หน้าฝนกับ "ผึ้ง"
หน้าฝนวนเวียนมาอีกแล้ว
บ้านบนเขาของผมต้องคอยต้อนรับอาคันตุกะซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เป็นต้นว่า มด
กว่าง แมงเม่า ตะขาบหลวง กิ้งกือยักษ์ งูดิน (หมายถึงไส้เดือนไซส์เอ็กซ์แอล)
และงูจริงๆ เป็นต้น
หนึ่งในอาคันตุกะที่จะมาเยี่ยมเฉพาะหน้าฝนก็คือ
“กระสุนพระอินทร์”
หรือที่คนเหนือเรียกว่า “ลูกก๋งพระอินทร์”
ซึ่งเป็นแมลงมีหลังคาเป็นเกล็ดเลื่อมมับสีน้ำตามเข้มคลานกระดึ๊บๆ
เวลาไปแตะมันเข้ามันจะขดตัวกลมดิ๊ก เมื่อหยิบขึ้นมามองจะเป็นเหมือนลูกแก้วที่ทั้งกลมทั้งแข็งและมันวาว
แถมทำตัวนิ่งสนิทดุจสิ่งไร้ชีวิตราวกับกระสุนหรือลูกก๋งที่ใช้ใส่หนังสติ๊กยิง
เกล็ดบนหลังของมันตอนขดตัวนี้จะจัดตัวเป็นลายแฉกของลูกกลมราวกับริ้วสีของลูกแก้วเด็กเล่น
สวยงามไม่มีที่ติ เมื่อเราวางมันกลับลงบนพื้น อย่าเพิ่งหวังว่าจะได้เห็นมันคลี่ตัวออกคลานหนีทันทีทันใด
ต้องอดทนแอบรอดูมันอยู่นานมาก บางครั้งนานร่วมสองชั่วโมง กว่าที่มันจะค่อยๆแง้มเกล็ดออกมานิดเดียว
รับฟังเสียงสิ่งแวดล้อมดูก่อนว่าปลอดภัยแล้ว
จากนั้นจึงค่อยๆแปลงร่างจากลูกแก้วกลมดิ๊กกลับไปเป็นแมลงคลานกระดึ๊บๆหนีไป
เพื่อนร่วมโลกในธรรมชาตินี้
บ้างก็ก้าวร้าว อย่างวันนี้เรากำลังไถเอาพงต้นกระถินยักษ์ที่ขึ้นคลุมจนรกครื้มออก งานนี้ทำโดยใช้รถตักบัคโฮซึ่งว่าจ้างมาจากผู้รับเหมาท้องถิ่นชื่อ
“ดาบชิด”
(หมายความว่าเขาเป็นตำรวจยศนายดาบ ชื่อชิด) ขณะที่รถบัคโฮไถเปิดพื้นที่ออกไปไปได้สักพักหนึ่ง
เราสามคนมีผม ดาบชิด และคนงานของเขากำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่กลางลาน พลันผมก็เห็นคนงานหนุ่มสาละวนไซร้ผมของตัวเองอยู่พัลวัล
ผมเองก็รู้สึกว่ามีตัวอะไรมาเกาะอยู่ตามไรผมเหมือนกัน สักครู่ดาบชิดก็ร้องตะโกนลั่นว่า
“เฮ้ย..ผึ้ง”
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมองจึงเห็นว่ามีฝูงผึ้งจำนวนมากบินวนอยู่เต็มท้องฟ้าเหนือหัวพวกเราเต็มไปหมด
เข้าใจว่ารถบัคโฮคงไปกวาดเอารังของมันเข้า
พอหันมามองอีกทีก็เห็นว่าทั้งดาบชิดและคนงานของเขาโกยแน่บไปคนละทางแบบตัวใครตัวมันแล้ว
ผมบอกตัวเองให้วิ่ง
