โปรเจ็คเกษตรหลังตรง และคนจริงๆที่ลดโคเลสเตอรอลจาก 300 เหลือ 111 ด้วยตัวเอง
ขอถือโอกาสนี้บอกข่าวแฟนบล็อกว่าหมอสันต์จะหยุดงานหนึ่งเดือน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หยุดหมดไม่เขียนบล็อก ไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับอีเมล เพราะจะไปขับรถเที่ยวที่อลาสก้า แล้วจะปลีกวิเวกหลีกเร้น นั่งเรือเล็กๆไปนอนในเต้นท์หนังสัตว์ บนเกาะห่างไกล ที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำจืด ไม่มีใครทำอาหารให้กิน ต้องขนน้ำจืดและอาหารไปเอง ถ้ากลับออกมาได้แบบครบสามสิบสองก็จะแวะประชุมวิชาการของกลุ่มแพทย์สายกินพืชเป็นหลัก (Plant Based Nutrition Healthcare Conference) ที่เมืองโอ้คแลนด์อีกห้าวัน ซึ่งที่นั่นจะได้พบกับคนหน้าเดิมๆหลายๆคน รวมทั้งเอสซี่ (Dr. Caldwell Esselstyn ผู้เป็นคนแรกที่แสดงหลักฐานด้วยการสวนหัวใจซ้ำซากให้วงการแพทย์เห็นว่าโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นหายได้ด้วยวิธีกินอาหารพืชเป็นหลัก) กว่าผมจะกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้งก็โน่น..เดือนตุลาคม
บทความนี้จะเป็นบทสุดท้ายก่อนหยุดพักยาว จึงขอนำเสนอเรื่องไร้สาระก่อน คืออยู่มาวันหนึ่งผมเกิดมีความคิดว่าชีวิตตัวเองกำลังจะติดกับดักแบบสมภารเป็นห่วงวัดไปไหนไม่ได้ ผมจึงจะออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่ให้มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ชอบ ที่ชอบ และปล่อยชีวิตแบบสบาย สบาย มากขึ้น สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ "เกษตร" จริงอยู่ผมเคยทำ "เกษตรโลภมาก" จนเจ๊งหมดเงินไปหลายแล้ว หล้งจากนั้นก็มาทำ "เกษตรเสียเงิน" คือไม่โลภจะเอาเงินแต่ก็จ้างเขาทำหมด ตัวเองแค่ดูเพื่อความบันเทิงแบบว่าตัวเองไม่มีเวลาทำแต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ดูก็ยังดี แต่มันก็ยังไม่สะใจ ความโหยหาอยากทำเกษตรก็ยังไม่เลิกเพราะยังไม่มีโอกาสได้ทำด้วยมือตัวเองจริงจัง จึงตั้งใจว่าก่อนวีซ่าชีวิตจะหมดนี้นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่ให้มีเวลาได้สำรวจขุดค้นทำเรื่องหนุกหนานในรูปแบบของโปรเจ็คพิเศษที่นอกเหนือไปจากชีวิตรูทีนบ้าง แบบว่าโปรเจ็คเล็กๆกระจุ๊กกระจิ๊กโปรเจ็คต่อโปรเจ็คเรื่อยไปตราบใดที่เกษตรยังเป็นเรื่องถูกจริตอยู่ ผมเรียกโปรเจ็คในภาพใหญ่นี้ว่าการทำ "เกษตรวิถีชีวิต" แปลว่าการเกษตรในรูปแบบที่ไม่ใช่อาชีพขณะเดียวกันก็ไม่ทำแบบเอาเงินทุ่มเนรมิตเอาดื้อๆ แต่เน้นทำทุกอย่างด้วยมือตัวเองเพื่อความสนุกสนาน ทำไปทีละเล็กๆน้อยๆ โปรเจ็คหนึ่ง หมดแล้วก็ไปต่อโปรเจ็คสอง..เรื่อยไป
