พบกันที่ Grove House เสาร์ 20 ธค. 57

     ผมซ่อมบ้านโกรฟเฮ้าส์เสร็จแล้ว.. ไชโย

     วันนี้ผมขอไม่ตอบคำถามเรื่องการเจ็บป่วยนะ เพราะอยากพูดถึงอะไรหนุกๆในชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับการ
ดาร์วินชี สี่พันบาท
เจ็บป่วยบ้าง นั่นก็คือผมซ่อมบ้านโกรฟเฮ้าส์เสร็จแล้ว มันลายครามและคลาสสิกสะใจมาก..ก ของเก่าชิ้นสุดท้ายที่ผมเพิ่งเอาขึ้นติดเสร็จก็คือโคมห้อยเพดานแบบดาร์วินชี แต่ว่า แหะ..แหะ มันเป็นของปลอมนะครับ เพราะของจริงไปถามที่ร้านของเก่าที่แจ้งวัฒนะเขาบอกว่าแสนสอง ฮู้ย..ย ขืนซื้อไปมีหวังถูกภรรยายำจนเละเป็นโจ๊กแน่นอน แล้วบุญก็บันดาล สองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมไปเดินหาซื้อหลอดไฟที่ถนนไม้ (ประชานฤมิตร) มีร้านขายโคมไฟสารพัดชนิดด้วย ส่วนใหญ่เป็นโคมพลาสติกกระจอกๆราคาถูกๆ แล้วก็ไปสะดุดตาเห็นโคมแบบยุโรปรุ่นเก่านี้ห้อยอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ท่ามกลางโคมพลาสติกระโยงระยางไร้รสนิยม มีป้ายราคาเล็กๆบอกว่า “4,000 บาท” โห แสนสองกับสี่พัน เป็นคุณคุณจะซื้ออันไหนละครับ ของปลอมจะทำจากสังกะสี้ขี้กะโล้อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าพอเอาขึ้นติดแล้วมันจ๊าบจริงๆ ไม่เชื่อคุณดูรูปสิครับ

    ความจริงบ้านโกรฟเฮ้าส์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดังที่ผมตั้งใจจะทำดอก เพียงแค่พอจะเริ่มใช้งานในตัว
สนสองสามใบ ปลูกไว้
ทำสวนแบบเซลติก
บ้านได้เท่านั้น นอกตัวบ้านยังมีอะไรที่ผมอยากจะทำอีกเยอะแยะ เช่น
     (1) อยากจะทำประตูทางเข้า (garden gate) ที่ทำด้วยหินทรายก้อนใหญ่ก่อๆกันขึ้นไปแบบประตูสวนยุคเก่าๆในยุโรป
     (2) อยากจะทำซากกำแพงหินเก่าที่เหลืออาร์คโค้งทิ้งไว้พอให้ถ่ายรูปเห็นจั่วบ้านและปล่องไฟเซ็ทอย่างลงตัวอยู่ในกรอบของอาร์คโค้งๆแบบเก๋ไก๋
     (3) อยากจะทำสวนสนสองใบสามใบที่ปลูกไว้แล้วให้เป็นสวนที่มีหินสลักคนเผ่าเซลท์โบราณระเกะระกะแบบที่เรียกว่า Celtic garden
     (4) อยากจะทำบึงใหญ่ของบ้านให้เป็นสระบัวแบบ lily pond ในสวนโมเน่ท์ แต่ว่าเป็นฝันที่ยังอยู่อีกไกลเพราะตอนนี้แค่ผักตบชวายังเอาตัวไม่รอดเลย เพราะใส่ลงไปเท่าไหร่โดนปลากินหมด
     (5)  อยากจะทำตรงแอ่งน้ำกลางโขดหินที่ผมเรียกว่าวังบัวบานซึ่งปัจจุบันนี้รกรุงรังให้เป็นสวนมอส (moss garden) แบบว่าพ่นฝอยน้ำเลี้ยงมอสให้เขียวขจีทั้งปี ทำนองนั้น
     (6) อยากจะปรับพื้นที่ด้อยพัฒนาที่มีแต่ต้นไม้ พงรก และโขดหิน โดยล้อมรั้วเตี้ยให้กระต่าย
ลิลลี่พอนด์ในฝัน ที่ผักตบยังไม่รอด
กระรอก กระแต ไก่แจ้ อยู่กับแบบตัวใครตัวมัน ที่คิดว่าต้องล้อมรั้วเตี้ยก็เพราะกลัวหมาของเพื่อนบ้านเข้ามาล่าสัตว์ป่าผมเสียเหี้ยนเต้
     (7) อ้อ ยังมีอีกอย่างหนึ่ง อยากมี "ขอมดำดิน" ท่านอาจสงสัยว่า เอ๊ะ.. ขอมดำดินนี่มาเกี่ยวอะไรกันกับบ้านโกรฟเฮ้าส์ด้วย เรื่องของเรื่องคือว่าวันหนึ่งหลายปีมาแล้วขณะผมขับรถไปตามชนบทแถวแคมบริดจ์ ที่ประเทศอังกฤษ ได้ขับผ่านบ้านหลังหนึ่งซึ่งตอนแรกผมตกใจว่ามีคนดำดินมาโผล่ที่ผิวดินข้างทาง แต่จริงๆแล้วเป็นแค่รูปปั้นขอมดำดินกำลังตะเกียกตะกายเอามือเกาะขอบบ่อกลมๆและกำลังเอาหัวโผล่พ้นดินขึ้นมา คือเป็นสิ่งประดับสวนแค่นั้นเอง แต่เห็นแล้วเกิดความงืด..ด (แปลว่าฉงน) คิดได้ไงเนี่ย ขอมดำดิน เท่จริงจริ๊ง ผมจึงตั้งใจไว้ตั้งแต่นั้นว่า
บรรยากาศแบบวังบัวบานที่หลังบ้าน
วันหนึ่งมีโอกาสจะทำขอมดำดินประดับสวนบ้านตัวเองบ้าง และสวนของบ้านโกรฟเฮ้าส์นี้บรรยากาศมันศักดิ์สิทธิ์เหมาะที่จะมีขอมดำดินมาโผล่เป็นที่สุด