ดาบชิดวิ่งขึ้นเนินไปหารถปิ๊คอัพของเขา คนงานวิ่งไปทางรถดัมพ์ที่จอดห่างออกไปอีกด้านหนึ่ง
ตัวผมตัดสินใจวิ่งลงเนิน ด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือวิ่งลงเนินหนีได้เร็วกว่า
สองคือถ้าไม่ถูกผึ้งรุมหรือสะดุดล้มเสียก่อน
เป้าหมายเบื้องหน้าห่างออกไปสี่ร้อยเมตรคือบ่อน้ำที่ผมว่ายอยู่ประจำ อันจะเป็นที่ลี้ภัยได้อย่างดี
วิ่งพลาง
เหลียวหลังและเงยหน้าขึ้นมองพลาง อุแม่เจ้าโว้ย...พวกผึ้งกระจายเป็นสามกลุ่มวิ่งตามจี้พวกเราติดๆ
ผมใส่เกียร์ห้าวิ่งไม่คิดชีวิต
ได้ยินเสียงผึ้งหึ่งๆอยู่ไกล้หูและเกาะอยู่ตามขอบหมวกจวนแจจะเอาตัวไม่รอด
จึงตัดสินใจปลดสายรัดคางหมวกคาวบอยแล้วถอดหมวกร่อนขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ตัวเองวิ่งซิกแซกไปอีกทางหนึ่ง
ก่อนที่จะวกกลับเข้าทิศเดิม แล้ววิ่งต่อไปอีกราวร้อยเมตร จนมาถึงริมบ่อน้ำ
เหนื่อยใจแทบขาด หยุดหายใจและชั่งใจนิดหนึ่งก่อนที่จะกระโจนลงน้ำ เพราะหากรีบกระโจนทั้งรองเท้าบูทก็ต้องไปเหนื่อยรอบสองเพื่อปฏิบัติการดำน้ำถอดบูทอีก
ปรากฏว่ายุทธการล่อผึ้งของผมได้ผลแฮะ
พวกมันไปรุมหมวก ไม่มีเหลือตามผมมาถึงสระเลย
เจ้าคนงานนั้นเอาตัวรอดวิ่งขึ้นไปอยู่ข้างคนขับรถดัมพ์ซึ่งติดแอร์ปลอดภัยไปแล้ว
แต่ดาบชิดนี่สิ ตัวแกอ้วนตุ๊ต๊ะ แถมวิ่งขึ้นเนินไปหารถตัวเอง
ผมมองเห็นแกวิ่งไปปัดผึ้งไปพักใหญ่กว่าที่จะเปิดเข้าไปนั่งในรถปิ๊คอัพได้ เมื่อเหตุการณ์สงบลง
เรามาพบกันอีกเพื่อสำรวจความเสียหาย
ปรากฏว่าดาบชิดโดนไปยี่สิบกว่าตุ่มและต้องขอตัวกลับบ้านไปทายา คนงานโดนไปสี่ห้าตุ่ม
แต่ผมแคล้วคลาดมาได้ ไม่โดนเลยสักตุ่มเดียว
ตกกลางคืนผมคิดถึงผึ้งไม่หาย
จึงเปิดอ่านเรื่องของผึ้ง ทำให้ได้ไอเดียหลายอย่าง หนึ่งก็คือคนที่โหยหา job
security และ career path ที่แน่นอน
ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องอิจฉาชีวิตของผึ้งงาน เพราะผึ้งงานนั้นมีการจ้างงานที่มั่นคง
มี career path ที่ก้าวหน้า คาดเดาได้อย่างไม่ผันแปล
เมื่อโตพอที่จะทำงานได้ อาชีพจะเริ่มด้วยการเป็นพนักงานทำความสะอาดรัง
พออายุได้สี่วันก็จะได้โปรโมทเป็นพยาบาล มีหน้าที่เลี้ยงตัวอ่อน เยี่ยมดูแลไข่
