กินยาเก้าท์ (allopurinol) แล้วมีอาการคัน


เรียนคุณหมอที่นับถือ

ปัจจุบันผมอายุ 62 ปี  สุง 175 ซม.  น้ำหนัก 67 กก. ออกกำลังกายโดยการซ้อมตีกอล์ฟวันเว้นวัน  ครั้งละประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
 ดื่มเบียร์วันละประมาณ 1 ขวด มีโรคประจำตัวคือ
1.  ความดันสูง  ทานยา  Enaril 5 mg.  วันละ 1 เม็ด
2.  ไขมันในเลือดสูง  ทานยา  Lipitor 20 mg.  วันละ 1 เม็ด
3.  โรคเก๊าท์  ทานยา  Allopurinol 100 mg. วันละ 1 เม็ด
4.  ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ช่วง  upper limit  ดูแลโดยการพยายามคุมอาหารและออกกำลังกาย

ยาทั้ง 3 ตัวนี้ทานมาตลอดได้ประมาณ 15 ปีแล้ว และมีผลการคุมอาการดังผลจากการเจาะเลือดในระยะ 2 ปีล่าสุดตามข้างล่างนี้

                          กพ'54    เมย'54    มิย'54    กย'54    ธค'54

Glucose(FBS)        107        113       113       113        95
HbA1c                      -            -           -            -         5.9
Creatinine                 -            -           -          1.1         -
Uric Acid                   -            -           -          7.6       5.8
Triglyceride             240        121      125       187       200
Cholesterol              273        251      206          -          -
HDL                          62          61        -            -          -
LDL                         175        167      116       104      139
SGPT(ALT)               19           -          14         15        -


                               มีค'55    มิย'55    กย'55    ธค'55    กพ'56
Glucose(FBS)            114        98         97        110       105
HbA1c                          -         5.5          -            -         5.3
Creatinine                     -           -          0.9          -           -
Uric Acid                       -           -           -            -
          -
Triglyceride                160       139       167        194       291
Cholesterol                   -           -           -             -
         -
HDL                             -           -           -
-           -
LDL                             98         92         95         88       155
SGPT(ALT)                  -           -            93         37        38

คำถามที่ผมขอรบกวนถามคุณหมอคือ

1.  อาการของโรคเก๊าท์ที่เคยปวดบวมที่ข้อเท้าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หลังจากกินยา Allopurinol แล้วก็ไม่เป็นอีกเลย
ผมเคยเรียนถามคุณหมอที่รักษาว่า  ช่วงที่ไม่ปวดจะหยุดไม่ทานยาได้หรือไม่ คุณหมอท่านบอกว่า  การกินๆหยุดๆไม่ดี อาจทำให้เกิดอาการ  steven Johnson syndrome ได้  ข้อนี้ผมขอเรียนถามคุณหมอว่า  จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?

2.  ปัจจุบันนี้คุณหมอด้านอายุรกรรมเป็นผู้ดูแลผมในเรื่องไขมันในเลือด ซึ่งท่านก็จะปรับปริมาณยามากขึ้นหรือน้อยลงเรื่อยๆตามผลที่ได้จากการเจาะเลือด  คุณหมอเห็นว่าวิธีนี้เหมาะสมหรือไม่? ผมควรเปลี่ยนไปรักษากับหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือไม่? และควรเป็นแพทย์สาขาไหนครับ?

3.  ในระยะประมาณ 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้  ผมมีอาการคันตามร่างกาย ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นอาการคันยิกยักตามประสาคนทึ่เข้าระยะวัยทอง เหมือนมีมดมาไต่ตรงโน้นตรงนี้  แต่พอลูบดูก็ไม่พบอะไร ต่อมาก็เริ่มคันตามขาและคันมากขึ้นจนเกาเป็นแผล ผมพยายามหายาทารักษาแผลภายนอกมาใช่และทำความสะอาดแผลโดยใช้ Ipodine เช็ด แผลก็แห้งและหายดีขึ้น  แต่ตอนนี้เริ่มย้ายมาคันตามตัวแถวๆแผ่นหลัง
ผมพยายามหาสาเหตุก็นึกไม่ออก  ทำให้นึกถึงยา 3 ตัวที่ผมทานมาเป็นระยะเวลานานพอประมาณ เกิดความสงสัยว่าอาการคันอาจเกิดจากสารเคมีตัวใดตัวหนึ่งตกค้างในร่างกาย คุณหมอมีความเห็นเช่นใดครับ?  ผมควรดูแลอาการอย่างไร? ถ้าควรไปพบแพทย์ควรเป็นแพทย์สาขาไหนถึงจะตรงกับอาการครับ?

ขอรบกวนคุณหมอด้วยครับ

โดยความนับถืออย่างสูง

……………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าการกินยา allopurinol แบบกินๆหยุดจะทำให้แพ้ยารุนแรงแบบ Steven Johnson Syndrome มากขึ้นหรือเปล่า ตอบว่าไม่มีข้อมูลวิจัยเปรียบเทียบการกินยาแบบต่อเนื่องกับแบบกินๆหยุดๆว่าแบบไหนจะทำให้เกิด Steven Johnson Syndrome เพราะไม่มีใครทำวิจัยที่เชื่อถือได้ไว้ มีแต่ผู้สันทัดกรณีบอกเล่าความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเชื่อไม่ได้

แต่ได้มีงานวิจัยเอาคนไข้ 50 คนมาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กิน allopurinol แบบต่อเนื่อง อีกกลุ่มหนึ่งให้กินแบบกินสองเดือนแล้วหยุดไปแปดเดือน ทำอย่างนี้อยู่สี่ปี พบว่าในปีแรกทั้งสองกลุ่มมีอาการไม่ต่างกัน แต่ในปีต่อๆไปกลุ่มกินยาแบบกินๆหยุดๆมีอาการเก้าท์มากกว่า จึงสรุปว่าถ้าจะกินยา allopurinol เพื่อคุมอาการให้สงบแล้ว วิธีกินแบบต่อเนื่องไปไม่มีหยุดเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้อมูลที่เป็นผลพลอยได้จากงานวิจัยนี้คืออัตราการเกิด Steven Johnson Syndrome ในการกินยาทั้งสองแบบไม่ต่างกัน

จากข้อมูลที่มีอยู่จึงตอบคุณได้เพียงว่าการกินยาแบบกินๆหยุดๆทำให้เป็น Steven Johnson Syndrome มากขึ้นหรือเปล่ายังไม่มีใครรู้  แต่ที่รู้แน่ๆคือพวกกินๆหยุดๆไปนานเกินหนึ่งปีจะกลับมีอาการปวดข้อมากกว่าพวกที่ขยันกินยาอย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง ผมขอตั้งข้อสังเกต ขอโทษ แบบ ส. ใส่เกือก นะ ว่าคุณปวดข้อครั้งเดียวเจาะเลือดแล้วมีกรดยูริกสูง หมอให้กินยา allopurinol มาสิบห้าปีแล้วสบายดีตั้งแต่นั้น มีความเป็นไปได้ 3 อย่าง คือ

(1) คุณไม่ได้เป็นเก้าท์ เพียงแต่บังเอิญมีสองอย่างมาเกิดพร้อมกัน คือภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (asymptomatic hyperuricemia) มาเกิดขึ้นพร้อมกับการปวดข้อ ซึ่งอาจจะปวดจากเรื่องอื่น เช่น ข้ออักเสบจากการใช้งาน ข้อเสื่อม หรือแม้กระทั่งข้ออักเสบจากผลึกแคลเซี่ยม (เก้าท์เทียม) ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นอะไรแน่คือการเจาะน้ำเลี้ยงข้อในวันที่คุณปวดข้อร้องโอดโอยมาส่องกล้องตรวจดูว่ามีผลึกของกรดยูริกให้เห็นจะจะ จึงเป็นเก้าท์จริง และถือเป็นมาตรฐานของการวินิจฉัยเก้าท์ ดังนั้นคุณพอจำได้ไหมละว่าหมอคนแรกที่วินิจฉัยเก้าท์ให้คุณได้ทำแบบนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ ก็..เสร็จ

(2) คุณเป็นเก้าท์จริง แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หมอรีบใช้ยาไปหน่อย เมื่อใช้แล้วก็ต้องใช้เลยมา 15 ปี หากไม่ใช้ยาเลย หลังการปวดหนึ่งครั้งในครั้งแรก ก็มีโอกาสมากพอสมควรที่อาการจะหายไปเองนานเป็นสิบๆปีหรือตลอดไป แพทย์โรคข้อจำนวนหนึ่งจึงชอบชลอการใช้ยาออกไป รอให้เกิด gouty attack หลายๆครั้งก่อนจึงจะใช้ยา
(3) คุณเป็นเก้าท์จริง จำเป็นต้องใช้ยาจริง และการใช้ยาก็ประสบความสำเร็จในการคุมอาการดีมากจวบจนทุกวันนี้

ทั้งสามแบบนี้เป็นแบบไหน คุณมีข้อมูลที่จะวินิจฉัยได้มากที่สุดคนเดียว เพราะหมอเก่าของคุณเขาคงไปอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้ป่านนี้ ถ้าจะให้ผมเดาแอ็ก ผมเดาว่าคุณเป็นแบบที่หนึ่ง เดานะครับ ถูกผิดอย่าว่ากัน

         2.. ถามว่าตอนนี้หมออายุรกรรมดูแลเรื่องการปรับยาลดไขมันอยู่จะโอเค.ไหม ตอบว่าหมอสาขาไหนก็ได้ ไม่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยกับยาแต่ละตัวของคุณหมอท่านนั้น  แต่ตัวคุณเองดูแลตัวเองจะดีที่สุด เพราะองค์ประกอบที่จะทำให้ไขมันในเลือดลดลงได้ยั่งยืนนั้น เรื่องหลักคือโภชนาการและการออกกำลังกาย ซึ่งคุณเป็นคนคุม ไม่ใช่หมอคนไหนคุม  และผลข้างเคียงของยาที่อันตรายและเป็นข้อบ่งชี้ว่าเมื่อไรจะต้องหยุดยา ตัวคุณก็เป็นคนเฝ้าระวัง ไม่ใช่หมอเขาจะมาระวังให้ ส่วนเรื่องโด้สยานั้นเป็นเรื่องรอง หมอคนไหนคุมก็ใช้วิธีปรับโด้สแบบเดียวกัน ในทางปฏิบัติถ้าคุณไม่สามารถสื่อสารทางโทรศัพท์กับหมอของคุณได้ในระหว่างไม่ได้เจอหน้ากัน  คุณคุมโด้สยาด้วยตัวเองก็จะดีกว่ารอให้หมอคุม เพราะคุณพบหมอสามเดือนครั้ง แต่ถ้าคุณคุมเอง ฤทธิ์ข้างเคียงของยาเช่นปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคุณรู้ทันทีและปรับยาเองได้ทันทีไม่ต้องรออีกสามเดือน เพราะกรณียาทำให้เกิดการสลายตัวของกล้ามเนื้อ (rhabdomyolysis) ซึ่งเป็นเรื่องซีเรียส หากรอไปสองสามเดือนคุณอาจจะม่องเท่งเสียก่อน  

        3. ถามว่าอาการคันตามร่างกายเกิดจากอะไร ตอบว่าในกรณีของคุณอย่างน้อยเกิดได้จาก 4 สาเหตุครับ คือ

     (1) เกิดจากยา enalapril (Enaril) ยาในกลุ่มนี้ชื่อกลุ่มมันชื่อ ACEI นักศึกษาแพทย์เรียกสั้นๆว่ายาแซ่ริ่ล มีผลข้างเคียงเด่นสามประการที่นักศึกษาแพทย์จำขึ้นใจคือ ไอ-คัน-ขึ้นผื่น ถ้าเกิดจากยานี้ หยุดยาก็หายปึ๊ด

      (2) เกิดจากยา allopurinol ถ้าคุณอ่านฉลากยาฉบับภาษาอังกฤษให้ดีเขาเขียนว่าให้หยุดยา allopurinol แล้วโทรศัพท์หาหมอขอคุณทันทีถ้ามีผลข้างเคียงรุนแรงต่อไปนี้ เช่น
·         ไข้ เจ็บคอ ผิวหนังพุพอง หรือเป็นผื่นแดง
·         มีผื่นที่ผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นเล็กน้อยเพียงใด
·         ปวดหรือเลือดออกเวลาปัสสาวะ
·         คลื่นไส้ ปวดกระเพาะ คัน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปัสสาวะสีทึบ อุจจาระสีซีด ตัวเหลืองตาเหลือง ฯลฯ

ที่เขาบอกขึงขังอย่างนี้เพราะว่าการแพ้ยา allopurinol รุนแรงแบบ Steven Johnson Syndrome ซึ่งถึงตายหรือคางเหลืองและเป็นความกันบ่อยมากจนบริษัทผู้ผลิตยา Zyloric ต้องถอนยาออกจากตลาดไปพักใหญ่นี้ บ่อยครั้งมันค่อยๆเกิดขึ้นแบบเนียนๆ มีอาการผิดปกติแบบแพ้นิดๆนำมาก่อนเป็นการเตือนล่วงหน้านาน..น...น มาก แต่หมอและคนไข้ไม่ทันไหวตัว จึงปล่อยผ่านไป จนกระทั่ง...ตูม ปากเจ่อ หนังลอก เดี้ยง และบ่อยครั้ง...เด๊ด

