อายุ 21 เป็นมะเร็ง Liposarcoma แล้วไปต่อไม่ถูก
อาจารย์คะ
หนูเพิ่งอายุ 21 ปี แต่เป็นมะเร็ง liposarcoma ที่ใกล้ขาหนีบ ตอนนี้ทำผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้ว แผลบะเร่อเลย หมอบอกว่าไม่ต้องคีโม ไม่ต้องฉายแสง หนูควรไปต่อไงดีคะ หนูเพิ่ง 21 เอง
.......................................
ฝนหมด กุหลาบติดดอก ได้เวลาถอนหญ้าอีกแล้ว |
ตอบครับ
1. liposarcoma แปลว่ามะเร็งของเซลล์ไขมัน คนละอันกับ lipoma ซึ่งแปลว่าก้อนเนื้องอกไขมันชนิดไม่ใช่มะเร็ง ทั่้งสองอย่างนี้เป็นคนละอันกัน ไม่ได้เป็นญาติกันด้วย หมายความว่ามะเร็ง liposarcoma ก็เกิดของมันเอง ไม่ได้เกิดต่อยอดบน lipoma
2. วิธีรักษามะเร็ง liposarcoma ที่เป็นมาตรฐานมีวิธีเดียวคือผ่าตัดออกแบบโหดๆกว้างๆเข้าไว้ ที่หมอของคุณเขาผ่าตัดแผลบะเริ่มนั่นแสดงว่าเขาทำตามหลักวิชาเป๊ะแล้ว
3. จบเรื่องกับแพทย์แล้ว การจะไปต่อของเราเอง ให้มองเรื่องอาหารก่อน ในแง่ของอาหารกับการเป็นมะเร็ง วงการแพทย์ยังไม่รู้ว่าอาหารแบบไหนทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้น อาหารแบบไหนทำให้มะเร็งหาย คือยังไม่รู้ว่าอาหารใดมีความสัมพันธ์เชิงเป็นสาเหตุ (causal relation) กับการเป็นมะเร็ง รู้แต่ว่ามีอาหารหลายอย่างที่หากกินมากจะพบร่วมกับการเป็นมะเร็งมากขึ้น เรียกว่ามีความสัมพันธ์กันแบบ association กันโดยที่ยังไม่รู้ว่ามันมีความเป็นเหตุเป็นผลต่อกันหรือเปล่า ทั้งนี้อาหารที่พบร่วมกับการเป็นมะเร็งมากขึ้นคือ (1) เนื้อสัตว์ที่ผ่านการบ่ม เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม (2) เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว (3) การเป็นคนอ้วน (4) การมีไขมันในเลือดสูง
4. งานวิจัยความสัมพันธ์ของอาหารในเชิงเป็นเหตุเป็นผลกับโรคมะเร็งมีอยู่แค่สองงาน คือ (1) งานวิจัยรักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยอาหารแบบวีแกน (กินแต่พืช ร่วมกับการปรับวิถีชีวิตอื่นด้วยเช่นออกกำลังกาย จัดการความเครียด มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว) เทียบกับกลุ่มอาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์อยู่ด้วย แล้วพบว่ากลุ่มกินอาหารแบบวีแกนมีสารชี้บ่งมะเร็ง (PSA) ลดลงมากกว่า (-4 vs +6) อัตราต้องไปผ่าตัดน้อยกว่า (0 vs 6) อัตราการขยายตัวของก้อนมะเร็งต่ำกว่า (9% vs 70%) ดังนั้นสรุปจากงานวิจัยนี้ได้แน่ชัดว่าอาหารวีแกนควบกับการปรับวิถีชีวิตใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมากได้ผลดีกว่ากินอาหารปกติ
5. งานวิจัยใช้อาหารมังสวิรัติ (plant-based diet) ควบกับยาล็อคเป้ารักษามะเร็งผิวหนังชนิดก้าวร้าว พบว่ากลุ่มที่ใช้อาหารมังสวิรัติควบกับยาให้ผลรักษามะเร็งผิวหนังดีกว่ากลุ่มใช้ยาล็อคเป้าอย่างเดียวโดยกินอาหารปกติ
หลักฐานเกี่ยวกับการใช้อาหารรักษามะเร็งที่เป็นหลักฐานที่เชื่อถือใด้จริงๆมีอยู่แค่นี้
6. อนึ่ง มีงานวิจัยชื่อ Radical Remission ของดร.ทางสังคมวิทยาคนหนึ่งชื่อเคลลี่ซึ่งไม่ใช่หมอ ทำวิจัยเชิงพรรณนาติดตามดูผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างราว 1500 คนที่หายจากมะเร็งแบบเหลือเชื่อ แล้วสรุปปัจจัยพบร่วมกับการหายจากมะเร็งจากมากไปหาน้อยออกมาเก้าปัจจัย คือ (1) เปลี่ยนอาหารที่เคยกิน ไปกินอาหารที่ไม่เคยกิน ซึ่งส่วนใหญ่เน้นเพิ่มการกินผักผลไม้ เลิกเนื้อสัตว์ น้ำตาล นมวัว แป้งขัดขาว (2) หันมารับผิดชอบดูแลตัวเองจริงจังโดยไม่หวังพึ่งใครอีกต่อไปแล้ว (3) เชื่อและทำตามปัญญาญาณ (intuition) ของตัวเองโดยไม่ฟังคำทัดทานทักท้วงใดๆทั้งสิ้น (4) ใช้พืชสมุนไพรในการรักษา (5) ปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างคาอยู่ในใจ (6) สร้างความคิดบวกและอารมณ์บวก (7) เปิดรับความเกื้อกูลทางสังคมจากคนอื่น (8) หันกลับไปหารากเหง้าทางจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือความเชื่อก็ตาม (9) บอกตัวเองได้อย่างหนักแน่นว่าทำไมจะต้องมีชีวิตอยู่ ทำไมจะต้องไม่ตาย
ทั้งนี้ต้องเข้าใจก่อนนะว่างานวิจัยของดร.เคลลี่ไม่ใช่หลักฐานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ที่จะใช้บอกว่าปัจจัยอะไรทำให้มะเร็งหาย แต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ในแง่ให้ไอเดียแก่เรากว้างๆว่าพ้นจากหลักฐานวิจัยทางการแพทย์ออกไปยังมีข้อมูลอีกส่วนหนึ่งซึ่งเราอาจเลือกเอามาทดลองกับตัวเองได้
7. ในแง่ของการใช้พืชสมุนไพรรักษามะเร็ง หลักฐานข้อมูลที่เรามีแน่นอนอยู่แล้วมีอย่างเดียวคือยาเคมีบำบัดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เกือบทั้งหมดเป็นโมเลกุลที่มาจากพืช ส่วนยาล็อคเป้านั้นเป็นสารที่ระบบภูมิคุ้มกันของคนหรือสัตว์สร้างขึ้น พูดง่ายๆว่าการรักษามะเร็งทุกวันนี้อาศัย (1) พืช กับ (2) การทำงานของระบบภุมิคุ้มกันของเราเอง ถ้าเราจะรักษามะเร็งด้วยตัวเองเราต้องมุ่งไปที่สองอย่างนี้
การใช้พืชรักษามะเร็งนอกจากพืชที่สกัดมาเป็นยาเคมีบำบัดได้เรียบร้อยแล้ววงการแพทย์ไม่มีความรู้เลยว่าพืชอย่างอื่นมีอะไรที่ใช้รักษามะเร็งได้บ้าง ข้อมูลของแพทย์แผนโบราณของชาติต่างๆก็กระท่อนกระแท่นสรุปอะไรไม่ได้ จึงเหลือวิธีเดียวคือเราต้องลองกับตัวเอง วิธีหนึ่งที่ปลอดภัยและผมแนะนำให้ลอง คือการกินพืช (รวมทั้งเห็ด) ให้หลากหลาย ความหลากหลายของพืชจำแนกโดยอาศัย (1) ฤดูกาลที่พืชนั้นเกิด (2) สีของพืชนั้น (3) รสชาติของพืชนั้น ดังนั้นผมแนะนำว่าทุกครั้งที่ขึ้นฤดูกาลใหม่ ให้ไปตลาดแล้วซื้อพืชทุกชนิดที่กินได้จากตลาดเอามาตัดอย่างละนิดละหน่อยปั่นเป็นน้ำหรือป่นเป็นผงกินเสียอย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง โดยวิธีนี้เราก็จะได้กินพืชที่หลากหลายครบถ้วนอย่างปลอดภัย
การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรรักษามะเร็งที่ระบุไว้ในสมุดข่อยหรือภูมิปัญญาโบราณนั้นผมไม่มีความรู้เลย แถมในวงการทั้งแพทย์แผนไทยแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่เคยมีรายงานการทดลองในผู้ป่วยอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนให้เห็นจริงจังเลยสักรายงานเดียว หากคุณอยากจะใช้ก็ต้องใช้ในลักษณะที่เป็นการทดลองกับตัวเอง ซึ่งหากอยากทดลองกับพืชอะไรคุณเขียนมาถามผมอีกทีได้ ผมจะได้ช่วยดูประเด็นความปลอดภัยให้ เพราะการกินพืชชนิดเดียวกินปริมาณมากและกินนานๆเรื่องความปลอดภัยจะเป็นกลายเป็นประเด็นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปลอดภัยต่ออวัยวะหลักเช่น ตับ ไต เป็นต้น
8. ในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันเราก็ทำในสิ่งที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ซึ่งวงการแพทย์รู้แล้วว่าได้แก่ (1) การนอนหลับที่ดีและพอ (2) กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายซึ่งก็คือพืชอีกนะแหละ (3) แสงแดด (4) การออกกำลังกาย (5) การคลายเครียด (6) การมีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบดีๆกับคนรอบตัว
9. อีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากให้คุณมองร่างกายนี้ด้วยมุมมองใหม่ ซึ่งเป็นมุมมองแบบวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ว่าเซลล์ทุกเซลล์สร้างขึ้นมาจากข้อมูล ข้อมูลนั้นถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ บรรจุอยู่ในโมเลกุลรหัสพันธุกรรมที่เรียกว่า DNA แต่ละเซลล์จะมีพฤติกรรมอย่างไรล้วนเป็นไปตามรหัสในโมเลกุลนี้ซึ่งอยู่ที่ใจกลางของแต่ละเซลล์ มันบรรจุข้อมูลไว้ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านข้อมูล ย้ำอีกทีนะว่าทุกเซลล์เกิดจากข้อมูล เซลล์มะเร็งก็เกิดจากข้อมูล เพราะเซลล์มะเร็งคือเซลล์ที่มีรหัสพันธุกรรมแบบถ่ายทอดคำสั่งผิดแผกไปจากเซลล์ปกติ นับถึงวันนี้วงการแพทย์รู้แน่ชัดว่าประมาณไม่เกิน 5% ของโรคเกิดจากรหัสพันธุกรรมจากบรรพบุรุษจริงๆ แต่อีก 95% นั้นเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุล DNA กับโมเลกุลสารเคมีอื่นในกระแสเลือดหรือในร่างกาย แล้วยังผลให้รหัสพันธุกรรมถ่ายทอดข้อมูลผิดเพี้ยนไป ปฏิกิริยานี้เรียกว่า epigenetic โมเลกุลในร่างกายที่มาทำปฏิกิริยากับ DNA ก็มีที่มาหลายทาง เช่น (1) ฮอร์โมนเครียดเช่นคอร์ติซอล อีพิเนฟริน ที่สูงขึ้นในกระแสเลือดเมื่อเราเครียด (2) ฮอร์โมนสุขเช่นเอ็นดอร์ฟิน ออกซีโตซินที่สูงขึ้นในกระแสเลือดเมื่อเราสุข (3) โมเลกุลจำนวนมากที่จุลินทรีย์ในลำไส้สร้างขึ้น (4) โมเลกุลจำนวนมากที่ได้จากอาหารหรือร่างกายเราเองสร้างขึ้นมาจากอาหาร (เช่นไขมันเลวหรือ LDL เป็นต้น) ประเด็นคือเมื่อข้อมูลจากรหัสพันธุกรรมถูกเปลี่ยนไปกลับไปกลับมา การสร้างเซลล์มะเร็งที่เคยเกิดขึ้นได้ก็จบลงได้ ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยปัจจัยที่ว่ามาทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งเกือบทั้งหมดมันเกี่ยวกับวิธีที่เราจะกินจะใช้ชีวิตอย่างไร ทั้งหมดนี้พูดเพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของการกินการใช้ชีวิตจากนี้ไปว่ามันจะมีผลต่อการหายจากมะเร็งของคุณ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์