ผู้ใหญ่เหล่เด๊ะ..เรื่องไร้สาระหลังเหน็ดเหนื่อยจากงาน
วันนี้ผมเพิ่งกลับจากสอนแค้มป์สุขภาพที่ Health Cottage มวกเหล็กมา อากาศร้อนเอาเรื่อง
ทำให้เหน็ดเหนื่อยมากกว่าการทำแค้มป์ในหน้าหนาว วันนี้จึงขออนุญาตงดตอบคำถาม
แต่จะเล่าเรื่องไร้สาระในอดีตให้ฟัง
เป็นเรื่องเมื่อปี พ.ศ. 2540 สมัยที่ผมยังเป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย สมัยนั้นเราจะพากันไปออกหน่วยตรวจรักษาโรคหัวใจในโรงพยาบาลที่ห่างไกลปีละครั้งสองครั้งทุกปี ครั้งนี้เราไปแม่ฮ่องสอนในหน้าหนาว
มาออกหน่วยแม่ฮ่องสอนเที่ยวนี้
คณะเราเอารถตู้ขนเครื่องเอ็คโคมากันถึงสามเครื่อง
มีหมอหัวใจระดับผู้เยี่ยมวรยุทธของเมืองไทยมากันเกือบสิบคน มาถึงเอาเวลาพลบค่ำ ทั้งขบวนพากันไปตั้งหลักที่โน่น..
ทุ่งดอกบัวตอง
เราพากันเดินหลบกองอึของนักท่องเที่ยวที่มาตั้งเต้นท์อึกันเป็นล่ำเป็นสันจำนวนสักเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นกองได้ แล้วไปก่อกองไฟสู้ลมหนาวอยู่ที่เพิงพักบนยอดดอย
มีหมอหนุ่มซึ่งแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้อำนวยการ “โรงพยาบาลกะเหรี่ยงอิสระแม่ลาน้อย” มาเป็นธุระให้ แถมยังมานั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงให้ฟังด้วย เนื้อเพลงจับความได้ว่า
"..ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอดดอย
ดอกเอื้องสามปอยบ่อเคยเบ่งบานบนลานพื้นดิน…"
ครั้นรุ่งเช้าก็ลงไปที่โรงพยาบาลของจังหวัด ติดตั้งเครื่องเอ็คโคที่ขนกันมา
จัดห้องตรวจ
มีผู้ป่วยหัวใจที่หมอท้องถิ่นได้นัดมาให้รออยู่แล้วร้อยกว่าคน
แน่นขนัดไปทั้งโถงพักคอย
พอนั่งลงตรวจคนไข้ ความตั้งใจที่จะได้อู้คำเมืองก็ต้องสะดุด เมื่อคนไข้คนแรกมาถึง เธอส่งภาษา
"มิสซาบิบิ….ซาบิบิ"
ปรากฎว่าคนไข้วันนี้กว่า 80% เป็นกะเหรี่ยง จึงต้องพึ่งล่าม เนื่องจากห้องตรวจไม่พอ ผมต้องมานั่งตรวจที่มุมห้องโถง
มีกะเหรี่ยงมุงเป็นฉากหน้า และล่ามสาวรูปร่างน้องๆนางยักษ์ขิณียืนตระหง่านเป็นฉากหลัง โดยมีเสียงสนทนา มิสซาบิบิ เซ็งแซ่เป็นแบ๊คกราวด์
ตรวจไปสักพักผมก็เรียนรู้ว่าชาวกะเหรี่ยงมีแต่ชื่อ ไม่มีนามสกุล เวลาชื่อซ้ำกัน ต้องอาศัยชื่อผู้ใหญ่บ้านมาช่วยจำแนกว่าคนไหนเป็นคนไหน แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ เมื่อผมส่งคนไข้ชื่อนางสาวโหม่ซึ่งตรวจได้ว่าเป็นลิ้นหัวใจตีบไปทำเอ็คโคที่อีกห้องหนึ่ง
พอได้ผลเอ็คโคกลับมา ตัวคนไข้ที่ถือผลกลับมาเป็นคนละคนกับคนที่ผมตรวจไว้แต่เดิม คนนี้เป็นคนละโรคกัน เพราะเมื่อเอาสะเต๊ทตรวจพบว่าเธอเป็นผนังกั้นหัวใจรั่ว
ผมถามผ่านล่ามว่าผู้ใหญ่บ้านของเธอชื่ออะไร
เธอตอบว่าชื่อ “ผู้ใหญ่เหล่เด๊ะ” ครั้นเอาโอพีดีการ์ดที่เธอถือมาดูปรากฏว่าชื่อ “นางสาวโหม่ ผู้ใหญ่ข่ง” คงจะสลับกันที่ห้องเอ็คโค ผมจึงบอกให้ล่ามพาเธอออกไปก่อนแล้วให้ไปหา
“นางสาวโหม่ผู้ใหญ่ข่ง” ซึ่งเป็นเจ้าของผลเอ็คโคนี้มา
ล่ามส่งเสียงมิสซาบิบิร่วมกับทำไม้ทำมือกับคนไข้ได้พักหนึ่ง
โดยมีกองเชียร์ร่วมส่งเสียงช่วยเจรจาเซ็งแซ่อยู่ด้วย
เธอกลับออกไปได้สักครู่แล้วกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับพาผู้หญิงผอมวัยกลางคนมอมแมมมาอีกคนหนึ่ง
และส่งภาษามิสซาบิบิอีก ผมหันไปให้ล่ามแปล
"เธอบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียเก่าของผู้ใหญ่เหล่เด๊ะที่หมอให้ไปพามา" ล่ามบอก
ผมเกาหัวแกรก
มองดูผู้หญิงข้างหน้าซึ่งหน้าตาพอเชื่อได้ว่าเคยเป็นเมียใครสักคนมาจริง
กำลังจะบอกว่าเข้าใจกันผิดแล้ว ก็พอดีเห็นเธอผู้มาใหม่เปิดกระดุมเสื้อแหวะหน้าอก
แล้วชี้พลางพูดพลางให้ตรวจหัวใจเธอ
" .. มิสซาบิบิ บิบิซะ.."
สงสารก็แต่หมอสันต์
ตั้งหลักไม่ทันจำใจต้องเอาหูฟังจ่อหน้าอกเธอโดยหวังไปตายเอาดาบหน้า แต่คุณพระช่วย
เธอก็เป็นโรคหัวใจกับเขาด้วยอีกคน
เสียงเมอร์เมอร์ชัดอย่างนี้หมอฝึกหัดก็พอบอกได้ว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจตีบขั้นรุนแรง
ผมบอกผ่านล่ามว่าเธอเป็นโรคลิ้นหัวใจตีบขั้นรุนแรง
ต้องตรวจเอ็คโคและอาจจะต้องถูกส่งไปผ่าตัดกรุงเทพฯ ล่ามแปลและโต้ตอบกับเธอไปมา มิสซาบิบิ บิบิซะ
อีกแล้ว เธอพยักหน้าหงึกหงัก หงึกหงัก
หลังจากนั้นเสียงกองเชียร์รอบๆก็ส่งเสียงพูดมิสซาบิบิ
บิบิซะ กันขึ้นอึงมี่ บ้างก็ไปจูงกันมาดูหน้าผม ผมจึงหันไปถามล่ามด้วยความแปลกใจว่า
"มันอะไรกันอีกละทีนี้"
ล่ามตอบว่า
"พวกกระเหรี่ยงเขาพูดกันว่าหมอหัวใจกรุงเทพฯนี้เก่งจริงๆ ขนาดตรวจแค่ลูกบ้าน
ยังรู้เลยว่าเมียของผู้ใหญ่บ้านก็เป็นโรคหัวใจด้วย!"
แคว่ก..แคว่ก...แคว่ก ฮะ ฮ่า ฮ่า ... ตะแล้น ตะแล้น
ตะแล้น
.....................................................
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์