ผลต่อสุขภาพของผักออร์แกนิกเทียบกับผักธรรมดา

คุณหมอสันต์ครับ

ผมชื่อ... อายุ 42 ปี เป็นวิศวกรทำงานวิเคราะห์ระบบ ทำมาสิบกว่าปีแล้ว มีความเบื่อสิ่งที่ทำ เพราะคิดว่าทำมานานเกินไป ผมมีความคิดอยากจะเลิกทำงานอาชีพเพื่อไปทำอย่างอื่นที่ผมน่าจะมีความสุขกับมันมากกว่า เพราะว่าผมไม่มีลูก ไม่มีความจำเป็นต้องทำมาหาเงินมากมาย แม้ว่าจะเกิดในกรุงเทพ แต่ก็เคยไปทำงานระยองอยู่หลายปี จึงมีความชอบชีวิตต่างจังหวัดอยู่ ผมกำลังคิดจะซื้อที่ดินในต่างจังหวัดที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นแถวมวกเหล็กหรือเขาใหญ่ที่คุณหมอพูดถึงบ่อย สิ่งที่ผมเขียนมาหาคุณหมอก็คือผมมีความคิดมานานแล้วที่อยากจะไปปลูกผักแบบ organic farming แต่เขียนมาหาคุณหมอเพราะไม่เคยเห็นคุณหมอเชียร์พืชผักที่ปลูกแบบออร์แกนิกให้คนหันมาบริโภคเลย ทั้งๆที่ผมทราบว่าคุณหมอก็ปลูกผักออร์แกนิกมาก่อน ทำไมละครับ ผักออกแกนิกน่าจะดีที่สุดต่อสุขภาพไม่ใช่หรือ หรือว่ามีเหตุผลอื่นที่ไม่ดีทำให้คุณหมอไม่แนะนำ
คุณหมอมีอะไรอย่างอื่นจะแนะนำผมด้วยก็ยินดีนะครับ จะด่าผมก็ได้

......................................................

ตอบครับ

มาอีกละ พวกดิ้นรนทำให้กระเป๋าเงินของตัวเองเล็กลง

พูดถึงวิศวกรไปทำไร่ สมัยผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้ว่าจ้างนายช่างใหญ่คนหนึ่งเข้ามาให้คำแนะนำในเรื่องการปรับปรุงอาคารของโรงพยาบาล ต้องทำงานด้วยกันบ่อย จึงมีความสนิทสนมกันพอควร เขาอายุมากกว่าผม ผมจึงเรียกเขาว่าพี่ พอหมดสัญญากับโรงพยาบาล เขาก็ไปทำไร่มันสำปะหลัง ได้ติดต่อกันอีกครั้งจึงทราบว่าเขากำลังหาซื้อรถสิบล้อไปขนน้ำรดมันสำปะหลัง ผมแหย่ว่า

“..โอ้โฮ เอาขนาดนั้นเลยหรือพี่ อย่าถึงขั้นซื้อรถแบ้คโคด้วยก็แล้วกัน เขารีบตอบว่า

“แบ้คโคผมมีแล้ว แต่หน้าจอบมันเล็กไปขุดร่องยาก ผมว่าจะขายซื้อคันใหญ่ขึ้น

          คือพวกนายช่าง ไปทำอะไรนิสัยก็ยังเป็นนายช่าง คิดดูสิคนทำไร่ธรรมดาๆใครเขาจะมีทั้งสิบล้อขนน้ำและรถแบ้คโคขุดร่อง ผมไม่ทราบว่าพี่ท่านทำไร่มันแล้วได้กำไรหรือขาดทุน แต่ก็ขอให้พี่ท่านโชคดีมีสุขก็แล้วกัน

