัทธาในตัวแกเพราะสิ่งที่แก่ทำเหมือนจงใจจะทำร้ายหนู หนูคิดว่าตนเองก็เป็นแค่เด็กนักเรียนคนนึง ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งจะให้เก่งเท่าอาจารย์หนูก็คงทำไม่ได้ หนูแค่อยากจะมาเรียนหนังสือ หนูจึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์มาทำกับหนูขนาดนี้ทำไม สิ่งที่แกทำเหมือนไม่เห็นว่าหนูเป็นนักเรียนแล้ว เหมือนเห็นหนูเป็นศัตรูที่แกต้องทำลาย และเหมือนแกหลงลืมจรรยาบรรณ์ความเป็นอาจารย์ไปหมดสิ้น
แต่เรื่องที่สุดๆสำหรับหนูคือ มีเด็กนักเรียน ป.โท คนใหม่มาเข้าแลปค่ะ หนูขอบอก background คร่าวๆนะคะ เด็กคนนี้ฐานะที่บ้านน้องไม่ค่อยสู้ดี แม่เป็นแม่บ้าน พ่อขับแทกซี่ค่ะ พอน้องเข้ามาทำงานในแลปได้ซักพักมีอาการป่วย เหมือนต่อมน้ำเหลืองที่คอโตหลายจุด หนูจึงบอกน้องให้ไปหาหมอ ผลตรวจปรากฎว่าเธอติดเชื้อ HIV แต่สุดท้ายก็ทำความตกลงกันทุกฝ่ายทั้งอาจารย์และทุกคนในแลปว่าก็ให้น้องเรียนต่อไป อยู่ในแลปน้องคนนี้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์มากเพราะทำแลปเร็ว ได้ผลดีตลอด แลปแทบไม่เคยมีปัญหา แต่ละผลการทดลอง error bar เล็กมากสวยงาม พอคนอื่นๆที่ทำแลปลักษณะเดียวกันทำไม่ได้สวยเหมือนน้องเค้าทำก็จะถูกต่อว่า และให้ไปคุยกับน้องว่าเค้าทำยังไงถึงได้ดี แต่ถามทีไรก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากที่พวกเราทำเลย แถมพวกเรายังระมัดระวังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้หนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยเริ่มสงสัยในตัวน้องคนนี้เพราะหนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยทำแลปลักษณะเดียวกับน้องแต่การจะได้ผลให้สวยงามแบบน้องเค้านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยแค่ three independent experiments นี่ อย่าหวังเลย พวกเราจึงมีความสงสัยในตัวน้องคนนี้และประกอบกับว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ ซึ่งหากมีความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทั้งหนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยที่จะมีชื่อในเปเปอร์นี้ต้องเดือดร้อนแน่ พวกเราจึงตกลงกันไปบอกอาจารย์เพื่อนขอให้อาจารย์ช่วยพูดกับน้องว่าเราอยากขอดู raw data แต่อาจารย์ปฏิเสธ โดยพูดว่าถ้าพวกเธอสงสัยก็ไปถามเองสิมายืมมือชั้นให้ถามให้ได้อย่างไร เราสองคนจึงต้องจัดการเรื่องนี้เองค่ะ
สุดท้ายหนูมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่าน้องมีการตัดต่อ ตัดแปะ band บน Thin layer chromatography plate ให้ได้รูปที่สวยงาม เราจึงไปบอกอาจารย์ถึงสิ่งที่เราพบ อาจารย์เหมือนไม่ปักใจเชื่อและให้เราไปถามความจริงจากเจ้าตัวเอง จากที่หนูกล่าวข้างต้นว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู หลังจากพบหลักฐานว่าน้องมีการทำผิดจริยธรรมการวิจัยโดยการปลอมผลการทด ลอง หนูคิดว่าอาจารย์คงจะล้มเลิกความคิดนั้น แต่เปล่าเลย เช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณหกโมงเช้า ย้ำค่ะ หกโมงเช้า อาจารย์ถึงกลับโทรมาหาหนูและพูดว่าเค้าได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์หนูและขู่ว่าหากหนูยังยืนยันที่จะพูดว่าน้องคนนี้ปลอมผลและไม่ต้องการให้เอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์ เปเปอร์ของหนูก็เจ๊ง (เค้าใช้คำว่าเจ๊งจริงๆค่ะ) และทิ้งท้ายว่า นี่พี่แค่โทรมาให้ข้อมูลเฉยๆพอตอนบ่ายวันนั้นพวกเราจึงไปสอบถามกับตัวน้องว่าน้องทำการตัดต่อจริงหรือเปล่าตอนแรกน้องปฏิเสธแต่ซักไปซักมาน้องก็ยอมรับว่าทำจริงเราจึงไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่าน้องทำจริงหรือเปล่าน้องก็ยอมรับต่อหน้าอาจารย์ว่าทำจริง อาจารย์ก็เหมือนตักเตือนว่าที่เธอทำเนี่ยร้ายแรงนะ แต่ยังไม่วายยังมีการพูดปกป้อง พวกเราแทบจะหงายเงิบไปตรงนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวตัวเองเสียหน้าหรือเปล่า หลังจากนั้นพวกเราได้มีการขอ raw data จากน้องมาเพื่อตรวจสอบ เราพบการปลอมแปลงข้อมูลอย่างรุนแรง บางการทดลองน้องบอกว่าวัดค่าวันนั้นวันนี้ แต่พอไปดู raw data ที่ถูก save อัตโนมัติในเครื่องวัด กลับไม่มีข้อมูลตามวันเวลาที่น้องได้บอก สรุปคือ แทบจะทุกสิ่งคือปลอมหมด พวกเรารายงานสิ่งที่พบเจอให้อาจารย์ฟังตลอดหนูก็พยายามพูดว่าไม่เอาผลน้องคนนี้ใส่เปเปอร์ได้มั้ยเพราะมีพฤติกรรมทุจริตแบบนี้ แต่แกก็ยังยืนยันจะเอาผลของน้องคนนั้นลง อ้างว่าแกเช็คดีแล้วว่าเป็นความจริง (แต่อาจารย์ไม่เคยมาเช็ค raw data แบบที่พวกหนูทำ เช็คแต่ข้อมูลที่น้องส่งให้ซึ่งไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน) และพูดซ้ำคำเดิมว่า ถ้าไม่เอาผลน้องคนนั้นลงเปเปอร์เปเปอร์หนูก็เจ๊ง หรืออาจตีพิมพ์ได้แค่ journal ที่ impact factor ต่ำๆ และแกยังขู่ว่าเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ทุกอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เปเปอร์นี้เธอ (คือหนู) ก็ไม่ควรจะได้ชื่อแรกในเปเปอร์ เพราะแม้แต่ manuscript เธอยังไม่เขียนให้ชั้นเลย ซึ่ง ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ หนูเขียน manuscript ให้แกไปแล้ว ยื่นให้จารย์ต่อหน้าทุกคนในแลปตอน lab meeting แต่จะดีพอหรือไม่ดีพอจะเรียก manuscript มันก็เรื่องของอาจารย์ แต่สิ่งที่แกให้หนูเขียน หนูเขียนแล้ว ไม่ใช่ครั้งเดียวที่แกพูดแบบนี้ แต่หลายครั้ง เหมือนต้องการสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อขู่หนูและให้ยอมจำนนเอาผลของน้องคนนั้นลงเปเปอร์ หนูเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ที่แลปที่จบไปแล้วไปเรียนเอกอยู่ต่างประเทศ พี่เค้าเลยอีเมลล์ไปคุยกับอาจารย์ และตอนหลังหนูมาทราบว่า อาจารย์แกบอกพี่คนนั้นแบบเดียวกันว่าหนูไม่ได้เขียนแม้แต่ manuscript ให้แก หนูจึงไม่ควรได้ชื่อแรกในเปเปอร์ด้วยซ้ำ นั่นคือแกจงใจพูดโกหก หนูไม่รู้ว่าอาจารย์แกคิดอะไรอยู่ อย่างที่เห็นคือน้องมีการปลอมแปลงผลการทดลองอย่างรุนแรงหาความจริงไม่ได้ แต่อาจารย์ยังให้น้องไปช่วยงานพี่ผู้ช่วยวิจัย และสุดท้ายคือ พวกเราก็มาจับได้อีกว่าน้องปลอมแปลงผลการทดลองของงานที่ช่วยพี่เค้าทำ
ในใจหนูอยากจะปรึกษาเรื่องนี้กับ committee มาก แต่เอาเข้าจริงไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เลวร้ายสุดที่คิดได้คือ อาจารย์คงโดนตั้งกรรมการสอบ และน้องคงโดนยึดใบปริญญา หากเป็นเช่นนั้น หนูก็ไม่รู้ว่าน้องมันจะเป็นอย่างไร จากที่หนูเล่าข้างต้นเรื่องครอบครัวน้องที่ฐานะไม่สู้ดี และน้องเหมือนเป็นความหวังเดียวของบ้าน และด้วย HIV ที่น้องเป็น หากเธอโดนริบใบ ปริญญาอีก ไม่รู้ว่าเธอจะจบอนาคตตัวเองหรือเปล่า หนูไม่เคยมีความคิดจะทำลายชีวิตใคร หนูเพียงแค่อยากจะหาทางออกเรื่องเปเปอร์ แต่หนูไม่สามารถทำนายผลที่จะออกมาได้จริงๆ และพอไปปรึกษาหลายๆคนทุกคนก็แนะนำว่าให้ปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะหากเป็นเรื่องราวขึ้นมาไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาไม้ไหนกับหนูอีก และบอกให้หนูรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองและเอาปริญญาเอกมาให้ได้หนูก็ตกลงกับตัวเองว่าจะทนต่อไปทำเปเปอร์ที่สอง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นร้ายสุดกับตัวหนูอาจต้องลาออกไป และหากลาออก ก็ต้องชดใช้ทุนเป็นล้านบาท หนูก็ไม่อยากต้องให้พ่อแม่มารับผิดชอบในส่วนนี้แทนหนู
