ต้องมาเจ็บปวดขนาดนี้เพื่อใช้ชีวิตด้วยหรือ
หนูอายุ 27ปีนี้ค่ะ หนูเป็นคนที่อารมณ์ แปรปรวน รักมาก เกลียดมาก และโมโหร้าย หงุดหงิด คิดมากกับทุกสิ่งอย่าง เพราะความคิดมากกับทุกอย่างเมื่อช่วงที่เรียนมหาลัยเหมือนนรกของหนู เข้ากับเพื่อนไม่ได้เลย หนูมักรู้สึกว่าเพื่อนบางคนน่าจะไม่ชอบหนู(มักตีความอะไรๆไปในแง่ลบ) หนูเลยกลายเปนคนโดดเดี่ยว ไม่ค่อยคุยกับใคร การเรียน ไม่ได้ไม่อยากเรียน แต่ต้องทำ ดันด้นจนจบสัตวแพทย์ ในช่วงเรียนเคยอยากตาย หลายครั้ง เคยเตรียมการ วางแผน รุ่สึกว่า โลกนี้มันทรมานไป ไม่รุ้จะอยุ่ไปทำไม ประกอบกับเปนคนไม่เชื่อในโลกหน้า คิดว่าตายแล้วจบหมด เลยยิ่งอยากตายเมื่อเจอปัญหา
ตอนเรียนก้อเข้ารับยารักษาโรคซึมเศร้าที่ ..... จว. ....มีกินบ้างขาดบ้าง เล็กน้อย มาเป็นหนักๆอีกเมื่อเจอปันหาที่ทำงานหลังเรียนจบ ไปรักษาสมเด็จเจ้าพระยาที่ กทม เขาบอกว่าอาการคล้ายทั้งไบโพล่า และซึมเศร้าร่วมด้วย
คุณหมอคะ วันนี้มันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ หนูรู้สึกเหนื่อยกับชีวิต หนูขอปรึกษาที หนูเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ จะปากสั่นเสียงสั่น ขึ้นเสียง มันทำให้หนูกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไร้เหตุผล ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย หนูมักจะมาคิดได้ทีหลังจากนั้นสักพัก ว่าถ้าแค่อธิบาย ชี้แจงด้วยเหตุผล น้ำเสียงดีๆ เรื่องคงไม่จบแบบนั้น เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากมายหลายครั้ง ทำให้ชีวิตหนูพังตุปัดตุเปล่ ไม่เปนท่าภายใน2ปีที่เรียนจบ เปลี่ยนที่ทำงาน 4 ที่แล้ว เคยแม้เตะฝุ่นโดยตั้งใจ นอนเล่นยุห้องสามเดือนเพราะเบื่อชีวิต เพราะหนูควบคุมตัวเองไม่ได้ ฮือๆ พยายามฟังธรรมมะ ก้อไม่ได้ช่วยหนูมากนัก หนูกลัวมากค่ะ กลัวต้องตกงานอีกครั้ง แม่หนูต้องเสียใจแน่ ญาติๆ ชาวบ้านคงมองหนูแย่ หนูไม่อยากออกไปจากที่ทำงานนี้ แต่เจ้านายเหมือนเริ่มเห้นความผิดปกติ ตอนหนูทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ทำไมหนูต้องปากสั่น เสียงสั่น กับอีแค่เรื่องเล็กน้อย ใครๆคงคิดว่าหนูบ้าแน่เลย
ขอบคุณคุณหมอที่อ่านค่ะ ถ้าหนูเขียนวกวนตามอารมตอนนี้ขอโทษด้วยค่ะ
ปล.
หนูลืมบอกสิ่งที่อยากรบกวนคุณหมอ คือหนูอยากขอคำปรึกษา ว่าหนูควรใช้ชีวิตต่อไปยังไง หนูควรฝึก แก้ไขนิสัยเจ้าอารมณ์นี่ได้ยังไง หนูอยากเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ค่ะ ทำไมชีวิตหนูถึงล้มครั้งแล้วครั่งเล่า มันเจ็บ มันทรมานจริงๆค่ะ รักษากินยาทำไมมันไม่หาย มันเดวดีๆ เดวร้าย จนขนาดตัวหนูเองยังรู้สึกค่ะ ถ้าหนูต้องออกจากที่นี้อีก หนูคิดว่ารอบนี้คงยืนอีกไม่ไหว มันจำเป็นที่คนเราต้องมาเจ็บปวดขนาดนี้เพื่อใช้ชีวิตด้วยหรอ หนูคงอยากหายสลายไปมากกว่าค่ะ รบกวนช่วยชี้แนวทางชีวิตทีค่ะ หนูมืดมนไปหมดแล้ว ไม่รุ่ว่าจะทำยังไงแล้วค่ะ
...........................................