มาตอบคำถามคุณดีกว่า

ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณ ผมขอนิยามคำว่าผักออร์กานิกให้ผู้อ่านทั่วไปได้เข้าใจกันจริงๆจังๆก่อนนะครับ เพราะตัวผมน่าจะมีคุณวุฒิพอที่จะอธิบายนิยามนี้ได้ เนื่องจากสมัยที่ผมทำไร่ปลูกผักขายอยู่นั้น ไร่ของผมได้รับการรับรองจากองค์การ IFOAM ซึ่งเป็นองค์การนานาชาติที่เป็นผู้ให้การรับรองฟาร์มออร์แกนิกที่ได้มาตรฐานสากล

โดยคำนิยาม พืชที่ปลูกด้วยวิธีออร์แกนิกนั้น จะต้องไม่ใช้เมล็ดพันธ์ที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรม ต้องไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชใดๆ ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี ไม่มีการใช้อุจจาระคนมาทำเป็นปุ๋ย ไม่มีการใช้ขยะมูลฝอยของเมือง (garbage) เป็นปุ๋ย ไม่มีการใช้กากอุตสาหกรรมเป็นปุ๋ย ไม่มีการใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ย เว้นเสียแต่จะผ่านกระบวนการหมักจนย่อยสลายสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่ใช้เป็นปุ๋ยได้นั้นมีเพียงพืชและผลิตผลจากพืชด้วยกัน หรือพูดง่ายว่าอินทรีย์วัตถุต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการหมักย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์แล้วเท่านั้น ดังนั้นผักไฮโดรโปนิก (ที่ปลูกในน้ำ) จึงไม่ใช่ผักออร์แกนิก เพราะใช้ปุ๋ยเคมีใส่ลงไปในน้ำ ผักปลอดสารพิษก็ไม่ใช่ผักออร์แกนิก เพราะเป็นเพียงผักที่ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงเท่านั้น แต่ยังใช้ปุ๋ยเคมีใส่ลงไปในดินอยู่ ผักปลอดภัยจากสารพิษ ก็ยิ่งไม่ใช่ผักออร์แกนิกใหญ่ เพราะใช้ทั้งยาฆ่าแมลง (ในอัตราบันยะบันยัง) และใช้ทั้งปุ๋ยเคมี
   
1.. ถามว่าผักออร์กานิก (organic vegetable) มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรเป็นพิเศษหรือไม่ คุ้มค่าเงินสำหรับผู้บริโภคที่ต้องจ่ายมากขึ้นหรือเปล่า ตอบว่าหลักฐานเรื่องนี้ของไทยไม่มีใครเคยทำวิจัยตีพิมพ์ไว้เลย สำหรับของฝรั่ง ก่อนหน้านี้หลักฐานทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ออกมา ก็ไม่พบว่าผักออร์กานิกมีผลดีต่อสุขภาพแตกต่างจากผักธรรมดาแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้ วารสารโภชนาการอังกฤษ (BJN) ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่นำงานวิจัยเปรียบเทียบผักออร์แกนิกกับผักธรรมดา เฉพาะงานวิจัยที่เป็นหลักฐานระดับสูงจำนวน 343 งาน มาวิเคราะห์แบบเมตาอานาไลสิส ซึ่งสรุปผลได้ว่าผักออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผักธรรมดา 17% ตัวสำคัญบางตัวเช่น flavanones, flavonols, anthocyanins มีมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก ขณะเดียวกันผักออร์แกนิกมียาฆ่าแมลงปนเปื้อนน้อยกว่าผักธรรมดาสี่เท่า และมีสารแคดเมียมซึ่งเป็นโลหะหนักอันตรายน้อยกว่าผักธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยชิ้นนี้นับเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นเดียวที่สนับสนุนว่าผักออร์แกนิกดีกว่าผักธรรมดา แต่ก็เป็นเพียงข้อมูลในห้องแล็บ ไม่ใช่ข้อมูลที่แสดงผลของผักออร์แกนิกต่อร่างกายคนจริงๆ พูดง่ายๆว่าเป็นเพียงหลักฐานระดับต่ำ ไม่ใช่หลักฐานระดับสูง

ดังนั้นแปลไทยให้เป็นไทยก็คือผักออร์กานิกมีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์มากกว่าผักธรรมดา มีสารเคมีปนเปื้อนน้อยกว่าผักธรรมดา ขณะที่ข้อมูลผลต่อร่างกายคนว่าแตกต่างจากผักธรรมดาหรือไม่..ยังไม่มี ความแตกต่างของคุณสมบัติที่ตรวจวัดได้ในห้องแล็บนี้จะคุ้มกับราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบเท่าตัวหรือไม่ อันนี้ผมไม่แน่ใจ ขอทิ้งไว้ให้เป็นดุลพินิจของผู้บริโภคเองก็แล้วกัน

2.. ที่ว่าจะไปหาซื้อที่ดินแถวมวกเหล็ก-เขาใหญ่เพื่อปลูกผักนั้น ผมแนะนำให้เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนจังหวัดเสียดีกว่าครับ เช้าวันนี้ผมเข้าไปธุระที่ตลาดมวกเหล็ก จึงถือโอกาสเลยเข้าไปดูที่ดินที่เขาประกาศขายโครงการหนึ่งใกล้คลองมวกเหล็ก ไม่ไกลจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เผื่อเป็นทางเลือกให้สมาชิกที่จะมาอยู่แบบ coho จึงพบว่าเขาขายกันตารางวาละ 29,000 บาท มีอยู่แปลงหนึ่ง ขนาดพอปลูกผักแจกเพื่อนๆได้ คือสองไร่เศษๆ ที่ดินเปล่านะ มีแต่หญ้าคลุมและตัดหญ้าเรียบร้อย ราคาตก 30 ล้านบาท คุณต้องปลูกผักขายกี่ชาติละครับ จึงจะถึงจุดคุ้มทุนค่าที่ดิน ถ้าจะคิดว่าปลูกผักเอาความโรแมนติกเอาวิวแพงหน่อยก็จะยอม ลองดูตัวอย่างนี้นะครับ เมื่อต้นปีนี้ คนรู้จักของเพื่อนผมอีกคนหนึ่งเขาไปตระเวนหาซื้อที่ปลูกบ้านพักที่เขาใหญ่ ที่ตำบลหมูสี เขาขายที่กันตารางวาละ 25,000 บาท วิวดี จึงซื้อ ลงมือปลูกบ้าน เพิ่งขุดดินทำฐานรากยังไม่ได้ขึ้นตัวบ้านเลย ก็พบว่าวิวตรงหน้าที่ว่าดีๆนั้นมีคอนโดยาวเหยียดแบบรังผึ้งโผล่ขึ้นมาขวางวิวดื้อๆ..เจ็บไหมละครับ วาละ 25,000 บาท ก็คือไร่ละสิบล้านบาท

3.. ถามว่าผมมีอะไรจะแนะนำอีกไหม ตอบว่าเรื่องปลูกผักไม่มีแล้วครับ เรื่องคนดิ้นรนอยากเสียเงินนี้ตัวใครตัวมันเลยดีกว่าครับ

แต่เรื่องสุขภาพจิต ผมพอจะมีคำแนะนำอยู่บ้าง อาการของคุณเขาเรียกว่าคนประสบกับวิกฤติครึ่งชีวิต (midlife crisis) พูดง่ายๆว่ามาไม่มีความสุขเอาเมื่ออยู่ในวัยกลางคน สิ่งที่ผมจะแนะนำคุณได้ก็คือผลวิจัยทางการแพทย์ที่ว่าอะไรสัมพันธ์กับการมีความสุข อะไรที่ไม่สัมพันธ์กับการมีความสุข

สิ่งที่สัมพันธ์กับการทีความสุข ได้แก่

(1)  “การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายตามความเชื่อในศาสนาของตน” ข้อมูลแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะพระเจ้าหรือธรรมะดีจริง หรือเป็นเพราะการได้ไปสมาคมกับคนพันธุ์เดียวกัน แต่ก็สรุปได้แน่ชัดว่าพวกธัมมะธัมโมถือศีล ไม่ว่าจะถือสากด้วยหรือไม่ก็ตาม ล้วนมีความสุขมากกว่าพวกไม่เอาศาสนา 

          (2)  “การมีเพื่อนซี้” หรือญาติสนิท หรือได้แต่งงานกับคนที่รู้ใจ บางงานวิจัยพบว่าถ้ามีเพื่อนที่สุขง่ายหัวเราะง่าย เราก็จะสุขง่ายไปด้วย บางงานวิจัยพบว่าเพื่อนซี้ในที่ทำงานมีผลต่อความสุขมากกว่าคู่สมรส ในประเด็นการแต่งงาน พบว่าคนได้แต่งงานมีความสุขมากว่าคนไม่แต่งงาน

(3) ก็คือการได้ง่วนทำอะไร ยิ่งเป็นอะไรที่ใด้ใช้ความรู้และทักษะของตัวเองเต็มที่ด้วยยิ่งสุขมาก ในประเด็นต้องได้ทำอะไรถึงจะมีความสุขนี้ นายชิคเซนท์เมฮี (Mihaly Csikszentmihalyi) ได้ทำวิจัยไว้อย่างพิสดาร คือสุ่มเพจเข้าไปหาคนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างโดยไม่เลือกเวลาแล้วถามว่าตอนนี้คุณทำอะไรอยู่เอ่ย แล้วคุณกำลังรู้สึกยังไง ก็ได้ผลสรุปออกมาชัดเจนว่าถ้ากำลังง่วนทำอะไรอยู่ จะรู้สึกดีมีความสุขมากกว่าถ้าอยู่ว่างๆเฉยๆ ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ หลายงานวิจัยสรุปได้ว่าการได้ง่วนกับอะไรที่ง่ายๆราคาถูกๆ มีความสุขมากกว่าการเล่นของยากๆราคาแพงๆ คนทำสวนเป็นงานอดิเรกมีความสุขมากว่าคนเล่นเรือยอชต์ เป็นต้น

(4) การฝึกสติ ให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าแบบผ่อนคลาย (relaxation response) จะด้วยวิธีใดก็ได้ เช่น นั่งสมาธิตามดูลมหายใจเข้าออก รำมวยจีน โยคะ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น 
          
(5) การออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที การออกกำลังกายทำให้มีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นสารก่อความสุขโดยตรงเข้าสู่กระแสเลือด

          (6) นอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ ในการทำงานก็เบรกสั้นๆเพื่อผ่อนคลาย 
          
(7) การหัวเราะ และการทำตัวเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ ทำให้สุขภาพดี และต้านความเครียดได้ชะงัด ถ้าตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะหัวเราะเองได้ ก็ควรพยายามใกล้ชิดกับคนที่หัวเราะเก่ง 
          
(8) เปลี่ยนกรอบความคิดไปสู่การคิดบวก สื่อสัมพันธ์คบหากับคนที่คิดบวก ถอนตัวเองออกจากปลักของการชิงดีชิงเด่นเอาชนะคะคานหรือเสริมอัตตาของตัวเอง หันมาสนใจการทำอะไรเพื่อคนอื่นให้มากขึ้น 

          ส่วนปัจจัยที่ไม่สัมพันธ์กับความสุข แทบทุกงานวิจัยล้วนได้ผลตรงกันคือ 

(1) การมีรายได้มากขึ้นหรือความร่ำรวย 
(2) การมีความรู้สูง 
(3) การเป็นคนฉลาดมีไอคิวสูง 
(4) วัย อันทีจริงผลวิจัยบางรายการพบว่าวัยสูงอายุมีความสุขมากกว่าวัยหนุ่มสาวเสียอีก 
(5) เพศ 
(7) การมีลูกหรือไม่มี

ทั้ง 7 ข้อนี้ล้วนไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้คนมีความสุขหรือไม่มี

ผมแนะนำคุณได้แค่นี้แหละครับ ที่เหลือคุณเอาไปประยุกต์ใช้เอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี