ผอมกระแด๋ง แต่หมอบอกว่าไขมันในเลือดสูง
สวัสดีค่ะคุณหมอ
หนูอ่านที่คุณหมอสอนว่าความเครียดไม่ดี
ทุกวันนี้หนูพยายามไม่เครียด ทุกวันนี้สุขภาพร่างกายก็ดี เพราะทำจิตใจไม่เครียด
แต่วันนี้หนูมีปัญหาที่คิดไม่ตก ปัญหาที่แสนจะงงงวย ต้องขอรบกวนเวลาคุณหมอให้ คำแนะนำด้วยนะคะ
คือหนูไปตรวจร่างกายประจำปีมา ซึ่งเป็นการตรวจอย่างละเอียดครั ้งแรกในชีวิตเลยนะคะ
เป็นการตรวจแบบโปรแกรมของคนอายุ ไม่ถึง 30 อะค่ะ หนูอายุ 26 ปีนะคะ
ซึ่งการตรวจร่างกายทำเอาหนู งงงวยมาก ทุกอย่างปกติดีนะคะ แต่ไขมันคอลเรสเตอรอล(Total
Cholesterol) สูงถึง251 ซึ่งปกติมันไม่น่าจะเกิน
200 ไขมันไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride) สูง 84 ไขมัน HDL สู ง 86 ส่วนไขมันLDLไม่ได้ระบุมา
สิ่งที่มันทำให้หนูอึ้งกิมกี่ เพราะว้า หนูตัวเล็กมากกกก ผอมมากกกกก
จะเห็นกระดูกอยู่แล้ว หนัก37-38เอง (สูง160) โอ้วม่ายนะ เกิดอะไรขึ้นกับหนู ไขมันสูงได้อย่างไร หนูควรจะไขมันต่ำสิ
คุณหมอคะ ร่างกายหนูต้องลดไขมัน แล้วหนูต้องผอมลงอีกใช่ไหม
หนูต้องทำเผื่อแลกกับสุขภาพใช่ ไหม แล้วร่างหนูละมันจะผอมน่าเกลี ยดไปนะ
ใจจริงแล้วหนูอยากเพิ่มความอ้ วนต่างหากนะ หนูอยากอ้วน อยากกินเค้ก อยากกินของหวาน
อยากกินข้าวมื้อละ 2 จาน ร่างกายหนูตอนนี้มันผอมแห้ง
ไม่สมดุล อยากมีน้ำมีนวลกับเค้าบ้างน่ะ จะกิน จะไม่กิน จะกิน จะไม่กิน
เป็นคำถามที่หนูตอบไม่ถูกเลย แต่หนูคิดไม่ออกจริงๆ ต้องทำไงดีให้อ้วนขึ้นแต่ลดไขมั นได้ ฮือออ
(แล้วค่าไขมันต่างๆของหนูอยู่ ในเกณฑ์อันตรายหรือเปล่าคะ ต้องทานยาลดไขมันไหม
ใจจริงไม่อยากทานเลย) คุณหมอแนะนำด้วยนะคะ หนูจะเฝ้ารอคุณหมอตอบทุกวันๆ
หนูขอบคุณจริงๆนะคะ คุณหมอเป็นเหมือนที่พึ่งของหนู ยามที่หนูทุกข์ใจ
หนูซาบซึ้งจริงๆค่ะ
มีอีกคำถามนึงไม่เกี่ยวกับไขมัน แต่เป็นเรื่องที่หนูสงสัย หากคนที่มีปัญหาฮอร์โมน เช่นประจำเดือนมาไม่ตรง มีสิวฮอร์โมน หน้ามัน คนเหล่านี้จะมีสิทธิ์เป็นมะเร็ งต่างๆมากกว่าคนปกติไหมคะ
เพราะว่าเหมือนร่างกายเค้าไม่ สมดุล ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมีวิธีป้ องกัน แก้ไขบ้างไหมคะ
ขอบคุณคุณหมออีกครั้ง หนูจะรอคำตอบของหมอนะคะ
มีอีกคำถามนึงไม่เกี่ยวกับไขมัน แต่เป็นเรื่องที่หนูสงสัย หากคนที่มีปัญหาฮอร์โมน เช่นประจำเดือนมาไม่ตรง มีสิวฮอร์โมน หน้ามัน คนเหล่านี้จะมีสิทธิ์เป็นมะเร็
ขอบคุณคุณหมออีกครั้ง หนูจะรอคำตอบของหมอนะคะ
.......................................................
ตอบครับ
ท่านผู้อ่านหลายคนคงจะเกิดไม่ทันภาษิตโบราณนี้
“..รู้มาก
ยากนาน
รู้น้อย
พลอยรำคาญ
ไม่รู้ไม่ชี้เป็นหนี้ดักดาน..”
สมัยผมเป็นเด็กวัด
เรียนหนังสือระดับชั้นประถม หลวงพี่ท่านหนึ่งชอบพูดกรอกหูผมประจำ
ซึ่งผมไม่เข้าใจความหมายของภาษิตนี้เลย จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ
ได้แต่เดาความหมายเอาเอง ผิดถูกก็ไม่สามารถตรวจสอบกับใครได้
เพราะคนรุ่นที่ใช้ภาษิตนี้ตายไปเกือบหมดแล้ว คนเขียนพจนานุกรมก็เป็นคนรุ่นหลังซึ่งไม่รู้เจตนาของคนพูด
แต่ก็อุตสาห์ให้ความเห็นไว้แบบอรรถกถา ซึ่งผมแปลว่า “นักเดา”
ถ้าจะให้ผมเดามั่ง
ผมเดาว่า “รู้มาก” คงจะหมายถึงพวกขี้งก วันๆมีแต่หาช่องทาง หาข้อมูล หาโอกาส
เพื่อหาเงินเข้าพกเข้าห่อตัวเองให้มากขึ้น ยิ่งได้ก็ยิ่งหา โดยที่หารู้ไม่ว่ายิ่งทำอย่างนั้นชีวิตยิ่งลำบาก
เพราะความขี้งกมันแบ่งตัวได้เหมือนบักเตรี ก็เลยต้องหาเงินกันไม่จบ
ส่วน “รู้น้อย”
คงจะหมายถึงคนขี้งกเหมือนกัน แต่ไม่มีเส้น ไม่มีความได้เปรียบ ไม่มีจังหวะ
ไม่มีโอกาสกับเขาบ้าง จึงได้แต่ฮึดฮัดๆ
ส่วน “ไม่รู้ไม่ชี้”
คงจะหมายถึงคนไม่งก ไม่ขยัน ไม่เอาอ่าว มีแต่บริโภค เขามีอะไรขายให้ก็ซื้อหมด
ในที่สุดก็มีแต่หนี้
นี่เป็นการเดาของหมอสันต์คนเดียวนะครับ
อย่ามาเอาผิดเอาถูกกับผม และอย่าเอาผมไปเปรียบกับนักปราชญ์รู้พลั้งที่เขียนพจนานุกรม
เพราะแต่ไหนแต่ไรแล้วหมอสันต์กับนักปราชญ์รู้พลั้งนั้น เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน..หิ
หิ
เออ..
แล้วผมพูดถึงภาษิตนี้ขึ้นมาทำไมละ ก็นั่นนะสิ ไม่รู้เหมือนกัน
คงเป็นเพราะเห็นจดหมายของหนูคนนี้แล้วทำให้คิดถึงคนที่รู้อะไรนิดๆหน่อยๆแล้วความรู้งูๆปลาๆนั้นพาให้ตัวเองเป็นทุกข์
เรียกว่ารู้แบบนี้ไม่รู้เสียเลยอาจจะดีกว่า...(รึเปล่า)
เอาเถอะ
มาตอบจดหมายของคุณหนูคนนี้ดีกว่า ความจริงต้องเรียกเธอว่าคุณผู้หญิงมากกว่า
ไม่ใช่คุณหนู เพราะเธออายุ 26 แล้ว
ผมขอตอบแยกเป็นประเด็นนะ
ประเด็นที่
1. รู้เรื่องไขมันงูๆปลาๆพาทุกข์
ผลเลือดที่คุณได้มาแล้วทำให้ตีอกชกหัวว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงนั้นความจริงมันเป็นผลเลือดปกติสำหรับตัวคุณ
ไม่ได้เป็นโรคไขมันในเลือดสูง กล่าวคือวงการแพทย์ปัจจุบันใช้ค่า LDL
เป็นตัวบอกว่าใครมีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดถึงขั้นต้องลงมือใช้ยา
ในกรณีของคุณนี้ แม้ผลแล็บไม่ได้ตรวจค่า LDL ให้ แต่เราก็คำนวณเอาจากค่าที่มีอยู่ได้
เพราะโคเลสเตอรอลรวม เป็นผลบวกของไขมันดี + ไขมันเลว +
เศษหนึ่งส่วนห้าของไตรกลีเซอไรด์ ดังนั้น LDL ของคุณก็เท่ากับ
LDL = Total cholesterol – HDL – 1/5 Triglyceride
=
251 – 86 – (84/5)
= 148.2 mg/dl
สำหรับคนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างคุณ
LDL 148.2 mg/dl ถือว่าปกติ จะผิดปกติก็ต่อเมื่อ LDL สูงเกิน 190 mg/dl ดังนั้นคุณไม่ต้องกะต๊าก
กะต๊าก..ก ว่าตัวเองเป็นไขมันในเลือดสูงต้องอดอาหาร
นั่นเป็นความเข้าใจชีวิตที่ผิดไป คือการแปลความหมายของไขมันในเลือดสูงในทางการแพทย์ จะไม่แปลจากตัวเลขดุ่ยๆ แต่จะแปลโดยคำนึงถึงระดับชั้นของความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจของคนๆนั้นเป็นสำคัญ ถ้าเป็นคนที่มีความเสี่ยงต่ำ
จะถือว่าไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องเทคแอ๊กชั่นก็ต่อเมื่อ LDL มากเกิน 190 mg/dl เท่านั้น
ประเด็นที่
2. คนผอมอยากอ้วน
ตัวเองทุกวันนี้ผอมกระแด๋งเป็นไม้เสียบผีอยากจะเพิ่มความอ้วนด้วยการกินเค้ก กินของหวาน
กินข้าวมื้อละสองจาน จะได้มีน้ำมีนวลกับเขาบ้างจะดีไหม
ตอบว่าดูจากดัชนีมวลกายของคุณ (14.4 กก./ตรม.)
ผมวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคตายอดตายอยาก (severe starvation) สมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์เขาเรียกว่าโรค
Marasmus คือร่างกายขาดอาหารไปหมดทุกส่วนเหมือนอย่างเด็กในเอธิโอเปียสมัยก่อน
เมืองไทยสมัยก่อนก็มีโรคนี้ แต่สมัยนี้ผมเข้าใจว่าหมดไปจากเมืองไทยแล้ว แต่ทำไมยังมีอยู่
แถมเขียนจดหมายมาหาผมได้ซะอีกต่างหาก คนเป็นโรคนี้จะขาดอาหารทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนและแคลอรี่
ตามแผนการรักษาที่คุณวางไว้ให้ตัวเองว่าจะกินเค้ก กินของหวาน กินข้าวมื้อละสองจานนั้น
ถ้าคุณทำได้ตามที่คุยจริงคุณก็จะกลายไปเป็นอีกโรคหนึ่งที่เรียกว่าโรคขาดโปรตีน (Kwashiorkor)
คำนี้เป็นภาษาอาฟริกันแปลว่าโรคเมื่อมีลูกคนที่สอง
กล่าวคือพอมีลูกคนที่สองก็ห้ามลูกคนแรกกินนม
ลูกคนแรกก็เลยได้กินแต่เผือกแต่มันไม่มีโปรตีน ก็เลยกลายเป็นเด็กนุ้ยที่มีแต่ไขมันแต่ไม่มีกล้ามและป่วยออดๆแอดๆ
เพราะเมื่อไม่มีโปรตีน คนเราย่อมจะต้องตาย นี่มันเป็นสัจจะธรรม
ดังนั้นแผนการรักษาตัวเองของคุณจะกินแต่คาร์โบไฮเดรตที่ให้แต่แคลอรี่ตามรายการที่คุณจาระไนมาไม่ได้
ผมแนะนำว่าถ้าคุณจะรักษาโรคตายอดตายอยากของคุณ
คุณต้องทำเป็นขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1. การคัดกรองโรค คุณต้องกลับไปหาหมอ
จะให้ดีควรเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ (Nutritionist) เพื่อตรวจคัดกรองโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุให้น้ำหนักต่ำกว่าปกติออกไปก่อน
ตัวอย่างโรคที่ทำให้ผอม เช่น
(1) โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ ซึ่งต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมาเร่งการเผาผลาญอาหารมากเกินไปจนกินเท่าไรก็ไม่พอ
(2) โรคความผิดปกติของการดูดซึมอาหาร (malabsorbtion) กินเข้าไปแล้วแต่ร่างกายไม่ดูดซึมไปใช้ เข้าเท่าไหร่ก็ออกหมด ในกลุ่มนี้ต้องมองไปถึงโรคที่ทำให้กินได้น้อยด้วย เช่นฟันไม่ดี เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารทำให้เรื่องมากจนไม่อยากกิน เป็นต้น
(3) การมีพยาธิในลำไส้คอยดักกินอาหารของเรา
(4) เป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากตับอ่อนเสียการทำงานซึ่งเป็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
(5) เป็นโรคเรื้อรังซึ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรมเช่นวัณโรค โรคลิ้นหัวใจอักเสบเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจแต่กำเนิด เป็นต้น
(6) เป็นโรคทางใจที่ทำให้กินไม่ได้ เช่นซึมเศร้า สมองเสื่อม โรคกินแล้วล้วงคออ๊วก (anorexia nervosa)
(7) มีกินแต่กินไม่เป็น เช่นกินแต่อาหารพวกน้ำตาลและแป้งหรือก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต อาหารพวกนี้ทำให้อิ่ม ทำให้ไม่ได้อาหารโปรตีน ซึ่งเป็นอาหารหมวดสำคัญในการเพิ่มน้ำหนัก
(9) ผอมเพราะฤทธิ์ยา เช่นยาต้านซึมเศร้า ยาแก้ปวดข้อ (NSAID) ยากันชัก พวกนี้ทำให้ผอมได้ทั้งนั้น
ขั้นที่ 2. คือการปรับโภชนาการ ทุกคนทราบมาแต่ชั้นประถมแล้วว่าวันหนึ่งเราควรจะได้ทั้งอาหารให้พลังงาน (คาร์โบไฮเดรต ไขมัน) โปรตีน (เนื้อนมไข่ถั่ว) และวิตามินเกลือแร่ (ผักผลไม้) ประเด็นสำคัญคือคุณต้องเพิ่มโปรตีนและผักผลไม้ ไม่ใช่จ้องจะกินแต่คาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำอย่างที่จาระไนมา คุณต้องได้โปรตีนอย่างน้อยวันละ 50 กรัม 50 กรัมนี้ หมายถึง 50 กรัมของโปรตีน ไม่ใช่กรัมของเนื้อนมไข่ ยกตัวอย่างคุณกินเนื้อหมู 100 กรัม (สะเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น)คุณจะได้โปรตีน 20% คือ 20 กรัมเท่านั้นเอง หรือถ้าคุณกินไข่ใบโตหนึ่งฟอง (70 กรัม) คุณจะได้โปรตีน 10% คือ 7 กรัมเท่านั้นเอง คุณดื่มนม 1 แก้ว (250 ซีซี.) คุณจะได้โปรตีนประมาณ 3.3% คือ 8.2 กรัมเท่านั้นเอง ดังนั้นวันหนึ่งถ้าคุณอยากได้โปรตีน 50 กรัมคุณต้องกินกินสเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น ไข่สองฟอง นม 2 แก้ว ประมาณนี้ หรือคุณจะเอาสูตรง่ายๆของผมไปใช้ก็ได้ คือกินไข่วันละ 6 ฟองทุกวัน แหล่งอาหารโปรตีนที่ดีมากอีกแหล่งหนึ่งก็คือถั่วต่างๆ ผลเปลือกแข็ง (nut) และเมล็ด (seed) ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 20-30% แถมยังมีวิตามินและเกลือแร่มาก ถั่วต่างๆคุณคงรู้จักดีอยู่แล้ว ตัวอย่างของผลเปลือกแข็งก็เช่น มะม่วงหิมพานต์ เกาลัด แป๊ะก๊วย อัลมอนด์ มะคาเดเมียเป็นต้น ตัวอย่างของเมล็ดก็เช่น งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดเก๋ากี้ เป็นต้น คุณหาผลเปลือกแข็งและเมล็ดเหล่านี้มาทานเป็นของว่างแทนขนมหวานหรือเค้กคุ้กกี้ซึ่งมีให้แต่พลังงานก็จะมีประโยชน์ดีกว่า
ขั้นที่ 3. คือการสร้างมวลกล้ามเนื้อ หมายถึงการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อหรือเล่นกล้าม การออกกำลังกายนี้ต้องทำหลังจากที่คุณปรับได้อาหารโปรตีนพอเพียงแล้วนะ เพราะถ้าคุณกินโปรตีนไม่พอร่างกายก็ไม่มีอะไรไปสร้างกล้ามเนื้อ คุณเล่นกล้ามผลก็คือคุณจะได้ก้างแทน เพราะร่างกายเอาเนื้อไปเผาผลาญเป็นพลังงานหมด การออกกำลังกายนี้มีความสำคัญสำหรับคนผอม โดยเฉพาะคนที่กินอะไรไม่ค่อยลง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้กินอาหารได้มากขึ้น และมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และยังเป็นการป้องกันกระดูกพรุนซึ่งจะเป็นปัญหาของคนผอมเมื่อแก่ตัวลง
(1) โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ ซึ่งต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมาเร่งการเผาผลาญอาหารมากเกินไปจนกินเท่าไรก็ไม่พอ
(2) โรคความผิดปกติของการดูดซึมอาหาร (malabsorbtion) กินเข้าไปแล้วแต่ร่างกายไม่ดูดซึมไปใช้ เข้าเท่าไหร่ก็ออกหมด ในกลุ่มนี้ต้องมองไปถึงโรคที่ทำให้กินได้น้อยด้วย เช่นฟันไม่ดี เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารทำให้เรื่องมากจนไม่อยากกิน เป็นต้น
(3) การมีพยาธิในลำไส้คอยดักกินอาหารของเรา
(4) เป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากตับอ่อนเสียการทำงานซึ่งเป็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
(5) เป็นโรคเรื้อรังซึ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรมเช่นวัณโรค โรคลิ้นหัวใจอักเสบเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจแต่กำเนิด เป็นต้น
(6) เป็นโรคทางใจที่ทำให้กินไม่ได้ เช่นซึมเศร้า สมองเสื่อม โรคกินแล้วล้วงคออ๊วก (anorexia nervosa)
(7) มีกินแต่กินไม่เป็น เช่นกินแต่อาหารพวกน้ำตาลและแป้งหรือก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต อาหารพวกนี้ทำให้อิ่ม ทำให้ไม่ได้อาหารโปรตีน ซึ่งเป็นอาหารหมวดสำคัญในการเพิ่มน้ำหนัก
(9) ผอมเพราะฤทธิ์ยา เช่นยาต้านซึมเศร้า ยาแก้ปวดข้อ (NSAID) ยากันชัก พวกนี้ทำให้ผอมได้ทั้งนั้น
ขั้นที่ 2. คือการปรับโภชนาการ ทุกคนทราบมาแต่ชั้นประถมแล้วว่าวันหนึ่งเราควรจะได้ทั้งอาหารให้พลังงาน (คาร์โบไฮเดรต ไขมัน) โปรตีน (เนื้อนมไข่ถั่ว) และวิตามินเกลือแร่ (ผักผลไม้) ประเด็นสำคัญคือคุณต้องเพิ่มโปรตีนและผักผลไม้ ไม่ใช่จ้องจะกินแต่คาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำอย่างที่จาระไนมา คุณต้องได้โปรตีนอย่างน้อยวันละ 50 กรัม 50 กรัมนี้ หมายถึง 50 กรัมของโปรตีน ไม่ใช่กรัมของเนื้อนมไข่ ยกตัวอย่างคุณกินเนื้อหมู 100 กรัม (สะเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น)คุณจะได้โปรตีน 20% คือ 20 กรัมเท่านั้นเอง หรือถ้าคุณกินไข่ใบโตหนึ่งฟอง (70 กรัม) คุณจะได้โปรตีน 10% คือ 7 กรัมเท่านั้นเอง คุณดื่มนม 1 แก้ว (250 ซีซี.) คุณจะได้โปรตีนประมาณ 3.3% คือ 8.2 กรัมเท่านั้นเอง ดังนั้นวันหนึ่งถ้าคุณอยากได้โปรตีน 50 กรัมคุณต้องกินกินสเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น ไข่สองฟอง นม 2 แก้ว ประมาณนี้ หรือคุณจะเอาสูตรง่ายๆของผมไปใช้ก็ได้ คือกินไข่วันละ 6 ฟองทุกวัน แหล่งอาหารโปรตีนที่ดีมากอีกแหล่งหนึ่งก็คือถั่วต่างๆ ผลเปลือกแข็ง (nut) และเมล็ด (seed) ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 20-30% แถมยังมีวิตามินและเกลือแร่มาก ถั่วต่างๆคุณคงรู้จักดีอยู่แล้ว ตัวอย่างของผลเปลือกแข็งก็เช่น มะม่วงหิมพานต์ เกาลัด แป๊ะก๊วย อัลมอนด์ มะคาเดเมียเป็นต้น ตัวอย่างของเมล็ดก็เช่น งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดเก๋ากี้ เป็นต้น คุณหาผลเปลือกแข็งและเมล็ดเหล่านี้มาทานเป็นของว่างแทนขนมหวานหรือเค้กคุ้กกี้ซึ่งมีให้แต่พลังงานก็จะมีประโยชน์ดีกว่า
ขั้นที่ 3. คือการสร้างมวลกล้ามเนื้อ หมายถึงการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อหรือเล่นกล้าม การออกกำลังกายนี้ต้องทำหลังจากที่คุณปรับได้อาหารโปรตีนพอเพียงแล้วนะ เพราะถ้าคุณกินโปรตีนไม่พอร่างกายก็ไม่มีอะไรไปสร้างกล้ามเนื้อ คุณเล่นกล้ามผลก็คือคุณจะได้ก้างแทน เพราะร่างกายเอาเนื้อไปเผาผลาญเป็นพลังงานหมด การออกกำลังกายนี้มีความสำคัญสำหรับคนผอม โดยเฉพาะคนที่กินอะไรไม่ค่อยลง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้กินอาหารได้มากขึ้น และมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และยังเป็นการป้องกันกระดูกพรุนซึ่งจะเป็นปัญหาของคนผอมเมื่อแก่ตัวลง
ประเด็นที่ 3. ความกลัวไขมันแบบขี้ขึ้นสมอง อันนี้ผมอยากจะพูดกับท่านผู้อ่านโดยทั่วไปไม่เฉพาะกับคุณ คือผู้คนทุกวันนี้มีความกลัวไขมันระดับขี้ขึ้นสมอง
ขณะเดียวกันความเห็นแก่กิน หมายถึงความอยากอาหารนั้นยังอยู่
จึงหันไปกินคาร์โบไฮเดรตทุกรูปแบบแทน
แต่ว่าคาร์โบไฮเดรตนี้มันมีข้อเสียอยู่อย่างคือมันอิ่มยาก อิ่มไม่นาน ก็เลยต้อง
กิน กิน กิน ยิ่งกว่านั้นคาร์โบไฮเดรตนี้ทำให้อ้วนมาก เพราะกินเข้าไปแล้วมันจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลก่อนที่จะดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด
น้ำตาลนี้จะไปกระตุ้นให้อินสุลินในร่างกายหลั่งออกมามาก อินสุลินก็ไปจี้ให้ร่างกายเปลี่ยนเอาน้ำตาลที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตเข้าไปเก็บไปซุกไว้ตามที่ต่างๆในรูปของไขมัน
ทำให้อ้วน อ้วน อ้วน นานไปเซลร่างกายก็จะดื้อด้านต่ออินสุลินทำให้เป็นเบาหวาน เมื่อประกอบกับการไม่ได้ออกกำลังกายก็เลยเข้าสูตร
“โรคแม่ค้า” คือ
กินแป้งมาก
= อ้วน + ลงพุง + เป็นเบาหวาน
เขียนมาถึงตอนนี้ผมขอนอกเรื่องหน่อยนะ
ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมตลาดผักผลไม้ที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่ตลาดนี้เทศบาลเขาได้จัดที่ออกกำลังกายแบบโยคะร้อนให้แก่พวกแม่ค้าทั้งหลายด้วย
นิยามของโยคะร้อนก็คือโยคะในห้องที่ปิดหน้าต่างโดยไม่เปิดแอร์
มีแม่ค้าผักผลไม้ไซส์ XL มาร่วมออกกำลังกายกันแน่นขนัดนับได้ราวหนึ่งร้อยคนทีเดียว
ซึ่งผมประทับใจและชื่นชมกิจกรรมนี้มาก
ผมจึงบอกคนไข้ของผมคนหนึ่งซึ่งขายของอยู่ในนั้นด้วยว่าทำไมคุณไม่ไปออกกำลังกายกับเขา
เธอกระบิดกระบวนอ้างโน่นอ้างนี้ แต่ในที่สุดก็เผยเหตุผลที่แท้จริงออกมาว่า
“ไม่ไหวอะค่ะ คนที่มาออกกำลังกายส่วนใหญ่เขาขายของเสร็จแล้วรีบมากัน
ไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวกันเลย ห้องก็ร้อน กลิ่นงี้ อื้อหือ แล้วเวลายกขาขึ้น
ขอโทษ ตีนงี้..ดำเชียว..”
ฮะ ฮะ ฮ่า.. ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
เอ แล้วผมตั้งใจจะเขียนถึงประเด็นอะไรนะ ที่ว่าจะเขียนให้คนทั่วไปอ่านนะ อ้อ.. นึกออกแล้ว คือหลักฐานวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้บ่งชี้ว่าไขมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนคิดกัน ที่แน่ๆคือไม่ได้ชั่วร้ายกว่าคาร์โบไฮเดรต ไขมันจากอาหารทะเลและไขมันจากพืชเช่น ผลเปลือกแข็ง (นัท) และถั่วต่างๆ ไขมันจากไข่ทั้งไข่แดงและไข่ขาว ก็ล้วนมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น อาหารเมดิเตอเรเนียนที่นิยมกินกันในเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ก็มันซะจนเยิ้มเพราะเขาราดน้ำมันมะกอก แต่คนในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นโรคหัวใจหลอดเลือดกันระเบิดระเบ้อแต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่ง ในแง่ของการลดความอ้วน แคลอรี่จากไขมันกลับดีกว่าแคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรตเสียอีก อย่างเช่นงานวิจัยเปรียบเทียบการกินมื้อเช้าด้วยขนมปัง กับไข่ทั้งไข่ทั้งใบทั้งไข่แดงและไข่ขาวที่มีแคลอรี่เท่ากัน พบว่าคนกินไข่ลดความอ้วนได้ดีกว่าคนกินขนมปังเสียอีก ดังนั้นอย่ากลัวไขมันจนเกินเหตุแล้วหันไปกินคาร์โบไฮเดรตแบบไม่บันยะบันยังแทน แบบนั้นไม่ดีแน่
เอ แล้วผมตั้งใจจะเขียนถึงประเด็นอะไรนะ ที่ว่าจะเขียนให้คนทั่วไปอ่านนะ อ้อ.. นึกออกแล้ว คือหลักฐานวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้บ่งชี้ว่าไขมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนคิดกัน ที่แน่ๆคือไม่ได้ชั่วร้ายกว่าคาร์โบไฮเดรต ไขมันจากอาหารทะเลและไขมันจากพืชเช่น ผลเปลือกแข็ง (นัท) และถั่วต่างๆ ไขมันจากไข่ทั้งไข่แดงและไข่ขาว ก็ล้วนมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น อาหารเมดิเตอเรเนียนที่นิยมกินกันในเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ก็มันซะจนเยิ้มเพราะเขาราดน้ำมันมะกอก แต่คนในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นโรคหัวใจหลอดเลือดกันระเบิดระเบ้อแต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่ง ในแง่ของการลดความอ้วน แคลอรี่จากไขมันกลับดีกว่าแคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรตเสียอีก อย่างเช่นงานวิจัยเปรียบเทียบการกินมื้อเช้าด้วยขนมปัง กับไข่ทั้งไข่ทั้งใบทั้งไข่แดงและไข่ขาวที่มีแคลอรี่เท่ากัน พบว่าคนกินไข่ลดความอ้วนได้ดีกว่าคนกินขนมปังเสียอีก ดังนั้นอย่ากลัวไขมันจนเกินเหตุแล้วหันไปกินคาร์โบไฮเดรตแบบไม่บันยะบันยังแทน แบบนั้นไม่ดีแน่
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์
...........................................
จดหมายจากผู้อ่าน
ผมเป็นนักเขียนนามปากกา...ปัจจุบันอายุ 65 ปีกำลังมีปัญหาเรื่องผอมเกินไปจนกระดูกปูดโปนจะนั่งจะนอนก็เจ็บไปหมดไปไหนก็ต้องหิ้วเบาะรองนั่งและนั่งเขียนหนังสือได้แค่ครั้งละครึ่งชั่วโมงเพราะปวดก้นกบ ผมสูง 173 ซ.ม. เคยอ้วนสุดหนัก 75 ก.ก. แต่ตั้งแต่อายุ 50 เป็นต้นมาน้ำหนักก็เฉลี่ยอยู่ที่ 60 ก.ก.ผมมีโรคประจำตัวคือความดันสูงกินยา tenorminมา 10 ปีแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อนมีแผลเหนือทวารหนักถ่ายเป็นเลือดจนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาหายแล้วแต่น้ำหนักตัวเหลือ 55 ก.ก. ล่าสุดเมื่อ 3 เดือนที่แล้วก็ไปผ่าตัดไส้เลื่อนมา น้ำหนักเหลือแค่ 50 ก.ก.
ก่อนหน้านี้ผมเป็นโรคซึมเศร้าเพราะอยู่คนเดียวนานนับ 10ปี กินอาหารน้อยลงจึงผอมลง แต่ปัจจุบันผมมีคนอยู่ด้วยแล้วมีกำลังใจและกินได้มากขึ้นน้ำหนักขึ้นมา 53 ก.ก.แต่ก็จอดแค่นี้เพราะออกกำลังกายมากไม่ได้ยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่ ผมอ่านที่คุณหมอตอบน้องผู้หญิงที่ผอมมากแล้วเข้าใจเรื่องอาหารการกินเลย ปกติผมชอบกินผักกินปลา ตอนนี้ก็เพิ่มหมูกับไก่มากขึ้นพยายามกินไข่วันละฟอง กินโยเกิร์ตได้ กินนมข้นใส่กาแฟได้ แต่กินนมสดไม่ได้เพราะท้องอืด นอกนั้นพยายามกินทุกอย่าง แต่กินได้ไม่มากเพราะเข้าใจว่ากระเพาะมันเล็กและไม่ได้ออกกำลัง จึงขอเรียนถามคุณหมอว่าผมควรจะทำตัวและกินอย่างไรจึงจะไม่ให้กระดูกขึ้นจนเจ็บ ผมอยากได้น้ำหนักแค่ 60 ก.ก.เท่านั้น ผลตรวจเลือดของผมดีทุกอย่างมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ขอรบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วยจะได้ทรมานน้อยลงและเขียนหนังสือต่อไปได้ ขอบพระคุณครับ
......
ตอบครับ
ก็กินแบบที่ผมบอกให้น้องผู้หญิงคนนั้นกินนั่นแหละครับ แต่กรณีของคุณพี่กระเพาะมันคงหดไปแยะแล้วคงจะรับอาหารทีละมากๆไม่ได้ ต้องใช้วิธีทุ่นแรง คือกินโปรตีนเพียวๆเสริมเข้าไป ในรูปของ Whey Protein ชนิด hydrolysate ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูงเกือบ 100% ของน้ำหนักอาหาร คือกินแค่หนึ่งช้อน 30 กรัม ก็เท่ากับได้กินไข่ 3-4 ฟองเลยทีเดียว กินเสริมเข้าไปจากอาหารปกตินะครับ แล้วก็อย่าลืมตั้งหน้าตั้งตาเล่นกล้ามด้วย ไม่ต้องอ้างเจ็บริดสีดวง เพราะเวลาเล่นกล้ามเราไม่ได้ใช้ริดสีดวงเล่น (หิ หิ พูดเล่นนะครับคุณพี่)
นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
...........................................
จดหมายจากผู้อ่าน
ผมเป็นนักเขียนนามปากกา...ปัจจุบันอายุ 65 ปีกำลังมีปัญหาเรื่องผอมเกินไปจนกระดูกปูดโปนจะนั่งจะนอนก็เจ็บไปหมดไปไหนก็ต้องหิ้วเบาะรองนั่งและนั่งเขียนหนังสือได้แค่ครั้งละครึ่งชั่วโมงเพราะปวดก้นกบ ผมสูง 173 ซ.ม. เคยอ้วนสุดหนัก 75 ก.ก. แต่ตั้งแต่อายุ 50 เป็นต้นมาน้ำหนักก็เฉลี่ยอยู่ที่ 60 ก.ก.ผมมีโรคประจำตัวคือความดันสูงกินยา tenorminมา 10 ปีแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อนมีแผลเหนือทวารหนักถ่ายเป็นเลือดจนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาหายแล้วแต่น้ำหนักตัวเหลือ 55 ก.ก. ล่าสุดเมื่อ 3 เดือนที่แล้วก็ไปผ่าตัดไส้เลื่อนมา น้ำหนักเหลือแค่ 50 ก.ก.
ก่อนหน้านี้ผมเป็นโรคซึมเศร้าเพราะอยู่คนเดียวนานนับ 10ปี กินอาหารน้อยลงจึงผอมลง แต่ปัจจุบันผมมีคนอยู่ด้วยแล้วมีกำลังใจและกินได้มากขึ้นน้ำหนักขึ้นมา 53 ก.ก.แต่ก็จอดแค่นี้เพราะออกกำลังกายมากไม่ได้ยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่ ผมอ่านที่คุณหมอตอบน้องผู้หญิงที่ผอมมากแล้วเข้าใจเรื่องอาหารการกินเลย ปกติผมชอบกินผักกินปลา ตอนนี้ก็เพิ่มหมูกับไก่มากขึ้นพยายามกินไข่วันละฟอง กินโยเกิร์ตได้ กินนมข้นใส่กาแฟได้ แต่กินนมสดไม่ได้เพราะท้องอืด นอกนั้นพยายามกินทุกอย่าง แต่กินได้ไม่มากเพราะเข้าใจว่ากระเพาะมันเล็กและไม่ได้ออกกำลัง จึงขอเรียนถามคุณหมอว่าผมควรจะทำตัวและกินอย่างไรจึงจะไม่ให้กระดูกขึ้นจนเจ็บ ผมอยากได้น้ำหนักแค่ 60 ก.ก.เท่านั้น ผลตรวจเลือดของผมดีทุกอย่างมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ขอรบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วยจะได้ทรมานน้อยลงและเขียนหนังสือต่อไปได้ ขอบพระคุณครับ
......
ตอบครับ
ก็กินแบบที่ผมบอกให้น้องผู้หญิงคนนั้นกินนั่นแหละครับ แต่กรณีของคุณพี่กระเพาะมันคงหดไปแยะแล้วคงจะรับอาหารทีละมากๆไม่ได้ ต้องใช้วิธีทุ่นแรง คือกินโปรตีนเพียวๆเสริมเข้าไป ในรูปของ Whey Protein ชนิด hydrolysate ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูงเกือบ 100% ของน้ำหนักอาหาร คือกินแค่หนึ่งช้อน 30 กรัม ก็เท่ากับได้กินไข่ 3-4 ฟองเลยทีเดียว กินเสริมเข้าไปจากอาหารปกตินะครับ แล้วก็อย่าลืมตั้งหน้าตั้งตาเล่นกล้ามด้วย ไม่ต้องอ้างเจ็บริดสีดวง เพราะเวลาเล่นกล้ามเราไม่ได้ใช้ริดสีดวงเล่น (หิ หิ พูดเล่นนะครับคุณพี่)
นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์