2015 สุขกันเถอะเรา
วันนี้เป็นวันตอบจดหมายวันสุดท้ายของผมก่อนเข้าสู่ “เทศกาลหลังยาว” ตัวผมเองกะจะปลีกวิเวกหนีงานไปหมกตัวทำโปรเจ็คสร้างเล้าไก่อยู่ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์มวกเหล็กยาวเจ็ดวันเจ็ดคืนโดยตั้งใจว่าจะไม่โผล่ไปไหนเลย การตอบจดหมายฉบับนี้จึงถือเป็นการส่งท้ายปีเก่า 2014 และต้อนรับปีใหม่ 2015 ไปด้วย และก็เป็นธรรมเนียมว่าสิ้นปีทีหนึ่งก็ต้อง “รุสต๊อค” จดหมายที่ตอบไม่ทันกันเสียทีหนึ่ง งวดนี้มีเหลือค้างอยู่สักร้อยกว่าฉบับได้ ขออนุญาต “รุ” หมด มียกเว้นที่ผมได้รับปากแล้วว่าจะตอบให้แค่ฉบับเดียว คือของท่านที่ถามเรื่อง “เลือดข้น” เพราะท่านขยันทวงมาหลายครั้งจนผมจำได้ จึงตั้งใจจะตอบให้หลังปีใหม่ ส่วนจดหมายของท่านอื่นๆ ข้าน้อยขอถือโอกาสนี้ วิงวอน..
“..อ้าองค์พระพุทธา ตัวข้า
บุษบาขอกราบวิงวอน
ข้าสวดมนต์ขอพระพร
วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี
รักอย่าเคลือบแฝง
ดังแสงเทียนริบหรี่...”
ฮิ..ฮิ ไม่เกี่ยวอะไรกันกับบุษบาหรือระเด่นหรอกครับ เอาเป็นว่าปีใหม่แล้วเรื่องที่แล้วมาก็ขอให้ถือว่าเลิกแล้วกันไป มาส่งท้ายปีเก่ากับม็อตโต้ “2015 สุขกันเถอะเรา” ด้วยการตอบจดหมายของท่านผู้อ่านท่านนี้กันดีกว่า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
......................................................................
เรียน คุณหมอสันต์ ที่นับถือ
ตะแรกตั้งใจว่าจะ Gone with the wind แบบอ่านบล็อกคุณหมอเงียบๆ แต่ว่า 2 ข้อเขียนหลังของคุณหมอทำให้ต้องเขียนมาแสดงความชื่นชมและขอบพระคุณสำหรับคำตอบและความรู้ที่คุณหมอเขียนให้กับมิตรรักแควนเพจค่ะ โดยเฉพาะข้อเขียนหลังสุดเรื่อง "ภาระกิจระยะสุดท้ายของชีวิต" ดิฉันในขณะนี้ก็กำลังอินกับการ "เจริญสติ" (555) ตามแบบ MBSR และกำหนดลมหายใจ ไม่ได้ต้องการจะบรรลุอะไรหรือได้ฌานอะไร ในตอนแรกทำเพียงเพื่ออยากจะลดความเครียดเนื่องจากคิดมากกับความเจ็บป่วย แต่มันได้ผลพลอยได้คือนอกจากจะทำให้คิดได้ ยอมรับ ความเครียดหายไป มันยังทำให้นอนหลับแบบหลับสนิทเลยนะคะ จึงจะเรียนคุณหมอว่าตอนนี้อาการเจ็บปวดจากเอ็นไหล่ที่ขาด ปวดไหล่ปวดแขน สารพัดปวด เอ็นข้อมือที่อักเสบนั้นทุเลาลงจนเกือบหายสนิท ถ้าให้คะแแนนความเจ็บที่สุดเต็ม 10 ตอนนี้ดิฉันคิดว่ามันเหลือเจ็บแค่ 1-2 เท่านั้น และที่อีเมล์หาคุณหมอนี้คือ จะเรียนว่า ข้อเขียนล่าสุด "ภาระกิจระยะสุดท้ายของชีวิต" นั้นสะกิดใจตรงที่คุณหมอบอกว่า "ส่วนคำขอโทษที่คนอื่นจะมาพูดกับผู้ป่วยนั้นไม่จำเป็น การชักชวนให้ “อภัยทาน” ง่ายกว่าไปลุ้นให้คนอื่นเขามาขอโทษตัวเองแยะ" แทงใจดำเป้งเลย เพราะมีความคิดอยู่ในใจตลอดมาว่า "..รอคำขอโทษจากคนๆหนึ่ง" ตอนนี้เหมือนวางขอนไม้ที่แบกเอาไว้ลงไป ไม่รอแล้ว ถ้ารอคงจะเหมือน "หาหนวดเต่าเขากระต่ายตายเปล่าเอย"
และอีกข้อเขียนหนึ่งเรื่องเปิดบ้าน Grove House อ่านปุ๊บก็อยากไปมาก สักวันจะไปให้ได้ค่ะ บ้านคุณหมอสวยมากๆ หลายเดือนมานี้เดินทางตลอดแทบไม่อยู่บ้านเลย ก็เพราะงานของสามีนั่นหละค่ะ ดิฉันก็ลูกพ่วงตามเขาไปไหนไปกัน ถ้ามีโอกาสจะไปเยี่ยมให้ได้
อ้อ..และอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ถ้าคุณหมอยังจำได้ หลังจากที่ตรวจกับคุณหมอ... กินยาจนครบ แต่หลังจากนั้นอีกเพียงเกือบเดือนเท่านั้นก็เอาอีกแล้ว ไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้หมอให้ทำอุลตราซาวด์กระเพาะปัสสาวะ ผลปรากฎว่า nothing in bamboo ดิฉันได้อ่านที่คุณหมอสันต์เขียนตอนหนึ่งบอกว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ก็มีส่วนทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฯลฯ จึงถามคุณหมอกระเพาะปัสสาวะว่า ดิฉันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์มาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว ร่วมๆ 10 ปี เพราะเมื่อ 10 ปีก่อนที่กรวยไตและกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น คุณหมอไตเรียกสามีไป "อบรม" เราก็ไม่มีเพศสัมพันธ์อีกเลยเพราะเข็ดมาก อะไรมันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีก ปรากฏว่าคุณหมอบ่นใหญ่เลยว่าเดี๋ยวมีปัญหาครอบครัวนะ 55555 เล่าให้คุณหมอสันต์ฟังขำๆค่ะ
หวังว่าคุณหมอผู้หญิงและคุณหมอจะสบายดี
ขอแสดงความนับถือ
......................................................................
ตอบครับ
เมื่อหลายปีก่อน เมื่อผลวิจัยการช่วยชีวิตพบว่าการปั๊มหัวใจด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวในช่วงเวลาประมาณ 20 นาทีแรกหลังหัวใจหยุดเต้น ทำให้ได้อัตรารอดชีวิตไม่ต่างจากการปั๊มหัวใจแบบคลาสสิกคือกดหน้าอกสลับกับเป่าปาก หมอโรคหัวใจทั่วโลกก็ตกลงจะรณรงค์ให้มีการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียว (hands only CPR) มูลนิธิสอนช่วยชีวิตก็ลงทุนทำซีดีสอนประชาชนว่าการปั๊มหัวใจด้วยมืออย่างเดียวทำอย่างไร เนื่องจากคนที่มีโอกาสปั๊มหัวใจมากที่สุดคือคนแก่ เพราะสองตายายอยู่ด้วยกันคนหนึ่งหัวใจหยุดเต้น อีกคนก็ปั๊ม ผมซึ่งเป็นประธานมูลนิธิจึงได้บอกน้องอาสาสมัครที่เป็นนักดนตรีคนหนึ่งให้หาเพลงไทยที่คนสูงอายุร้องได้ โดยต้องเป็นจังหวะชะชะช่าด้วยและค่าลิขสิทธิ์ไม่แพงด้วยมาหนึ่งเพลง เพื่อเอามาอัดซีดี.ประกอบการสอนปั๊มหัวใจ ที่ต้องเป็นชะ ชะ ช่าก็เพราะการปั๊มหัวใจต้องมีอัตราการปั๊มเร็วเกิน 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป เร็วระดับนี้ก็ต้องชะ ชะ ช่าแหละ แล้วน้องเขาก็เอาลิสต์เพลงของเมโทรแผ่นเสียงมาให้เลือก เพราะเมโทรเขาถูกสุด คือลดค่าลิขสิทธ์เหลือเพลงละ 3 หมื่นบาท ผมมองรายชื่อเพลงที่น้องเขายื่นให้แล้วก็จิ้มส่งเดชไปที่เพลง "สุขกันเถอะเรา" แล้วบอกว่าเอาเพลงนี้แหละ
พอทำซีดี.ออกมาแล้ว สอนกันไปแล้ว หลายคนก็กังขาย้อนหลังว่าทำไมต้องเป็นเพลง "สุขกันเถอะเรา" ด้วยนะ คนหนึ่งกำลังจะตาย จะให้อีกคนร้องเพลงสุขกันเถอะเราจะดีเหรอ แต่ว่าผมไม่ได้ตอบข้อกังขาเหล่านั้นหรอก เพราะเมื่อมีข้อกังขาขึ้นมาทีไร ก็จะมีคนตอบให้เสร็จสรรพทุกครั้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งในที่ประชุมหมอหัวใจ หมอคนหนึ่งถามคำถามนี้ หมออีกคนหนึ่งตอบให้เสร็จว่า..
"อ้าว ก็ความสุขมันเป็นสิ่งที่เราเรียกมันมาได้นะ จึงต้องมาสุขกันเถอะเราไง"
หลายปีผ่านไป จนผมลืมเรื่องการเรียกความสุขมาหาไปนานแล้ว จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมบุกจู่โจมไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ที่ต้องใช้วิธีจู่โจมก็เพราะเพื่อนคนนี้เขาไม่ชอบให้ใครไปเยี่ยมเขา เขาเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ตับ หมอด้วยกันไม่ต้องถามก็รู้กันว่าแรงที่เนื้องอกเป่งแคปซูลหุ้มตับออกมานั้นจะทำให้มีอาการปวดมากมายเพียงใด ผมถามเขาว่า
"คุณต้องใช้ยาแก้ปวดมากไหม" เขาตอบว่า
"ไม่ใช้เลย พาราเซ็ตเม็ดเดียวก็ไม่ยอมกิน" ผมถามว่า
"แล้วคุณทำอย่างไรเมื่อมันปวดขึ้นมา" เขาตอบว่า
"ก็เฝ้าดูมันเฉยๆ ดูเฉยๆไม่คิดอะไร" ผมบอกเขาว่า
"ผมอยากเอาไปสอนคนไข้เวลาปวดมากๆให้ทำอย่างนี้บ้าง" เขาบอกว่า
"ยากนะ ถ้าจิตไม่มีสมาธิ" ผมถามว่า
"แล้วสำหรับคนไข้ มีกลเม็ดอย่างไรถึงจะให้จิตมีสมาธิ" เขาตอบว่า
"ต้องทำให้จิตมีความสุขก่อน" ผมถามต่อว่า
"แล้วทำอย่างไรจิตจึงจะมีความสุข" เขาตอบว่า
"ก็เรียกความสุขมา" เขาเห็นผมนิ่งไปนาน จึงพูดต่อเองว่า
"..ถ้าพี่ไม่รู้จะเรียกอย่างไร ก็หายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกเหมือนเวลาเราจิบกาแฟร้อนๆหอมๆแล้วอ้าปากครางเบาๆว่า ฮา..า..า แค่นี้ความสุขก็มาแล้ว สำคัญที่เมื่อความสุขมาแล้วเราต้องจำเขาไว้ ว่าความสุขเป็นอย่างเนี้ยะนะ ถ้าเราจำเขาได้ ครั้งต่อไปเรียกเขาเขาก็จะมาง่าย เรียกเมื่อไหร่ก็จะมาเมื่อนั้น พอจิตมีความสุขแล้ว จึงจะตั้งสมาธิได้ พอมีสมาธิแล้ว จึงจะมองความเจ็บปวดแบบมองเฉยๆได้"
ผมพยายามทวนคำพูดของเขาตรงที่ว่า "เรียกความสุขมา" เขาเห็นผมท่าทางไม่เก็ท จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า
"..พี่มองว่าเป็นการเปลี่ยนเก้าอี้นั่งก็ได้ พี่นั่งเก้าอี้ตัวโน้น ฮ้า นั่งไม่สบายก้น พื้นแข็งไม่มีเบาะ พี่ลุกมานั่งตัวนี้ซึ่งมีเบาะ เอาตัวนี้ดีกว่า นั่งสบายดี จิตของเราก็เหมือนกัน เราอยู่กับอารมณ์นี้ ไม่สบาย เราก็เปลี่ยนไปอยู่กับอารมณ์อื่นที่สบายกว่า การเปลี่ยนจิตจากอารมณ์หนึ่งไปหาอีกอารมณ์หนึ่งเนี่ยง่าย เพราะจิตมันมีธรรมชาติเปลี่ยนตัวมันเองตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง คนเราล้วนมีวิธีถนัดของตัวเองที่จะเรียกความสุขมาหาต่างกันไป บางคนได้ดูหนังจึงจะสุข บางคนได้ฟังเพลงจึงจะสุข"
กลับจากเยี่ยมเพื่อนแล้วผมยังคิดถึงเรื่องการ "เรียกความสุขมาหา"และการ "จำความสุข" และความจำเก่าๆก็โผล่ขึ้นมาสองสามเรื่อง
เรื่องแรกเป็นเรื่องจริง ย้อนหลังไปหลายปีมาแล้ว สมัยที่ตัวผมยังไม่แก่มาก และเพื่อนๆที่เป็นพวกวิศวะก็ยังหนุ่มๆกันอยู่ เรามักนัดหมายดื่มกินมื้อเย็นในวันหยุดกันที่บ้านบนเขา มีอยู่วันหนึ่งภรรยาไม่ได้มาด้วย ผมอยู่คนเดียวไม่มีแขก เวลาอยู่คนเดียวไม่มีคนคุมประพฤติผมจะไม่ล้างถ้วยล้างจาน แต่ใช้วิธีกองๆสุมกันไว้ในอ่างจนวันที่จะกลับกรุงเทพจึงจะลุยล้างซะทีเดียว เย็นวันนั้นแก้วหมด ผมเลยเอาแก้วไวน์มาใช้แทนแก้วน้ำดื่ม แล้วจู่ๆราวสองทุ่มก็มีเพื่อนสามคนแวะมา คนหนึ่งบอกว่าอากาศเย็นๆอย่างนี้น่าจะมีอะไรดื่มกันนะ แต่ว่าที่บ้านไม่มีเครื่องดื่มเลย ผมจึงเอาน้ำแข็งเปล่าใส่แก้วไวน์ เทน้ำใส่ แล้วแจกให้เพื่อนๆยกขึ้นชนแก้วดื่มกัน..