ต่อมาอาจารย์แกแก้เปเปอร์ของหนูเสร็จ แกเอามาให้หนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยตรวจดูและพูดดักคอว่านี่แค่ draft แรก ต้องแก้อีกเยอะ พอเปิดเข้าไปดูเท่านั้นแหละค่ะมีผลของน้องคนนั้นอยู่ในเปเปอร์ด้วย ที่มันจี๊ดใจคือ ผลของน้องคนนั้นกับผลของหนูมันอยู่ในกราฟเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่หนูส่งให้อาจารย์ก่อนหน้านี้เป็นกราฟแท่งที่มีผลของหนูคนเดียว และมีค่าตัวเลขกำกับบนแท่งกราฟ ทำให้หนูรู้ว่า แกคงอยากเอาผลของน้องคนนั้นลงเปเปอร์มาก แต่เนื่องจากหนูเคยแสดงออกว่าไม่อยากให้เอาลง แกเลยนำข้อมูลที่เป็นตัวเลขของหนูไปให้น้องคนนั้นทำเป็นกราฟที่มีผลของน้องกับของหนูรวมกัน เนื่องจากอาจารย์พูดว่า draft แรก หนูจึงยังไม่ได้พูดอะไรมาก และหวังว่าคงจะได้ดู final version แต่เปล่าเลย แก submit ไปเลยโดยไม่ให้หนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยตรวจสอบอีก มารู้อีกทีก็ reject แล้วแกก็เตรียม submit journal ใหม่ แต่ก็ไม่เคยมาให้พวกเราดูอีก และพูดว่า ชั้นไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเธอว่าชั้น edit อะไรไป สุดท้ายเปเปอร์ก็ตีพิมพ์และแกก็ใส่ชื่อหนูเป็นชื่อแรก แต่หนูพูดเลยว่าหนูไม่มีความภูมิใจ กลับรังเกียจเปเปอร์นี้เอามากๆ ตัวแกเองก็ยังมาพูดซ้ำๆเดิมๆว่าจริงๆหนูไม่ควรได้ชื่อแรก สิ่งที่แกทำทั้งหมด มันช่างไร้มโนธรรมเหลือเกินค่ะคุณหมอ หนูไม่เข้าใจว่าแกหลับตาลงได้อย่างไรทุกคืนๆทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองทำเรื่องไร้ศีลธรรมลงไป แกนึกถึงแต่ตัวเอง กล้าทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่อาจจะตามมาต่อคนอื่นที่มีชื่อร่วมในเปเปอร์ ดีไม่ดีหากเกิดอะไรขึ้นแกก็โยนมาให้ first author ซึ่งก็คือหนู อยู่กับแกมีแต่ความทุกทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นถึงแม้หนูอยู่มานานหลายปีแต่หนูก็ไม่เคยรับได้กับการกระทำของแกเลยค่ะ ไม่เคยปลงได้ หนูตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราควรทำยังไงดี เราควรทำยังไงดี แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ที่หนูบอกก่อนหน้าว่าหนูคิดว่าจะอดทนต่อไป หนูคิดว่าจะทนได้ แต่ตอนนี้เหมือนหนูจะทนไม่ได้ ในใจหนูไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ ยิ่งคิดซ้ำไปซ้ำมายิ่งยิ่งโกรธมากจนไม่มีสมาธิ จนเหมือนจะเป็นบ้าหนูแทบไม่เหลือ passion ในการทำงานแล้ว ไม่อยากจะตื่นไปทำงานเลยจิตใจไม่เคยมีความสงบมันหน่วงๆตลอดเวลาเพราะคิดแต่ว่าวันนี้ชั้นต้องเจอกับอะไรอีก หนูแค่อยากจะมาเรียนหนังสือ หนูไม่คิดเลยว่าต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้หนูควรจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ มีวิธีไหนให้หนูสามารถอยู่ต่อไปได้จนเรียนจบโดยไม่เสียสติไปก่อนไหมคะ หรือมีทางออกอื่นใดไหมคะ จะเป็นพระคุณมากหากคุณหมอกรุณาแนะนำหนูค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
......................................
ตอบครับ
วันนี้ิิเพิ่งจบการทำแค้มป์ RDBY6 มา เหนื่อยมาก ไม่ใช่ทำแค้มป์เหนื่อยนะ แต่เหนื่อยเพราะท้องเสียอย่างแรง ท้องเสียแถมเป็นไข้ปวดกล้ามเนื้ออยู่สามวันตลอดเวลาที่ทำแค้มป์ เนื่องจากก่อนทำแค้มป์ดันไปกินอาหารร้านที่ไม่เคยกินในตลาด จึงได้ข้อสรุปสำหรับชีวิตวันนี้มาสองข้อ คือ (1) แก่แล้วให้เจียมบอดี้บ้างอย่างเที่ยวกินอะไรซี้ซั้ว และ (2) วันนี้ไม่มีแรงตอบปัญหาการเจ็บป่วยที่ซีเรียส คงตอบได้แต่ปัญหามโนสาเร่ จึงหยิบจดหมายฉบับนี้มาตอบ
ประเด็นที่ 1. การที่อาจารย์เห็นลูกศิษย์เป็นคนโง่ราวกระบือ ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็ด่าตะพึด เขียนอะไรมาก็แก้จนดำพรึดจนลูกศิษย์บางคนอาจแอบพูดในใจว่า..แล้วทำไมอาจารย์ไม่เขียนแม่มเสียเองละครับ อันนี้มันเป็นธรรมดาของคนเป็นอาจารย์สไตล์อีโก้สูง ผมมีคนไข้ที่มีอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักเรีียนปริญญาเอกอยู่หลายท่าน บางท่านมีความเครียดในชีวิตมาก ผมถามว่าอาจารย์จะไปเครียดอะไรเพราะเป็นแค่ที่ปรึกษาของเขา อาจารย์ท่านหนึ่งตอบว่า
"ผมดูแลนักศึกษาสี่คน เท่ากับผมต้องทำงานวิจัยเองสี่ชิ้นเลยนะครับคุณหมอ เพราะพวกนี้รู้เรื่องอะไรจริงจังที่ไหน บางทีก็แหกตาผมปลอมข้อมูลขึ้นมาดื้อๆ หลายคนยังไม่เข้าใจกระบวนการวิจัยด้วยซ้ำ ครั้นจะจับตกหมดก็ไม่ได้ มาเรียนกับผมแล้วไม่มีใครจบเลยสักคนแล้วต่อไปผมจะทำมาหากินอะไร ทุกวันนี้แม้แต่ตัวเปเปอร์ของนักศึกษาเองผมต้องเขียนให้เองตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย...เกือบทุกคน"
หิ..หิ นี่เป็นการสอนปริญญาเอกแบบไทยๆ กล่าวโดยสรุปในประเด็นนี้ การที่อาจารย์ของคุณเป็นอาจารย์พันธ์อีโก้สูงเห็นศิษย์เป็นคนโง่นี้ คุณไม่ได้ตกที่นั่งนี้คนเดียว คุณให้อภัยทานและแผ่เมตตาให้ท่านเสียเถิด
ประเด็นที่ 2. การที่คนอีโก้สูง กลัวตัวตนของตัวเองจะด้อยค่าหากมีดาวดวงใหม่มาจรัสแสงอยู่ใกล้ๆ อันนี้ก็เป็นของธรรมดาอีก อีโก้ของครูสอนวิจัยก็คือนวัตกรรมหรือไอเดียใดๆจ๊าบๆที่จะแก้ปัญหายากๆในงานวิจัยที่ตนเองดูแลอยู่ จะต้องเกิดขึ้นจากสมองของตัวเองเท่านั้น เพราะคนอื่นล้วนซื่อบื้อจะไปมีปัญญาคิดเรื่องยากๆได้อย่างไร แต่ถ้าเกิดมีลูกกระจ๊อกในคอกคนใดคนหนึ่งเกิดฉายแววความฉลาดล้ำหน้าอาจารย์ขึ้นมา แน่นอนว่าอีโก้ของอาจารย์จะกระเทือนทันที ภาษาบ้านๆเรียกว่าอิจฉา และโดยไม่รู้ตัวอาจารย์ก็จะถูกอีโก้นั้นนำเสนอความคิดในรูปแบบต่างๆเพื่อปกป้องตัวอีโก้นั้นเอง จะออกมาในรูปของการไม่ยอมรับ โกรธ หรือหาทางล้มล้างทำลาย ก็แล้วแต่ ถ้าอาจารย์ท่านยังไม่บรรลุธรรมถึงขั้นแยกความรู้ตัวออกจากความคิดได้ ท่านก็จะหลงเข้าใจว่าความคิดที่อีโก้ของท่านนำเสนอนั้น เป็นตัวท่านเอง ท่านก็จะทำตามมันไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกความคิดของตัวเองหลอกใช้อยู่ การที่คุณไปฉายแววฉลาดให้คนขี้อิจฉาเห็น มันเป็นความผิดของใครละครับ ในโลกนี้คนขี้อิจฉามีอยู่ทั่วไป เรื่องมันเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะความไม่เจนจัดชีวิตของตัวคุณเองด้วยนะ เหมือนในเรื่องกำลังภายใน คนฝึกวิชากำลังภายในใหม่ๆพอสำเร็จวิชาขั้นต้นจะงำประกายแววตาไม่เป็น ไปทางไหนก็ฉายแววตามีกำลังภายในโอ่อ่าน่าเกรงขาม จนโดนพวกคนขี้อิจฉาหาเรื่องเอา คุณต้องฝึกตัวเองต่อไป ให้ถึงระดับงำประกายตาได้ คุณถึงจะอยู่รอดไปใช้ความฉลาดของคุณให้เป็นประโยชน์ในโลกที่เต็มไปด้วยคนขี้อิจฉาใบนี้ได้
ประเด็นที่ 3. กลไกการไล่ตามความฝันของคน มนุษย์ทุกคนมีความฝัน ความฝันก็คือความคาดหวังถึงอนาคตที่ยังไม่มีอยู่จริง วิธีการไล่ตามความฝันของคนเราจะแตกต่างกันไปตามความแรงของความอยากและเหตุการณ์แวดล้อม สมัยผมเป็นเด็กเคยวิ่งไล่จับกั่มเบ้อ (ผีเสื้อปีกโตๆ) ยิ่งใกล้จะจับได้ ตาและมือก็ยิ่งจดจ่ออยู่ที่กั่มเบ้อ แล้วก็ไปสะดุดเศษไม้ไผ่ที่ผู้ใหญ่เขาจักตอกแล้วทิ้งไว้บนพื้น ผลก็คือล้มป้าบ..บ ได้แผลอะสิครับ
อาจารย์ของคุณเป็นนักวิจัย ความฝันอันสูงสุดของท่านคือได้ทำงานวิจัยที่มีผลงาน surprise วงการวิทยาศาสตร์จนได้ตีพิมพ์ในเจอร์นาลระดับสูง การที่มีน้องใหม่ในทีมเข้ามาแล้วปั่นผลงานระดับน่าทึ่งๆออกมาเป็นระยะๆทำให้อาจารย์ของคุณรู้สึกว่าโอกาสที่จะได้ "ดัง" นั้นลอยลงมาอยู่แค่เอื้อมแล้ว ต่อมาเมื่อลูกทีมมาสะกิดว่าเจ้าน้องคนนั้นปลอมข้อมูลนะ มันเป็นการสะกิดบอกเอาตอนมือกำลังจะเอื้อมถึงกั่มเบ้ออยู่แล้ว มิใยที่ใครจะบอกว่าระวังตีนจะสะดุดไม้ไผ่นะ ก็ไม่ได้ยินแล้ว กลไกที่ความอยากได้ผลงานดีๆระดับน่าทึงไปตีพิมพ์จนยอมหลับตาเสียข้างหนึ่งเมื่อรู้ว่าลูกน้องปลอมผลการวิจัย มันเป็นอย่างนี้ อาจารย์ของคุณไม่ใช่นักวิจัยระดับสูงคนเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ งานวิจัยระดับเซอร์ไพร้ส์ในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์จำนวนมาก เมื่อมีการทำวิจัยซ้ำเรื่องก็แดงขึ้นมาว่ามีการปลอมข้อมูล แต่ทำไมคนถึงยังทำกันอยู่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าวงการเขาไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ แต่ที่ยังทำกันอยู่ได้ก็เพราะว่าความอยากดังหรืออีโก้มันแรงและมันมีแรงฉุดให้ค่อยๆแรงขึ้นๆจนติดลมบนเบรคไม่อยู่อย่างนี้นี่แหละ อีกอย่างหนึ่ง หากคิดแบบคนถนัดการโกงมันเป็นการลงทุนที่คุ้ม เพราะเมื่อเปเปอร์ดังคนที่มีชื่อเสียงและได้ประโยชน์เต็มๆคือลูกพี่ซึ่งเป็นที่ปรึกษางานวิจัยเพราะเป็นคนมีพื้นฐานชื่อเสียงสูงพอที่จะรองรับความดังนั้นได้ แต่ถ้าเปเปอร์ถูกเปิดโปงว่าปลอมข้อมูล คนที่จะเข้าปิ้งไม่ใช่ตัวลูกพี่นะ แต่เป็นลูกศิษย์ที่มีชื่อเป็นชื่อแรกในเปเปอร์นั้น เพราะการเป็นผู้มีชื่อแรกก็คือคือการเป็นหัวหน้าคณะวิจัย ส่วนลูกพี่ก็จะประมาณว่า
"หา..เกิดเรื่องอย่างนี้หรือ ดิฉันไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย มันเป็นงานวิจัยของเขา เขาไม่ได้ขอคำปรึกษาดิฉันในส่วนนั้นเลย.."
รอดตัวไป หิ..หิ
กล่าวโดยสรุปในประเด็นนี้ การแหกคอนเซ็พท์การเป็นนักวิจัยที่ดี มีทำกันอยู่เป็นประจำ ตัวคุณพลัดหลงเข้ามาอยู่ในวงที่คนเขาทำเรื่องอย่างนี้โจ๋งครึ่มตรงหน้าในฐานะผู้นำอย่างเป็นทางการในการทำผิดครั้งนี้ซะด้วย ลูกพี่ตัวจริงนั้นเธอมีประตูลับหนีออกหลังบ้านคนเดียวได้อยู่แล้ว แต่คุณไม่มีประตูหนี ประเด็นมันจึงอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น คือคุณจะหนีเรื่องร้ายที่จะหล่นใส่หัวตัวเองครั้งนี้อย่างไร ส่วนอาจารย์ท่านจะเป็นของท่านอย่างไร หรือน้องในทีมที่เป็นคนจนติดเชื้อเอดส์จะมีอนาคตเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้น ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณอย่าไปยุ่งเลย
ประเด็นที่ 4. ถ้าย้อนเวลาไปได้ คุณควรจะเอาตัวรอดจากเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ตอบว่า
1. เมื่อตอนคุณสงสัยว่าจะมีการปลอมข้อมูลในงานวิจัยที่คุณมีฐานะเป็นหัวหน้าในการตีพิมพ์ คุณทำการสืบเสาะหาความจริง นั่นคุณทำถูกต้องแล้ว
2. เมื่อคุณพบความจริง คุณรายงานอาจารย์ที่ปรึกษาและช่วยสรุปหลักฐานเชิงประจักษ์จนให้ท่านทราบแน่ชัดว่ามีการปลอมข้อมูล คุณก็ทำถูกต้องแล้ว
3. เมื่ออาจารย์ทราบแล้วได้ลงโทษนักวิจัยรุ่นน้องที่ทำการปลอมข้อมูลแบบหน่อมแน้มมาก ในใจคุณเห็นว่าท่านลงโทษน้อยไป แต่คุณเฉยเสีย คุณก็ทำถูกต้องแล้ว เพราะการดัดสันดานนักศึกษารุ่นน้อง เป็นหน้าที่ของอาจารย์ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
4. เมื่ออาจารย์เอานิพนธ์ต้นฉบับมาให้คุณช่วยดู โดยบอกว่านี่เป็นดราฟท์แรกนะ ยังจะต้องแก้กันอีกหลายยก คุณดูแล้วพบว่ามีการยัดข้อมูลปลอมเข้าไปทำให้ผลการวิจัยดูดีกว่าความเป็นจริงด้วย คุณก็ดูแล้วรู้ว่าผิดแต่ไม่ว่าอะไร โดยตั้งความหวังดราฟท์ท้ายๆจะต้องมีการแก้กันอีกหลายยก ค่อยไปว่ากัน ตรงนี้คุณทำไม่ถูกต้อง เพราะอย่างเป็นทางการแล้วคุณเป็นถึงหัวหน้าคณะในงานวิจัยนี้ การไม่เห็นชอบด้วยกับนิพนธ์ต้นฉบับในสาระสำคัญคุณต้องคัดค้านระดับหัวชนฝาตัั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นว่ามีประเด็นที่ผิดหลักจริยธรรมการวิจัย หากคุณไม่ยอมอาจารย์ก็ไม่ยอม ถ้าอาจารย์จะทำให้เปเปอร์เจ๊ง คุณก็ต้องยืนกรานว่าเจ๊งก็เจ๊ง ถ้าอาจารย์ว่าคุณหัวแข็งจะไม่ยอมเป็นที่ปรึกษาให้คุณแล้วคุณก็หาที่ปรึกษาใหม่ การที่คุณอ้างว่าอาจารย์บอกว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรก ทำให้คุณหลงกลไม่คัดค้าน จนอาจารย์ส่งนิพนธ์ต้นฉบับไปตีพิมพ์ได้สำเร็จโดยมีชื่อคุณหราอยู่เป็นชื่อแรกนำหน้าคณะนักวิจัยทั้งทีม มันฟังขึ้นไหมละ แบบว่า