     (3) เป็นอาการระยะแรกของตับแข็ง เพราะคุณเป็นนักดื่ม แม้ว่าเอ็นไซม์ของของตับ (SGOT, SGPT) จะยังปกติอยู่ ผู้ป่วยตับแข็งหลายรายมีอาการคันตามผิวหนังนำหน้ามาหลายปี

     (4) เป็นอาการระยะแรกของคนเป็นบ้าเหล้า (alcoholism) เพราะโรคบ้าเหล้าจำนวนหนึ่งนำมาด้วยอาการคันโน่นคันนี่ตามตัวเหมือนแมลงไต่ ทั้งๆที่ของจริงไม่มีอะไร

     คุณอยากเป็นอะไรก็เลือกเอา อุ๊บ.. ขอโทษ พูดเล่น คุณน่าจะเป็นจากอะไรก็วินิจฉัยเอาเองนะครับ

     ตอบคำถามของคุณครบทุกข้อแล้วนะ คราวนี้ขอผม ส. ใส่เกือก อีกรอบได้ไหมครับ คือการที่คุณเขียนจดหมายมาหาผมนี้ก็แสดงว่าคุณเป็นคนเอาถ่านในเรื่องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง ทำไมคุณๆไม่หยุดดื่มแอลกอฮอล์เสียละครับ เพราะแอลกอฮอล์ในกรณีของคุณนี้ เสียมากกว่าได้ กล่าวคือแอลกอฮอล์เป็นตัวป้อนสารพิวรีนให้ร่างกายซึ่งนำไปสร้างเป็นกรดยูริกในร่างกาย อีกทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ควบกับการกินยาลดไขมันก็เป็นวิธีฆ่าตัวตายที่แนบเนียนระดับตบตาบริษัทประกันได้ (ขอโทษ ปากเสียอีกแล่ว) ไม่เชื่อคุณอ่านฉลากยาลดไขมันดูก็ได้นะ เขาห้ามไม่ให้คนดื่มแอลกอฮอล์กินยานี้ หมายความว่าหากคุณได้รับพิษภัยของยานี้โดยที่คุณดื่มแอลกอฮอลเป็นอาจิณอยู่ด้วย คุณไปฟ้องเอาเงินชดเชยจากบริษัทยาไม่ได้นะ เพราะเขาบอกคุณแล้วว่ายานี้ไม่ได้มีไว้ให้พวกขี้เหล้ากิน เพราะว่าแอลกอฮอลมันไปเร่งการทำลายตับและเร่งการสลายตัวของกล้ามเนื้อของผู้ใช้ยานี้ ซึ่งจะทำให้พวกขี้เหล้าได้รับพิษภัยจากยานี้มากกว่าคนธรรมดา

     ถ้าผมเป็นคุณนะ ผมจะเอาเงินค่าเหล้าไปซื้อเครื่องวัดความดันอัตโนมัติมาเครื่องหนึ่ง แล้วผมจะหยุดยา allopurinol และยา atorvastatin (Lipitor) เสียทันที แล้วผมจะเปลี่ยนอาหารการกินไปกินแบบมังสะวิรัติหรือเกือบๆมังสะวิรัติที่มีไขมันต่ำและเกลือต่ำ หรือกินอาหารแบบ DASH Diet เพิ่มการออกกำลังกายเป็นทุกวัน โดยออกกำลังกายให้ถึงระดับมาตรฐาน คือออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้หอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้อย่างน้อยครั้งละครึ่้งชั่วโมงห้าวันต่อสัปดาห์ และฝึกกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ผมเขียนเรื่องการออกกำลังกายไว้บ่อย หาอ่านย้อนหลังเอาได้) แล้ววัดความดันทุกสัปดาห์จนเห็นว่าความดันตัวบนส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นสูงเกิน 140 มม.เลย แล้วผมก็จะกลับไปหาหมอแล้วบอกหมอว่าผมจะขอค่อยๆหยุดยาลดความดัน แล้วผมจะทำทุกอย่าง (อาหาร ออกกำลังกาย หยุดแอลกอฮอล์ จัดการความเครียด) เพื่อจะอยู่ให้ได้โดยไม่ต้องใช้ยาทั้งสามตัว นี่คือสิ่งที่ผมจะทำถ้าผมเป็นคุณ แต่นี่ผมไม่ได้เป็นคุณ และคุณนั่นแหละเป็นคุณ หิ..หิ มันก็แล้วแต่ตัวคุณแล้วละครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025