     คนกิเลสแยะก็งี้แหละครับ ทำจนตายก็ยังทำไม่เสร็จ เพราะทำงกๆอยู่คนเดียว อย่างน้อยตอนนี้ตัวบ้านก็เสร็จละน่า พูดถึงตัวบ้าน ตอนที่เริ่มซ่อมบ้านโกรฟเฮ้าส์นี้ผมเองก็ยังไม่มีไอเดียเลยว่าจะซ่อมไปเพื่อใช้ทำอะไร รู้แต่ว่าเมื่อเมียสั่งห้ามรื้อ ผ. ก็ต้องซ่อม แต่พอซ่อมไปๆ ไอเดียมันก็ค่อยๆผุดขึ้นมาๆ เออน่า เอาไว้เป็นที่ทำสวนปลูกดอกไม้และเขียนรูปก็แล้วกัน เพราะมิชชั่นในชีวิตของผมอันหนึ่งคือจะหาเวลานั่งเขียนภาพสีน้ำมัน
พื้นที่รกร้างเพื่อสงวนกระต่ายกระรอก
บนผ้าใบ คราวนี้จะได้นั่งทำกันจริงๆจังๆเสียที พอซ่อมไปได้อีกหน่อยความคิดก็งอกขึ้นมาอีก บ้านตั้งกว้างใหญ่แถมบรรยากาศโบราณอย่างนี้ นั่งเขียนรูปกันอยู่สองตายายจะไม่โดนผีหลอกเอาหรือ ไอเดียก็จึงงอกเพิ่มขึ้นมาอีกว่า เอางี้ เขียนรูปเป็น series ที่น่าสนใจไว้ให้คนมาดูก็แล้วกัน มาดูฟรีนะ ไม่ใช่ดูแบบเสียเงิน เพราะว่าฝีมือระดับผมนี้เขียนรูปแล้วหากไม่ต้องจ้างคนให้มาดูก็ถือว่าบุญแล้ว โดยกะว่าจะเขียนสองซีรี่ส์ที่เกี่ยวกับป่าดงพญาเย็นอันเป็นที่ตั้งของบ้านโกรฟเฮ้าส์แห่งนี้

     ซีรี่ที่หนึ่ง คือจะวาดภาพเรื่องการเดินทางของอองรี มูโอต์ (Henry Mouhot) นักธรรมชาติวิทยาชาว
มีลานโพธิ์ด้วยนะ หญ้าขึ้นไม่ได้เลย
ฝรั่งเศสซึ่งเดินทางจากกรุงเทพผ่านป่าดงพญาเย็นแห่งนี้ขึ้นไปตายที่หลวงพระบางในสมัยร.4 ซึ่งในบันทึกของเขามีรูปสะเก๊ตช์ลายเส้นสวยๆที่เขาวาดไว้หลายรูป ผมจะเอามาเขียนเป็นรูปสีน้ำมัน น่าสนใจดี