ทั้งนี้จะเริ่มด้วยโครงการปลูกผักกินเองที่บ้านกรุงเทพก่อน เคยเห็นชาวบ้านเขาปลูกผักบนโต๊ะยกสูงไม่ต้องก้มๆเงยๆ เข้าท่าดี อยากลองทำดูบ้าง จึงไปซื้อเหล็กแป๊บน้ำหกหุนมาต่อเป็นโต๊ะ เนื่องจากไม่มีปัญญาอ๊อกหรือเชื่อมเหล็กเอง จึงอาศัยให้ร้านเขาทำเกลียวที่ปลายท่อนแล้วเอาใส่หลังรถตัวเองเอามาขันเกลียวประกอบขึ้นเป็นแปลงผัก เพื่อนที่เป็นวิศวกรก็มีหลายคนแต่ผมไม่ยอมปรึกษาพวกเขาดอก กลัวเขาจะออกแบบลานบินมาให้ สู้แอบเลียนแบบชาวบ้านดีกว่า แต่จะเอาให้ลวกๆกว่าของชาวบ้านอีก คือเอาให้มันง่ายที่สุด ผมต่อแปลงปลูกยกสูงระดับสะดือตัวเอง ขนาดกว้าง 1 เมตรยาว 3 เมตร มีขาแค่สี่ขา พอทำไปแล้วก็พบว่าเหล็กหกหุนนี้หากช่วงเสายาวสามเมตรมันยาวเกินไป ยังไม่ทันเอาอะไรขึ้นวางเลยมันก็หนักตัวมันเองจนหย่อนตกท้องช้างเสียแล้ว ต้องเอาเศษไม้เล็กหน้าหนึ่งนิ้วซึ่งเผอิญมีอยู่ท่อนหนึ่งหลังบ้านมาตัดเป็นขาค้ำกันตกท้องช้างไว้อีกข้างละสองขา แล้วก็เอากระเบื้องลอนคู่อย่างบางหกแผ่นขึ้นวางเป็นพื้นแปลงตามตัวอย่างที่ชาวบ้านเขาทำเผยแพร่ในเน็ท แต่ผมไม่วางตงไม้หรืออ๊อกเหล็กไว้รองรับใต้ตัวกระเบื้องแน่นหนาอย่างชาวบ้านเขาดอก ชาวบ้านเขาคงกลัวกระเบื้องรับน้ำหนักดินไม่ไหวแล้วแตกหรือหักลง แต่หมอสันต์ไม่กลัว แค่พาดเหล็กแป๊บหกหุนหัวท้ายกระเบื้องก็พอแล้ว แตกไม่แตก หักไม่หัก เดี๋ยวรู้ นี่เป็นความตื่นเต้นท้าทายเล็กๆในชีวิต ขั้นต่อไปก็เอามุ้งพลาสติกสีน้ำเงินปูทับไว้เพื่อรองรับดินปลูก
เช้าวันรุ่งขึ้นผมคึกคักรีบลงมาทำโปรเจ็คนี้ต่อทั้งๆที่ยังทรงชุดนอนอยู่เลย ลงมือผสมดินปลูก ด้วยการเอาดินจริงๆหนึ่งส่วนผสมกับแกลบดิบสามส่วนคลุกๆกันขึ้นใส่บนแปลง กำลังง่วนทำงุดๆอยู่ เพื่อนบ้านซึ่งยังทรงชุดนอนอยู่เช่นกันก็โผล่ขึ้นมาที่ข้างรั้ว
"ทำอะไรแต่เช้าคะ คุณหมอ"
"อ๋อ..ผมกำลังทำโปรเจ็คเกษตรหลังตรงครับ"
ความจริงจะให้เต็มยศต้องเรียกชื่อโครงการนี้ว่า "โปรเจ็คเกษตรวิถีชีวิต (1) เกษตรหลังตรง" หมายความว่าเกษตรหลังตรงเป็นโครงการไร้สาระโครงการย่อยที่ 1 ซึ่งยังจะมี 2, 3, 4 .. ตามหลังมาอีกสุดแล้วแต่แรงบ้าของหมอสันต์จะพาไป ผมอธิบายให้เพื่อนบ้านฟังว่าชื่อนี้มาจากการที่ปลูกผักบนโต๊ะแบบนี้คนแก่จะได้ไม่ต้องก้มๆเงยๆให้หลังค่อม เธอชอบใจโปรเจ็คเกษตรหลังตรงของผมมากจนถึงกับเดินกลับไปเอาไอแพ็ดมาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
"แล้วดินที่มีแต่แกลบแค่นี้ผักมันจะโตเหรอคะ"
"ดินแกลบนี้ไม่ใช่ที่ที่ผักจะได้อาหารหรอกครับ แค่เป็นที่ให้มันงอกรากตั้งตรงได้เฉยๆ อาหารจริงๆนั้นจะมาจากปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการหมักอินทรีย์วัตถุซึ่งผมจะค่อยๆใส่ภายหลังเมื่อกล้าผักเริ่มตั้งตัวได้"
"ปุ๋ยหมักก็คือมูลสัตว์ใช่ไหมคะ ผักก็สกปรกมีพยาธิสิ"