ตอบครับ
1. ถามว่าหาจิตแพทย์ก็แล้ว กินยาก็แล้ว ทำไมนิสัยเจ้าอารมณ์ไม่หาย ตอบว่านิสัยคนเนี่ยมันไม่มียาแก้นะครับ เพราะ..
นิสัยมันมีเหตุมาจากการกระทำซ้ำๆซากๆ
การกระทำซ้ำๆซากๆมีเหตุมาจากการคิดซ้ำๆซากๆ
การคิดซ้ำๆซากๆมีเหตุมาจากการถูกดูดเข้าไปอยู่ในวังวนของความคิดโดยไม่รู้ตัว
การถูกดูดมีเหตุมาจากการขาดสติที่จะตั้งหลักเฝ้าดูความคิดจากข้างนอก
การจะแก้ปัญหานิสัยไม่ดีก็ต้องย้อนไปตั้งต้นที่สนามหลวง คือต้องฝึกสติเพื่อให้สามารถตั้งหลักเฝ้าดูความคิดจากข้างนอก (aware of a thought) ให้ได้
แต่ที่ผมว่าไม่มียาแก้นิสัยไม่ดีนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าการใช้ยาไม่ดีนะครับ เพราะถ้าไม่มียา ป่านฉะนี้เราคงจะต้องล่ามโซ่คนป่วยในโรงพยาบาลโรคจิตเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อความคิดซ้ำซากมันแรงถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรมะ พระ เถร เณร ชี ก็เอาไม่อยู่ กระเจิงหมด เหลือแต่ยาแรงๆ หรือไม่ก็จับช็อกสมองด้วยไฟฟ้าเท่านั้น จึงจะเอาอยู่
พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ประมาณพ.ศ. 2523 ผมหมุนเวียนไปเป็นอินเทอร์น (แพทย์ฝึกหัด) ที่โรงพยาบาลหลังคาแดง (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาคนบ้า วิธีการรักษาสมัยนั้นก็มีสาระพัดตั้งแต่ให้กินยา พูดคุยด้วย ให้เข้ากลุ่มทำกิจกรรม ถ้าวิธีไหนก็เอาไม่อยู่ก็ไปใช้วิธีสุดท้ายคือ จับช็อกไฟฟ้า ช็อก ช็อก ช็อก ให้ชักแด๊ก แด๊ก แด๊ก จากคนที่ซ่าๆให้กลายเป็นคนจ๋อยไปเลย คนไข้คนหนึ่งแกซ่าสุดฤทธิ์ หนีจากวอร์ดปีนขึ้นไปปราศัยกับฝูงชนอยู่บนยอดต้นไม้นู้น ต้องให้กทม.เอารถกระเช้ามาอัญเชิญท่านลงมา เมื่อได้ยืนในกระเช้าแล้วท่านก็ยังยืนเกาะขอบกระเช้าทำท่าแบบท่านผู้นำฮิตเลอร์ตะโกนปราศัยกับฝูงชนที่มารอลุ้นอยู่ข้างล่างอีกเสียงดังลั่นว่า..
"พี่น้องทั้งหลาย..ย"
อาจารย์ถึงกับส่ายหัวแล้วหันมาพยักหน้าให้ผมกับบุรุษพยาบาล พอยานของท่านผู้นำแลนดิ้งลงถึงพื้น พวกเราที่ประกอบด้วยอินเทอร์นผู้ชายและบุรุษพยาบาลก็เข้าประกบหามสี่พาท่านผู้นำตรงไปยังห้องช็อกสมองด้วยไฟฟ้า..ตามระเบียบ
พอวันรุ่งขึ้นผมไปราวด์เห็นเขาจ๋อยลงจนกลายเป็นคนธรรมดาแล้ว จึงสั่งให้บุรุษพยาบาลเอาโซ่ที่ล่ามขาเขาออก เขายกมือไหว้ขอบคุณผม ผมถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ เขาตอบว่า
"คณะทหาร จับตัวผมไปช็อกไฟฟ้านับสิบหน ดีที่ผมรอดมาได้"
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
2. ถามว่าจะฝึกแก้นิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ แปรปรวน รักมาก เกลียดมาก โมโหร้าย หงุดหงิด อย่างไรดี ตอบว่าก็อย่างที่พูดไปข้างต้นแล้วนั่นแหละครับ ว่าต้องไปตั้งต้นที่การฝึกสติ ตั้งต้นอย่างไรนี่เรื่องมันยาว เราคงเจาะลึกที่นี่ไม่ได้ ในกรณีของคุณนี้ ผมยังไม่แนะนำให้เข้าวัด เพราะคุณจะทำเอาพระกระเจิง ผมแนะนำให้คุณไปรับการรักษากับจิตแพทย์สักคนหนึ่งก่อนดีกว่า อย่าไปรังเกียจจิตแพทย์ เพราะจิตแพทย์คือกัลยาณมิตรของคนไร้เพื่อน ใหม่ๆให้คุณใจเย็นๆยอมกินยาที่หมอให้อย่างสม่ำเสมอไปก่อน ทำตามที่คุณหมอเขาแนะนำ พอได้จังหวะก็ถามหมอว่าคุณจะลองไปเข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรมได้ไหม ถ้าคุณหมอสนับสนุนก็ไปขั้นที่สอง คือไปฝึกสติที่วัดหรือที่สถานปฏิบัติธรรม
3. ถามว่าเข้ากับใครก็ไม่ได้จะทำอย่างไรดี ตอบว่าการเข้ากับคนอื่นไม่ได้ เป็นเพราะใจเราไปจมปลักอยู่ใน "อีโก้" ของเราซึ่งมีนิสัยชอบตัดสินหรือพิพากษาคนอื่น เนื่องจากคุณเป็นสัตว์แพทย์ การจะแก้นิสัยนี้ผมแนะนำให้คุณเริ่มกับหมา แมว หรือจะให้ดีกว่านั้น หากคุณเป็นสัตว์แพทย์หากินอยู่แถวมวกเหล็กปากช่อง ผมแนะนำให้เริ่มกับวัวก่อน ลองเข้ากับวัวให้ได้ก่อน วัวมันไม่พิพากษาไม่ตัดสินคุณอยู่แล้วว่าคุณสวยหรือไม่สวย น่ารักไม่น่ารัก แต่คุณก็อย่าไปเผลอพิพากษาหรือตัดสินวัวก็แล้วกัน คือให้มองหน้าวัวด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาให้ได้ก่อน
หลักมีอยู่ว่าให้เข้าใจสิ่งรอบตัวก่อน แล้วให้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว ณ ขณะนี้ ถ้าเป็นคริสเตียนเขามีหลักว่าก็ในเมื่อมันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าซะอย่าง ไม่ว่าพระเจ้าจะจัดอะไรมาให้ก็โอเค.หมดแหละ พอคุณเข้ากับวัวได้แล้วคุณก็ไปลองเข้ากับแมว แล้วถึงค่อยไปลองเข้ากับหมา เพราะหมาบางตัวมันก็ติดนิสัยคนซึ่งอาจจะกวนโอ๊ยคุณได้เหมือนกัน เมื่อคุณเข้ากับแมวหมาได้ก็จะเป็นเบสิกให้คุณเข้ากับคนได้ เพราะเมื่อเราเข้าใจเขาว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นพูดอย่างนั้น เราก็จะไม่ปรี๊ดแตก อย่างถ้ามีคนบ้ามาชี้หน้าด่าคุณฉอด ฉอด ฉอด คุณโกรธไหมละ คุณไม่โกรธเพราะว่าคุณเข้าใจว่าเขาพูดอะไรปากไม่มีหูรูดเพราะเขาบ้า คนเราทุกคนก็มี issue หรือมีความคิดในหัวของเขาเองทั้งนั้นแหละ บ้างก็บ้า คือบ้าจริงๆ บ้างก็ขี้งก บ้างก็ขี้ฉ้อ บ้างก็ขี้อิจฉา บ้างก็ขี้กลัว ความคิดเหล่านี้ทำให้เขาพูดหรือทำกับเราอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเราเข้าใจเขาเหมือนที่เราเข้าใจวัว เข้าใจหมา เข้าใจแมว เมื่อประกอบกับโลกทัศน์พื้นฐานที่จะยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่รอบตัวเรา ณ เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน เราก็จะไม่ปรี๊ดแตก
4. ถามว่าหนูควรใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดี ตอบว่านอกจากจะฝึกสติ ฝึกเข้ากับหมาแมวและคนแล้ว ให้เริ่มชีวิตในแต่ละวันด้วยการหัดขอบคุณสิ่งดีๆรอบๆตัวคุณบ้าง อย่างน้อยอากาศสดๆที่มีให้คุณหายใจนี่ก็เป็นสิ่งดีๆใช่แมะ ลองขอบคุณอากาศก่อน หญ้าเขียวๆนอกหน้าต่างนี่ก็ทำให้คุณสบายตา ขอบคุณหญ้าเขาเสียหน่อยสิ แล้วก็ค่อยๆลามไปเอ่ยขอบคุณคนที่เขาดีกับคุณ แล้วก็ค่อยๆลามไปขอโทษ คนที่คุณคิดว่าคุณพูดแรงไปแล้วทำให้เขาเป็นทุกข์หรือเสียใจ ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา อย่าลืมมองหาสิ่งดีๆ แล้วขอบคุณ ถ้ามีความรู้สึกค้างคาว่าเราไปพูดไม่ดีกับใครไว้ ไปขอโทษเขาซะ แล้วใช้ชีวิตอยู่แต่ในวันนี้ อย่าไปคิดเสียใจกับการกระทำของเราในอดีต อย่าไปไกลถึงอนาคตว่านายรู้ไต๋ว่าเราบ้า นายต้องไล่เราออกแน่ อดีตและอนาคตมันไม่มีอยู่จริง ชีวิตเราดำรงอยู่ในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ตอนคุณปรี๊ดแตกนั้นเป็นเพราะใจคุณไปอยู่ในความคิดซึ่งผูกกับอดีตอนาคต คุณมัวพยายามปกป้องอดีตหรืออนาคตที่อีโก้ของคุณวาดไว้ ทำให้คุณเผลอลืมปัจจุบัน ลืมที่นี่ ลืมเดี๋ยวนี้ ลืมคนที่อยู่ตรงหน้า คุณถึงได้ปรี๊ดแตก
5. ถามว่าเหนื่อยกับชีวิตเหลือเกิน ตายให้จบๆไปซะจะดีไหม ตอบว่าเออ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดีไหม เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย
ผมรู้แต่ว่าที่คุณอยากตายเพราะคุณเชื่ออีโก้ของคุณที่มุ่งปกป้องตัวมันเองด้วยการเสียดายเสียใจกับสิ่งที่คุณทำในอดีต และด้วยการกังวลหรือกลัวว่าสิ่งที่คุณทำไปในอดีตจะทำให้คุณได้รับเคราะห์กรรมในอนาคต ความเสียใจและความกลัวมีมากจนคุณรู้สึกทุกข์จนทนไม่ได้ แต่ผมจะบอกสัจจธรรมให้คุณข้อหนึ่งนะ อดีตและอนาคตมันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่มนุษย์เราสมมุติขึ้น เวลาก็ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงคอนเซ็พท์เช่นเดียวกัน ปฏิทินก็ดี นาฬิกาก็ดี เป็นสิ่งที่มนุษย์เราคิดทำขึ้นเพื่อสื่อสารคอนเซ็พท์เรื่องเวลาสู่กันและกัน สิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่เดี๋ยวนี้แค่นั้น ทุกอย่างเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ต่อหน้าคุณที่นี่เดี๋ยวนี้ แม้แต่ความคิดเสียใจที่ปรี๊ดแตกเมื่อวานก็เกิดขึ้นในใจคุณที่เดี๋ยวนี้ ความกังวลว่าเจ้านายจะไล่ออกวันพรุ่งนี้ก็เกิดขึ้นในใจคุณที่เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณใช้เบสิกที่ผมบอกไปเมื่อตะกี้ตอนที่สอนให้คุณหัดเข้ากับแมวกับหมาว่าให้ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่รอบตัวเรา ณ เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน ด้วยคอนเซ็พท์นั้นคุณลองมองไปรอบตัวคุณซิ ตอนนี้นี่แหละ มองไปรอบๆตัว หากคุณยอมรับสิ่งรอบๆตัวได้อย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว ณ เดี๋ยวนี้ หมายถึงในสองสามนาทีนี้ คุณมีปัญหาอะไรไหม ไม่มี้ เพราะคุณก็ยังหายใจได้อยู่ไม่ติดขัด สำหรับคนที่ยอมรับปัจจุบันได้ ชีวิตไม่เคยมีปัญหา เพราะชีวิตมีอยู่แต่ในปัจจุบัน หากคุณยอมรับปัจจุบันได้ ชีวิตจะมีปัญหาอะไร ที่มีปัญหานั่นคือความคิดหรืออีโก้ของคุณซึ่งหนีปัจจุบันไปจมอยู่กับอดีตอนาคตซึ่งเป็นของเก๊ที่ไม่มีอยู่จริง
