หมอสันต์พูดเรื่องที่ไม่ควรจะพูด
อาจารย์สันต์คะ
หนู .... คนที่เป็น CFS ค่ะ ก่อนไปเรียน MBT หนูอ่านอาจารย์ตอบคำถามเรื่อง กาย จิต วิญญาณ กับการเป็นโรคเรื้อรังแล้วไม่เข้าใจ แต่พอไปเรียน MBT ก็เข้าใจมากขึ้นว่าความขัดแย้งกันระหว่างความคิดลบกับจิตสำนึกรับรู้ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างไร และเข้าใจความรู้ตัวมากขึ้น แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน หนูคิดทบทวนแล้วไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือตอนต้นคอร์ส MBT อาจารย์ให้ทำกิจกรรมเพื่อพิสูจน์ว่าความรู้ตัวหรือ "ฉัน" นี้ไม่ใช่ความคิด อันนี้เข้าใจนะคะ และที่ว่าความคิดเป็นตัวแสบตัวโกง อันนี้ก็เข้าใจนะคะ แต่ที่ว่า "ฉัน" หรือความรู้ตัวนี้ไม่ใช่ร่างกายและไม่เกี่ยวกับร่างกาย อันนี้ไม่เข้าใจเลยค่ะ ถ้า "ฉัน" ไม่ใช่ร่างกายไม่เกี่ยวกับร่างกายแล้วฉันจะรู้ตัวหรือรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไร เช่นการได้ยินเสียง การรู้สึกที่ผิวหนังเป็นต้น เพราะอาจารย์ก็ย้ำว่า "รู้" ไม่เหมือน "คิด" ซึ่งตามความเข้าใจของหนูการรู้มันก็ต้องอาศัยร่างกายเท่านั้น หนูทดลองรู้เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากความคิดตามที่อาจารย์ให้ทำในชั้นเรียนอีกหลายครั้ง (เอาดินสอจิ้มหน้าผาก) จนหนูสรุปได้แน่ชัดว่าการรู้ต้องอาศัยร่างกายเท่านั้น ถ้าความรู้ตัวไม่ใช่ร่างกาย จะรับรู้สิ่งต่างๆโดยไม่มีร่างกายได้อย่างไร
MBT ดีมากค่ะ จะดีกว่านี้ถ้าขยายเวลาให้ยาวขึ้นเป็นสองสามวัน ถ้าอาจารย์เปิดสอนอีกหนูจะบอกเพื่อนไปเรียน อาหารอร่อยมากด้วย ไม่เคยคิดว่าอาหารมังสวิรัติก็อร่อยและกิ๊บเก๋ได้ด้วย
......................................................
ตอบครับ
ผมมีความรู้สึกว่าเรื่องที่เราจะพูดกันนี้มันไม่ควรจะพูด เพราะมันเป็นการพยายามเอาภาษาพูดมาสื่อเรื่องที่ภาษาสื่อไปไม่ถึง พูดไปแล้วมีแนวโน้มจะเลอะเทอะแทนที่จะแจ่มชัดกว่าเดิม เป็นการหลงกลของความคิดที่ชักชวนให้ถกประเด็นความคิด เลยต้องจมอยู่กับความคิดต่อไป ไปไม่ถึงความรู้ตัวสักที ตอนแรกผมจึงลบจดหมายคุณทิ้งไปแล้ว แต่ฉุกใจอะไรก็ไม่รู้อยู่นิดหนึ่งจึงกลับไปเปิดถังขยะเอามาอ่านใหม่ แล้วก็ได้ตัดสินใจตอบจดหมายของคุณ