"เชียร์" พอยกดื่มกันแล้วเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
"เฮ้.. ดื่มน้ำเปล่านี่ก็หนุกดีนี่หว่า แล้วเราจะเดือดร้อนหาไวน์มาดื่มทำไมกันเนี่ย"
ทุกคนเห็นด้วยกับเขา ผมก็เห็นด้วย เพราะผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และคืนนั้นเราก็ปาร์ตี้น้ำเปล่าคุยกันอย่างออกรสสนุกสนาน ตอนนี้ผมมานึกย้อนดู นั่นคงเป็นเพราะเราจำความสุขที่เราเคยดื่มไวน์ชนแก้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันได้ คราวนี้ถึงจะเป็นน้ำเปล่า แต่เราจำความสุขเดิมได้ เมื่อเราเรียกหา มันก็มาอีกจริงๆ
อีกเรื่องหนึ่งไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ผมอ่านมาจากหนังสือรีดเดอร์ส์ไดเจสท์สมัยผมเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องเล่าของนักโทษอเมริกัน เขาเล่าว่าเมื่อเขาไปติดคุก พวกนักโทษจะผ่านวันเวลาอันน่าเบื่อหน่ายในคุกโดยการเล่าเรื่องตลกสู่กันฟัง แล้วก็หัวเราะกัน แต่เนื่องจากชีวิตในคุกมันไม่มีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้น เรื่องที่เล่าจึงเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ หนักเข้าพวกนักโทษก็เลยใส่หมายเลขประจำตลกเก่าแต่ละเรื่องไว้ ใครอยากจะขุดเรื่องเก่าอะไรขึ้นมาเล่าก็ไม่ต้องเสียเวลาเล่ารายละเอียดของเรื่อง บอกแต่หัวเรื่องเช่นเล่าว่า
"เรื่องที่ 23"
แค่นี้เพื่อนนักโทษซึ่งล้วนจำเรื่องได้แล้วก็จะหัวเราะกันได้เลย ต่อมาก็มีนักโทษใหม่เข้ามาคนหนึ่งเป็นคนหนุ่ม พอเขามารับรู้เรื่องตลกของนักโทษรุ่นพี่ๆเขาก็ตะโกนแทรกลูกกรงขึ้นมาว่า
"มาฟังเรื่องของผมดีกว่า.. เรื่องที่ 132"
ปรากฎว่าพวกนักโทษรุ่นพี่ได้ยินหัวข้อเรื่องแล้วก็พากันหัวเราะกลิ้ง ตบเข่ากระทืบเท้าท้องคัดท้องแข็ง จนนักโทษหนุ่มงง เขาจึงถามรุ่นพี่ว่า
"เอ๊ะ ทำไมเรื่องของผมมันขำเป็นพิเศษหรือไง" ก็ได้รับคำตอบจากพวกพี่ๆว่า
"ใช่ ใช่ ใช่ เรื่องนี้เรายังไม่เคยได้ยินกันมาก่อนเลยว่ะ"
(ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนักโทษนี้เป็นแค่เรื่องโจ๊กหรือเรื่องจริง แต่มีเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายกันที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ คือสมัยผมเป็นหมอผ่าตัดอยู่ที่รพ.สระบุรี ซึ่งก็ประมาณปี พ.ศ. 2529 พยาบาลไอซียู.คนหนึ่งเธอปรับทุกข์กับผมเรื่องสามีของเธอซึ่งเป็นนายทหาร ว่าวันๆเอาแต่ตั้งวงดื่มสุรากันหัวเราะกันเสียงดังที่บ้านน่าเบื่อชะมัด ผมถามว่าเขาหัวเราะกันเรื่องอะไร เธอตอบว่า
"ก็ตลกมุขเก่าๆของพวกเขานั่นแหละ บางเรื่องเล่าซ้ำเป็นสิบหนแล้วแต่ก็ยังหัวเราะกันอยู่ได้"
ตอนนี้หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้มา ผมเข้าใจกลไกของมันแล้ว มันเป็นการจำความสุขได้ แล้วเรียกความสุขนั้นกลับมาหา กลไกการมีความสุขมันง่ายๆอย่างนี้นี่เอง
แล้วทั้งหมดนี้มันเกี่ยวอะไรกับจดหมายของท่านผู้อ่านท่านนี้ละคะ?
