กราบเรียนคุณหมอสันต์
หนูชื่อ ..
กำลังมีเรื่องกลุ้มใจ คือหนูทำงานที่บริษัท... ซึ่งกำลังมีปัญหาอย่างมาก
มีข่าวลือในหมู่พนักงานทุกวันว่าเมื่อการเมืองเปลี่ยนไป จะมีการ liquidate บริษัท เพื่อเป็นการโละพนักงานเก่าที่เงินเดือนสูงทิ้ง
แล้วกลับตั้งบริษัทใหม่โดยเลือกจ้างกลับแต่คนที่เงินเดือนต่ำและที่เขาอยากจ้าง
ทำให้หนูต้องดิ้นรนเตรียมลู่ทางทำมาหากินอย่างอื่นเป็นอะไหล่ไว้
แต่ก็ยังมองหาลู่ทางอะไรไม่ออก
พอดีมีพี่คนหนึ่งชวนไปขายเครื่องทำน้ำด่างแบบแยกน้ำด้วยไฟฟ้า
หนูไปสัมมนากับเขาสองครั้ง และมีใจอยากไปลองทำงานขายนี้ดู แต่เมื่อเปรยกับแฟนเขาทำจมูกย่น
(แฟนเป็นวิศวะ)
แล้วบอกว่าให้เขียนมาถามคุณหมอดูก่อนว่าน้ำด่างที่ว่านี้มันเป็นของดีจริงหรือของหลอก
(เขาไม่อยากให้เมียไปหากินหลอกชาวบ้าน ว่างั้น)
หนูถ่ายเอกสารข้อมูลทั้งหมดมาให้คุณหมอด้วย
คุณหมอช่วยหนูด้วยนะคะ
………………………………………………
ตอบครับ
เรื่องที่คุณจะต้องเตรียมตัวหลังโลกแตก เอ๊ย..ไม่ใช่
หลังบริษัทแตก ผมเห็นด้วย ส่วนที่ว่าจะไปทำมาหากินอะไรดี ตรงนั้นผมโนคอมเม้นท์
เพราะผมเองก็ไม่เก่งทางทำมาหาเงิน เก่งแต่ใช้เงิน ถ้าจะให้ผมแนะนำก็จะเป็นคำแนะนำแบบโหล่ยโท่ยว่าก็อยู่อย่างพอเพียงสิ
ที่ว่าเป็นคำแนะนำโหล่ยโท่ยก็เพราะตัวผมเองยังไม่เคยอยู่อย่างพอเพียงด้วยตัวเองเลย
จะไปรู้ได้อย่างไรว่าอยู่อย่างพอเพียงนั้นอยู่กันอย่างไร และมันเวิร์คจริงหรือไม่
ดังนั้นผมว่าเรื่องทำมาหากินนี้คุณต้องไปถามคนอื่นอย่างเช่นลุงขาวไขอาชีพละมัง (หิ
หิ พูดเล่น)
แต่วันนี้ผมจะตอบจดหมายคุณเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง “น้ำด่าง”
ว่ามันดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ เพราะมีคนเขียนมาถามเรื่องนี้แยะมากนับได้เป็นร้อย
และผมไม่เคยตอบเลยเพราะเห็นว่าถ้าผมมานั่งตอบจดหมายเรื่องขี้ๆแบบนี้ชีวิตที่เหลืออยู่ผมคงไม่มีเวลาสร้างสรรค์อะไรอีกแล้ว
แต่คุณมาฟอร์มใหญ่แบบว่าจะยึดเป็นอาชีพเลี้ยงลูกเลี้ยงสามี ผมจึงคิดว่า เออ
ให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์คุณไปประกอบการพิจารณาก็ดีเหมือนกันนะ
ผลพลอยได้ก็คือผู้อ่านท่านอื่นจะได้ความรู้ไปด้วย
การขายน้ำด่างนี้มันเริ่มเกิดในญี่ปุ่นและเกาหลี
ส่วนใหญ่ใช้วิธีขายตรงเป็นชั้นๆ คือเอาคนขายที่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์งูๆปลาๆไปขายสินค้าวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) ให้ผู้บริโภคระดับไม่รู้ไม่ชี้