ถามว่าถ้าความรู้ตัว (awareness หรือ consciousness) ไม่ใช่ร่างกายหรือไม่อาศัยร่างกาย แล้วมันอยู่ที่ไหนมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตอบว่า เมื่อตอนเช้าวันก่อนผมขับรถผ่านแถวหน้าคอกวัวชาวบ้านที่มวกเหล็ก เห็นเด็กๆกำลังเตรียมอุปกรณ์เล่นสงกรานต์กันอยู่ข้างถนน แล้วเด็กคนหนึ่งเอามือโกยแป้งฝุ่นแห้งๆในกระแป๋งของเธอโยนขึ้นไปในอากาศ ฝุ่นสีขาวนั้นกระจายฟุ้งไปในอากาศ ยิ่งแดดยามเช้าส่องเป็นมุมเฉียงเมื่อแสงกับเงาประกอบกันก็ยิ่งเห็นฝุ่นเหล่านั้นได้ชัด ลอยอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ความรู้ตัวก็เหมือนความว่างของท้องฟ้าที่เด็กโยนแป้งขึ้นไป ฝุ่นแป้งสงกรานต์ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศนั้นเป็นคำบอกเล่าว่ามีท้องฟ้าอยู่และมันเป็นอย่างนี้ คือท้องฟ้านั้นแต่เดิมเมื่อเด็กไม่ได้โยนแป้งขึ้นไป มันก็มีของมันอยู่แล้ว แต่ผมไม่สนใจ แต่พอเด็กโยนแป้งขึ้นไปก็ทำให้ผมเห็นความว่างๆโล่งๆนั้นชัดขึ้น ความรู้ตัวของเรามันเป็นความว่างแบบนี้แหละ มันไม่ได้เป็นร่างกาย มันไม่ได้เป็นความคิด ไม่ได้เป็นบุคคลมีชื่อมีบ้านเลขที่ มันเป็นแค่ความว่างๆโล่งๆกว้างๆหาขอบเขตไม่เจอ ตัวผงแป้งนั้นเหมือนกับคำบอกเล่าถึงเนื้อของความว่าง ความรู้ตัวมันก็มีเนื้อของมันเหมือนกัน แต่เนื้อของมันเล็กละเอียดมากระดับสอดแทรกเข้าไปได้ทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งสอดแทรกเข้าไปในทุกอณูของร่างกายเราได้ด้วย เท่ากับว่าความรู้ตัวนี้เป็นความว่างโล่งโจ้งที่มีสิ่งต่างๆที่ถูกรับรู้ได้อยู่ในความว่างนั้น รวมทั้งร่างกายของเราก็อยู่ในความว่างแห่งความรู้ตัวนั้นด้วย
ถามว่าถ้าความรู้ตัวเป็นความว่าง แล้วมันรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไร ตอบว่าเออ..ผมก็ไม่รู้กลไกการทำงานของมันเหมือนกัน หิ หิ รู้แต่ว่ามันรู้ได้ก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับความคิดนะ คุณจะลองดูเองก็ได้ เมื่อสองสามวันก่อนมีหมอคนหนึ่งเขียนมาคุยเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว ผมชวนเขาเล่นเกมหนึ่งที่ให้เขาทิ้งความคิดไว้นอกห้อง คุณอ่านแล้วทำตามนั้นดูนะ (http://visitdrsant.blogspot.com/2017/04/0.html) เมื่อทิ้งความคิดได้หมดแล้วให้คุณไปต่ออีกขั้นหนึ่ง ให้คุณ "รู้" สิ่งรอบตัว แน่นอนคุณก็จะได้ยิน เห็น รับรู้สัมผัสผิวหนัง คราวนี้หลับตานะ ให้เริ่มจากความรู้สึกสัมผัสที่ผิวหนังก็ได้ ตรงนี้ก็แน่นอนคือรู้ผ่านร่างกาย แต่ความรู้สึกยิบๆหรือเจ็บๆทั่วไปที่ผิวหนังนี้ความจริงมันเป็นการรับรู้พลังงานของร่างกาย ถ้าคุณใส่ใจรับรู้ขั้นละเอียดและหากปลอดความคิดไปได้หมดคุณจะรับรู้ถึงพลังงานของร่างกายได้โดยตรง เสมือนว่าร่างกายเป็นไออุ่นหรือไอสีนวลเรื่อๆ อย่าจินตนาการนะ ให้ "รู้" เอา แล้วไอนี้มันเชื่อมโยงกับนอกร่างกายซึ่งคุณตามมันไปได้ จนลามออกไปเป็นความว่างกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้าเรา คุณใส่ใจตามความละเอียดของไอนี้ไป บางเวลาอาจมีผู้ใจดีฉายสปอร์ตไลท์ให้คุณเห็นความว่างนี้ชัดๆ แต่อย่าเสียเวลาไปค้นหาต้นตอตัวสปอร์ตไลท์เลย เพราะหาไม่่เจอหรอก มาถึงตรงนี้คุณจะเห็นว่าร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของความว่างอันกว้างใหญ่นี้ พอมาถึงตรงนี้แล้วคุณดูนะ ความตื่นตัวก็ยังอยู่ ความรู้ตัวก็ยังอยู่ รู้โดยไม่ต้องอิงร่างกายเลยเพราะมันไม่ใช่สัมผัสบนผิวหนัง จะเป็นเสียงก็ไม่ใช่ จะเป็นภาพก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นและรู้ตัวแน่นอน มีความสงบเย็นสบายดีเป็นของแถมด้วย เออ เป็นไปได้ไงหงะ หึ หึ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เรียกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติละกัน
ขอผมพูดอีกหน่อยนะว่าสิ่ง (object) ใดๆที่ความรู้ตัวรับรู้มานั้น มันก็มีความรู้ตัวแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ใน object นั้นด้วยเสมอด้วย เรียกว่าสิ่งที่เรารับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพเสียงสัมผัสหรือแม้กระทั่งความคิดมันล้วนเป็นภาพสะท้อนหรือเป็นอาการแสดงออก (manifestation) ของความรู้ตัวนั่นเอง งงไหมเนี่ย งงก็งงไปเถอะนะ คือมันเหมือนอย่างเช่นฟองคลื่นหรือความปั่นป่วนบนผิวน้ำทะเลเป็น manifestation ของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ประมาณนั้น หมายความว่ามหาสมุทรคือความรู้ตัว ฟองคลื่นคือความคิดหรือวัตถุหรือร่างกาย ซึ่งก็เท่ากับว่าตัวความรู้ตัว กับตัวสิ่งที่ถูกรับรู้ ต่างก็ล้วนมาจากเหง้าเดียวกันคือความรู้ตัวซึ่งเป็นเจ้าใหญ่นั่นแหละ พูดง่ายๆว่านอกจากความรู้ตัวซึ่งเป็นนิรันดรแล้ว ของอย่างอื่นที่จิตรับรู้ได้ในโลกนี้รวมทั้งร่างกายเราล้วนเป็นมายาคติ เป็นของหลอกทั้งสิ้น มันจึงถูกเวลาจับกินได้หมดไง มีแต่ความรู้ตัวนี้เท่านั้นที่เวลาจับกินไม่ได้
พูดมาถึงความรู้ตัวในระดับลึกนี่แล้ว ขอพูดถึงอีกอย่างนะ คือปัญญาญาณ หรือ intuition หรือไอเดียจ๊าบๆความรู้ใหม่ๆที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวดื้อๆโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดใคร่ครวญประมวลผล มันจะเกิดขึ้นก็ในภาวะรู้ตัวโดยปลอดความคิดอย่างนี้แหละ ปัญญาญาณนี้คนละเรื่องกับความฉลาดจากการอ่านเขียนเลขคณิตนะ อย่างนั้นเขาเรียก ปรีชาญาณ หรือ intellect ดังนั้นใครที่มีอาชีพเป็น creative การจะหาไอเดียเจ๋งๆไปขายไม่ยากเลย ใช้วิธีปล่อยความคิดและอยู่กับความรู้ตัวนี่แหละ..เวอร์คสุด
จบการตอบคำถามแล้ว ขอแถมหน่อยว่าในกรณีของคุณนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการอย่าไปหลงเชื่อคอนเซ็พท์ที่ว่าคุณคือร่างกายของคุณ เพราะตราบใดที่คุณยึดกุมคอนเซ็พท์ว่าร่างกายนี้มันเป็นตัวคุณแล้ว ความคิดมันก็จะคอยเพ็ดทูลชี้ชวนให้คุณเห็นอาการผิดปกติสาระพัดของร่างกาย แล้วคุณก็จะกระต๊าก กระต๊าก..ก บ้าตามมันไปด้วยความเป็นห่วงร่างกายนี้เพราะคุณปักใจเชื่ออย่างผิดๆว่าร่างกายนี้เป็นคุณ โรคของคุณเป็นโรคที่เกิดจากความกังวลเกินเหตุต่ออาการของร่างกาย ถ้าคุณรู้ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่คุณ ถึงมันจะมีอาการอะไรคุณจะไปเดือดร้อนอะไรมากมายละเพราะมันไม่ใช่คุณ ถูกแมะ คุณอย่าเพิ่่งไปสนใจไกลถึงว่าถ้าไม่มีร่างกายนี้แล้วความรู้ตัวจะรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไรเลย นั่นมันเป็นลูกเล่นของความคิดที่หลอกให้คุณอยู่กับมันจะได้ไม่ทิ้งมันไปหาความรู้ตัว ให้คุณทำแค่วางความคิดลบเกี่ยวกับร่างกายลงให้ได้ก่อนแล้วไปอยู่กับความรู้ตัวให้ได้ก็พอแล้ว ตอนนี้คุณยังไม่ตาย อย่าเพิ่งไปวอรี่อะไรกับภาวะที่ไม่มีร่างกายเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนู .... คนที่เป็น CFS ค่ะ ก่อนไปเรียน MBT หนูอ่านอาจารย์ตอบคำถามเรื่อง กาย จิต วิญญาณ กับการเป็นโรคเรื้อรังแล้วไม่เข้าใจ แต่พอไปเรียน MBT ก็เข้าใจมากขึ้นว่าความขัดแย้งกันระหว่างความคิดลบกับจิตสำนึกรับรู้ทำให้เจ็บป่วยได้อย่างไร และเข้าใจความรู้ตัวมากขึ้น แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน หนูคิดทบทวนแล้วไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือตอนต้นคอร์ส MBT อาจารย์ให้ทำกิจกรรมเพื่อพิสูจน์ว่าความรู้ตัวหรือ "ฉัน" นี้ไม่ใช่ความคิด อันนี้เข้าใจนะคะ และที่ว่าความคิดเป็นตัวแสบตัวโกง อันนี้ก็เข้าใจนะคะ แต่ที่ว่า "ฉัน" หรือความรู้ตัวนี้ไม่ใช่ร่างกายและไม่เกี่ยวกับร่างกาย อันนี้ไม่เข้าใจเลยค่ะ ถ้า "ฉัน" ไม่ใช่ร่างกายไม่เกี่ยวกับร่างกายแล้วฉันจะรู้ตัวหรือรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไร เช่นการได้ยินเสียง การรู้สึกที่ผิวหนังเป็นต้น เพราะอาจารย์ก็ย้ำว่า "รู้" ไม่เหมือน "คิด" ซึ่งตามความเข้าใจของหนูการรู้มันก็ต้องอาศัยร่างกายเท่านั้น หนูทดลองรู้เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากความคิดตามที่อาจารย์ให้ทำในชั้นเรียนอีกหลายครั้ง (เอาดินสอจิ้มหน้าผาก) จนหนูสรุปได้แน่ชัดว่าการรู้ต้องอาศัยร่างกายเท่านั้น ถ้าความรู้ตัวไม่ใช่ร่างกาย จะรับรู้สิ่งต่างๆโดยไม่มีร่างกายได้อย่างไร
MBT ดีมากค่ะ จะดีกว่านี้ถ้าขยายเวลาให้ยาวขึ้นเป็นสองสามวัน ถ้าอาจารย์เปิดสอนอีกหนูจะบอกเพื่อนไปเรียน อาหารอร่อยมากด้วย ไม่เคยคิดว่าอาหารมังสวิรัติก็อร่อยและกิ๊บเก๋ได้ด้วย
......................................................
ตอบครับ
ผมมีความรู้สึกว่าเรื่องที่เราจะพูดกันนี้มันไม่ควรจะพูด เพราะมันเป็นการพยายามเอาภาษาพูดมาสื่อเรื่องที่ภาษาสื่อไปไม่ถึง พูดไปแล้วมีแนวโน้มจะเลอะเทอะแทนที่จะแจ่มชัดกว่าเดิม เป็นการหลงกลของความคิดที่ชักชวนให้ถกประเด็นความคิด เลยต้องจมอยู่กับความคิดต่อไป ไปไม่ถึงความรู้ตัวสักที ตอนแรกผมจึงลบจดหมายคุณทิ้งไปแล้ว แต่ฉุกใจอะไรก็ไม่รู้อยู่นิดหนึ่งจึงกลับไปเปิดถังขยะเอามาอ่านใหม่ แล้วก็ได้ตัดสินใจตอบจดหมายของคุณ
ถามว่าถ้าความรู้ตัว (awareness หรือ consciousness) ไม่ใช่ร่างกายหรือไม่อาศัยร่างกาย แล้วมันอยู่ที่ไหนมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตอบว่า เมื่อตอนเช้าวันก่อนผมขับรถผ่านแถวหน้าคอกวัวชาวบ้านที่มวกเหล็ก เห็นเด็กๆกำลังเตรียมอุปกรณ์เล่นสงกรานต์กันอยู่ข้างถนน แล้วเด็กคนหนึ่งเอามือโกยแป้งฝุ่นแห้งๆในกระแป๋งของเธอโยนขึ้นไปในอากาศ ฝุ่นสีขาวนั้นกระจายฟุ้งไปในอากาศ ยิ่งแดดยามเช้าส่องเป็นมุมเฉียงเมื่อแสงกับเงาประกอบกันก็ยิ่งเห็นฝุ่นเหล่านั้นได้ชัด ลอยอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ความรู้ตัวก็เหมือนความว่างของท้องฟ้าที่เด็กโยนแป้งขึ้นไป ฝุ่นแป้งสงกรานต์ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศนั้นเป็นคำบอกเล่าว่ามีท้องฟ้าอยู่และมันเป็นอย่างนี้ คือท้องฟ้านั้นแต่เดิมเมื่อเด็กไม่ได้โยนแป้งขึ้นไป มันก็มีของมันอยู่แล้ว แต่ผมไม่สนใจ แต่พอเด็กโยนแป้งขึ้นไปก็ทำให้ผมเห็นความว่างๆโล่งๆนั้นชัดขึ้น ความรู้ตัวของเรามันเป็นความว่างแบบนี้แหละ มันไม่ได้เป็นร่างกาย มันไม่ได้เป็นความคิด ไม่ได้เป็นบุคคลมีชื่อมีบ้านเลขที่ มันเป็นแค่ความว่างๆโล่งๆกว้างๆหาขอบเขตไม่เจอ ตัวผงแป้งนั้นเหมือนกับคำบอกเล่าถึงเนื้อของความว่าง ความรู้ตัวมันก็มีเนื้อของมันเหมือนกัน แต่เนื้อของมันเล็กละเอียดมากระดับสอดแทรกเข้าไปได้ทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งสอดแทรกเข้าไปในทุกอณูของร่างกายเราได้ด้วย เท่ากับว่าความรู้ตัวนี้เป็นความว่างโล่งโจ้งที่มีสิ่งต่างๆที่ถูกรับรู้ได้อยู่ในความว่างนั้น รวมทั้งร่างกายของเราก็อยู่ในความว่างแห่งความรู้ตัวนั้นด้วย
ถามว่าถ้าความรู้ตัวเป็นความว่าง แล้วมันรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไร ตอบว่าเออ..ผมก็ไม่รู้กลไกการทำงานของมันเหมือนกัน หิ หิ รู้แต่ว่ามันรู้ได้ก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับความคิดนะ คุณจะลองดูเองก็ได้ เมื่อสองสามวันก่อนมีหมอคนหนึ่งเขียนมาคุยเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว ผมชวนเขาเล่นเกมหนึ่งที่ให้เขาทิ้งความคิดไว้นอกห้อง คุณอ่านแล้วทำตามนั้นดูนะ (http://visitdrsant.blogspot.com/2017/04/0.html) เมื่อทิ้งความคิดได้หมดแล้วให้คุณไปต่ออีกขั้นหนึ่ง ให้คุณ "รู้" สิ่งรอบตัว แน่นอนคุณก็จะได้ยิน เห็น รับรู้สัมผัสผิวหนัง คราวนี้หลับตานะ ให้เริ่มจากความรู้สึกสัมผัสที่ผิวหนังก็ได้ ตรงนี้ก็แน่นอนคือรู้ผ่านร่างกาย แต่ความรู้สึกยิบๆหรือเจ็บๆทั่วไปที่ผิวหนังนี้ความจริงมันเป็นการรับรู้พลังงานของร่างกาย ถ้าคุณใส่ใจรับรู้ขั้นละเอียดและหากปลอดความคิดไปได้หมดคุณจะรับรู้ถึงพลังงานของร่างกายได้โดยตรง เสมือนว่าร่างกายเป็นไออุ่นหรือไอสีนวลเรื่อๆ อย่าจินตนาการนะ ให้ "รู้" เอา แล้วไอนี้มันเชื่อมโยงกับนอกร่างกายซึ่งคุณตามมันไปได้ จนลามออกไปเป็นความว่างกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้าเรา คุณใส่ใจตามความละเอียดของไอนี้ไป บางเวลาอาจมีผู้ใจดีฉายสปอร์ตไลท์ให้คุณเห็นความว่างนี้ชัดๆ แต่อย่าเสียเวลาไปค้นหาต้นตอตัวสปอร์ตไลท์เลย เพราะหาไม่่เจอหรอก มาถึงตรงนี้คุณจะเห็นว่าร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของความว่างอันกว้างใหญ่นี้ พอมาถึงตรงนี้แล้วคุณดูนะ ความตื่นตัวก็ยังอยู่ ความรู้ตัวก็ยังอยู่ รู้โดยไม่ต้องอิงร่างกายเลยเพราะมันไม่ใช่สัมผัสบนผิวหนัง จะเป็นเสียงก็ไม่ใช่ จะเป็นภาพก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นและรู้ตัวแน่นอน มีความสงบเย็นสบายดีเป็นของแถมด้วย เออ เป็นไปได้ไงหงะ หึ หึ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เรียกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติละกัน
ขอผมพูดอีกหน่อยนะว่าสิ่ง (object) ใดๆที่ความรู้ตัวรับรู้มานั้น มันก็มีความรู้ตัวแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ใน object นั้นด้วยเสมอด้วย เรียกว่าสิ่งที่เรารับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพเสียงสัมผัสหรือแม้กระทั่งความคิดมันล้วนเป็นภาพสะท้อนหรือเป็นอาการแสดงออก (manifestation) ของความรู้ตัวนั่นเอง งงไหมเนี่ย งงก็งงไปเถอะนะ คือมันเหมือนอย่างเช่นฟองคลื่นหรือความปั่นป่วนบนผิวน้ำทะเลเป็น