     ซีรี่ที่สอง ที่ผมอยากจะเขียนออกมาเป็นภาพคือเรื่องการสร้างทางรถไฟผ่านป่าดงพญาเย็นสมัย ร.5 ซึ่งตามบันทึกเก่าๆของพวกฝรั่งก็มีหลายแง่หลายมุมที่พอจะจินตนาการออกมาเป็นภาพสีน้ำมันที่มีประโยชน์เชิงสร้างสรรค์และน่าสนใจ เช่น เรื่องคุณความดีของนายช่าง “ร็อบ รอย” วิศวกรใหญ่ชาวสก๊อตที่แก้ปัญหาการล้มตายเป็นเบือของคนงานก่อสร้างได้ด้วยความรู้วิทยาศาสตร์และจิตใจแบบผู้นำของเขา เรื่องความกลัวผีสางนางไม้ของเหล่าคนงานที่ไม่ยอมตัด
โกรฟเฮ้าส์ยามเช้า
ต้นไม้เพราะตัดทีไรก็มักมีอันเป็นไปชักตาตั้งเลือดไหลออกจากปากจากจมูกทุกที จนต้องตั้งศาลเพียงตาอ่านพระบรมราชโองการและประทับตราราชลัญจกรลงบนต้นไม้ คนงานจึงกล้าตัด เรื่องความกล้าหาญของ “ราเบค” นักสำรวจหนุ่มชาวเดนมาร์กที่เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เหลือไว้แต่ศพฝังไว้ในหลุมที่หน้าสถานีรถไฟมวกเหล็ก เป็นต้น

      กำลังซ่อมบ้านไปในทิศทางจะให้เป็นที่ตั้งรูปภาพให้คนมาดู ภรรยาของผมก็เกิดปิ๊งไอเดียอยากเอาที่ส่วนหนึ่งของบ้านโกรฟเฮ้าส์ซึ่งมีเนื้อตั้งห้าไร่นี้ปลูกหม่อนหรือมัลเบอรี่ อ้าว เมื่อเกิดจินตนาการแบบนักเกษตรขึ้นมา ก็ต้องคิดต่อยอดแบบนักเกษตร ผมถามว่า

     “ปลูกหม่อน ได้ลูกมาเยอะแยะแล้วจะเอาไปไว้ไหนละทีนี้” ภรรยาบอกว่า
ด้านหลังของโกรฟเฮ้าส์

     “ก็ขายควบกับกาแฟสิ” นั่นหมายความว่าต้องชงกาแฟขายด้วย ผมถามต่อว่า

     “แล้วใครจะมานั่งชงกาแฟให้ลูกค้าละ” เธอสรุปว่า

     “ก็คุณนั่นแหละ เหมือน ดร.บราวน์ ไง” 

     เธอหมายถึงเพื่อนของเราซึ่งเป็นหมอแก่ๆชาวเยอรมันคนหนึ่ง เขาเกษียณแล้วเอาบ้านตัวเองทำเป็นโรงแรมจิ้งหรีด เราสองคนเคยไปอาศัยพักนอน ตัวเขาเองเดินงกๆเสริฟอาหารให้แขก โห.. เวรกรรมจะตามล้างตามเช็ดหมอสันต์ไปถึงไหนกันเนี่ย แก่งั่กแล้วยังต้องมางกๆชงกาแฟขายอีก แต่เพื่อไม่เป็นการหักหาญน้ำใจภรรยา ผมจึงเสนอว่า

     “คุณจำสองตายายที่ทำสวนอยู่ข้างปราสาทวอริคได้ไหม เราเอาแบบเขาสิ เขียนป้ายราคาแล้วตั้งหีบเจาะรูไว้ ใครอยากซื้อกาแฟกินก็ชงเองแล้วหยอดเงินลงหีบ แล้วยกกาแฟไปหาที่นั่งกินเอง”

     เธอเงียบ แสดงว่าไม่คัดค้าน เป็นอันว่าผมรอดตัวไป แต่แผนซ่อมบ้านก็ต้องปรับให้มีที่ชงกาแฟด้วยประการฉะนี้

     แต่ว่าไอเดียบรรเจิดยังไม่หมดแค่นั้น กำลังนั่งซ่อมบ้านอยู่วันหนึ่งลูกน้องเก่าก็มาเยี่ยม พร้อมกับสามีของเธอซึ่งเป็นทั้งนักเปียโนและ sound engineer พอมาเห็นบ้านโกรฟเฮ้าส์เขาก็อุทานว่า