หิ..หิ สารภาพว่าลืมไปว่ากำลังตอบจดหมาย ตอบว่าเกี่ยวสิน่า มันก็เกี่ยวกันจนได้แหละ คือผมจำท่านเจ้าของจดหมายข้างบนนี้ได้ เพราะเธอเคยมาเป็นนักเรียนคอร์สุขภาพ (TLM camp) ที่มวกเหล็กนานมาแล้ว จำได้ว่าเธอนับถือศาสนาอื่น ไม่ใช่ชาวพุทธ และเธอก็เป็นโรคสาระพัดปวดชนิดที่ต้องทิ้งงานทิ้งการมาเป็นคนง่อยเปลี้ยอยู่กับบ้านทั้งๆที่เป็นคนมีการศึกษาสูงมาก เมื่อเริ่มแรกที่ผมบอกให้เธอฝึกสติแบบฝรั่ง (MBSR) เธอไม่เก็ทเลย แต่เธอยอมไปออกกำลังกายและปรับอาหาร เธอมีอาการดีขึ้นแต่ยังสู้กับอาการปวดไม่ไหว ผมก็ตื๊อให้เธอลองฝึกสติดูหน่อยน่า แล้วผมก็เพิ่่งมาทราบจากจดหมายฉบับนี้เองว่าตอนนี้เธอยอมทำแล้ว และผลมันก็เป็นอย่างที่เธอเล่า คือเธอหายจากอาการสาระพัดปวดได้ จะว่าหายก็ไม่ถูก คือเธออยู่กับอาการสาระพัดปวดได้ แถมนอนหลับดีอีกต่างหาก และในการเขียนบทความส่งท้ายปีเก่าวันนี้ผมตั้งใจจะมอบของขวัญปีใหม่ให้ท่านผู้อ่าน ของขวัญนั้นก็คือสิ่งที่ฝากมาจากเพื่อนรุ่นน้องที่ผมเพิ่งไปเยี่ยมมานี่ไง ว่า..
เรียกความสุขมาหา จำความสุขให้ได้ จำเขาได้แล้วเรียกเขาเมื่อไหร่เขาก็จะมา เมื่อใจเป็นสุขแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิแล้ว การจะฝึกสติตามดูความเจ็บปวดแบบดูมันเฉยๆ ก็จะทำได้ไม่ยาก และเมื่อดูความเจ็บปวดระดับมะเร็งตับแบบเฉยเลยได้แล้ว ชีวิตในปีใหม่หรือในปีไหนๆต่อจากนี้ไป จะมีอะไรเหลือให้ท่านกลัวอีกละครับ
และเพื่อยืนยันว่าของขวัญปีใหม่ที่ผมนำส่งจากเพื่อนผู้น้องมาให้ท่านนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ของเก๊ ผมก็เลยต้องลงจดหมายของท่านผู้อ่านข้างบนนี้เป็นการสำทับไงครับ ว่าเธอผู้เขียนจดหมายนี้ไม่ได้เป็นคนแก่ธรรมะธรรมโมหรือมีบารมีมาแต่ชาติปางก่อนอะไรเลย เธอไม่ใช่ชาวพุทธด้วยซ้ำไป แต่เธอยังเอาไปใช้ได้สำเร็จเห็นผลอยู่ทนโท่ แสดงว่ามันเป็นของจริงนะพะยะค่ะ
Merry Christmas And A Happy New Year 2015
พบกันอีกครั้งหลังปีใหม่ (เมื่อผมสร่างจากน้ำแข็งเปล่าแล้ว)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
พอทำซีดี.ออกมาแล้ว สอนกันไปแล้ว หลายคนก็กังขาย้อนหลังว่าทำไมต้องเป็นเพลง "สุขกันเถอะเรา" ด้วยนะ คนหนึ่งกำลังจะตาย จะให้อีกคนร้องเพลงสุขกันเถอะเราจะดีเหรอ แต่ว่าผมไม่ได้ตอบข้อกังขาเหล่านั้นหรอก เพราะเมื่อมีข้อกังขาขึ้นมาทีไร ก็จะมีคนตอบให้เสร็จสรรพทุกครั้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งในที่ประชุมหมอหัวใจ หมอคนหนึ่งถามคำถามนี้ หมออีกคนหนึ่งตอบให้เสร็จว่า..
"อ้าว ก็ความสุขมันเป็นสิ่งที่เราเรียกมันมาได้นะ จึงต้องมาสุขกันเถอะเราไง"
หลายปีผ่านไป จนผมลืมเรื่องการเรียกความสุขมาหาไปนานแล้ว จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมบุกจู่โจมไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ที่ต้องใช้วิธีจู่โจมก็เพราะเพื่อนคนนี้เขาไม่ชอบให้ใครไปเยี่ยมเขา เขาเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ตับ หมอด้วยกันไม่ต้องถามก็รู้กันว่าแรงที่เนื้องอกเป่งแคปซูลหุ้มตับออกมานั้นจะทำให้มีอาการปวดมากมายเพียงใด ผมถามเขาว่า
"คุณต้องใช้ยาแก้ปวดมากไหม" เขาตอบว่า
"ไม่ใช้เลย พาราเซ็ตเม็ดเดียวก็ไม่ยอมกิน" ผมถามว่า
"แล้วคุณทำอย่างไรเมื่อมันปวดขึ้นมา" เขาตอบว่า
"ก็เฝ้าดูมันเฉยๆ ดูเฉยๆไม่คิดอะไร" ผมบอกเขาว่า
"ผมอยากเอาไปสอนคนไข้เวลาปวดมากๆให้ทำอย่างนี้บ้าง" เขาบอกว่า
"ยากนะ ถ้าจิตไม่มีสมาธิ" ผมถามว่า
"แล้วสำหรับคนไข้ มีกลเม็ดอย่างไรถึงจะให้จิตมีสมาธิ" เขาตอบว่า
"ต้องทำให้จิตมีความสุขก่อน" ผมถามต่อว่า
"แล้วทำอย่างไรจิตจึงจะมีความสุข" เขาตอบว่า
"ก็เรียกความสุขมา" เขาเห็นผมนิ่งไปนาน จึงพูดต่อเองว่า
"..ถ้าพี่ไม่รู้จะเรียกอย่างไร ก็หายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกเหมือนเวลาเราจิบกาแฟร้อนๆหอมๆแล้วอ้าปากครางเบาๆว่า ฮา..า..า แค่นี้ความสุขก็มาแล้ว สำคัญที่เมื่อความสุขมาแล้วเราต้องจำเขาไว้ ว่าความสุขเป็นอย่างเนี้ยะนะ ถ้าเราจำเขาได้ ครั้งต่อไปเรียกเขาเขาก็จะมาง่าย เรียกเมื่อไหร่ก็จะมาเมื่อนั้น พอจิตมีความสุขแล้ว จึงจะตั้งสมาธิได้ พอมีสมาธิแล้ว จึงจะมองความเจ็บปวดแบบมองเฉยๆได้"
ผมพยายามทวนคำพูดของเขาตรงที่ว่า "เรียกความสุขมา" เขาเห็นผมท่าทางไม่เก็ท จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า
"..พี่มองว่าเป็นการเปลี่ยนเก้าอี้นั่งก็ได้ พี่นั่งเก้าอี้ตัวโน้น ฮ้า นั่งไม่สบายก้น พื้นแข็งไม่มีเบาะ พี่ลุกมานั่งตัวนี้ซึ่งมีเบาะ เอาตัวนี้ดีกว่า นั่งสบายดี จิตของเราก็เหมือนกัน เราอยู่กับอารมณ์นี้ ไม่สบาย เราก็เปลี่ยนไปอยู่กับอารมณ์อื่นที่สบายกว่า การเปลี่ยนจิตจากอารมณ์หนึ่งไปหาอีกอารมณ์หนึ่งเนี่ยง่าย เพราะจิตมันมีธรรมชาติเปลี่ยนตัวมันเองตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง คนเราล้วนมีวิธีถนัดของตัวเองที่จะเรียกความสุขมาหาต่างกันไป บางคนได้ดูหนังจึงจะสุข บางคนได้ฟังเพลงจึงจะสุข"
กลับจากเยี่ยมเพื่อนแล้วผมยังคิดถึงเรื่องการ "เรียกความสุขมาหา"และการ "จำความสุข" และความจำเก่าๆก็โผล่ขึ้นมาสองสามเรื่อง
เรื่องแรกเป็นเรื่องจริง ย้อนหลังไปหลายปีมาแล้ว สมัยที่ตัวผมยังไม่แก่มาก และเพื่อนๆที่เป็นพวกวิศวะก็ยังหนุ่มๆกันอยู่ เรามักนัดหมายดื่มกินมื้อเย็นในวันหยุดกันที่บ้านบนเขา มีอยู่วันหนึ่งภรรยาไม่ได้มาด้วย ผมอยู่คนเดียวไม่มีแขก เวลาอยู่คนเดียวไม่มีคนคุมประพฤติผมจะไม่ล้างถ้วยล้างจาน แต่ใช้วิธีกองๆสุมกันไว้ในอ่างจนวันที่จะกลับกรุงเทพจึงจะลุยล้างซะทีเดียว เย็นวันนั้นแก้วหมด ผมเลยเอาแก้วไวน์มาใช้แทนแก้วน้ำดื่ม แล้วจู่ๆราวสองทุ่มก็มีเพื่อนสามคนแวะมา คนหนึ่งบอกว่าอากาศเย็นๆอย่างนี้น่าจะมีอะไรดื่มกันนะ แต่ว่าที่บ้านไม่มีเครื่องดื่มเลย ผมจึงเอาน้ำแข็งเปล่าใส่แก้วไวน์ เทน้ำใส่ แล้วแจกให้เพื่อนๆยกขึ้นชนแก้วดื่มกัน..