"สุดแล้วแต่จะเอาอะไรหมักครับ ถ้าไม่ชอบมูลสัตว์ก็ใช้รำหมักแทนมูลสัตว์ก็ได้โดยใช้จุลินทรีย์ช่วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการหมักมูลสัตว์เช่น ขี้หมู ขี้วัว ขี้ไก่ กับเศษใบไม้ หมักกันจนใบไม้เปื่อย ปุ๋ยแบบนี้ไม่มีไข่พยาธิที่เป็นอันตรายต่อคนนะครับ เพราะพยาธิที่เป็นอันตรายต่อคนที่เรียกว่าตัวตืดนั้นวงจรชีวิตของมันมีสองวงจรโดยไม่เกี่ยวกับมูลสัตว์ วงจรหนึ่ง ก็คือเรากินเนื้อสัตว์ดิบๆเช่น หมู วัว ปลา ดิบๆ แล้วตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อสัตว์ไปโตเป็นแม่พยาธิในท้องเรา อีกวงจรหนึ่ง คือคน ผมหมายถึงมนุษย์ ที่มีพยาธิตัวตืดอยู่ในท้อง ได้ถ่ายเอาไข่พยาธิออกมาในอุจจาระ แล้วมีผู้เอาอุจจาระของคนที่มีไข่พยาธิอยู่นั้นมาราดรดผักเป็นปุ๋ย คนกินผักที่มีขี้ เอ๊ย..ขอโทษมีอุจจาระคนปนเปื้อนอยู่เข้าไป ไข่นั้นจะกลายเป็นตัวอ่อนในท้องแล้วไชไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆของคนที่กิน โดยเฉพาะที่สมอง แต่ผักของผมรับประกันไม่ใช้ขี้ เอ๊ย..ไม่ใช้อุจจาระคนรด เดี๋ยวผักของผมออกมาพี่กินได้"
"แล้วพวกบักเตรีที่ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ที่มากับมูลสัตว์ก็มีไม่ใช่หรือ"
"กระบวนการหมักปุ๋ยอินทรีย์มันให้ความร้อนมากนะครับ มากถึง 70 องศาขึ้นไป เรียกว่าไข่สุกเลย แล้วหมักกันนานร่วมสองเดือน พวกบักเตรีที่ก่อโรคได้จะตายหมด พิสูจน์ได้จากการเอาปุ๋ยหมักแบบนี้ไปเพาะเชื้อดูในห้องแล็บ ซึ่งมีคนทำกันครั้งแล้วครั้งเล่าและได้ผลเหมือนกัน คือไม่มีหรอกครับที่จะมีบักเตรีก่อโรงทางเดินอาหารในคนอยู่ในปุ๋ยหมักอินทรีย์"
"แล้วธาตุอาหารมันจะสู้ที่เขาปลูกแบบไฮโดรโปนิกได้หรือ"
"อ้าว ผักปลูกในดินแบบนี้สิครับมีธาตุอาหารมากกว่าที่ปลูกในน้ำ ที่สำคัญคือธาตุเล็กธาตุน้อยที่เรียกว่า trace element นั้นผักปลูกแบบนี้มีครบ ที่แม่โจ้เขาเคยเอาปุ๋ยหมักอินทรีย์วัตถุไปวิเคราะห์พบว่ามีธาตุเล็กธาตุน้อยที่จำเป็นทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโมลิบดินัม สังกะสี แมงกานีส และอื่นๆ มีครบหมด"
โอ.เค้. เอาดินปลูกขึ้นใส่บนโต๊ะเสร็จเรียบร้อย แถ่น..แทน..แท้น.. ผลปรากฎว่ากระเบื้องไม่หัก ฮี่..ฮี่ ได้ความรู้มาอีกหนึ่งอย่างแล้ว เสร็จภาคที่หนึ่งของโปรเจ็ค เอาแค่นี้ก่อน ภาคที่สองก็จะเป็นการเพาะกล้าผัก เอาไว้กลับจากเที่ยวแล้วค่อยมาเพาะเอง เพราะหากสั่งหรือฝากให้คนอื่นเพาะให้ก็จะผิดคอนเซ็พท์ของเกษตรวิถีชีวิต
จบบทความวันนี้แล้ว หิ หิ แต่เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่อุตส่าห์หลงเสียเวลาเข้ามาอ่านได้อะไรกลับบ้านเป็นเนื้อเป็นหนังบ้างนอกเหนือจากเรื่องไร้สาระ ผมขอลงจดหมายที่มีสาระของสมาชิก RDBY คนจริงๆตัวเป็นๆท่านหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก ข้างท้ายนี้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..................................................
ชีวิตเรา..ใครเป็นผู้กำหนด
เช่นเดียวกับคนทำงานทุกคนที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน ดื่มกาแฟเป็นอาหารเช้า กลางวันก็อาหารตามสั่งเลิกงานก็รีบกลับบ้าน หรือบางท่านก็แวะทานมื้อเย็นก่อนกลับบ้านเพราะหมดแรงจะไปทำอาหารเอง นอกจากนี้การนั่งทำงานทั้งวัน และไม่เคยออกกำลังกาย นี่แหละชีวิตของผู้เขียนก็เช่นกัน ยังโชคดีที่เรายังทำอาหารเองอยู่เสมอๆ แต่ก็ชอบทานขนมอบ เบอเกอรี่และของทอดมากๆทั้งหมดจึงเป็นที่มาของโคเลสเตอรอลสูง และตามมาด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ โคเลสเตอรอล 300 แต่ก็ยังไม่ใส่ใจยังคงใช้ชีวิตตามปกติต่อไป จนกระทั่งปลายปี 2560 มีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกเวลาออกแรง และใจสั่นในบางครั้ง จึงต้องนำพาตัวเองไปพบแพทย์ แพทย์สั่งตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเดินสายพาน สุดท้ายให้ทำเอ็กซเรย์ CTA หมอบอกว่า คุณเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ พร้อมกับทำใบนัดให้ไปทำบอลลูน
พระช่วย ทำ “ บอลลูน” นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราอยากได้ข้อมูลและคำอธิบายมากกว่านี้ และอยากได้ทางเลือกอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการรักษา ไม่ใช่รับคำสั่งให้ทำนั่นทำนี่เหมือนหุ่นยนต์
“ ชีวิตเรา เราเป็นผู้กำหนด”
เราจึงถอยมาตั้งหลัก และเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคและแนวทางการรักษาหลายๆแบบ จนกระทั่งสามีเอาคลิปของนพ.สันต์มาให้ดู จากนั้นก็ติดตามคลิปของคุณหมออีกหลายๆคลิป รู้ได้ทันทีว่านี่แหละคือสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ เป็นแนวทางที่มีเหตุผล และถูกจริตมากที่สุด
เข้าร่วมโครงการ RDBY
เราเข้าร่วมแคมป์ RDBY เมื่อสิงหาคม 2561 ด้วยความคิดที่ว่า ตัวเราเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยดังนั้นก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเองก่อน
RDBY แคมป์พลิกผันโรคด้วยตังเอง โดยคุณหมอสันต์ เป็นผู้อบรมให้ความรู้ พร้อมทีมงานที่คอยช่วยอำนวยการและสนับสนุน โดยมุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง life style ในด้าน อาหาร ออกกำลัง อารมณ์ ซึ่งคุณหมอมีข้อมูล ทฤษฏี ผลงานวิจัย สนับสนุนมากมาย โดยมีหลักใหญ่ใจความคือ
1)รับประทานพืชผักผลไม้เป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี งดน้ำมัน ลดเกลือ ลดน้ำตาล ลดขนมต่างๆ
2.)ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-50 นาที/วันด้วยการเดินเร็วหรือปั่นจักรยาน โยคะ และฝึกการทรงตัว
3.)จัดการกับอารมณ์ รับรู้และมองอย่างมีสติคิดบวก รู้เท่าทันอารมณ์ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ และความโกรธ
Gain And Loss
-lose weight ผลจากการเปลี่ยนพฤติกรรมทานผักผลไม้ ออกกำลังกายทำให้น้ำหนักหายไป 7 กก.
7/2/61 น้ำหนัก 68 กก.
9/2/62 น้ำหนัก 61 กก.
-gain wealth @health
ได้สุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง คล่องตัว
-lose อาการแน่นหน้าอก ห่างหายไปจนแทบไม่มีอาการเลยจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้ทำทุกวัน
-gain ผลเลือดเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะค่าไขมัน
คอเลสฯ 280 ลดเหลือ 111
LDL 238 ลดเหลือ 77
-gain ได้เมนูอาหารแสนอร่อยจากเชฟไวพจน์ และทีมงานในครัวเช่น ข้าวต้มธัญพืช แกงส้มผักรวม สลัดโรล
อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าตั้งใจ
คุณหมอสันต์ พร้อมทีมงานทุกท่าน ได้ทุ่มเทอบรมให้ความรู้ ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติ ชี้แนะและมีเกร็ดน้อยพร้อมเคล็ดลับต่างๆ เพื่อทำให้ผู้เข้าร่วมแคมป์ทุกท่านเข้าใจ และเห็นว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าตั้งใจ สุดท้ายต้องขอบคุณหมอสันต์และทีมงานทุกท่าน ที่ได้ใส่ใจดูแลมอบสิ่งดีๆให้เราและทำให้เราหันมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้
กรกนก เกียรติกำจร RDBY 9
15 พฤษภาคม 2562
ปล. (แถม)
ข้าวต้มถั่วธัญพืช
1.น้ำซุปผัก หรือน้ำเปล่า 3 ถ.
2.หอมใหญ่หั่นเต๋า ½ หัว
3.แครอทหั่นเต๋า ¼ ถ.
4.ไชเท้าหั่นเต๋า ¼ ถ.
5.ถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั่วดำ ถั่วลิสง ลูกเดือย แล้วแต่ชอบ แช่น้ำค้างคืนต้มให้สุก แล้วเก็บแยกเป็นชุดๆพอจะใช้ในแต่ละครั้ง นำเข้าช่อง freeze จขะเก็บไว้ได้นาน 4-6 วัน
6.ฟักทองหั่นเต๋า
7.เผือกหั่นเต๋า
8.ข้าวโพดแกะ
9.ผักชี ต้นหอม คื่นช่าย
ต้มน้ำให้ร้อนใส่หอมใหญ่ แครอท ไชเท้า ต้มจนเดือด ลงไฟลงปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาวต้มต่อสัก 2-3 นาที จะได้น้ำซุปทำตอนเย็นแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ไว้ใช้ตอนเช้าได้ค่ะ ประหยัดเวลาสำหรับผู้ที่เร่งรีบ
ได้น้ำซุปผักแล้ว ใส่ฟักทอง เผือก ข้าวโพดต้มสักครู่ ใส่ถั่วต้มไว้แล้วตามชอบ จากนั้นใส่ข้าวสวย(กล้อง) 1 ถ้วยลงไป พอเดือดก็ใส่ผักชีต้นหอมคื่นช่าย เป็นอันเสร็จค่ะ
*ถั่วต่างๆถ้าขี้เกียจสามาถหาซื้อได้ที่ fresh mart เดอะมอลล์ค่ะ
บทความนี้จะเป็นบทสุดท้ายก่อนหยุดพักยาว จึงขอนำเสนอเรื่องไร้สาระก่อน คืออยู่มาวันหนึ่งผมเกิดมีความคิดว่าชีวิตตัวเองกำลังจะติดกับดักแบบสมภารเป็นห่วงวัดไปไหนไม่ได้ ผมจึงจะออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่ให้มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ชอบ ที่ชอบ และปล่อยชีวิตแบบสบาย สบาย มากขึ้น สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ "เกษตร" จริงอยู่ผมเคยทำ "เกษตรโลภมาก" จนเจ๊งหมดเงินไปหลายแล้ว หล้งจากนั้นก็มาทำ "เกษตรเสียเงิน" คือไม่โลภจะเอาเงินแต่ก็จ้างเขาทำหมด ตัวเองแค่ดูเพื่อความบันเทิงแบบว่าตัวเองไม่มีเวลาทำแต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ดูก็ยังดี แต่มันก็ยังไม่สะใจ ความโหยหาอยากทำเกษตรก็ยังไม่เลิกเพราะยังไม่มีโอกาสได้ทำด้วยมือตัวเองจริงจัง จึงตั้งใจว่าก่อนวีซ่าชีวิตจะหมดนี้นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะออกแบบชีวิตตัวเองเสียใหม่ให้มีเวลาได้สำรวจขุดค้นทำเรื่องหนุกหนานในรูปแบบของโปรเจ็คพิเศษที่นอกเหนือไปจากชีวิตรูทีนบ้าง แบบว่าโปรเจ็คเล็กๆกระจุ๊กกระจิ๊กโปรเจ็คต่อโปรเจ็คเรื่อยไปตราบใดที่เกษตรยังเป็นเรื่องถูกจริตอยู่ ผมเรียกโปรเจ็คในภาพใหญ่นี้ว่าการทำ "เกษตรวิถีชีวิต" แปลว่าการเกษตรในรูปแบบที่ไม่ใช่อาชีพขณะเดียวกันก็ไม่ทำแบบเอาเงินทุ่มเนรมิตเอาดื้อๆ แต่เน้นทำทุกอย่างด้วยมือตัวเองเพื่อความสนุกสนาน ทำไปทีละเล็กๆน้อยๆ โปรเจ็คหนึ่ง หมดแล้วก็ไปต่อโปรเจ็คสอง..เรื่อยไป
ทั้งนี้จะเริ่มด้วยโครงการปลูกผักกินเองที่บ้านกรุงเทพก่อน เคยเห็นชาวบ้านเขาปลูกผักบนโต๊ะยกสูงไม่ต้องก้มๆเงยๆ เข้าท่าดี อยากลองทำดูบ้าง จึงไปซื้อเหล็กแป๊บน้ำหกหุนมาต่อเป็นโต๊ะ เนื่องจากไม่มีปัญญาอ๊อกหรือเชื่อมเหล็กเอง จึงอาศัยให้ร้านเขาทำเกลียวที่ปลายท่อนแล้วเอาใส่หลังรถตัวเองเอามาขันเกลียวประกอบขึ้นเป็นแปลงผัก เพื่อนที่เป็นวิศวกรก็มีหลายคนแต่ผมไม่ยอมปรึกษาพวกเขาดอก กลัวเขาจะออกแบบลานบินมาให้ สู้แอบเลียนแบบชาวบ้านดีกว่า แต่จะเอาให้ลวกๆกว่าของชาวบ้านอีก คือเอาให้มันง่ายที่สุด ผมต่อแปลงปลูกยกสูงระดับสะดือตัวเอง ขนาดกว้าง 1 เมตรยาว 3 เมตร มีขาแค่สี่ขา พอทำไปแล้วก็พบว่าเหล็กหกหุนนี้หากช่วงเสายาวสามเมตรมันยาวเกินไป ยังไม่ทันเอาอะไรขึ้นวางเลยมันก็หนักตัวมันเองจนหย่อนตกท้องช้างเสียแล้ว ต้องเอาเศษไม้เล็กหน้าหนึ่งนิ้วซึ่งเผอิญมีอยู่ท่อนหนึ่งหลังบ้านมาตัดเป็นขาค้ำกันตกท้องช้างไว้อีกข้างละสองขา แล้วก็เอากระเบื้องลอนคู่อย่างบางหกแผ่นขึ้นวางเป็นพื้นแปลงตามตัวอย่างที่ชาวบ้านเขาทำเผยแพร่ในเน็ท แต่ผมไม่วางตงไม้หรืออ๊อกเหล็กไว้รองรับใต้ตัวกระเบื้องแน่นหนาอย่างชาวบ้านเขาดอก ชาวบ้านเขาคงกลัวกระเบื้องรับน้ำหนักดินไม่ไหวแล้วแตกหรือหักลง แต่หมอสันต์ไม่กลัว แค่พาดเหล็กแป๊บหกหุนหัวท้ายกระเบื้องก็พอแล้ว แตกไม่แตก หักไม่หัก เดี๋ยวรู้ นี่เป็นความตื่นเต้นท้าทายเล็กๆในชีวิต ขั้นต่อไปก็เอามุ้งพลาสติกสีน้ำเงินปูทับไว้เพื่อรองรับดินปลูก
เช้าวันรุ่งขึ้นผมคึกคักรีบลงมาทำโปรเจ็คนี้ต่อทั้งๆที่ยังทรงชุดนอนอยู่เลย ลงมือผสมดินปลูก ด้วยการเอาดินจริงๆหนึ่งส่วนผสมกับแกลบดิบสามส่วนคลุกๆกันขึ้นใส่บนแปลง กำลังง่วนทำงุดๆอยู่ เพื่อนบ้านซึ่งยังทรงชุดนอนอยู่เช่นกันก็โผล่ขึ้นมาที่ข้างรั้ว
เหล็กแป๊บหกหุนรองหัวท้ายกระเบื้องก็พอ หักไม่หัก เดี๋ยวรู้ |
"ทำอะไรแต่เช้าคะ คุณหมอ"
"อ๋อ..ผมกำลังทำโปรเจ็คเกษตรหลังตรงครับ"
ความจริงจะให้เต็มยศต้องเรียกชื่อโครงการนี้ว่า "โปรเจ็คเกษตรวิถีชีวิต (1) เกษตรหลังตรง" หมายความว่าเกษตรหลังตรงเป็นโครงการไร้สาระโครงการย่อยที่ 1 ซึ่งยังจะมี 2, 3, 4 .. ตามหลังมาอีกสุดแล้วแต่แรงบ้าของหมอสันต์จะพาไป ผมอธิบายให้เพื่อนบ้านฟังว่าชื่อนี้มาจากการที่ปลูกผักบนโต๊ะแบบนี้คนแก่จะได้ไม่ต้องก้มๆเงยๆให้หลังค่อม เธอชอบใจโปรเจ็คเกษตรหลังตรงของผมมากจนถึงกับเดินกลับไปเอาไอแพ็ดมาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
"แล้วดินที่มีแต่แกลบแค่นี้ผักมันจะโตเหรอคะ"
"ดินแกลบนี้ไม่ใช่ที่ที่ผักจะได้อาหารหรอกครับ แค่เป็นที่ให้มันงอกรากตั้งตรงได้เฉยๆ อาหารจริงๆนั้นจะมาจากปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการหมักอินทรีย์วัตถุซึ่งผมจะค่อยๆใส่ภายหลังเมื่อกล้าผักเริ่มตั้งตัวได้"
"ปุ๋ยหมักก็คือมูลสัตว์ใช่ไหมคะ ผักก็สกปรกมีพยาธิสิ"
"สุดแล้วแต่จะเอาอะไรหมักครับ ถ้าไม่ชอบมูลสัตว์ก็ใช้รำหมักแทนมูลสัตว์ก็ได้โดยใช้จุลินทรีย์ช่วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการหมักมูลสัตว์เช่น ขี้หมู ขี้วัว ขี้ไก่ กับเศษใบไม้ หมักกันจนใบไม้เปื่อย ปุ๋ยแบบนี้ไม่มีไข่พยาธิที่เป็นอันตรายต่อคนนะครับ เพราะพยาธิที่เป็นอันตรายต่อคนที่เรียกว่าตัวตืดนั้นวงจรชีวิตของมันมีสองวงจรโดยไม่เกี่ยวกับมูลสัตว์ วงจรหนึ่ง ก็คือเรากินเนื้อสัตว์ดิบๆเช่น หมู วัว ปลา ดิบๆ แล้วตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อสัตว์ไปโตเป็นแม่พยาธิในท้องเรา อีกวงจรหนึ่ง คือคน ผมหมายถึงมนุษย์ ที่มีพยาธิตัวตืดอยู่ในท้อง ได้ถ่ายเอาไข่พยาธิออกมาในอุจจาระ แล้วมีผู้เอาอุจจาระของคนที่มีไข่พยาธิอยู่นั้นมาราดรดผักเป็นปุ๋ย คนกินผักที่มีขี้ เอ๊ย..ขอโทษมีอุจจาระคนปนเปื้อนอยู่เข้าไป ไข่นั้นจะกลายเป็นตัวอ่อนในท้องแล้วไชไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆของคนที่กิน โดยเฉพาะที่สมอง แต่ผักของผมรับประกันไม่ใช้ขี้ เอ๊ย..ไม่ใช้อุจจาระคนรด เดี๋ยวผักของผมออกมาพี่กินได้"
"แล้วพวกบักเตรีที่ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ที่มากับมูลสัตว์ก็มีไม่ใช่หรือ"
"กระบวนการหมักปุ๋ยอินทรีย์มันให้ความร้อนมากนะครับ มากถึง 70 องศาขึ้นไป เรียกว่าไข่สุกเลย แล้วหมักกันนานร่วมสองเดือน พวกบักเตรีที่ก่อโรคได้จะตายหมด พิสูจน์ได้จากการเอาปุ๋ยหมักแบบนี้ไปเพาะเชื้อดูในห้องแล็บ ซึ่งมีคนทำกันครั้งแล้วครั้งเล่าและได้ผลเหมือนกัน คือไม่มีหรอกครับที่จะมีบักเตรีก่อโรงทางเดินอาหารในคนอยู่ในปุ๋ยหมักอินทรีย์"
"แล้วธาตุอาหารมันจะสู้ที่เขาปลูกแบบไฮโดรโปนิกได้หรือ"
"อ้าว ผักปลูกในดินแบบนี้สิครับมีธาตุอาหารมากกว่าที่ปลูกในน้ำ ที่สำคัญคือธาตุเล็กธาตุน้อยที่เรียกว่า trace element นั้นผักปลูกแบบนี้มีครบ ที่แม่โจ้เขาเคยเอาปุ๋ยหมักอินทรีย์วัตถุไปวิเคราะห์พบว่ามีธาตุเล็กธาตุน้อยที่จำเป็นทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโมลิบดินัม สังกะสี แมงกานีส และอื่นๆ มีครบหมด"
โอ.เค้. เอาดินปลูกขึ้นใส่บนโต๊ะเสร็จเรียบร้อย แถ่น..แทน..แท้น.. ผลปรากฎว่ากระเบื้องไม่หัก ฮี่..ฮี่ ได้ความรู้มาอีกหนึ่งอย่างแล้ว เสร็จภาคที่หนึ่งของโปรเจ็ค เอาแค่นี้ก่อน ภาคที่สองก็จะเป็นการเพาะกล้าผัก เอาไว้กลับจากเที่ยวแล้วค่อยมาเพาะเอง เพราะหากสั่งหรือฝากให้คนอื่นเพาะให้ก็จะผิดคอนเซ็พท์ของเกษตรวิถีชีวิต
จบบทความวันนี้แล้ว หิ หิ แต่เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่อุตส่าห์หลงเสียเวลาเข้ามาอ่านได้อะไรกลับบ้านเป็นเนื้อเป็นหนังบ้างนอกเหนือจากเรื่องไร้สาระ ผมขอลงจดหมายที่มีสาระของสมาชิก RDBY คนจริงๆตัวเป็นๆท่านหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก ข้างท้ายนี้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..................................................
ชีวิตเรา..ใครเป็นผู้กำหนด
เช่นเดียวกับคนทำงานทุกคนที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน ดื่มกาแฟเป็นอาหารเช้า กลางวันก็อาหารตามสั่งเลิกงานก็รีบกลับบ้าน หรือบางท่านก็แวะทานมื้อเย็นก่อนกลับบ้านเพราะหมดแรงจะไปทำอาหารเอง นอกจากนี้การนั่งทำงานทั้งวัน และไม่เคยออกกำลังกาย นี่แหละชีวิตของผู้เขียนก็เช่นกัน ยังโชคดีที่เรายังทำอาหารเองอยู่เสมอๆ แต่ก็ชอบทานขนมอบ เบอเกอรี่และของทอดมากๆทั้งหมดจึงเป็นที่มาของโคเลสเตอรอลสูง และตามมาด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ โคเลสเตอรอล 300 แต่ก็ยังไม่ใส่ใจยังคงใช้ชีวิตตามปกติต่อไป จนกระทั่งปลายปี 2560 มีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกเวลาออกแรง และใจสั่นในบางครั้ง จึงต้องนำพาตัวเองไปพบแพทย์ แพทย์สั่งตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเดินสายพาน สุดท้ายให้ทำเอ็กซเรย์ CTA หมอบอกว่า คุณเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ พร้อมกับทำใบนัดให้ไปทำบอลลูน
พระช่วย ทำ “ บอลลูน” นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราอยากได้ข้อมูลและคำอธิบายมากกว่านี้ และอยากได้ทางเลือกอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการรักษา ไม่ใช่รับคำสั่งให้ทำนั่นทำนี่เหมือนหุ่นยนต์
“ ชีวิตเรา เราเป็นผู้กำหนด”
เราจึงถอยมาตั้งหลัก และเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคและแนวทางการรักษาหลายๆแบบ จนกระทั่งสามีเอาคลิปของนพ.สันต์มาให้ดู จากนั้นก็ติดตามคลิปของคุณหมออีกหลายๆคลิป รู้ได้ทันทีว่านี่แหละคือสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ เป็นแนวทางที่มีเหตุผล และถูกจริตมากที่สุด
เข้าร่วมโครงการ RDBY
เราเข้าร่วมแคมป์ RDBY เมื่อสิงหาคม 2561 ด้วยความคิดที่ว่า ตัวเราเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยดังนั้นก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเองก่อน
RDBY แคมป์พลิกผันโรคด้วยตังเอง โดยคุณหมอสันต์ เป็นผู้อบรมให้ความรู้ พร้อมทีมงานที่คอยช่วยอำนวยการและสนับสนุน โดยมุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง life style ในด้าน อาหาร ออกกำลัง อารมณ์ ซึ่งคุณหมอมีข้อมูล ทฤษฏี ผลงานวิจัย สนับสนุนมากมาย โดยมีหลักใหญ่ใจความคือ
1)รับประทานพืชผักผลไม้เป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี งดน้ำมัน ลดเกลือ ลดน้ำตาล ลดขนมต่างๆ
2.)ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30-50 นาที/วันด้วยการเดินเร็วหรือปั่นจักรยาน โยคะ และฝึกการทรงตัว
3.)จัดการกับอารมณ์ รับรู้และมองอย่างมีสติคิดบวก รู้เท่าทันอารมณ์ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ และความโกรธ
Gain And Loss
-lose weight ผลจากการเปลี่ยนพฤติกรรมทานผักผลไม้ ออกกำลังกายทำให้น้ำหนักหายไป 7 กก.
7/2/61 น้ำหนัก 68 กก.
9/2/62 น้ำหนัก 61 กก.
-gain wealth @health
ได้สุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง คล่องตัว
-lose อาการแน่นหน้าอก ห่างหายไปจนแทบไม่มีอาการเลยจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้ทำทุกวัน
-gain ผลเลือดเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะค่าไขมัน
คอเลสฯ 280 ลดเหลือ 111
LDL 238 ลดเหลือ 77
-gain ได้เมนูอาหารแสนอร่อยจากเชฟไวพจน์ และทีมงานในครัวเช่น ข้าวต้มธัญพืช แกงส้มผักรวม สลัดโรล
อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าตั้งใจ
คุณหมอสันต์ พร้อมทีมงานทุกท่าน ได้ทุ่มเทอบรมให้ความรู้ ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติ ชี้แนะและมีเกร็ดน้อยพร้อมเคล็ดลับต่างๆ เพื่อทำให้ผู้เข้าร่วมแคมป์ทุกท่านเข้าใจ และเห็นว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าตั้งใจ สุดท้ายต้องขอบคุณหมอสันต์และทีมงานทุกท่าน ที่ได้ใส่ใจดูแลมอบสิ่งดีๆให้เราและทำให้เราหันมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้
กรกนก เกียรติกำจร RDBY 9
15 พฤษภาคม 2562
ปล. (แถม)
ข้าวต้มถั่วธัญพืช
1.น้ำซุปผัก หรือน้ำเปล่า 3 ถ.
2.หอมใหญ่หั่นเต๋า ½ หัว
3.แครอทหั่นเต๋า ¼ ถ.
4.ไชเท้าหั่นเต๋า ¼ ถ.
5.ถั่วแดง,ถั่วเขียว,ถั่วดำ ถั่วลิสง ลูกเดือย แล้วแต่ชอบ แช่น้ำค้างคืนต้มให้สุก แล้วเก็บแยกเป็นชุดๆพอจะใช้ในแต่ละครั้ง นำเข้าช่อง freeze จขะเก็บไว้ได้นาน 4-6 วัน
6.ฟักทองหั่นเต๋า
7.เผือกหั่นเต๋า
8.ข้าวโพดแกะ
9.ผักชี ต้นหอม คื่นช่าย
ต้มน้ำให้ร้อนใส่หอมใหญ่ แครอท ไชเท้า ต้มจนเดือด ลงไฟลงปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาวต้มต่อสัก 2-3 นาที จะได้น้ำซุปทำตอนเย็นแล้วเก็บเข้าตู้เย็น ไว้ใช้ตอนเช้าได้ค่ะ ประหยัดเวลาสำหรับผู้ที่เร่งรีบ
ได้น้ำซุปผักแล้ว ใส่ฟักทอง เผือก ข้าวโพดต้มสักครู่ ใส่ถั่วต้มไว้แล้วตามชอบ จากนั้นใส่ข้าวสวย(กล้อง) 1 ถ้วยลงไป พอเดือดก็ใส่ผักชีต้นหอมคื่นช่าย เป็นอันเสร็จค่ะ
*ถั่วต่างๆถ้าขี้เกียจสามาถหาซื้อได้ที่ fresh mart เดอะมอลล์ค่ะ
............................................