     “..โอ้โฮ บ้านไม้อย่างนี้กำธรเสียงเริ่ดเลยนะเนี่ย”

      ไม่พูดเปล่าเขาอาสามาติดตั้งระบบเสียงให้ด้วย ภรรยาผมก็พลอยเห็นดีเห็นงาม เพราะเธออยากถือโอกาสอัปเปหิเปียโนเก่าที่เกะกะบ้านบนเขามาไว้ที่นี่เสียด้วย ก็เท่ากับว่าบ้านนี้ต้องมีกิจกรรมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างคือเป็นที่ร้องเพลงคาราโอเกะ ซึ่งแค่ฟังไอเดียผมก็สยองแล้ว เพราะเห็นตัวอย่างมาแยะ แบบว่าบางคนเสียงราวกะละมังแตกแต่ก็ไม่ยอมวางไมค์ แล้วใครจะมาดูแลสวัสดิภาพหูของคนที่เขาพลัดหลงเข้ามานั่งฟังละครับ พอผมปริวิตกให้ภรรยาฟัง เธอก็ออกไอเดียว่า

“ให้หยอดหีบ เพลงละยี่สิบบาท”

หึ..หึ คอนเซ็พท์ “บ้านหยอดหีบ” ของผมดูจะมีคนเอาไอเดียไปต่อยอดแล้วแฮะ

     แต่พอจะทำจริงก็มีผู้หวังดีแนะนำอีกว่า หากจะตั้งคาราโอเกะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้แกรมมี่และอาร์เอ็กซ์ด้วยนะ ถามว่าแพงไหม ตอบว่าปีละเป็นแสน หรือว่าหมอสันต์จะกล้าทำผิดกฎหมายใช้ของเถื่อน แหะ..แหะ ตอบว่าปิดโครงการโอเกะง่ายสุดครับ เพื่อนหมอสันต์ใครอยากจะร้องเพลงก็หิ้วนักเปียโนส่วนตัวมาด้วยก็แล้วกัน สรุปว่างานหยอดหีบมีงานเดียว คือซื้อน้ำชากาแฟหรือน้ำดื่ม ส่วนร้องเพลงหยอดหีบไม่ทำครับ      

     ตอนซ่อมใกล้จะเสร็จ วันหนึ่งผมไปรื้อห้องใต้บันไดบ้านที่กรุงเทพเพื่อค้นหาเครื่องเสียงเก่า ก็ไปเจอเอาหนังสือพ็อกเก็ตบุ้คชื่อ “นอกเส้นทางในต่างแดน” กองเป็นตั้งเบ้อเร่อนับได้ร่วมสองสามร้อยเล่มอยู่ใต้บันได ผมก็เลยเอะอะกับภรรยาว่า

     “เอ๊ะ หนังสือนี้ขายไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ มันมากองอยู่นี่ได้ไงเนี่ย”

      หนังสือเล่มนี้ผมรวมบทความที่ผมเขียนนานมาแล้วช่วงที่ยังเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ เป็นบทความแบบหนีงานแอบไปเที่ยวแนวตลกที่คนอ่านๆแล้วหัวเราะกันทุกคน ผมจำได้ว่าผมจ้างอมรินทร์ขายให้ และนึกว่าขายมันไปหมดแล้ว ภรรยาบอกว่า

     “ก็คุณนั่นแหละ สั่งให้เขาเอากลับมา คุณบอกว่าจะเอาไว้แจกลูกน้องที่พญาไทตอนเกษียณ”

     เออ จริงแฮะ ตอนนั้นผมตั้งใจอย่างนั้นจริง แต่ไม่ได้แจก เพราะผมงดงานเลี้ยงนั้นไปเนื่องจากกลัวลูกน้องแตกตื่นว่าผมจะไม่อยู่ ทั้งๆที่เกษียณแล้วผมก็ยังทำงานอยู่สัปดาห์ละสองสามวันไม่ได้หายหัวไปไหน

     ผมบอกภรรยาว่าต้องกำจัดหนังสือพวกนี้ออกไป เพราะมันรกห้องใต้บันได เป็นเชื้อไฟเปล่าๆ เธอบอกว่า

     "คุณก็เอาไปแจกคนที่มาวันเปิดบ้านโกรฟเฮ้าส์สิ" 