ทุกอย่างจึงดำเนินไปได้เป็นวรรคเป็นเวร คุณความดีของน้ำด่างที่อ้างถึงในการขายสินค้าที่คุณส่งมาให้เป็นกระบุงนั้นผมขออนุญาตไม่พูดถึงในที่นี้เพราะกลัวจะเป็นการโฆษณาซ้ำเหงาผู้บริโภค
ให้ท่านผู้อ่านที่สนใจไปหาอ่านที่อื่นเอาเอง
ผมจะเขียนถึงแต่สาระความจริงในเชิงชีวเคมีและสรีรวิทยาเท่านั้น... ว่า
1.. คำบอกเล่าที่ว่าว่า ionized water ผลิตโดยเอาน้ำบริสุทธิ์มาผ่านเครื่อง
water ionizer หรือเครื่องแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (electrophoresis)
ที่เขาจะให้คุณช่วยขายนั้น ในเชิงเคมีแล้วเป็นคำพูดหลอกเด็กศิลป์
เด็กวิทย์ระดับม.ปลายขึ้นไปฟังแล้วหัวเราะก๊าก เพราะน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำกลั่นไม่มีอิออนใดๆอยู่ในนั้น
จึงไม่นำไฟฟ้า แล้วจะเอาเครื่องแยกอิออนหรือเครื่องอีเล็คโตรโฟเรซีสซึ่งต้องอาศัยการนำไฟฟ้ามาแยกให้มันเป็นกรดหรือเป็นด่างได้อย่างไร
จะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อในน้ำนั้นต้องมีสิ่งเจือปนเช่นจากขี้ดิน ในรูปของแร่
เช่น โซเดียม แคลเซียม หรือแมกนีเซียม เป็นต้น นอกจากนี้จริงอยู่ตัวน้ำบริสุทธิ์อาจแตกตัวเป็นอิออน (H+ กับ OH-)
ได้บ้างก็จริง แต่โดยธรรมชาติของน้ำ
ความแรงของการที่อิออนทั้งสองจะกลับมารวมกันเป็นโมเลกุลของน้ำ (H2O) ใหม่ทันทีที่ถูกทำให้แตกตัวนั้นมีมากกว่าความแรงของการแตกตัวจนไม่มีเครื่องมือชนิดไหนในโลกนี้ที่จะมีพลังแยกเอาอิออนทั้งสองให้คงอยู่เป็นอิสระในน้ำได้
ในทางวิทยาศาสตร์จึงถือว่าน้ำบริสุทธิ์ไม่แตกตัวเป็นอิออน และไม่นำไฟฟ้า
การเอาน้ำบริสุทธิ์ไปผ่านเครื่องอีเล็กโตรโฟเรซีสจะไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนอิออนในน้ำนั้นแต่อย่างใด
แปลไทยให้เป็นไทยก็คือว่าเครื่องที่เขาจะให้คุณขาย
สร้างความเป็นด่างให้น้ำบริสุทธิ์หรือน้ำกลั่นไม่ได้ดังคำโฆษณา
2..
ที่บอกว่ามนุษย์เราจะต้องดื่มน้ำด่างเพื่อสลายความเป็นกรดของอาหารนั้น เป็นคำพูดที่มั่วจนหลุดโลก
เพราะกระบวนการสลายความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกายที่เรียกว่า buffer system นั้นไม่ใช่อะไรที่เราจะไปยุ่งเกี่ยวกับเขาได้
มันเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด และไต ซึ่งทำงานเองโดยอัตโนมัติโดยอาศัยโมเลกุลสารเคมีในร่างกายหลายชนิดในการทำงาน
ชนิดที่ใช้บ่อยคือโมเลกุลของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่ออธิบายให้ท่านผู้อ่านที่เป็นเด็กศิลป์เข้าใจเรื่องนี้ผมขออธิบายด้วยวิธีเขียนสมการโดยย้อนไปถึงวิชาเคมีชั้นมัธยมสักเล็กน้อย
ท่านที่เป็นเด็กวิทย์ขอให้ผ่านข้อนี้ไปเลยไม่ต้องอ่านก็ได้
เรามาเริ่มที่นิยามกันก่อนนะ ว่า
กรด ก็คือสารที่แตกตัวให้โปรตอน (H+)
ด่าง ก็คือสารที่สามารถรับเอาโปรตอนเข้าไปในตัวได้
เช่นไบคาร์บอเนต (HCO3-) ถือว่าเป็นด่าง
ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH)
นิยามว่า คือตัวเลขบอกความเข้มข้นของโปรตอน ซึ่งในชีวิตจริงมันไม่ได้บอกเป็นค่าความเข้มข้นตรงๆ
แต่บอกเป็นส่วนของตัวเลขฐานสิบ โดยมีสูตรว่า
pH = -log (H+)
เขียนถึงตอนนี้ก็ชักจะไปต่อไม่ได้แล้วสิ ผมนึกแล้วเชียวว่าตูไม่น่ายุ่งกับเด็กศิลป์เลย
เอางี้.. เอาเป็นว่าถ้ามีกรดมาก ค่า pH จะต่ำ
เรียกว่าสารละลายนั้นเป็นกรด ถ้าค่า pH อยู่ที่ 7.4
ก็ถือว่าเป็นกลางพอดีๆ เอาง่ายๆงี้ก็แล้วกัน อย่าไปพูดถึงล็อกถึงลบเลย
จะได้เข้าเรื่องของเราเสียที
เรื่องของเราก็คือระบบธำรงรักษาความเป็นกลางของสารน้ำในร่างกาย (buffer
system) ที่ว่ามันทำงานของมันเอง ไม่มีลิง..เอ๊ยไม่ใช่
ไม่มีใครที่ไหนไปยุ่งเกี่ยวกับมันได้นั้น มันทำงานด้วยวิธีเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) ในเลือด และเอาน้ำ (H2O) ในเลือดนั่นแหละมาทำปฏิกริยากันให้เป็นกรดคาร์บอนิก (H2CO3) ซึ่งจะแตกตัวต่อไปเป็นโปรตอน (H+) กับไบคาร์บอเนตอิออน (HCO3-) เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
CO2 + H2O < = > H2CO3 < = >
H+ + HCO3-
การคุมความเป็นกลางให้สารน้ำในร่างกายก็คือต้องให้มีปริมาณโปรตอน (H+) พอดีๆโดยสัมพันธ์กับปริมาณด่างซึ่งในที่นี้ก็คือไบคาร์บอเนตอิออน (HCO3-) ที่มีอยู่ในร่างกาย
ถ้าปริมาณ H+ ชักจะมากเกินไป
หมายความว่าร่างกายชักจะเป็นกรด ระบบประสาทอัตโนมัติก็จะเร่งการหายใจให้เร็วขึ้น
เขาเร่งของเขาเองโดยเราไม่รู้ตัว เราไม่ต้องช่วยเขา เมื่อหายใจเร็วขึ้นก็จะเป็นการไล่
CO2 ออกไปทางลมหายใจออกให้มากขึ้น
เหลือ CO2 ในเลือดน้อยลง การผลิต H2CO3 ก็จะลดลง ทำให้แตกตัวไปเป็น H+ น้อยลง
ขณะที่ไตจะสงวน HCO3- ที่เคยมีอยู่ไว้ไม่ยอมขับทิ้งไปทางปัสสาวะ
โดยวิธีนี้ H+ ก็จะลดปริมาณลงๆเมื่อเทียบกับ HCO3-
จนสารน้ำในเลือดกลับมาเป็นกลางได้
ถ้าปริมาณ H+ มีน้อยเกินไป
หมายความว่าร่างกายชักจะเป็นด่าง ระบบประสาทอัตโนมัติก็จะชลอการหายใจให้ช้าลง
เมื่อหายใจช้าลงก็จะมี CO2 คั่งค้างอยู่ในเลือดมากขึ้น
การผลิต H2CO3 ก็จะเพิ่มขึ้น
ทำให้แตกตัวไปเป็น H+ มากขึ้น
ขณะที่ไตจะเร่งจะขับ HCO3- ที่เคยมีอยู่ทิ้งออกไปทางปัสสาวะ
โดยวิธีนี้ H+ ก็จะเพิ่มปริมาณขึ้นๆเมื่อเทียบกับ
HCO3- จนสารน้ำในเลือดกลับมาเป็นกลางได้
ระบบนี้พระเจ้าสร้างมา ทำงานไม่ผิดพลาด เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวพะงาบๆใกล้ตาย
หรือเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ระบบนี้จึงจะเจ๊ง ถ้าระบบการหายใจและไตยังดีๆอยู่
ไม่มีลิงหรือหนุมาณอาสาที่ไหนจะเข้าไปแทรกแซงได้
3.. ที่ว่าดื่มน้ำด่างเพื่อแก้กรดนั้น
ความเป็นจริงมีอยู่ว่าไม่ว่าจะดื่มน้ำด่างเข้าไปมากแค่ไหน
พอตกถึงท้องก็จะถูกกรดในกระเพาะอาหารปรับสภาพให้เป็นกรดเปรี้ยวจี๊ดหมด แล้วพอน้ำนี้เดินทางไปถึงลำไส้เล็กก็จะไปเจอกับน้ำย่อยจากตับอ่อนซึ่งมีความเป็นด่างสูงเข้ามาคลุกเคล้าเพื่อสลายความเป็นกรดจนกลายเป็นด่างหมดเกลี้ยงเช่นกัน
ก่อนที่จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด
แปลไทยให้เป็นไทยก็คือว่าไม่ว่าคุณจะดื่มน้ำอะไรลงไปไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อโปลาริสหรือโปลาก๊อก
จะเป็นน้ำกรดหรือน้ำด่าง ท้ายที่สุดไปถึงลำไส้ก็จะไปกลายเป็นน้ำด่างหมดทุกยี่ห้อ
แล้วคุณจะไปซื้อน้ำด่างดื่มให้เสียเงินทำพรื้อละครับ
4.. ที่ว่าน้ำด่างเป็นแอนติอ๊อกซิแดนท์
หิ..หิ อันนี้ไม่จริงเลย ตัวมันเป็นออกซิแดนท์มากกว่า เราจะรู้ว่าสารเคมีใดเป็นออกซิแด้นท์หรือไม่ก็มีวิธีทดลองง่ายๆ
เช่น เอาสารนั้นผสมกับเบตาดีนใส่แผล เบตาดีนใส่แผลคือสารละลายไอโดอีน (I2) ในน้ำ
หากสารที่เอามาผสมเป็นออกซิแดนท์มันจะออกซิไดส์ไอโอดีนให้เป็นไอโอได (I-) คือเปลี่ยนสีของเบตาดีนให้ซีดได้ ได้มีการทดลองเอาน้ำด่างที่ขายกันด้วยวิธีนี้ให้ดูแล้วหลายแห่ง
ในยูทูปก็มี พบว่ามันฟอกสีไอโอดีนได้ นั่นก็คือมันเป็นออกซิแด้นท์
ไม่ใช่แอนตี้ออกซิแด้นท์ ผมเข้าใจว่าสารในน้ำด่างที่ทำหน้าที่ออกซิแด้นท์น่าจะเป็นเพราะมีไฮโปคลอไรท์ (CLO-)อยู่ในนั้น
เพราะในการใช้เครื่องแยกน้ำด้วยไฟฟ้าถ้าไม่ใช้น้ำธรรมชาติที่มีเกลืออยู่ด้วยส่วนหนึ่งแล้วก็มักมีการใส่เกลือเข้าไปในน้ำด้วยเพื่อให้น้ำนั้นนำไฟฟ้าได้
และจบลงด้วยการเกิดโซเดียมไฮดร๊อกไซด์ซึ่งเป็นด่างขึ้นที่ด้านหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เกิดคลอรีนขึ้นที่อีกด้านหนึ่ง
คลอรีนที่เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่งนี้อาจแอบไปจับกับไฮดร๊อกไซด์อิออนกลายเป็นไฮโปคลอไรท์หรือผงฟอกสีซึ่งเป็นสารออกซิแด้นท์ได้
5..
คำโฆษณาที่ว่าเครื่องทำน้ำด่างได้รับการรับรองจากโรงพยาบาลในญี่ปุ่นนั้น
แหมอันนี้เหมือนเมืองไทยเปี๊ยบเลยนะที่ชอบอ้างกันว่าได้ อย.
คือมันต้องดูว่าเขารับรองอะไร ผมอ่านดูที่คุณให้มาแล้ว เขารับรองกระบวนการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะเอาไปใช้ได้อย่างปลอดภัย คือรับรองว่าเครื่องนี้ผลิตมาอย่างถูกต้องตามหลักการผลิตเครื่องมือที่ใช้ไฟฟ้าว่าผลิตมาแบบได้มาตรฐาน ไม่มีไฟฟ้ารั่วถึงขั้นจะดูดคนตายได้นะ ประมาณนั้น
มันไม่เกี่ยวอะไรกับการดื่มน้ำด่างจะดีหรือไม่ดีเลย
6. การขายเครื่องทำน้ำด่างควบกับอาหารเสริมโดยอาสาตรวจ
pH ของปัสสาวะและน้ำลายก่อนและหลังใช้เครื่องเนี่ย แหม..เน็ดขนาด
คิดได้ไงเนี่ย ส่วนใหญ่ปัสสาวะนั้นเป็นกรดอยู่แล้ว ตรวจเมื่อไหร่ก็มักจะเป็นกรดเมื่อนั้น
แต่ยังไงก็ตามปัจจัยที่มีผลต่อ pH ของปัสสาวะนั้นมีมากมาย
รวมทั้งอาหารเสริมที่ให้กินควบกับน้ำด่างก็เป็นปัจจัยที่เปลี่ยน pH ของปัสสาวะและน้ำลายได้ ผมขอประณามพวกนักวิชาชีพ (แพทย์
นักเทคนิคการแพทย์) ที่เอาวิธีตรวจปัสสาวะอันเป็นเนื้อหาวิชาชีพของตน
มาประยุกต์หลอกหาเงินกับชาวบ้านอย่างนี้
มันเป็นการกระทำที่ขาดจริยธรรมของนักวิชาชีพที่ทำลายศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพของหมู่คณะ
คนพรรค์นี้เป็นคนพาล ซึ่งคุณไม่ควรไปส้องเสพเสวนากับคนเช่นนั้น
7. ที่ว่าน้ำด่างมีออกซิเจนที่ช่วยชุบชีวิตให้เซลและทำให้สดชื่นนั้น
แหม ตัวผมเองผมเนี่ยเล่นกับออกซิเจนในเลือดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดนะ เพราะในอดีตชีวิตผมกินนอนอยู่ในไอซียู.
ลุ้นนาทีต่อนาทีว่าออกซิเจนในเลือดของคนไข้ที่กำลังพะงาบๆอยู่นั้นดีขึ้นหรือแย่ลง
ลุ้นตั้งแต่สมัยที่การจะรู้ค่าออกซิเจนในเลือดแต่ละครั้งหมอต้องเพียรเอาเข็มเจาะเข้าไปในหลอดเลือดแดงแบบโป๊ะเชะเข้ากลางลำให้ได้ก่อน
จนมาถึงสมัยใหม่ที่แค่เอายางมาหนีบที่ปลายนิ้วก็อ่านค่าออกซิเจนในเลือดได้แล้ว
ประเด็นก็คือออกซิเจนในเลือดไม่ได้แปรผันขึ้นลงตามน้ำที่ดื่มหรือตามอาหารที่กิน
ถ้าจะมีการแปรผันอยู่บ้างก็น้อยมากจนตัดทิ้งได้ แต่ออกซิเจนในเลือดนั้นแปรผันตามการหายใจอย่างแน่นอนและเป็นสัจจธรรม
หากคุณอยากได้ออกซิเจนให้เซล
คุณสูดหายใจเข้าลึกๆทีเดียวคุณก็ได้ออกซิเจนเพิ่มขึ้นแล้ว
ไม่ต้องไปดื่มหรือกินอะไรที่พิศดารพันลึกอย่างนั้นดอก
ผมไม่เคยรู้จักหรือเห็นตัวคุณก็จริงอยู่ แต่ผมรักคุณนะ
ผมเห็นใจคุณที่เป็นทุกข์เพราะบริษัทจะเลิกจ้าง
และคุณจะเลือกไปมีอาชีพอะไรหลังจากนี้ผมก็ไม่ว่า
คุณจะขายเครื่องทำน้ำด่างผมก็ไม่ว่า ผมเพียงหวังให้คุณและท่านผู้อ่านทั่วไปได้รู้ความจริงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับน้ำด่างเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าสินค้า แม้จะเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน แค่คุณภาพก็แตกต่างกันได้มากไปตามยี่ห้อและผู้ผลิต ไหนๆคุณจะขายแล้ว ก็ขอให้คุณเลือกเอาสินค้าชั้นดีมาขาย มันจะได้ดีกับคนซื้อด้วย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
………………………
ข้อมูลเพิ่มเติม (15 ธค. 58)
1. สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มน้ำด่าง อาจทำน้ำด่างราคาถูกดื่มเองได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องทำน้ำด่าง โดยเอาผงฟูปิ้งขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 3/4 ช้อนชาใส่ในน้ำดื่ม 1 ลิตรก็จะได้น้ำด่างราคาถูกไว้ดื่ม โดยที่งานวิจัยพบว่าโซเดียมที่กินเข้าไปในรูปของโซเดียมไบคาร์บอเนตไม่เพิ่มความดันเลือดซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากโซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)
2. ได้มีงานวิจัยเล็กๆชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ไว้ในวารสารโภชนศาสตร์ชีวเคมี (J Nutr Biochem) โดยใช้อาสาสมัครวัยหนุ่มสาวที่มีไขมันในเลือดสูงจำนวน 18 คน ให้ทุกคนดื่มน้ำแร่ปกติวันละหนึ่งลิตรนาน 4 สัปดาห์แล้วเจาะเลือดดู แล้วเปลี่ยนเป็นให้ดื่มน้ำแร่ที่มีฤทธิเป็นด่างโดยมีไบคาร์บอเนต 48 มิลลิโมลต่อลิตร ให้ดื่มวันละ 1 ลิตรนานอีก 4 สัปดาห์แล้วเจาะเลือดดูอีกครั้ง พบว่าหลังจากดื่มน้ำด่างอาสาสมัครมีไขมันเลว (LDL) ในเลือดลดลง 10% จึงสรุปว่าการดื่มน้ำด่างประจำช่วยลดไขมันในเลือดได้เล็กน้อย ซึ่งนับเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณประโยชน์ของน้ำด่าง แม้จะเป็นหลักฐานระดับต่ำชิ้นเล็กๆที่ไม่ได้แบ่งกลุ่มควบคุมและไม่ได้อธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของน้ำด่างในร่างกายก็ตาม
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มน้ำด่าง อาจทำน้ำด่างราคาถูกดื่มเองได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องทำน้ำด่าง โดยเอาผงฟูปิ้งขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 3/4 ช้อนชาใส่ในน้ำดื่ม 1 ลิตรก็จะได้น้ำด่างราคาถูกไว้ดื่ม โดยที่งานวิจัยพบว่าโซเดียมที่กินเข้าไปในรูปของโซเดียมไบคาร์บอเนตไม่เพิ่มความดันเลือดซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากโซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)
2. ได้มีงานวิจัยเล็กๆชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ไว้ในวารสารโภชนศาสตร์ชีวเคมี (J Nutr Biochem) โดยใช้อาสาสมัครวัยหนุ่มสาวที่มีไขมันในเลือดสูงจำนวน 18 คน ให้ทุกคนดื่มน้ำแร่ปกติวันละหนึ่งลิตรนาน 4 สัปดาห์แล้วเจาะเลือดดู แล้วเปลี่ยนเป็นให้ดื่มน้ำแร่ที่มีฤทธิเป็นด่างโดยมีไบคาร์บอเนต 48 มิลลิโมลต่อลิตร ให้ดื่มวันละ 1 ลิตรนานอีก 4 สัปดาห์แล้วเจาะเลือดดูอีกครั้ง พบว่าหลังจากดื่มน้ำด่างอาสาสมัครมีไขมันเลว (LDL) ในเลือดลดลง 10% จึงสรุปว่าการดื่มน้ำด่างประจำช่วยลดไขมันในเลือดได้เล็กน้อย ซึ่งนับเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณประโยชน์ของน้ำด่าง แม้จะเป็นหลักฐานระดับต่ำชิ้นเล็กๆที่ไม่ได้แบ่งกลุ่มควบคุมและไม่ได้อธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของน้ำด่างในร่างกายก็ตาม
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Pérez-Granados AM1, Navas-Carretero S, Schoppen S, Vaquero MP. Reduction in cardiovascular risk by sodium-bicarbonated mineral water in moderately hypercholesterolemic young adults. J Nutr Biochem. 2010;21(10):948-53. doi: 10.1016/j.jnutbio.2009.07.010.