"เชียร์" พอยกดื่มกันแล้วเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
"เฮ้.. ดื่มน้ำเปล่านี่ก็หนุกดีนี่หว่า แล้วเราจะเดือดร้อนหาไวน์มาดื่มทำไมกันเนี่ย"
ทุกคนเห็นด้วยกับเขา ผมก็เห็นด้วย เพราะผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และคืนนั้นเราก็ปาร์ตี้น้ำเปล่าคุยกันอย่างออกรสสนุกสนาน ตอนนี้ผมมานึกย้อนดู นั่นคงเป็นเพราะเราจำความสุขที่เราเคยดื่มไวน์ชนแก้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันได้ คราวนี้ถึงจะเป็นน้ำเปล่า แต่เราจำความสุขเดิมได้ เมื่อเราเรียกหา มันก็มาอีกจริงๆ
อีกเรื่องหนึ่งไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ผมอ่านมาจากหนังสือรีดเดอร์ส์ไดเจสท์สมัยผมเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องเล่าของนักโทษอเมริกัน เขาเล่าว่าเมื่อเขาไปติดคุก พวกนักโทษจะผ่านวันเวลาอันน่าเบื่อหน่ายในคุกโดยการเล่าเรื่องตลกสู่กันฟัง แล้วก็หัวเราะกัน แต่เนื่องจากชีวิตในคุกมันไม่มีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้น เรื่องที่เล่าจึงเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ หนักเข้าพวกนักโทษก็เลยใส่หมายเลขประจำตลกเก่าแต่ละเรื่องไว้ ใครอยากจะขุดเรื่องเก่าอะไรขึ้นมาเล่าก็ไม่ต้องเสียเวลาเล่ารายละเอียดของเรื่อง บอกแต่หัวเรื่องเช่นเล่าว่า
"เรื่องที่ 23"
แค่นี้เพื่อนนักโทษซึ่งล้วนจำเรื่องได้แล้วก็จะหัวเราะกันได้เลย ต่อมาก็มีนักโทษใหม่เข้ามาคนหนึ่งเป็นคนหนุ่ม พอเขามารับรู้เรื่องตลกของนักโทษรุ่นพี่ๆเขาก็ตะโกนแทรกลูกกรงขึ้นมาว่า
"มาฟังเรื่องของผมดีกว่า.. เรื่องที่ 132"
ปรากฎว่าพวกนักโทษรุ่นพี่ได้ยินหัวข้อเรื่องแล้วก็พากันหัวเราะกลิ้ง ตบเข่ากระทืบเท้าท้องคัดท้องแข็ง จนนักโทษหนุ่มงง เขาจึงถามรุ่นพี่ว่า
"เอ๊ะ ทำไมเรื่องของผมมันขำเป็นพิเศษหรือไง" ก็ได้รับคำตอบจากพวกพี่ๆว่า
"ใช่ ใช่ ใช่ เรื่องนี้เรายังไม่เคยได้ยินกันมาก่อนเลยว่ะ"
(ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนักโทษนี้เป็นแค่เรื่องโจ๊กหรือเรื่องจริง แต่มีเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายกันที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ คือสมัยผมเป็นหมอผ่าตัดอยู่ที่รพ.สระบุรี ซึ่งก็ประมาณปี พ.ศ. 2529 พยาบาลไอซียู.คนหนึ่งเธอปรับทุกข์กับผมเรื่องสามีของเธอซึ่งเป็นนายทหาร ว่าวันๆเอาแต่ตั้งวงดื่มสุรากันหัวเราะกันเสียงดังที่บ้านน่าเบื่อชะมัด ผมถามว่าเขาหัวเราะกันเรื่องอะไร เธอตอบว่า
"ก็ตลกมุขเก่าๆของพวกเขานั่นแหละ บางเรื่องเล่าซ้ำเป็นสิบหนแล้วแต่ก็ยังหัวเราะกันอยู่ได้"
ตอนนี้หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้มา ผมเข้าใจกลไกของมันแล้ว มันเป็นการจำความสุขได้ แล้วเรียกความสุขนั้นกลับมาหา กลไกการมีความสุขมันง่ายๆอย่างนี้นี่เอง
แล้วทั้งหมดนี้มันเกี่ยวอะไรกับจดหมายของท่านผู้อ่านท่านนี้ละคะ?
หิ..หิ สารภาพว่าลืมไปว่ากำลังตอบจดหมาย ตอบว่าเกี่ยวสิน่า มันก็เกี่ยวกันจนได้แหละ คือผมจำท่านเจ้าของจดหมายข้างบนนี้ได้ เพราะเธอเคยมาเป็นนักเรียนคอร์สุขภาพ (TLM camp) ที่มวกเหล็กนานมาแล้ว จำได้ว่าเธอนับถือศาสนาอื่น ไม่ใช่ชาวพุทธ และเธอก็เป็นโรคสาระพัดปวดชนิดที่ต้องทิ้งงานทิ้งการมาเป็นคนง่อยเปลี้ยอยู่กับบ้านทั้งๆที่เป็นคนมีการศึกษาสูงมาก เมื่อเริ่มแรกที่ผมบอกให้เธอฝึกสติแบบฝรั่ง (MBSR) เธอไม่เก็ทเลย แต่เธอยอมไปออกกำลังกายและปรับอาหาร เธอมีอาการดีขึ้นแต่ยังสู้กับอาการปวดไม่ไหว ผมก็ตื๊อให้เธอลองฝึกสติดูหน่อยน่า แล้วผมก็เพิ่่งมาทราบจากจดหมายฉบับนี้เองว่าตอนนี้เธอยอมทำแล้ว และผลมันก็เป็นอย่างที่เธอเล่า คือเธอหายจากอาการสาระพัดปวดได้ จะว่าหายก็ไม่ถูก คือเธออยู่กับอาการสาระพัดปวดได้ แถมนอนหลับดีอีกต่างหาก และในการเขียนบทความส่งท้ายปีเก่าวันนี้ผมตั้งใจจะมอบของขวัญปีใหม่ให้ท่านผู้อ่าน ของขวัญนั้นก็คือสิ่งที่ฝากมาจากเพื่อนรุ่นน้องที่ผมเพิ่งไปเยี่ยมมานี่ไง ว่า..
เรียกความสุขมาหา จำความสุขให้ได้ จำเขาได้แล้วเรียกเขาเมื่อไหร่เขาก็จะมา เมื่อใจเป็นสุขแล้ว ก็จะเกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิแล้ว การจะฝึกสติตามดูความเจ็บปวดแบบดูมันเฉยๆ ก็จะทำได้ไม่ยาก และเมื่อดูความเจ็บปวดระดับมะเร็งตับแบบเฉยเลยได้แล้ว ชีวิตในปีใหม่หรือในปีไหนๆต่อจากนี้ไป จะมีอะไรเหลือให้ท่านกลัวอีกละครับ
และเพื่อยืนยันว่าของขวัญปีใหม่ที่ผมนำส่งจากเพื่อนผู้น้องมาให้ท่านนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ของเก๊ ผมก็เลยต้องลงจดหมายของท่านผู้อ่านข้างบนนี้เป็นการสำทับไงครับ ว่าเธอผู้เขียนจดหมายนี้ไม่ได้เป็นคนแก่ธรรมะธรรมโมหรือมีบารมีมาแต่ชาติปางก่อนอะไรเลย เธอไม่ใช่ชาวพุทธด้วยซ้ำไป แต่เธอยังเอาไปใช้ได้สำเร็จเห็นผลอยู่ทนโท่ แสดงว่ามันเป็นของจริงนะพะยะค่ะ
Merry Christmas And A Happy New Year 2015
พบกันอีกครั้งหลังปีใหม่ (เมื่อผมสร่างจากน้ำแข็งเปล่าแล้ว)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์