ป้อนอาหารแก่ตัวหนอนซึ่งเป็นลูกอ่อนที่จะโตเป็นผึ้ง พออายุได้ 12 วันก็จะได้เลื่อนเป็นวิศวกร
ทำงานสร้างและซ่อมแซมรวงผึ้ง
เครื่องมือหากินก็คือไขผึ้งซึ่งผลิตออกมาจากต่อมไขของผึ้งวัยนี้ พออายุได้ 18
วันก็จะได้เป็นทหารทำหน้าที่เฝ้ายามกันใครมาขโมยน้ำผึ้งหรือตัวอ่อน
และพออายุได้ 22 วันก็จะได้งานออกเดินสายสู่โลกกว้าง
เป็นผึ้งงานไปหาอาหาร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของงานอาชีพ
และจะได้ทำอาชีพนี้ไปจนตายโดยไม่มีการเกษียณหรือถูกบีบให้เออร์ลี่
สองคือในแง่ของการบริหารกิจการ
ระบบของผึ้งบริหารโดยใช้ฟีรอโมนซึ่งเป็นโมเลกุลข่าวสารเช่นเดียวกับฮอร์โมนที่ใช้เป็นข่าวสารในการบริหารการทำงานของอวัยวะร่างกายของคนเรา
ฟีรอโมนจะออกมาจากตัวนางพญา ส่งผ่านมาในรูปของกลิ่นบ้าง ของเหลวจากการสัมผัสบ้าง
ชนิดของฟีรอโมนที่รับมา จะเป็นคำสั่งว่าผึ้งจะต้องไปทำอะไร
สามคือความชัดเจนของคำสั่งในรูปของฟีรอโมน
มันคงจะชัดแจ๋วไม่ต้องตีความอย่างบันทึกของผอ.รพ.หรอก เพราะทุกครั้งที่ผึ้งได้คำสั่งมาก็จะลงมือทำการไปได้ไม่ผิดเพี้ยน
สี่คือในแง่ของ
“สำนึกในหน้าที่”
หรือที่คนอังกฤษเรียกว่า sense of duty คำนี้ฝรั่งถือว่าเป็นคำสูง
ซึ่งหมายถึงการที่เรามีหน้าที่อะไรแล้วจะตั้งใจทำมันอย่างถวายชีวิต ผึ้งมีสิ่งนี้โดยสมบูรณ์
การที่พวกมันไล่ต่อยพวกผมอย่างไม่เลิกราเป็นตัวอย่าง
อีกตัวอย่างหนึ่ง
นานมาแล้วผมเล่นน้ำในบ่อที่ไร่นี้ เห็นมดกำลังขนไข่เป็นแถวอยู่บนผนังซิเมนต์ขอบบ่อซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำไปเล็กน้อย
ผมแกล้งเอาน้ำสาดขึ้นไปเพื่อดูว่าพวกมดจะทำอย่างไร พอโดนน้ำสาด แถวก็แตกกระเจิง
ไข่จำนวนหนึ่งลอยลงมาบนผิวน้ำ
ปรากฏว่าพวกมดส่วนหนึ่งที่มีไข่อยู่ในปากก็กลับเข้าแถวขนไข่กันต่อไป
แต่อีกส่วนหนึ่งพยายามที่จะมาเก็บเอาไข่ที่เรี่ยอยู่บนผิวน้ำคืน บ้างก็เอาขาหลังข้างหนึ่งอยู่บนฝั่งแล้วพยายามเอาขาหน้าเอื้อมไปเอาไข่บนผิวน้ำ
เมื่อผมแกล้งเอาปลายใบไม้เขี่ยไข่ให้ไกลจากฝั่งออกไปอีก
บางตัวถึงกลับยอมตายกระโจนกอดไข่ไว้โดยไม่ห่วงตัวเองเลยว่าจะจมน้ำ
นี่แหละครับคือนิยามของคำว่าสำนึกในหน้าที่
คนทำได้ดีกว่าผึ้งหรือมดไหม
ในแง่ของสำนึกในหน้าที่ คำตอบก็คือขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นอยู่ระยะไหนของพัฒนาการ
ตอนผมไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อสองสามเดือนก่อน เราไปดูคอมรุ่นใหม่ๆที่ตึกโซนี่
สิ่งที่ประทับใจผมที่นั่นคือคนทำความสะอาดพื้น
ขณะที่ลูกค้าเดินขวักไขว่ไปมาบ้างก็ทำเลอะเทอะ เขาตั้งใจถูพื้นอย่างไม่ว่อกแว่ก ถูไป
แล้วก็ถูกลับ ถูไป แล้วก็ถูกลับ เวลามีจุดด่างอยู่บนพื้น
เขาจะนั่งลงแล้วเอาคัตเตอร์ออกจากกระเป๋าหลังมาแคะสิ่งสกปรกออกอย่างบรรจง
ไม่สนใจหรือไปมีอารมณ์กับลูกค้าที่แต่งตัวชั้นสูง เดินชะเวิกชะวากสวยๆงามๆ
ฉวัดเฉวียนข้ามหัวเขาไปมา พอแคะเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นถูไป แล้วก็ถูกลับต่อ
นั่นเป็นสำนึกในหน้าที่ของคนซึ่งผมเห็นว่าสมบูรณ์แบบไม่แพ้ผึ้งหรือมด
เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทในมวกเหล็กนี้เล่าให้ฟังว่าคนงานของเขานั้นยึดมั่นกับหน้าที่ดีมาก
เมื่อรับหน้าที่รดน้ำต้นไม้ เขาก็จะรดมันอยู่นั่นแหละ จนต้นไม้ตายเหลือแต่ตอแห้ง
เขาก็จะยังรดมันอยู่ทุกวันไม่ยอมหยุด คือเป็นสำนึกในหน้าที่ในไสตล์เอ็งสั่งมาเถอะ
ข้าทำตะพึด ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ซึ่งแน่นอนถ้าเป็นงานบางอย่างที่มีความซับซ้อนขึ้นมาหน่อยสไตล์นี้ก็จะไม่เวอร์ค
เปรียบเหมือนผึ้งที่ถูกผมร่อนหมวกหลอกก็หลงทางแล้ว
คนที่มีจ๊อบเป็น
“ผึ้งงาน”
คือทำ ทำ ทำ อย่างเดียว เขาจะพัฒนาต่อไปเป็นอะไรได้บ้าง ผมมองเห็นว่ามีอยู่สองทางไป
คือทางหนึ่ง ไปเป็น “ผึ้งศรีธนญชัย”
คือแบบว่าชอบ “รอ”
มีคำสั่งมาแล้วก็ยังทำไม่ได้ ต้องรอตีบาลีกันก่อน
ตีความแล้วก็ต้องรอให้คนอื่นเขาขยับก่อน หรือรอดูทางลมก่อน บางทีก็รอให้นายลืมก่อน
คืออย่าเพิ่งรีบเลย เดี๋ยวนายก็ลืม จะได้ไม่ต้องทำ
ซึ่งนายก็สั่งแล้วมักจะลืมจริงๆเสียด้วย เห็นแมะ
บอกแล้วว่าไม่ต้องรีบ ด้วยเหตุที่มีบาลีให้ตี และมีนายขี้ลืมนี้ ผึ้งศรีธนญชัยจึงขยายจำนวนเร็วจนเต็มที่ทำงาน
แต่ก็มีคนทำงานอีกจำนวนหนึ่งได้พัฒนาการไปในทางเป็น
“ผึ้ง ผอ.”
