Achalasia cardia อ๊วกออกมาเป็นลูกชิ้นปลา
เรียน คุณหมอสันต์ครับ
ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมอายุ 34 ปี
เริ่มมีอาการผิดปกติเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน คือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ตรงกลาง เหนือลิ้นปี่
ได้ไปหาหมอหัวใจหลายครั้ง ได้ทำการตรวจหัวใจไปค่อนข้างละเอียดพอควร
คือทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจวิ่งสายพาน ตรวจ echo หัวใจ เจาะเลือดตรวจว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือเปล่า
ผลตรวจทุกอย่างปรกติหมด ได้ตรวจแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจด้วย
ได้คะแนนแคลเซียมเท่ากับศูนย์ หมอหัวใจบอกว่าคงจะเป็นอาหารไม่ย่อย
ได้ส่งมาให้หมออายุรกรรมรักษาโรคกรดไหลย้อน อาการดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่หายสนิท
สองเดือนที่ผ่านมานี้ผมเริ่มมีอาการกลืนลำบาก คือมันกลืนไม่ค่อยลง
โดยถ้าทานอะไรที่เหลวๆเป็นน้ำๆแล้วก็กลืนแทบไม่ลงเลย แต่ถ้าเป็นอาหารแข็งๆจะพอกลืนได้
อย่างลูกชิ้นปลาบ่อยครั้งผมต้องหั่นเป็นสี่ส่วนแล้วกลืนลงไปโดยไม่ต้องเคี้ยว เย็นวันนี้ผมมีอาการอาเจียนเอาอาหารที่ทานออกมา
ที่ผมตกใจก็คือในอาเจียนที่ออกมายังเห็นลูกชิ้นปลาซึ่งผมทานเมื่อสองวันก่อนเป็นชิ้นๆอยู่เลย
ผมตกใจจึงต้องรีบเขียนมาถามคุณหมอ โรคอาหารไม่ย่อยมันรุนแรงถึงขนาดทานอาหารไปสองวันแล้วยังอยู่ในกระเพาะไม่ไปไหนแล้วไม่มีการย่อยสลายเลยหรือครับ
หรือว่าผมเป็นโรคร้ายอย่างอื่น ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ควรจะไปหาหมอสาขาไหน
ที่ไหนครับ ผมมีประกันสังคม
แต่ถ้าหากคุณหมอเห็นว่าจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเอกชนหรือต้องไปที่พญาไทผมก็ไปได้ครับ
....................................................
ตอบครับ
1.. อาการทั้งหมดที่เล่ามา
มีความเป็นไปได้อย่างมากที่คุณจะเป็นโรค Achalasia cardia โรคนี้ไม่มีชื่อภาษาไทย ผมแปลแบบมั่วๆชั่วคราวไปก่อนว่า "โรคหลอดอาหารท่อนปลายหดเกร็ง" ก็แล้วกัน มันคือภาวะที่เมื่อมีการกลืนอาหารแล้ว
หลอดอาหารท่อนปลายไม่บีบตัวเป็นลูกคลื่น ร่วมกับกล้ามเนื้อหูรูดที่ปลายล่างของหลอดอาหารไม่คลายตัวให้อาหารผ่านลงกระเพาะตามปกติ
ทำให้อาหารส่วนหนึ่งไปค้างอยู่ที่ปลายล่างของหลอดอาหาร โดยลงไปไม่ถึงกระเพาะอาหาร
ค้างอยู่จนหลอดอาหารส่วนล่างเป่งเป็นถุงหรือกระเปาะ ทำให้แน่นหน้าอกได้
สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการเสื่อมของเซลประสาทที่หลอดอาหารท่อนปลายโดยไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเสื่อม
คนไข้โรคนี้จะมีอาการกลืนลำบาก ของเหลวกลืนยากกว่าของแข็ง อาเจียน เจ็บหน้าอก
แน่นหน้าอก แสบลิ้นปี่ อย่างที่คุณเป็นเนี่ยแหละ นอกจากโรคนี้แล้ว โรคที่ต้องวินิจฉัยแยกเสมอคือมะเร็งหลอดอาหาร
แม้ว่าจะมีโอกาสเป็นต่ำในกรณีของคุณ แต่ก็ต้องวินิจฉัยแยกเสมอ
2.. การวินิจฉัยโรคนี้ทำได้โดยให้กลืนแป้งทึบรังสี (barium swallow) แล้วเอ็กซเรย์ดูหลอดอาหารขณะแป้งเคลื่อนผ่านท่อนล่างของหลอดอาหาร
จะเห็นว่าหลอดอาหารไม่บีบตัวเป็นละรอกแบบปกติ และหลอดอาหารท่อนปลายโป่งพอง
มีเศษอาหารค้างอยู่ นอกจากการกลืนแป้งแล้ว การส่องกล้องลงไปตรวจดูหลอดอาหารและกระเพาะอาหารก็ควรทำ
ซึ่งจะพบว่าหลอดอาหารท่อนปลายโป่งพองออกและมีอาหารตกค้างอยู่
และเมื่อตามส่องดูในกระเพาะอาหารก็ไม่พบความผิดปกติเช่นมะเร็งกระเพาะอาหารซึ่งมักเป็นเหตุให้หลอดอาหารไม่บีบตัวได้เหมือนกัน
(pseudoachalasia) ส่วนการจะยืนยันการวินิจฉัยด้วยการวัดความดันในหลอดอาหาร (eshophageal manometry) เพื่อยืนยันว่ากล้ามเนื้อหูรูดปลายหลอดอาหารไม่คลายในจังหวะกลืนนั้น
ถ้าทำได้ก็ควรทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเพียงแค่ข้อมูลจากการกลืนแป้งและส่องกล้องตรวจก็พอที่จะรักษาได้แล้ว
3.. การรักษาโรคนี้ไม่มีวิธีรักษาให้หาย
แต่มีวิธีบรรเทา โดย
3.1
ให้ยาคลายกล้ามเนื้อหูรูดปลายล่างหลอดอาหาร
ซึ่งมีสองกลุ่มคือ ยากลุ่มไนเตรท และกลุ่มยาต้านแคลเซียม
แต่การใช้ยามักมีอาการด้านยา คือนานไปแล้วได้ผลน้อยลง
3.2
ใช้บอลลูนเข้าไปขยายกล้ามเนื้อหูรูดปลายล่างหลอดอาหาร
3.3
ฉีดโบท็อกซ์ (botulinum toxin) เข้าไปที่กล้ามเนื้อหูรูดปลายล่างหลอดอาหาร เพื่อให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว
วิธีนี้ต้องมาทำซ้ำทุก 3 เดือนเพราะพอโบท็อกซ์หมดฤทธิ์อาการก็จะกลับเป็นอีก
3.4 ทำผ่าตัดกรีดกล้ามเนื้อหูรูดปลายล่างหลอดอาหาร (myotomy)
วิธีนี้บรรเทาอาการได้ 70-90%
โดยอาจทำควบกับการผ่าตัดเอากระเพาะอาหารมาหุ้มรอบหลอดอาหารเพื่อป้องกันกรดไหลย้อนขึ้นมา การผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดที่ออกแบบมาดี
แต่ก็มีผลแค่บรรเทาอาการเท่านั้น ไม่ได้ไปแก้รากของปัญหา คือความเสื่อมของปลายประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อหูรูด
ซึ่งจนเดียวนี้วงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบว่ามันเสื่อมเพราะอะไร
4.. ถามว่าไปรักษาที่ไหนดี
ก็โรงพยาบาลประกันสังคมของคุณนั่นแหละครับ ไม่งั้นจะมีบัตรประกันสังคมไปทำพรื้อละ อย่าไปตั้งธงว่ารพ.ประกันสังคมก็ดี
รพ.สามสิบบาทก็ดี จะรักษาโรคซีเรียสไม่ได้ รักษาได้แต่โรคหวัด นั่นเป็นวิธีคิดที่ไร้เดียงสาที่ไม่มีหลักฐานใดๆสนับสนุนเลยว่าเป็นอย่างนั้น
ทั้งระบบประกันสังคมและระบบสามสิบบาทมีโครงข่ายการปรึกษาส่งต่อผู้ป่วยที่ดีที่สุดในโลกเพราะฟรีทุกอย่างหรืออย่างมากก็แค่สามสิบบาท
จริงอยู่รพ.ประกันสังคมอาจจะต้องเจอด่านหน้าหมอเด็กๆซึ่งรับจ้างมานั่งชั่วโมงที่ดูเหมือนจะรีบปั่นคนไข้ให้ผ่านไปเร็วๆ แต่หมอก็คือหมอนะครับ มีลักษณะเหมือนกันหมดว่าเมื่อเจอโรคจริงๆแล้วก็จะหูผึ่ง สนใจ
ใคร่พิสูจน์ ใคร่รักษา แล้วหมอเด็กๆนะความรู้ทั่วไปโดยเฉลี่ยดีกว่าหมอแก่ๆอย่างผมนะครับ
โรคประหลาดๆนานๆเจอทีมักวินิจฉัยได้โดยหมอหน้าตาเด็กๆเนี่ยแหละเป็นส่วนใหญ่ นี่เรื่องจริง
เพราะหมอก็เหมือนเป๊ปซี่ ผลิตออกมาใหม่ๆเปิดปุ๊บก็จะซ่า..า.. แต่พอนานไปความซ่าจะค่อยๆลดลงๆ จนเหลือแต่ความคิดเดิมๆกับความสามารถในการขบปัญหาเดิมๆที่พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เว้นเสียแต่จะเป็นหมอแบบขยันเรียนเองอย่างต่อเนื่องอันนั้นเป็นข้อยกเว้น
วิธีทำงานร่วมกับหมอให้ได้ผลก็คือเตรียมการให้ข้อมูลคุณหมออย่างละเอียดแล้วนำเสนอให้ได้ในเวลาอันสั้น
นอกจากให้ข้อมูลประวัติแล้ว ก็บอกความเชื่อ (believe) ของเราไปด้วย ว่าเราสงสัยว่าตัวเองจะเป็น
achalasia cardia แล้วก็บอกความกังวลความอยาก (concern) ใดๆที่มีของเราไปด้วย เช่นบอกว่าเราอยากทำ barium swallow คุณหมอว่าดีไหมครับ
เพราะหมอนั้นหน้าที่ของเขาคือนอกจากจะรับฟังประวัติการเจ็บป่วยเพื่อวินิจฉัยโรคแล้ว
ยังต้องรับฟังความเชื่อและความกังวลของคนไข้เพื่อนำมาประกอบแผนการตรวจรักษาด้วย ดังนั้นคนไข้ก็ต้องเล่าความเชื่อและความกังวลของตัวเองให้คุณหมอฟังอย่างจะจะเป็นหัวข้อเป็นสาระตรงๆให้หมอเขาจับต้องได้ทันที
ถ้ามัวอ้อมไปอ้อมมา หมอจับประเด็นไม่ได้สักทีก็จะรวบรัดตัดบทง่ายๆแล้วจ่ายยาให้สามถุงเหมือนเดิม
จะไปว่าหมอก็ไม่ได้ เพราะคนไข้แยะขืนช้าก็อดกินข้าว
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์