คุณเพิ่งอายุยี่สิบเจ็ดเอง ยังมีโลกที่สวยสดงดงามที่ยาวไกลทอดรออยู่ข้างหน้า ขอเพียงแต่หัดสังเกตเรียนรู้สู้ชีวิต อย่าเอาแต่คิดจะหนีไปตาย ถ้าคุณจัดแจงตัวเองได้ ให้คอยตามข่าวในบล็อกนี้ว่าผมจะเปิดสอนแค้มป์ฝึกสติรักษาโรค (MBT) อีกเมื่อไหร่ แล้วหาโอกาสสมัครมาเรียน มันเป็นคอร์สวันเดียวจบไม่ต้องนอนค้างคืน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล. ชั้นเรียน MBT5 กำลังเปิดรับ 8 เมย. 60 (http://visitdrsant.blogspot.com/2016/11/mbt3-3.html)
ตอนเรียนก้อเข้ารับยารักษาโรคซึมเศร้าที่ ..... จว. ....มีกินบ้างขาดบ้าง เล็กน้อย มาเป็นหนักๆอีกเมื่อเจอปันหาที่ทำงานหลังเรียนจบ ไปรักษาสมเด็จเจ้าพระยาที่ กทม เขาบอกว่าอาการคล้ายทั้งไบโพล่า และซึมเศร้าร่วมด้วย
คุณหมอคะ วันนี้มันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ หนูรู้สึกเหนื่อยกับชีวิต หนูขอปรึกษาที หนูเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ จะปากสั่นเสียงสั่น ขึ้นเสียง มันทำให้หนูกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไร้เหตุผล ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย หนูมักจะมาคิดได้ทีหลังจากนั้นสักพัก ว่าถ้าแค่อธิบาย ชี้แจงด้วยเหตุผล น้ำเสียงดีๆ เรื่องคงไม่จบแบบนั้น เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากมายหลายครั้ง ทำให้ชีวิตหนูพังตุปัดตุเปล่ ไม่เปนท่าภายใน2ปีที่เรียนจบ เปลี่ยนที่ทำงาน 4 ที่แล้ว เคยแม้เตะฝุ่นโดยตั้งใจ นอนเล่นยุห้องสามเดือนเพราะเบื่อชีวิต เพราะหนูควบคุมตัวเองไม่ได้ ฮือๆ พยายามฟังธรรมมะ ก้อไม่ได้ช่วยหนูมากนัก หนูกลัวมากค่ะ กลัวต้องตกงานอีกครั้ง แม่หนูต้องเสียใจแน่ ญาติๆ ชาวบ้านคงมองหนูแย่ หนูไม่อยากออกไปจากที่ทำงานนี้ แต่เจ้านายเหมือนเริ่มเห้นความผิดปกติ ตอนหนูทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ทำไมหนูต้องปากสั่น เสียงสั่น กับอีแค่เรื่องเล็กน้อย ใครๆคงคิดว่าหนูบ้าแน่เลย
ขอบคุณคุณหมอที่อ่านค่ะ ถ้าหนูเขียนวกวนตามอารมตอนนี้ขอโทษด้วยค่ะ
ปล.
หนูลืมบอกสิ่งที่อยากรบกวนคุณหมอ คือหนูอยากขอคำปรึกษา ว่าหนูควรใช้ชีวิตต่อไปยังไง หนูควรฝึก แก้ไขนิสัยเจ้าอารมณ์นี่ได้ยังไง หนูอยากเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ค่ะ ทำไมชีวิตหนูถึงล้มครั้งแล้วครั่งเล่า มันเจ็บ มันทรมานจริงๆค่ะ รักษากินยาทำไมมันไม่หาย มันเดวดีๆ เดวร้าย จนขนาดตัวหนูเองยังรู้สึกค่ะ ถ้าหนูต้องออกจากที่นี้อีก หนูคิดว่ารอบนี้คงยืนอีกไม่ไหว มันจำเป็นที่คนเราต้องมาเจ็บปวดขนาดนี้เพื่อใช้ชีวิตด้วยหรอ หนูคงอยากหายสลายไปมากกว่าค่ะ รบกวนช่วยชี้แนวทางชีวิตทีค่ะ หนูมืดมนไปหมดแล้ว ไม่รุ่ว่าจะทำยังไงแล้วค่ะ
...........................................
ตอบครับ
1. ถามว่าหาจิตแพทย์ก็แล้ว กินยาก็แล้ว ทำไมนิสัยเจ้าอารมณ์ไม่หาย ตอบว่านิสัยคนเนี่ยมันไม่มียาแก้นะครับ เพราะ..