คำว่า ผอ. นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อำนวยการที่ใส่สูทนั่งอยู่ในห้องแอร์นะ
เพราะนั่นเป็น ผอ. ตัวปลอม แต่ผมหมายถึงคนที่เป็น ผอ. ตัวจริง
การจะเรียกใครว่าเป็นผอ.ตัวจริงได้
คนๆนั้นต้องทำหน้าที่ของ ผอ. ได้สมบูรณ์แบบ หน้าที่ของ ผอ. หรือผู้บริหารก็คือผู้ที่รู้จักเอาทรัพยากรที่ตัวเองควบคุมอยู่ทั้งหมด
มาลงขัน (contribute) ให้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
ตามนิยามนี้ตำแหน่งนี้จึงควรจะได้แก่คนที่เป็นคนทำงานแบบใช้ความรู้ (knowledge
worker) ที่รู้จักเอาความรู้ ทักษะ
และแรงบันดาลใจอันเป็นทรัพยากรที่ตัวเขามีและควบคุมอยู่ มาลงขันสร้างสรรค์องค์กรได้อย่างได้ผลดีเยี่ยม
เพราะทรัพยากรนั้นมีแต่เขาคนเดียวที่คุมได้และเอามาใช้ได้ คนอื่นรวมทั้งผอ. ตัวปลอมที่ใส่สูทนั่งอยู่ในห้องแอร์ล้วนเข้าไม่ถึงและเอามาใช้ไม่ได้ดีเท่าเจ้าตัวเขาเอง
เขาจึงเป็น ผอ. ตัวจริง
คำถาม
“..ขอทราบ
“หมายช่วยการวินิจฉัย”
หรือ diagnostic hallmark ที่จะใช้บอกว่าตัวไหนเป็นผึ้งศรีธนญชัย
ตัวไหนเป็นผึ้งผอ.หน่อยสิ”
ได้สิครับ
ผึ้งศรีธนญชัยนั้นมีความ “ทนได้กับความไร้ค่า”
และยึดเอาความไร้ค่าเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน
คือมีคติว่าทำงานถ้าอู้งานได้ก็ถือเป็นกำไร หรือวันไหนถ้านายให้ทำหน้าที่ stand-by
คืออยู่เฉยๆไม่ต้องออกแรงทำอะไร ก็ถือว่าเป็นโชค มีงานมาถ้าหลบได้ไม่ต้องทำได้ก็เป็นดี คนพวกนี้จะป่วยบ่อย ลาบ่อย เรียกร้องเอาบำเหน็จรางวัลสูง ถ้าทำธุรกิจของตัวเองก็มักจะเจ๊งซ้ำซากจนเจ๊งถาวรหมดตัวไปเลย นี่คือเอกลักษณ์ของผึ้งศรีธนญชัย
ส่วนผึ้งผอ.นั้นเอา
“โอกาสเรียนรู้และความท้าทาย” เป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน เห็นงานชิ้นใดที่จะได้เรียนรู้เพิ่มกึ๋นให้ตัวเอง
หรือเห็นอะไรที่ท้าทายต้องพิสูจน์กันให้ได้ว่ากึ๋นที่ตัวเองมีนั้นจะมีน้ำยาช่วยองค์กรหรือช่วยคนอื่นได้หรือเปล่า
เป็นต้องรีบรี่เข้าใส่ รี่เข้าไปพิสูจน์ มิใยว่าจะต้องเหนื่อยยากเพียงไหนก็ไม่ยั่น คนพวกมักจะไม่ป่วย ไม่ชอบหยุดงาน ถ้าทำธุรกิจตัวเองเจ๊งแล้วก็ลุกขึ้นมาสู้อีกๆๆๆ จนชนะ หรืออย่างน้อยก็พึ่งตัวเองเลี้ยงตัวเองได้ นี่คือเอกลักษณ์ของผึ้ง ผอ.
เราทุกคนล้วนเคยผ่านการเป็น
“ผึ้งงาน”
และเป็น “ผึ้งศรีธนญชัย”
กันมาแล้ว แต่มีสักกี่คนที่พัฒนาตัวเองต่อไปถึงขั้นเป็นผึ้ง ผอ. ได้สำเร็จ ตัว “ผึ้ง
ผอ.” เองเท่านั้นที่จะตอบได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
......................................................