manifestation ของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ประมาณนั้น หมายความว่ามหาสมุทรคือความรู้ตัว ฟองคลื่นคือความคิดหรือวัตถุหรือร่างกาย ซึ่งก็เท่ากับว่าตัวความรู้ตัว กับตัวสิ่งที่ถูกรับรู้ ต่างก็ล้วนมาจากเหง้าเดียวกันคือความรู้ตัวซึ่งเป็นเจ้าใหญ่นั่นแหละ พูดง่ายๆว่านอกจากความรู้ตัวซึ่งเป็นนิรันดรแล้ว ของอย่างอื่นที่จิตรับรู้ได้ในโลกนี้รวมทั้งร่างกายเราล้วนเป็นมายาคติ เป็นของหลอกทั้งสิ้น มันจึงถูกเวลาจับกินได้หมดไง มีแต่ความรู้ตัวนี้เท่านั้นที่เวลาจับกินไม่ได้
พูดมาถึงความรู้ตัวในระดับลึกนี่แล้ว ขอพูดถึงอีกอย่างนะ คือปัญญาญาณ หรือ intuition หรือไอเดียจ๊าบๆความรู้ใหม่ๆที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวดื้อๆโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดใคร่ครวญประมวลผล มันจะเกิดขึ้นก็ในภาวะรู้ตัวโดยปลอดความคิดอย่างนี้แหละ ปัญญาญาณนี้คนละเรื่องกับความฉลาดจากการอ่านเขียนเลขคณิตนะ อย่างนั้นเขาเรียก ปรีชาญาณ หรือ intellect ดังนั้นใครที่มีอาชีพเป็น creative การจะหาไอเดียเจ๋งๆไปขายไม่ยากเลย ใช้วิธีปล่อยความคิดและอยู่กับความรู้ตัวนี่แหละ..เวอร์คสุด
จบการตอบคำถามแล้ว ขอแถมหน่อยว่าในกรณีของคุณนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการอย่าไปหลงเชื่อคอนเซ็พท์ที่ว่าคุณคือร่างกายของคุณ เพราะตราบใดที่คุณยึดกุมคอนเซ็พท์ว่าร่างกายนี้มันเป็นตัวคุณแล้ว ความคิดมันก็จะคอยเพ็ดทูลชี้ชวนให้คุณเห็นอาการผิดปกติสาระพัดของร่างกาย แล้วคุณก็จะกระต๊าก กระต๊าก..ก บ้าตามมันไปด้วยความเป็นห่วงร่างกายนี้เพราะคุณปักใจเชื่ออย่างผิดๆว่าร่างกายนี้เป็นคุณ โรคของคุณเป็นโรคที่เกิดจากความกังวลเกินเหตุต่ออาการของร่างกาย ถ้าคุณรู้ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่คุณ ถึงมันจะมีอาการอะไรคุณจะไปเดือดร้อนอะไรมากมายละเพราะมันไม่ใช่คุณ ถูกแมะ คุณอย่าเพิ่่งไปสนใจไกลถึงว่าถ้าไม่มีร่างกายนี้แล้วความรู้ตัวจะรับรู้สิ่งต่างๆได้อย่างไรเลย นั่นมันเป็นลูกเล่นของความคิดที่หลอกให้คุณอยู่กับมันจะได้ไม่ทิ้งมันไปหาความรู้ตัว ให้คุณทำแค่วางความคิดลบเกี่ยวกับร่างกายลงให้ได้ก่อนแล้วไปอยู่กับความรู้ตัวให้ได้ก็พอแล้ว ตอนนี้คุณยังไม่ตาย อย่าเพิ่งไปวอรี่อะไรกับภาวะที่ไม่มีร่างกายเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์