"..จำเลยให้การว่าว่าอาจารย์ได้นำนิพนธ์ต้นฉบับมาให้จำเลยพิจารณาตรวจสอบก่อนส่งตีพิมพ์จริง และจำเลยให้การว่าเห็นอยู่ว่ามีการยัดไส้ข้อมูลปลอมมาในงานวิจัยจริง แต่ไม่ได้กระทำการคััดค้านถึงระดับที่พอจะเชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะสมคบกับอาจารย์สร้างงานวิจัยปลอมชิ้นนี้ โดยจำเลยอ้างว่าอาจารย์พูดว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรกยังจะต้องแก้กันอีกหลายรอบ ทำให้จำเลยตายใจว่าจะรอไปแก้ไขตอนดราฟท์ท้ายๆก็ได้ ทั้งที่จำเลยให้การว่าตั้งแต่เริ่มต้นทำงานด้วยกันมา อาจารย์มีพฤติการไม่ซื่อสัตย์ไม่น่า่ไว้วางใจมาโดยตลอด ทำให้น้ำหนักข้ออ้างของจำเลยที่ว่าตายใจด้วยคำพูดของอาจารย์ที่ว่านี่เป็นเพียงดราฟท์แรกจึงฟังไม่ขึ้น
เมื่อพิเคราะห์พยานแวดล้อม จำเลยให้การว่าตนเองได้รับทราบมาตลอดว่าอาจารย์ได้ส่งงานวิจัยไปขอตีพิมพ์ในวารสารฉบับที่ 1 แล้วถูกปฏิเสธ ต่อมาจึงได้ส่งไปตีพิมพ์ในวารสารฉบับที่สองและได้รับการตีพิมพ์ กระบวนการนี้ได้ใช้เวลานานหลายเดือนแต่จำเลยก็ไม่ได้กระทำการใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาอย่างแจ้งชัดที่จะไม่ร่วมปลอมผลการวิจัยในครั้งนี้
อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐาน พบว่าผลวิจัยที่ตีพิมพ์ข้อมูลปลอมในวารสาร มีชื่อของจำเลยปรากฏเป็นชื่อแรกในรายนามคณะผู้วิจัยซึ่งสื่อความหมายว่าจำเลยเป็นผู้นำในการทำวิจัยครั้งนี้และเป็นผู้รู้เห็นขั้นตอนรายละเอียดของการวิจัยครั้งนี้มากที่สุด
จึงวินิจฉัยว่าจำเลย...."
หิ หิ ดึกแล้วสมองผมเริ่มเพี้ยน จึงเขียนนอกเรื่องไปบ้าง กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่า
ประเด็นที่ 5. มาถึงตอนนี้แล้ว คุณควรจะทำอย่างไรต่อดีี ตอบว่า
ในเรื่องเปเปอร์ที่ 1 ที่ผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว ก็ให้มันจบไป องค์ความผิดได้กระทำกันจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็แล้วไปเถอะ จะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บก็ใช่ที่ สิ่งที่พึงทำคือให้อภัยตัวเองในความผิดพลาดที่ผ่านมา คนเราเกิดมาทุกคนล้วนเคยทำผิดกันมาทั้งนั้น ให้อภัยทุกๆคนที่เกี่ยวข้องด้วย แล้ววางความคิดไร้สาระเช่นความกลัวบาปจะตามมาขบหัวลงซะ
ตรงนี้ผมขยายความนิดหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ถูกใจคนเคร่งศาสนาหรือศีลธรรม คือสไตล์ของผมไม่โปรวิธีสร้างความกลัวเพื่อให้คนไม่กล้าทำชั่วเพราะกลัวบาป หรือเร่งทำดีเพราะกลัวไม่ได้ไปสวรรค์เมื่อตายแล้ว เพราะ "ความกลัว" ก็คือความคิดถึงอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง การสอนให้คนจมอยู่ในความกลัว จะนำพาให้ผู้คนบรรลุความสุขซึ่งต้องมีพื้นฐานอยู่บนการปล่อยวางความคิดได้อย่างไร การสอนแบบนั้นเราก็จะได้มาแต่คนบ้าดี คือยึดมั่นในการทำดีมีศีลธรรมแต่ไม่มีความสงบสุขในชีวิต เพราะนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ ในทางตรงกันข้าม ผมโปรการให้อภัย การยกโทษ การล้างบาป คุณทำเลวมามากเลยหรือ ไม่เป็นไร มา มะ โอม เพี้ยง..ง...ง บาปของคุณได้รับการลบล้างแล้ว ให้คุณวางความคิดถึงเรื่องร้ายๆเหล่านั้นลงซะ และมาตั้งต้นการเริ่มชีวิตใหม่ที่เดี๋ยวนี้ได้เลย นี่เป็นสไตล์ของผม
ในเรื่องเปเปอร์ที่ 2. ผมแนะนำว่าคุณก็ทำงานกับอาจารย์ท่านเดิมต่อไป โดยผมมีประเด็นว่า
1. ใช้บทเรียนจากเปเปอร์1 มาป้องกันปัญหาในเปเปอร์2 คุณต้องเกาะติดรายละเอียดของงานวิจัยทุกขั้นตอน ถ้ามีลางบอกใดๆว่ามีการปลอมข้อมูลเกิดขึ้นก็ต้องรีบเทคแอ๊คชั้นจากเบาไปหนัก ไม่ใช่จากเบาแล้วไปหยุดกลางคัน บอกจุดยืนของตัวเองให้ชัด และรักษาจุดยืนนั้นให้มั่นคง ปัญหาอื่นๆที่จะตามมาเช่นจะทะเลาะกับอาจารย์ จะเรียนจบช้า มันยังไม่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งไปกลัวหรือไปมะโน ถ้ามันเกิด ก็ให้เอาจุดยืนที่ปักหลักไว้แล้วนี้เป็นหลัก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แล้วทุกอย่างมันจะมีวิธีคลี่คลายตัวของมันลงได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
2. ให้คุณหัดมองให้เห็นด้านที่ดีของคนรอบตัว โดยเฉพาะของอาจารย์ของคุณบ้าง ยกตัวอย่างเช่นผมมองว่าแม้เธอจะด่าคุณด่าเช้าด่าเย็น แต่เธอก็ให้ชื่อคุณเป็นชื่อแรกในเปเปอร์ ทั้งๆที่ตัวเธอเองเป็นคนลงทุนลงแรงใช้ลูกเล่นกุ๊กกิ๊กพลิกแพลงเพื่อให้เปเปอร์ได้ตีพิมพ์ ยอมแม้กระทั่งหลับตาข้างหนึ่งเมื่อรู้ว่าลูกน้องปลอมข้อมูลเพื่อจะได้ผลวิจัยที่มีสีสันเตะตาบก.ชวนให้เขารับตีพิมพ์เปเปอร์มากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นการตีพิมพ์ภายใต้ชืี่อคุณในฐานะหัวหน้าคณะวิจัยนะ นั่นแสดงว่าอย่างน้อยเธอเป็นคนรักษาสัญญาในเรื่องจะให้คุณมีชื่อแรกในเปเปอร์ และถ้าจะมองแง่ดีมากกว่านั้น เธออาจจะยอมทำทั้งหมดนี้เพื่อคุณด้วยนะ ประเด็นคือให้คุณหัดมองให้เห็นด้านดีของคนหน่อย ด้านชั่วๆอย่าไปมองหานักเลย เมื่อหันเอาด้านดีเข้าใส่กัน สิ่งดีระหว่างกันก็จะค่อยๆเกิดขึ้น ถึงเราหันด้านดีให้เขาแต่เขาไม่หันให้เรา อย่างน้อยสิ่งร้ายๆหรือรังสีอำมหิตที่แผ่หากันก็ไม่เกิดผล เพราะมีแต่เครื่องส่งไม่มีเครื่องรับ
ผมเป็นคนชอบคลุกคลีอยู่ในแวดวงของผู้แสวงหาความหลุดพ้น หมายถึงพวกฝรั่งมังค่า ในแวดวงนี้บางคนไปบรรลุความหลุดพ้นขณะอยู่ในคุก ขณะที่สหธรรมิกหรือคนรอบตัวล้วนเป็นคนชั่ว (อย่างน้อยก็โดยคำพิพากษาของศาล) แต่ในบรรยากาศคนรอบตัวอย่างนั้นทำไมเขาวางความคิดจนหลุดพ้นได้ละ แต่นี่คุณอยู่ในมหาลัย ท่ามกลางอาจารย์และนักวิจัยซึ่งเป็นคนระดับพูดภาษาคนรู้เรื่องแล้วนะ ถ้าคุณยังทนคนรอบตัวในสังคมระดับนี้ไม่ได้ จะมีที่ไหนเหลือให้คุณอยู่ได้ละครับ
3. คุณจะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว แต่ปริญญาชีวิตยังเพิ่งจะเริ่มเข้าปีหนึ่ง การที่คุณเป็นทุกข์กับทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเดี๋ยวนี้ แสดงว่าคุณยังไม่เดียงสากับชีวิต ยังไม่รู้ว่าชีวิตคือเดี๋ยวนี้ จึงพลาดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิต มัวแต่ไปจมอยู่ในความคิด "เป็นตุเป็นตะ" ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตหรือเป็นการคาดการณ์ความเลวร้ายที่จะตามมาในอนาคต ผมแนะนำให้คุณหันมาสนใจการใช้ชีิวิตใน "เดี๋ยวนี้" ดูบ้าง ถ้ามีเวลาให้หาโอกาสมาเข้าแค้มป์ MBT สักครั้งก็จะดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์