นิสัยมันมีเหตุมาจากการกระทำซ้ำๆซากๆ
การกระทำซ้ำๆซากๆมีเหตุมาจากการคิดซ้ำๆซากๆ
การคิดซ้ำๆซากๆมีเหตุมาจากการถูกดูดเข้าไปอยู่ในวังวนของความคิดโดยไม่รู้ตัว
การถูกดูดมีเหตุมาจากการขาดสติที่จะตั้งหลักเฝ้าดูความคิดจากข้างนอก
การจะแก้ปัญหานิสัยไม่ดีก็ต้องย้อนไปตั้งต้นที่สนามหลวง คือต้องฝึกสติเพื่อให้สามารถตั้งหลักเฝ้าดูความคิดจากข้างนอก (aware of a thought) ให้ได้
แต่ที่ผมว่าไม่มียาแก้นิสัยไม่ดีนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าการใช้ยาไม่ดีนะครับ เพราะถ้าไม่มียา ป่านฉะนี้เราคงจะต้องล่ามโซ่คนป่วยในโรงพยาบาลโรคจิตเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อความคิดซ้ำซากมันแรงถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรมะ พระ เถร เณร ชี ก็เอาไม่อยู่ กระเจิงหมด เหลือแต่ยาแรงๆ หรือไม่ก็จับช็อกสมองด้วยไฟฟ้าเท่านั้น จึงจะเอาอยู่
พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ประมาณพ.ศ. 2523 ผมหมุนเวียนไปเป็นอินเทอร์น (แพทย์ฝึกหัด) ที่โรงพยาบาลหลังคาแดง (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาคนบ้า วิธีการรักษาสมัยนั้นก็มีสาระพัดตั้งแต่ให้กินยา พูดคุยด้วย ให้เข้ากลุ่มทำกิจกรรม ถ้าวิธีไหนก็เอาไม่อยู่ก็ไปใช้วิธีสุดท้ายคือ จับช็อกไฟฟ้า ช็อก ช็อก ช็อก ให้ชักแด๊ก แด๊ก แด๊ก จากคนที่ซ่าๆให้กลายเป็นคนจ๋อยไปเลย คนไข้คนหนึ่งแกซ่าสุดฤทธิ์ หนีจากวอร์ดปีนขึ้นไปปราศัยกับฝูงชนอยู่บนยอดต้นไม้นู้น ต้องให้กทม.เอารถกระเช้ามาอัญเชิญท่านลงมา เมื่อได้ยืนในกระเช้าแล้วท่านก็ยังยืนเกาะขอบกระเช้าทำท่าแบบท่านผู้นำฮิตเลอร์ตะโกนปราศัยกับฝูงชนที่มารอลุ้นอยู่ข้างล่างอีกเสียงดังลั่นว่า..
"พี่น้องทั้งหลาย..ย"
อาจารย์ถึงกับส่ายหัวแล้วหันมาพยักหน้าให้ผมกับบุรุษพยาบาล พอยานของท่านผู้นำแลนดิ้งลงถึงพื้น พวกเราที่ประกอบด้วยอินเทอร์นผู้ชายและบุรุษพยาบาลก็เข้าประกบหามสี่พาท่านผู้นำตรงไปยังห้องช็อกสมองด้วยไฟฟ้า..ตามระเบียบ
พอวันรุ่งขึ้นผมไปราวด์เห็นเขาจ๋อยลงจนกลายเป็นคนธรรมดาแล้ว จึงสั่งให้บุรุษพยาบาลเอาโซ่ที่ล่ามขาเขาออก เขายกมือไหว้ขอบคุณผม ผมถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ เขาตอบว่า
"คณะทหาร จับตัวผมไปช็อกไฟฟ้านับสิบหน ดีที่ผมรอดมาได้"
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
2. ถามว่าจะฝึกแก้นิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ แปรปรวน รักมาก เกลียดมาก โมโหร้าย หงุดหงิด อย่างไรดี ตอบว่าก็อย่างที่พูดไปข้างต้นแล้วนั่นแหละครับ ว่าต้องไปตั้งต้นที่การฝึกสติ ตั้งต้นอย่างไรนี่เรื่องมันยาว เราคงเจาะลึกที่นี่ไม่ได้ ในกรณีของคุณนี้ ผมยังไม่แนะนำให้เข้าวัด เพราะคุณจะทำเอาพระกระเจิง ผมแนะนำให้คุณไปรับการรักษากับจิตแพทย์สักคนหนึ่งก่อนดีกว่า อย่าไปรังเกียจจิตแพทย์ เพราะจิตแพทย์คือกัลยาณมิตรของคนไร้เพื่อน ใหม่ๆให้คุณใจเย็นๆยอมกินยาที่หมอให้อย่างสม่ำเสมอไปก่อน ทำตามที่คุณหมอเขาแนะนำ พอได้จังหวะก็ถามหมอว่าคุณจะลองไปเข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรมได้ไหม ถ้าคุณหมอสนับสนุนก็ไปขั้นที่สอง คือไปฝึกสติที่วัดหรือที่สถานปฏิบัติธรรม
3. ถามว่าเข้ากับใครก็ไม่ได้จะทำอย่างไรดี ตอบว่าการเข้ากับคนอื่นไม่ได้ เป็นเพราะใจเราไปจมปลักอยู่ใน "อีโก้" ของเราซึ่งมีนิสัยชอบตัดสินหรือพิพากษาคนอื่น เนื่องจากคุณเป็นสัตว์แพทย์ การจะแก้นิสัยนี้ผมแนะนำให้คุณเริ่มกับหมา แมว หรือจะให้ดีกว่านั้น หากคุณเป็นสัตว์แพทย์หากินอยู่แถวมวกเหล็กปากช่อง ผมแนะนำให้เริ่มกับวัวก่อน ลองเข้ากับวัวให้ได้ก่อน วัวมันไม่พิพากษาไม่ตัดสินคุณอยู่แล้วว่าคุณสวยหรือไม่สวย น่ารักไม่น่ารัก แต่คุณก็อย่าไปเผลอพิพากษาหรือตัดสินวัวก็แล้วกัน คือให้มองหน้าวัวด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาให้ได้ก่อน
หลักมีอยู่ว่าให้เข้าใจสิ่งรอบตัวก่อน แล้วให้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว ณ ขณะนี้ ถ้าเป็นคริสเตียนเขามีหลักว่าก็ในเมื่อมันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าซะอย่าง ไม่ว่าพระเจ้าจะจัดอะไรมาให้ก็โอเค.หมดแหละ พอคุณเข้ากับวัวได้แล้วคุณก็ไปลองเข้ากับแมว แล้วถึงค่อยไปลองเข้ากับหมา เพราะหมาบางตัวมันก็ติดนิสัยคนซึ่งอาจจะกวนโอ๊ยคุณได้เหมือนกัน เมื่อคุณเข้ากับแมวหมาได้ก็จะเป็นเบสิกให้คุณเข้ากับคนได้ เพราะเมื่อเราเข้าใจเขาว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นพูดอย่างนั้น เราก็จะไม่ปรี๊ดแตก อย่างถ้ามีคนบ้ามาชี้หน้าด่าคุณฉอด ฉอด ฉอด คุณโกรธไหมละ คุณไม่โกรธเพราะว่าคุณเข้าใจว่าเขาพูดอะไรปากไม่มีหูรูดเพราะเขาบ้า คนเราทุกคนก็มี issue หรือมีความคิดในหัวของเขาเองทั้งนั้นแหละ บ้างก็บ้า คือบ้าจริงๆ บ้างก็ขี้งก บ้างก็ขี้ฉ้อ บ้างก็ขี้อิจฉา บ้างก็ขี้กลัว ความคิดเหล่านี้ทำให้เขาพูดหรือทำกับเราอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเราเข้าใจเขาเหมือนที่เราเข้าใจวัว เข้าใจหมา เข้าใจแมว เมื่อประกอบกับโลกทัศน์พื้นฐานที่จะยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่รอบตัวเรา ณ เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน เราก็จะไม่ปรี๊ดแตก
4. ถามว่าหนูควรใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดี ตอบว่านอกจากจะฝึกสติ ฝึกเข้ากับหมาแมวและคนแล้ว ให้เริ่มชีวิตในแต่ละวันด้วยการหัดขอบคุณสิ่งดีๆรอบๆตัวคุณบ้าง อย่างน้อยอากาศสดๆที่มีให้คุณหายใจนี่ก็เป็นสิ่งดีๆใช่แมะ ลองขอบคุณอากาศก่อน หญ้าเขียวๆนอกหน้าต่างนี่ก็ทำให้คุณสบายตา ขอบคุณหญ้าเขาเสียหน่อยสิ แล้วก็ค่อยๆลามไปเอ่ยขอบคุณคนที่เขาดีกับคุณ แล้วก็ค่อยๆลามไปขอโทษ คนที่คุณคิดว่าคุณพูดแรงไปแล้วทำให้เขาเป็นทุกข์หรือเสียใจ ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา อย่าลืมมองหาสิ่งดีๆ แล้วขอบคุณ ถ้ามีความรู้สึกค้างคาว่าเราไปพูดไม่ดีกับใครไว้ ไปขอโทษเขาซะ แล้วใช้ชีวิตอยู่แต่ในวันนี้ อย่าไปคิดเสียใจกับการกระทำของเราในอดีต อย่าไปไกลถึงอนาคตว่านายรู้ไต๋ว่าเราบ้า นายต้องไล่เราออกแน่ อดีตและอนาคตมันไม่มีอยู่จริง ชีวิตเราดำรงอยู่ในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ตอนคุณปรี๊ดแตกนั้นเป็นเพราะใจคุณไปอยู่ในความคิดซึ่งผูกกับอดีตอนาคต คุณมัวพยายามปกป้องอดีตหรืออนาคตที่อีโก้ของคุณวาดไว้ ทำให้คุณเผลอลืมปัจจุบัน ลืมที่นี่ ลืมเดี๋ยวนี้ ลืมคนที่อยู่ตรงหน้า คุณถึงได้ปรี๊ดแตก
5. ถามว่าเหนื่อยกับชีวิตเหลือเกิน ตายให้จบๆไปซะจะดีไหม ตอบว่าเออ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดีไหม เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย
ผมรู้แต่ว่าที่คุณอยากตายเพราะคุณเชื่ออีโก้ของคุณที่มุ่งปกป้องตัวมันเองด้วยการเสียดายเสียใจกับสิ่งที่คุณทำในอดีต และด้วยการกังวลหรือกลัวว่าสิ่งที่คุณทำไปในอดีตจะทำให้คุณได้รับเคราะห์กรรมในอนาคต ความเสียใจและความกลัวมีมากจนคุณรู้สึกทุกข์จนทนไม่ได้ แต่ผมจะบอกสัจจธรรมให้คุณข้อหนึ่งนะ อดีตและอนาคตมันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่มนุษย์เราสมมุติขึ้น เวลาก็ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงคอนเซ็พท์เช่นเดียวกัน ปฏิทินก็ดี นาฬิกาก็ดี เป็นสิ่งที่มนุษย์เราคิดทำขึ้นเพื่อสื่อสารคอนเซ็พท์เรื่องเวลาสู่กันและกัน สิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่เดี๋ยวนี้แค่นั้น ทุกอย่างเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ต่อหน้าคุณที่นี่เดี๋ยวนี้ แม้แต่ความคิดเสียใจที่ปรี๊ดแตกเมื่อวานก็เกิดขึ้นในใจคุณที่เดี๋ยวนี้ ความกังวลว่าเจ้านายจะไล่ออกวันพรุ่งนี้ก็เกิดขึ้นในใจคุณที่เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณใช้เบสิกที่ผมบอกไปเมื่อตะกี้ตอนที่สอนให้คุณหัดเข้ากับแมวกับหมาว่าให้ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่รอบตัวเรา ณ เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน ด้วยคอนเซ็พท์นั้นคุณลองมองไปรอบตัวคุณซิ ตอนนี้นี่แหละ มองไปรอบๆตัว หากคุณยอมรับสิ่งรอบๆตัวได้อย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว ณ เดี๋ยวนี้ หมายถึงในสองสามนาทีนี้ คุณมีปัญหาอะไรไหม ไม่มี้ เพราะคุณก็ยังหายใจได้อยู่ไม่ติดขัด สำหรับคนที่ยอมรับปัจจุบันได้ ชีวิตไม่เคยมีปัญหา เพราะชีวิตมีอยู่แต่ในปัจจุบัน หากคุณยอมรับปัจจุบันได้ ชีวิตจะมีปัญหาอะไร ที่มีปัญหานั่นคือความคิดหรืออีโก้ของคุณซึ่งหนีปัจจุบันไปจมอยู่กับอดีตอนาคตซึ่งเป็นของเก๊ที่ไม่มีอยู่จริง
คุณเพิ่งอายุยี่สิบเจ็ดเอง ยังมีโลกที่สวยสดงดงามที่ยาวไกลทอดรออยู่ข้างหน้า ขอเพียงแต่หัดสังเกตเรียนรู้สู้ชีวิต อย่าเอาแต่คิดจะหนีไปตาย ถ้าคุณจัดแจงตัวเองได้ ให้คอยตามข่าวในบล็อกนี้ว่าผมจะเปิดสอนแค้มป์ฝึกสติรักษาโรค (MBT) อีกเมื่อไหร่ แล้วหาโอกาสสมัครมาเรียน มันเป็นคอร์สวันเดียวจบไม่ต้องนอนค้างคืน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล. ชั้นเรียน MBT5 กำลังเปิดรับ 8 เมย. 60 (http://visitdrsant.blogspot.com/2016/11/mbt3-3.html)