     ผมนึกในใจว่าต้องมีวันเปิดบ้านโกรฟเฮ้าส์ด้วยเหรอเนี่ย นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลย
ลืมบอกว่าโกรฟเฮ้าส์มีหอคอยด้วย
อยู่ติดขอบทางซ้ายมือของภาพ
ในชีวิต เพราะบ้านโกรฟเฮ้าส์นี้เป็นของเล่นของคนแก่ผู้ชายที่หาเรื่องเสียเงิน การหาเรื่องแบบนี้มันควรทำอยู่คนเดียวเงียบๆแบบเด็กเล่นของเล่น จะไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านมากันเพื่ออะไร เพื่อกำจัดหนังสือให้หมดจากใต้ถุนบ้านเนี่ยนะ ฟังดูไม่เข้าท่า แต่คิดย้อนดูอีกทีก็ เออ.. เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะหนังสือเล่มนี้เนื้อหาของมันเป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากทีเดียว คนได้รับเขาต้องมีความสุขแน่ น่าจะเป็นวิธีส่งความสุขให้ผู้คนในช่วงคริสตมาสที่ไม่เลว คนรับมีความสุขได้หนังสือสนุกไปอ่าน คนให้มีความสุขที่ห้องใต้บันไดจะได้โล่งเสียที

     จึงสรุปว่า วันเสาร์ที่ 20 ธค. 57 จะเป็นวันเปิดบ้านโกรฟเฮ้าส์ ผมขอถือโอกาสนี้เชิญชวนแฟนๆบล็อกหมอสันต์ทุกคน ความจริงขอเรียกว่าเพื่อนหมอสันต์ได้ไหม คือใครก็ตามที่อ่านบล็อกนี้นับเป็นเพื่อนหมอสันต์หมดแหละ ผมขอชวนเพื่อนหมอสันต์ทุกคนที่ผ่านมาทางมวกเหล็กเขาใหญ่แวะมา "แอ่ว" บ้านโกรฟเฮ้าส์ ที่มวกเหล็กวาลเลย์ ในวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557 โดยบ้านจะเปิดตั้งแต่ 10.00 น. ไปจนถึง 18.00 น.

     และนับจากวันเปิดนี้เป็นต้นไป บ้านโกรฟเฮ้าส์จะเปิดทุกวันเสาร์ 10.00-18.00 น. เพื่อเป็นที่ทำกิจกรรมเพิ่มคุณภาพชีวิตทุกอย่าง ทุกรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สูงวัยเสมอไป วัยไหนก็ได้ ผมเองถ้าไม่ติดสอนเฮลท์แค้มป์หรือไม่เดินทางไกลไปไหนก็จะนั่งเขียนรูปและทำสวนผักสวนดอกไม้หรือหัดเล่นเปียโนอยู่ที่นี่ทุกวันเสาร์ ถ้ามาไม่เจอผม หรือไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ในบ้านเลย ก็ให้ช่วยตัวเองไปตามมีตามเกิด ถ้าท่านชงกาแฟหรือหยิบน้ำดื่มก็อย่าลืมหยอดหีบจ่ายค่าของด้วย คือบ้านจะเปิดไว้เสมอทุกวันเสาร์ 10.00 – 18.00 น. ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะมาวุ่นวาย เพราะบ้านนี้ไม่ได้ตั้งป้ายชักนำให้คนอื่นรู้เห็น ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีฉิ่งฉับทัวร์ มีแต่ท่านผู้อ่านบล็อกหมอสันต์เท่านั้น คนอื่นไม่รู้จักบ้านนี้ แฟนบล็อกหมอสันต์คนไหนใครคิดจะเอากิจกรรมอะไรมาทำ ก็มาทำที่นี่ได้ โดยมีม็อตโตประจำบ้านโกรฟเฮ้าส์นี้ว่า

     “Focus on enjoyment, not achievement”

     ท่านที่จะมาพบกันในวันเปิด 20 ธค. 57 ให้มาแบบดุ่ยๆตัวใครตัวมันได้เลย ไม่ต้องจองล่วงหน้า ไม่ต้องตีตั๋ว แต่ว่าต้องกินข้าวแล้วค่อยมานะ เพราะที่นี่ไม่มีข้าวให้กิน อนึ่ง ท่านต้องขับรถตะเกียกตะกายหาทางมาเอง ใครหลงทางตกขอบโลกไปแล้วก็แล้วกันไปอย่าถือสา เพราะไม่มีป้าย ใครไม่หลงทาง มาถึงก็รับหนังสือแจกได้ทันที คือแจกแบบแจกดะ แจกจนเกลี้ยงใต้ถุน ไม่มีอะไรเป็นงานเป็นการ ไม่มีพิธี ไม่มีลิเก ไม่มีรำตัด

แล้วพบกันที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ เสาร์ 20 ธค. 57 นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี