หนังสือสุขภาพดีด้วยตัวคุณเอง พิมพ์ครั้งที่ 2 มาแล้ว
หนังสือ "สุขภาพดีด้วยตัวคุณเอง" เขียนโดย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ออกมาแล้ว หลังจากที่เป็นอัมพาตอยู่นาน
ความจริงหนังสือเล่มนี้พิมพ์ไปแล้วทั้งหมดสามครั้ง แต่ที่เรียกว่าเป็นการพิมพ์ครั้งที่สองก็เพราะครั้งแรกพิมพ์ในชื่อ "ป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเอง" ด้วยเงินของหมอสันต์เอง ปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยงได้เงินเข้ากระเป๋าเป็นกำไรเล็กน้อยแต่ก็ไม่คิดจะพิมพ์ใหม่แล้วเพราะหมอสันต์มีหัวสมัยใหม่ว่าจะทำเป็น eBook และ AudioBook แต่จนป่านนี้โครงการอีบุ๊คและออดิโอบุ๊คก็ยังเป็นอัมพาตอยู่ หรือจะเป็นสมองตายแบบเจ้าชายนิทราเสียแล้วก็ไม่รู้
ต่อมาเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ได้ขอมาเป็นสปอนเซอร์พิมพ์หนังสือเป็นเล่มแบบ hard copy ให้ใหม่เพื่อขายเอากำไรกลับมาให้ผมนำไปใช้ในงานเผยแพร่ความรู้ทางด้านสุขภาพ โดยได้เปลี่ยนชื่อหนังสือใหม่เป็น "สุขภาพดีด้วยตัวคุณเอง" แต่เนื้อหาไส้ในยังเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นบทที่ 12 ซึ่งได้เอาเรื่องการรับมือกับความเจ็บปวดเข้าแทนของเก่าซึ่งเป็นเรื่องวิตามินและอาหารเสริม เมื่อพิมพ์ครั้งแรกก็ ขายหมดไปในเวลาอันรวดเร็วจนหนังสือขาดอยู่นานมาก นี่เป็นการพิมพ์ครั้งที่สอง ที่เงีียบไปนานเนี่ยไม่ใช่ไปมัวแก้ไขเนื้อหาอะไรหรอก เพราะเนื้อหาเหมือนเดิมทุกประการไม่ได้แก้แม้แต่คำเดียว แต่ที่เงียบไปเพราะไม่มีใครไปตามเรื่องที่โรงพิมพ์
ท่านที่สนใจจะซื้อหนังสือ สามารถซื้อได้ตรงที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ มวกเหล็ก หนังสือนี้ไม่มีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไป เพราะพอเจอค่าคอม 40% แล้วต้องรีบใส่เกียร์ถอย เดี๋ยวจะขาดทุน
หากท่านต้องการให้ส่งหนังสือให้ก็เป็นไปได้นะ โดยท่านต้องติดต่อผู้จัดการเวลเนสวีแคร์เอาเอง เธอชื่อคุณออย (สุภัสสร) ที่เบอร์โทรศัพท์ 02 038 5115 หรือทางอีเมล miracle__oil@live.com ย้ำว่ามี underscore หรือขีด_สองอันติดกันนะครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอมีอีเมลพิศดารอย่างนี้ ทั้งนี้ท่านจะต้องเป็นผู้ออกค่าส่งเอง
หนังสือราคาเล่มละ 240 บาท ค่าส่งเล่มละ 20 บาท ถ้าซื้อเกิน 5 เล่มส่งให้ฟรี หากไปซื้อเองที่เวลเนสวีแคร์ไม่ได้ วิธีซื้อให้ได้หนังสือเร็วที่สุดคือโอนเงินค่าหนังสือและค่าส่งไปเข้าบัญชี ชื่อบัญชี บจก. เมก้า วีแคร์ ธนาคารกสิกรไทย สาขามวกเหล็ก เลขที่บัญชี 030-1-50634-1 แล้วถ่ายภาพใบ pay slip หรือแจ้งวันและจำนวนเงินที่โอนพร้อมชื่อที่อยู่ผู้รับหนังสือไปให้ทางอีเมลข้างต้น
สำหรับท่านที่ยังไม่อยากซื้อหนังสือ อ่านคำนำแก้เหงาไปพลางก่อนก็ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
.............................................................
คำนำ
ดำ ขาว เทา ตัวเราเลือกเอง
หมอท่านหนึ่งซึ่งสนิทกันพอควรบอกผมว่า
“..อย่าไปเสียเวลาทำให้ชีวิตตนเองเครียดเลย เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของชีวิต คนไข้เขาเคยกินเคยอยู่ของเขาอย่างไรเขาก็จะทำของเขาอย่างนั้น เราพยายามสอนไปก็จะเหนื่อยเปล่า เหมือนพระสอนให้คนถือศีลทำสมาธิมุ่งสู่ความหลุดพ้น แต่สอนไปก็ไม่เห็นมีใครทำตาม เราสร้างความแตกต่างอะไรตรงนี้ไม่ได้หรอก..”
วันหนึ่งขณะที่ผมกับคุณหมอท่านนี้กำลังยืนคุยกันอยู่กลางโถงทางเข้าโรงพยาบาล มีผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งเราทั้งสองคนไม่รู้จักเดินเข้ามาทักผม และว่า
“..ดีจังเลยที่พบคุณหมอสันต์ตรงนี้โดยไม่นึกฝัน ผมตั้งใจจะหาโอกาสขอบคุณคุณหมอมาหลายเดือนแล้ว ผมเป็นแฟนบล็อกของหมอสันต์ ตอนนี้น้ำหนักลดลงไปแล้ว 23 กิโล ยาความดัน ยาเบาหวาน ยาลดไขมัน ผมเลิกได้หมดแล้ว ทำทุกอย่างตามที่คุณหมอบอก ทั้งการกินและการออกกำลังกาย..”
หลังจากที่คุยกันสองสามคำและคนไข้ผละจากไปแล้ว ผมหันไปพูดกับคุณหมอคู่สนทนาว่า
“..อย่างน้อย ผมก็สร้างความแตกต่างในผู้ชายคนนี้ได้หนึ่งคน”
ความจริงแล้วความแตกต่างมากที่สุดที่ผมสร้างได้ คือความแตกต่างในตัวผมเอง ตอนที่ผมป่วย (เป็นโรคหัวใจขาดเลือด แน่นหน้าอกเมื่อออกแรง) ตอนนั้นผมเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมเชิญหมอรุ่นน้องท่านหนึ่ง มาช่วยดูแลผม ปรากฏว่าผมเป็นทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง และลงพุง เมื่อหมอให้ผมกินยาเป็นกำมือ ผมก็กิน ให้ผมทำอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็ทำ แต่พอหมอบอกว่า
“พี่ต้องสวนหัวใจ”
ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที นี่ผมไม่มีอำนาจอะไรเลยหรือนี่ อะไรกัน นี่มันตัวผมเองแท้ๆ แต่กลับมาถูกคุณหมอควบคุมบังคับราวกับผมเป็นทาสในเรือนเบี้ย ผมเข้าใจว่าหมอเขาหวังดี แต่ผมไม่ต้องการชีวิตอย่างนี้ ผมต้องการชีวิตที่ผมควบคุมและดลบันดาลอะไรให้ชีวิตของผมได้เอง แต่ว่านี่ผมต้องมานั่งจ๋องหน็องฟังหมอสั่งว่า
“พี่ต้องสวนหัวใจ” ต่อไปท่านก็ต้องสั่งว่า
“พี่ต้องทำบอลลูน”และต่อไปท่านก็จะต้องบอกว่า
“พี่ต้องทำผ่าตัดบายพาส”
ทั้งหมดที่ท่านจะพูดนั้นผมรู้จักดีหมด เพราะ ณ ตอนนั้นอาชีพของตัวผมเองก็คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจกับเขาด้วยคนหนึ่ง และ ณ ตอนนั้นตัวผมเองก็ทำผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปแล้วราวสองพันกว่าคน
ผมไม่ต้องการชีวิตที่ไม่มีทางเปิดให้ผมเลือกเดิน จะไปทางไหนขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกก็แล้วกัน เพราะนี่มันชีวิตของผม แล้วในฐานะที่ผมเป็นคนไข้ คุณหมอก็อย่าเอาแต่ขู่ให้ผมกลัวตายเลย เพราะลึก ๆ แล้วผมอยากจะรื่นเริงกับการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมากกว่าที่จะใช้ชีวิตที่เหลือให้จมอยู่กับความกลัวตาย โธ่..คุณหมอครับ คนเรายังไงก็ต้องตายกันทุกคนอยู่แล้ว เรียกว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ mortality rate หรืออัตราตายคือ 100% เหมือนกันทุกคน ดังนั้นอย่ามาขู่ให้ผมกลัวตายเลย เพราะถึงจุดหนึ่งผมก็กลายเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ตายก็ตาย ไม่เห็นจะเป็นไร ในการเป็นคนป่วยนี้ สิ่งที่ผมอยากทำไม่ใช่เพื่อผมจะได้ไม่ตาย แต่ผมอยากทำเพราะผมต้องการให้ชีวิตของผมในวันนี้ดำเนินไปอย่างมีความสุขมากกว่า
พูดถึงความสุข ผมลองถามตัวเองว่าลองนึกย้อนหลังไปในอดีตซิ มีโมเมนต์ไหนบ้างที่ผมรู้สึกมีความสุขมากจนจำได้ ผมพยายามนึกถึงช่วงชีวิตที่ผมฝึกอบรมอยู่เมืองนอกประสบความสำเร็จได้รับรางวัลรึเปล่า..ไม่ใช่ กลับมาเมืองไทยทำงานราชการ มีความสำเร็จในวิชาชีพ ได้รับการยกย่อง ได้เกียรติ ได้เครื่องราชฯรึเปล่า..ไม่ใช่เลย ขายหุ้นได้กำไร ได้เงินแบบไม่ต้องทำงานรึเปล่า..ก็ไม่ใช่อีก คิดย้อนไปแล้วก็ต้องส่ายหัวอยู่คนเดียว เพราะในโอกาสเหล่านั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีความสุขสักเท่าไหร่เลย นอกจากนี้มีบ่อยครั้งที่คนไข้ที่ผมเคยช่วยชีวิตไว้มาแสดงความขอบคุณ ผมรู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นสุขหรือรื่นเริงบันเทิงใจ
แล้วตอนไหนบ้างล่ะที่ชีวิตผมมีความสุขรื่นเริงใจอย่างโดดเด่นจนจำได้ ย้อนคิดดูแล้วผมพอจะกลั่นออกมาได้ก็หลายครั้งอยู่เหมือนกัน แต่ละครั้งมันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อะไรเลย ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงขณะหลังจากที่ผมได้ออกแรงทำอะไรหนัก ๆ จนเหนื่อยแล้วได้พักสบาย ๆ อยู่กับตัวเองสักครู่แบบลืมคิดพะวงถึงอดีตอนาคตไป เมื่อนั้นความรู้สึกเป็นสุขก็จะเกิดขึ้น ใช่แล้ว ถ้าผมจะแสวงหาความสุขอีกครั้ง ผมต้องออกกำลังกายให้เหนื่อยก่อน แล้วก็ผ่อนคลายร่างกายและพักใจอยู่กับโมเมนต์ขณะนั้น ผมจึงจะได้ความสุขกลับมา
ณ ตอนที่คิดรำพึงอยู่นั้นผมหยุดเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายใด ๆ ไปเสียกว่ายี่สิบปีแล้ว ผมจึงเอาความรู้สึกเป็นสุขหลังการออกกำลังกายมาบอกตัวเองให้เอาชนะความขี้เกียจและเข็นตัวเองกลับไปออกกำลังกายใหม่ แม้จะยากลำบากในช่วงหลายเดือนแรก แต่ในที่สุดผมก็เข็นตัวเองได้สำเร็จ การออกกำลังกายทำให้จิตใจของผมดีขึ้น หรือจะพูดว่ามันทำให้ผมร่าเริงเบิกบานก็ว่าได้ ผมยอมเหนื่อยยอมบังคับตัวเองไปออกกำลังกาย เพราะผมมีความสุขกับความรู้สึกชื่นมื่นหลังการออกกำลังกาย ผมไปออกกำลังกายเพราะผมอยากจะมีความสุขกับชีวิต ไม่ใช่เพราะผมกลัวตาย
เช่นเดียวกับที่ผมเปลี่ยนอาหารการกิน แต่ก่อนผมเป็นสัตว์กินเนื้อ พอกินอาหารเย็นอิ่มแล้วผมก็แน่นอืดไปจนยันเวลาเข้านอน มันเป็นความทรมานหลังอาหารมากกว่าความสุขจากการได้กินของที่คนเขาถือกันว่าแพง ๆ หรือดี ๆ แต่พอผมเปลี่ยนมากินอาหารพืชเป็นหลักแบบกินของง่าย ๆ ราคาถูก ๆ เช่น ผัก ผลไม้ มันเทศ ถั่วต่าง ๆ ในปริมาณที่พออิ่ม ไม่ต้องกินเพราะเสียดายเพราะมันไม่ใช่ของแพง หลังมื้อเย็นผมไม่ต้องมาทรมานกับความแน่นอึดอัดอีกแล้ว อนึ่ง ในการกินอาหารนี้ คนเราไม่ต้องการถูกบังคับให้อด ๆ อยาก ๆ การจะกินให้มีสุขภาพดีก็กินอิ่มได้ เพียงแต่ว่าขอให้กินแต่สิ่งที่ดี ๆ ต่อร่างกาย แถมกินแล้วสบายท้อง ผมว่านี่เป็นรางวัลสูงสุดที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงตนเอง คือการมีความสุขกับชีวิตในวันนี้ ดังนั้นผมชวนท่านมาป้องกันและพลิกผันโรคของท่านด้วยตัวท่านเองเพื่อความสุขของชีวิตในชีวิตในวันนี้ ไม่ใช่ชวนท่านหนีความตายที่จะมาในวันหน้า แม้ว่าการป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเองจะมีผลทำให้ท่านตายช้าลงแต่นั่นไม่ใช่จุดที่ผมจะโฟกัส
เดิมผมก็คือคนป่วยคนหนึ่ง หลังจากที่ได้ศึกษาผลวิจัยเก่า ๆ ย้อนหลังอย่างรอบคอบ รู้ทางเลือกเกือบทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และได้ดูแลตัวเองจนหายจากอาการคุกคามของโรคแล้ว ผมได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว (family physician) ในฐานะนี้ ผมมีหน้าที่สอนผู้ป่วยซึ่งรวมทั้งท่านซึ่งอ่านหนังสือนี้ด้วย ให้รู้วิธีดูแลตัวเอง
แต่ทุกวันนี้คนออกคำแนะนำเรื่องสุขภาพมีแยะมาก ทั้งที่ร่อนต่อ ๆ กันมาตามไลน์ เฟซบุ๊ก และบล็อก ยังไม่นับสื่อเจ้าประจำเช่นหนังสือ ทีวี วิทยุ จริงบ้าง เท็จบ้าง ก็ล้วนนับเป็นข้อมูลที่ผู้คนรับรู้และจดจำไว้ บ้างก็นำไปปฏิบัติ ที่เป็นของจริงก็เป็นผลดี แต่ที่เป็นเท็จก็เป็นผลเสีย การเขียนหนังสือนี้ผมจึงต้องระวังไม่เพิ่มปัญหาให้กับท่านผู้อ่านในฐานะผู้บริโภคข้อมูล ผมมองว่าการมีข้อมูลมากในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันดีกว่าไม่มีข้อมูลเลยอย่างในอดีตแน่นอนถ้าตัวผู้รับข้อมูลข่าวสารเรียนรู้วิธีแยกแยะหลักฐานวิทยาศาสตร์
ในหนังสือเล่มนี้นอกจากผมจะพูดถึงวิธีกลั่นกรองหลักฐานวิทยาศาสตร์ให้เป็นด้วยตัวท่านเองแล้ว ผมยังเลือกให้ข้อมูลความจริงตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่มีเอกสารอ้างอิงอย่างละเอียดแม่นยำครบถ้วนจนท่านตามไปศึกษาต่อได้เอง ข้อมูลเหล่านี้ผมใช้เวลาหลายปีศึกษาผลวิจัยประมาณสามพันกว่ารายการ คัดเอามาใช้จริงแปดร้อยกว่ารายการ เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะใส่ผลวิจัยเหล่านั้นไว้ในเอกสารอ้างอิงท้ายเล่มทั้งหมด ผมจึงคัดเฉพาะผลวิจัยที่น่าสนใจเอาไว้ประมาณสามร้อยกว่ารายการเผื่อให้ท่านสามารถตามไปอ่านต่อเองได้
ในหนังสือนี้ผมพูดถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของหลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อพูดถึงวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน คนทั่วไปคุ้นเคยกับส่วนที่แพทย์จะเป็นคนทำให้ผู้ป่วย แต่สิ่งที่ผมพูดกับท่านในหนังสือนี้เป็นวิชาเดียวกันก็จริง แต่เป็นส่วนที่ผู้ป่วยจะทำด้วยตัวของผู้ป่วยเอง ว่าในการจะป้องกันโรคที่เรายังไม่ได้เป็น หรือจะพลิกผันโรคที่เราเป็นแล้ว ทางเลือกมันมีอะไรบ้างจากทำน้อยไปจนถึงทำมาก โดยที่ผมจะไม่ขู่หรือบังคับขับไสว่าท่านจะต้องทำเท่านั้นเท่านี้ เพราะแต่ละท่านก็มีวาระของตัวเอง อย่างคนไข้ท่านหนึ่งพูดกับผมว่า
“..ผมรู้สึกว่าชีวิตที่ต้องหักห้ามตัวเองจากความสุขที่พึงได้จากการกิน จะกินโน่นก็ห้าม จะกินนี่ก็ห้าม ชีวิตอย่างนั้นได้อยู่ไปอีกสิบปีจะมีความหมายอะไร”
ซึ่งผมว่าก็ถูกของท่าน ขณะที่คนไข้อีกท่านหนึ่งก็พูดกับผมว่า
“..ไม่มีใครอยากตายเร็วเกินไปโดยทิ้งลูกเมียให้ลำบากอยู่ข้างหลัง และเมื่อภาระการดูแลคนอื่นพ้นไปแล้ว ก็ไม่มีใครอยากมีชีวิตบั้นปลายเป็นอัมพาตหรือเป็นโรคเรื้อรังเข้า ๆ ออกโรงพยาบาลซ้ำซากเป็นภาระแก่คนรอบตัว ถ้าผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้หลีกเลี่ยงมันได้ ผมก็จะทำ”
ซึ่งผมฟังดูแล้วก็ถูกของท่านอีก
ผมหมายความว่าในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพดีขึ้นนี้ มันมีจุดให้เลือกยืนเยอะ เหมือนกับหากเราเปรียบปลายสุดด้านหนึ่งที่ถ้าทำตัวอย่างนั้นแล้วสุขภาพจะแย่ที่สุดให้เป็นเสมือนสีดำ แล้วปลายสุดอีกด้านหนึ่งหากทำอย่างนั้นแล้วสุขภาพจะดีเลิศประเสริฐศรีให้เป็นเสมือนสีขาว ในระหว่างนั้นมันก็มีสีที่จากดำค่อย ๆ จางลงเป็นเทาแก่ เทาอ่อน แล้วก็เป็นขาว ตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหน และจะเลือกขยับให้ไปทางสีขาวแบบช้าหรือเร็ว ท่านเลือกเองได้ ท่านลงทุนลงแรงกับสุขภาพของท่านมาก ท่านก็จะได้ผลดีต่อสุขภาพมาก ท่านเลือกทำนิดหน่อย ท่านก็จะได้นิดหน่อย ท่านที่เป็นโรคระยะถูกคุกคามหนักเหมือนมีมีดกำลังจ่อคอหอยอยู่เช่นเดียวกับตัวผมนี้ ท่านอาจจะตัดสินใจเลือกทำมากที่สุด นั่นแล้วแต่ท่าน แต่ท่านที่ยังสบาย ๆ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรอาจจะเลือกทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อน นั่นก็แล้วแต่ท่านอีก ประเด็นสำคัญคือผมต้องการให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง เพราะมันเป็นชีวิตของท่าน สิ่งที่ผมจะให้ท่านได้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพของท่านอย่างไร ตรงไหนเป็นสีดำ ตรงไหนเป็นสีเทา ตรงไหนเป็นสีขาว เพื่อให้ท่านตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องและเหมาะเฉพาะกับตัวท่าน
จะสมัครใจอยู่กับสีดำ หรือจะค่อย ๆ ขยับทีละนิด ๆ ไปที่สีเทา หรือจะก้าวกระโดดไปที่สีขาว ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวของท่านเอง เปรียบเสมือนเมื่อท่านไปช้อปปิ้ง หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงคู่มือให้ท่านเลือกช้อปได้ของดีราคาถูกเท่านั้น ส่วนท่านจะเลือกซื้ออะไรไม่ซื้ออะไรเป็นเรื่องของท่านนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ความจริงหนังสือเล่มนี้พิมพ์ไปแล้วทั้งหมดสามครั้ง แต่ที่เรียกว่าเป็นการพิมพ์ครั้งที่สองก็เพราะครั้งแรกพิมพ์ในชื่อ "ป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเอง" ด้วยเงินของหมอสันต์เอง ปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยงได้เงินเข้ากระเป๋าเป็นกำไรเล็กน้อยแต่ก็ไม่คิดจะพิมพ์ใหม่แล้วเพราะหมอสันต์มีหัวสมัยใหม่ว่าจะทำเป็น eBook และ AudioBook แต่จนป่านนี้โครงการอีบุ๊คและออดิโอบุ๊คก็ยังเป็นอัมพาตอยู่ หรือจะเป็นสมองตายแบบเจ้าชายนิทราเสียแล้วก็ไม่รู้
ต่อมาเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ได้ขอมาเป็นสปอนเซอร์พิมพ์หนังสือเป็นเล่มแบบ hard copy ให้ใหม่เพื่อขายเอากำไรกลับมาให้ผมนำไปใช้ในงานเผยแพร่ความรู้ทางด้านสุขภาพ โดยได้เปลี่ยนชื่อหนังสือใหม่เป็น "สุขภาพดีด้วยตัวคุณเอง" แต่เนื้อหาไส้ในยังเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นบทที่ 12 ซึ่งได้เอาเรื่องการรับมือกับความเจ็บปวดเข้าแทนของเก่าซึ่งเป็นเรื่องวิตามินและอาหารเสริม เมื่อพิมพ์ครั้งแรกก็ ขายหมดไปในเวลาอันรวดเร็วจนหนังสือขาดอยู่นานมาก นี่เป็นการพิมพ์ครั้งที่สอง ที่เงีียบไปนานเนี่ยไม่ใช่ไปมัวแก้ไขเนื้อหาอะไรหรอก เพราะเนื้อหาเหมือนเดิมทุกประการไม่ได้แก้แม้แต่คำเดียว แต่ที่เงียบไปเพราะไม่มีใครไปตามเรื่องที่โรงพิมพ์
ท่านที่สนใจจะซื้อหนังสือ สามารถซื้อได้ตรงที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ มวกเหล็ก หนังสือนี้ไม่มีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไป เพราะพอเจอค่าคอม 40% แล้วต้องรีบใส่เกียร์ถอย เดี๋ยวจะขาดทุน
หากท่านต้องการให้ส่งหนังสือให้ก็เป็นไปได้นะ โดยท่านต้องติดต่อผู้จัดการเวลเนสวีแคร์เอาเอง เธอชื่อคุณออย (สุภัสสร) ที่เบอร์โทรศัพท์ 02 038 5115 หรือทางอีเมล miracle__oil@live.com ย้ำว่ามี underscore หรือขีด_สองอันติดกันนะครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอมีอีเมลพิศดารอย่างนี้ ทั้งนี้ท่านจะต้องเป็นผู้ออกค่าส่งเอง
หนังสือราคาเล่มละ 240 บาท ค่าส่งเล่มละ 20 บาท ถ้าซื้อเกิน 5 เล่มส่งให้ฟรี หากไปซื้อเองที่เวลเนสวีแคร์ไม่ได้ วิธีซื้อให้ได้หนังสือเร็วที่สุดคือโอนเงินค่าหนังสือและค่าส่งไปเข้าบัญชี ชื่อบัญชี บจก. เมก้า วีแคร์ ธนาคารกสิกรไทย สาขามวกเหล็ก เลขที่บัญชี 030-1-50634-1 แล้วถ่ายภาพใบ pay slip หรือแจ้งวันและจำนวนเงินที่โอนพร้อมชื่อที่อยู่ผู้รับหนังสือไปให้ทางอีเมลข้างต้น
สำหรับท่านที่ยังไม่อยากซื้อหนังสือ อ่านคำนำแก้เหงาไปพลางก่อนก็ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
.............................................................
คำนำ
ดำ ขาว เทา ตัวเราเลือกเอง
หมอท่านหนึ่งซึ่งสนิทกันพอควรบอกผมว่า
“..อย่าไปเสียเวลาทำให้ชีวิตตนเองเครียดเลย เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของชีวิต คนไข้เขาเคยกินเคยอยู่ของเขาอย่างไรเขาก็จะทำของเขาอย่างนั้น เราพยายามสอนไปก็จะเหนื่อยเปล่า เหมือนพระสอนให้คนถือศีลทำสมาธิมุ่งสู่ความหลุดพ้น แต่สอนไปก็ไม่เห็นมีใครทำตาม เราสร้างความแตกต่างอะไรตรงนี้ไม่ได้หรอก..”
วันหนึ่งขณะที่ผมกับคุณหมอท่านนี้กำลังยืนคุยกันอยู่กลางโถงทางเข้าโรงพยาบาล มีผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งเราทั้งสองคนไม่รู้จักเดินเข้ามาทักผม และว่า
“..ดีจังเลยที่พบคุณหมอสันต์ตรงนี้โดยไม่นึกฝัน ผมตั้งใจจะหาโอกาสขอบคุณคุณหมอมาหลายเดือนแล้ว ผมเป็นแฟนบล็อกของหมอสันต์ ตอนนี้น้ำหนักลดลงไปแล้ว 23 กิโล ยาความดัน ยาเบาหวาน ยาลดไขมัน ผมเลิกได้หมดแล้ว ทำทุกอย่างตามที่คุณหมอบอก ทั้งการกินและการออกกำลังกาย..”
หลังจากที่คุยกันสองสามคำและคนไข้ผละจากไปแล้ว ผมหันไปพูดกับคุณหมอคู่สนทนาว่า
“..อย่างน้อย ผมก็สร้างความแตกต่างในผู้ชายคนนี้ได้หนึ่งคน”
ความจริงแล้วความแตกต่างมากที่สุดที่ผมสร้างได้ คือความแตกต่างในตัวผมเอง ตอนที่ผมป่วย (เป็นโรคหัวใจขาดเลือด แน่นหน้าอกเมื่อออกแรง) ตอนนั้นผมเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมเชิญหมอรุ่นน้องท่านหนึ่ง มาช่วยดูแลผม ปรากฏว่าผมเป็นทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง และลงพุง เมื่อหมอให้ผมกินยาเป็นกำมือ ผมก็กิน ให้ผมทำอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็ทำ แต่พอหมอบอกว่า
“พี่ต้องสวนหัวใจ”
ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที นี่ผมไม่มีอำนาจอะไรเลยหรือนี่ อะไรกัน นี่มันตัวผมเองแท้ๆ แต่กลับมาถูกคุณหมอควบคุมบังคับราวกับผมเป็นทาสในเรือนเบี้ย ผมเข้าใจว่าหมอเขาหวังดี แต่ผมไม่ต้องการชีวิตอย่างนี้ ผมต้องการชีวิตที่ผมควบคุมและดลบันดาลอะไรให้ชีวิตของผมได้เอง แต่ว่านี่ผมต้องมานั่งจ๋องหน็องฟังหมอสั่งว่า
“พี่ต้องสวนหัวใจ” ต่อไปท่านก็ต้องสั่งว่า
“พี่ต้องทำบอลลูน”และต่อไปท่านก็จะต้องบอกว่า
“พี่ต้องทำผ่าตัดบายพาส”
ทั้งหมดที่ท่านจะพูดนั้นผมรู้จักดีหมด เพราะ ณ ตอนนั้นอาชีพของตัวผมเองก็คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจกับเขาด้วยคนหนึ่ง และ ณ ตอนนั้นตัวผมเองก็ทำผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปแล้วราวสองพันกว่าคน
ผมไม่ต้องการชีวิตที่ไม่มีทางเปิดให้ผมเลือกเดิน จะไปทางไหนขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกก็แล้วกัน เพราะนี่มันชีวิตของผม แล้วในฐานะที่ผมเป็นคนไข้ คุณหมอก็อย่าเอาแต่ขู่ให้ผมกลัวตายเลย เพราะลึก ๆ แล้วผมอยากจะรื่นเริงกับการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมากกว่าที่จะใช้ชีวิตที่เหลือให้จมอยู่กับความกลัวตาย โธ่..คุณหมอครับ คนเรายังไงก็ต้องตายกันทุกคนอยู่แล้ว เรียกว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ mortality rate หรืออัตราตายคือ 100% เหมือนกันทุกคน ดังนั้นอย่ามาขู่ให้ผมกลัวตายเลย เพราะถึงจุดหนึ่งผมก็กลายเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ตายก็ตาย ไม่เห็นจะเป็นไร ในการเป็นคนป่วยนี้ สิ่งที่ผมอยากทำไม่ใช่เพื่อผมจะได้ไม่ตาย แต่ผมอยากทำเพราะผมต้องการให้ชีวิตของผมในวันนี้ดำเนินไปอย่างมีความสุขมากกว่า
พูดถึงความสุข ผมลองถามตัวเองว่าลองนึกย้อนหลังไปในอดีตซิ มีโมเมนต์ไหนบ้างที่ผมรู้สึกมีความสุขมากจนจำได้ ผมพยายามนึกถึงช่วงชีวิตที่ผมฝึกอบรมอยู่เมืองนอกประสบความสำเร็จได้รับรางวัลรึเปล่า..ไม่ใช่ กลับมาเมืองไทยทำงานราชการ มีความสำเร็จในวิชาชีพ ได้รับการยกย่อง ได้เกียรติ ได้เครื่องราชฯรึเปล่า..ไม่ใช่เลย ขายหุ้นได้กำไร ได้เงินแบบไม่ต้องทำงานรึเปล่า..ก็ไม่ใช่อีก คิดย้อนไปแล้วก็ต้องส่ายหัวอยู่คนเดียว เพราะในโอกาสเหล่านั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีความสุขสักเท่าไหร่เลย นอกจากนี้มีบ่อยครั้งที่คนไข้ที่ผมเคยช่วยชีวิตไว้มาแสดงความขอบคุณ ผมรู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นสุขหรือรื่นเริงบันเทิงใจ
แล้วตอนไหนบ้างล่ะที่ชีวิตผมมีความสุขรื่นเริงใจอย่างโดดเด่นจนจำได้ ย้อนคิดดูแล้วผมพอจะกลั่นออกมาได้ก็หลายครั้งอยู่เหมือนกัน แต่ละครั้งมันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อะไรเลย ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงขณะหลังจากที่ผมได้ออกแรงทำอะไรหนัก ๆ จนเหนื่อยแล้วได้พักสบาย ๆ อยู่กับตัวเองสักครู่แบบลืมคิดพะวงถึงอดีตอนาคตไป เมื่อนั้นความรู้สึกเป็นสุขก็จะเกิดขึ้น ใช่แล้ว ถ้าผมจะแสวงหาความสุขอีกครั้ง ผมต้องออกกำลังกายให้เหนื่อยก่อน แล้วก็ผ่อนคลายร่างกายและพักใจอยู่กับโมเมนต์ขณะนั้น ผมจึงจะได้ความสุขกลับมา
ณ ตอนที่คิดรำพึงอยู่นั้นผมหยุดเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายใด ๆ ไปเสียกว่ายี่สิบปีแล้ว ผมจึงเอาความรู้สึกเป็นสุขหลังการออกกำลังกายมาบอกตัวเองให้เอาชนะความขี้เกียจและเข็นตัวเองกลับไปออกกำลังกายใหม่ แม้จะยากลำบากในช่วงหลายเดือนแรก แต่ในที่สุดผมก็เข็นตัวเองได้สำเร็จ การออกกำลังกายทำให้จิตใจของผมดีขึ้น หรือจะพูดว่ามันทำให้ผมร่าเริงเบิกบานก็ว่าได้ ผมยอมเหนื่อยยอมบังคับตัวเองไปออกกำลังกาย เพราะผมมีความสุขกับความรู้สึกชื่นมื่นหลังการออกกำลังกาย ผมไปออกกำลังกายเพราะผมอยากจะมีความสุขกับชีวิต ไม่ใช่เพราะผมกลัวตาย
เช่นเดียวกับที่ผมเปลี่ยนอาหารการกิน แต่ก่อนผมเป็นสัตว์กินเนื้อ พอกินอาหารเย็นอิ่มแล้วผมก็แน่นอืดไปจนยันเวลาเข้านอน มันเป็นความทรมานหลังอาหารมากกว่าความสุขจากการได้กินของที่คนเขาถือกันว่าแพง ๆ หรือดี ๆ แต่พอผมเปลี่ยนมากินอาหารพืชเป็นหลักแบบกินของง่าย ๆ ราคาถูก ๆ เช่น ผัก ผลไม้ มันเทศ ถั่วต่าง ๆ ในปริมาณที่พออิ่ม ไม่ต้องกินเพราะเสียดายเพราะมันไม่ใช่ของแพง หลังมื้อเย็นผมไม่ต้องมาทรมานกับความแน่นอึดอัดอีกแล้ว อนึ่ง ในการกินอาหารนี้ คนเราไม่ต้องการถูกบังคับให้อด ๆ อยาก ๆ การจะกินให้มีสุขภาพดีก็กินอิ่มได้ เพียงแต่ว่าขอให้กินแต่สิ่งที่ดี ๆ ต่อร่างกาย แถมกินแล้วสบายท้อง ผมว่านี่เป็นรางวัลสูงสุดที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงตนเอง คือการมีความสุขกับชีวิตในวันนี้ ดังนั้นผมชวนท่านมาป้องกันและพลิกผันโรคของท่านด้วยตัวท่านเองเพื่อความสุขของชีวิตในชีวิตในวันนี้ ไม่ใช่ชวนท่านหนีความตายที่จะมาในวันหน้า แม้ว่าการป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเองจะมีผลทำให้ท่านตายช้าลงแต่นั่นไม่ใช่จุดที่ผมจะโฟกัส
เดิมผมก็คือคนป่วยคนหนึ่ง หลังจากที่ได้ศึกษาผลวิจัยเก่า ๆ ย้อนหลังอย่างรอบคอบ รู้ทางเลือกเกือบทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และได้ดูแลตัวเองจนหายจากอาการคุกคามของโรคแล้ว ผมได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว (family physician) ในฐานะนี้ ผมมีหน้าที่สอนผู้ป่วยซึ่งรวมทั้งท่านซึ่งอ่านหนังสือนี้ด้วย ให้รู้วิธีดูแลตัวเอง
แต่ทุกวันนี้คนออกคำแนะนำเรื่องสุขภาพมีแยะมาก ทั้งที่ร่อนต่อ ๆ กันมาตามไลน์ เฟซบุ๊ก และบล็อก ยังไม่นับสื่อเจ้าประจำเช่นหนังสือ ทีวี วิทยุ จริงบ้าง เท็จบ้าง ก็ล้วนนับเป็นข้อมูลที่ผู้คนรับรู้และจดจำไว้ บ้างก็นำไปปฏิบัติ ที่เป็นของจริงก็เป็นผลดี แต่ที่เป็นเท็จก็เป็นผลเสีย การเขียนหนังสือนี้ผมจึงต้องระวังไม่เพิ่มปัญหาให้กับท่านผู้อ่านในฐานะผู้บริโภคข้อมูล ผมมองว่าการมีข้อมูลมากในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันดีกว่าไม่มีข้อมูลเลยอย่างในอดีตแน่นอนถ้าตัวผู้รับข้อมูลข่าวสารเรียนรู้วิธีแยกแยะหลักฐานวิทยาศาสตร์
ในหนังสือเล่มนี้นอกจากผมจะพูดถึงวิธีกลั่นกรองหลักฐานวิทยาศาสตร์ให้เป็นด้วยตัวท่านเองแล้ว ผมยังเลือกให้ข้อมูลความจริงตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่มีเอกสารอ้างอิงอย่างละเอียดแม่นยำครบถ้วนจนท่านตามไปศึกษาต่อได้เอง ข้อมูลเหล่านี้ผมใช้เวลาหลายปีศึกษาผลวิจัยประมาณสามพันกว่ารายการ คัดเอามาใช้จริงแปดร้อยกว่ารายการ เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะใส่ผลวิจัยเหล่านั้นไว้ในเอกสารอ้างอิงท้ายเล่มทั้งหมด ผมจึงคัดเฉพาะผลวิจัยที่น่าสนใจเอาไว้ประมาณสามร้อยกว่ารายการเผื่อให้ท่านสามารถตามไปอ่านต่อเองได้
ในหนังสือนี้ผมพูดถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของหลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อพูดถึงวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน คนทั่วไปคุ้นเคยกับส่วนที่แพทย์จะเป็นคนทำให้ผู้ป่วย แต่สิ่งที่ผมพูดกับท่านในหนังสือนี้เป็นวิชาเดียวกันก็จริง แต่เป็นส่วนที่ผู้ป่วยจะทำด้วยตัวของผู้ป่วยเอง ว่าในการจะป้องกันโรคที่เรายังไม่ได้เป็น หรือจะพลิกผันโรคที่เราเป็นแล้ว ทางเลือกมันมีอะไรบ้างจากทำน้อยไปจนถึงทำมาก โดยที่ผมจะไม่ขู่หรือบังคับขับไสว่าท่านจะต้องทำเท่านั้นเท่านี้ เพราะแต่ละท่านก็มีวาระของตัวเอง อย่างคนไข้ท่านหนึ่งพูดกับผมว่า
“..ผมรู้สึกว่าชีวิตที่ต้องหักห้ามตัวเองจากความสุขที่พึงได้จากการกิน จะกินโน่นก็ห้าม จะกินนี่ก็ห้าม ชีวิตอย่างนั้นได้อยู่ไปอีกสิบปีจะมีความหมายอะไร”
ซึ่งผมว่าก็ถูกของท่าน ขณะที่คนไข้อีกท่านหนึ่งก็พูดกับผมว่า
“..ไม่มีใครอยากตายเร็วเกินไปโดยทิ้งลูกเมียให้ลำบากอยู่ข้างหลัง และเมื่อภาระการดูแลคนอื่นพ้นไปแล้ว ก็ไม่มีใครอยากมีชีวิตบั้นปลายเป็นอัมพาตหรือเป็นโรคเรื้อรังเข้า ๆ ออกโรงพยาบาลซ้ำซากเป็นภาระแก่คนรอบตัว ถ้าผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้หลีกเลี่ยงมันได้ ผมก็จะทำ”
ซึ่งผมฟังดูแล้วก็ถูกของท่านอีก
ผมหมายความว่าในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพดีขึ้นนี้ มันมีจุดให้เลือกยืนเยอะ เหมือนกับหากเราเปรียบปลายสุดด้านหนึ่งที่ถ้าทำตัวอย่างนั้นแล้วสุขภาพจะแย่ที่สุดให้เป็นเสมือนสีดำ แล้วปลายสุดอีกด้านหนึ่งหากทำอย่างนั้นแล้วสุขภาพจะดีเลิศประเสริฐศรีให้เป็นเสมือนสีขาว ในระหว่างนั้นมันก็มีสีที่จากดำค่อย ๆ จางลงเป็นเทาแก่ เทาอ่อน แล้วก็เป็นขาว ตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหน และจะเลือกขยับให้ไปทางสีขาวแบบช้าหรือเร็ว ท่านเลือกเองได้ ท่านลงทุนลงแรงกับสุขภาพของท่านมาก ท่านก็จะได้ผลดีต่อสุขภาพมาก ท่านเลือกทำนิดหน่อย ท่านก็จะได้นิดหน่อย ท่านที่เป็นโรคระยะถูกคุกคามหนักเหมือนมีมีดกำลังจ่อคอหอยอยู่เช่นเดียวกับตัวผมนี้ ท่านอาจจะตัดสินใจเลือกทำมากที่สุด นั่นแล้วแต่ท่าน แต่ท่านที่ยังสบาย ๆ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรอาจจะเลือกทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อน นั่นก็แล้วแต่ท่านอีก ประเด็นสำคัญคือผมต้องการให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง เพราะมันเป็นชีวิตของท่าน สิ่งที่ผมจะให้ท่านได้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพของท่านอย่างไร ตรงไหนเป็นสีดำ ตรงไหนเป็นสีเทา ตรงไหนเป็นสีขาว เพื่อให้ท่านตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องและเหมาะเฉพาะกับตัวท่าน
จะสมัครใจอยู่กับสีดำ หรือจะค่อย ๆ ขยับทีละนิด ๆ ไปที่สีเทา หรือจะก้าวกระโดดไปที่สีขาว ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวของท่านเอง เปรียบเสมือนเมื่อท่านไปช้อปปิ้ง หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงคู่มือให้ท่านเลือกช้อปได้ของดีราคาถูกเท่านั้น ส่วนท่านจะเลือกซื้ออะไรไม่ซื้ออะไรเป็นเรื่องของท่านนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์