โจ้วซือปราบมังกร
สมัยที่ผมยังเด็ก เล่นคลุกฝุ่นอยู่ในตลาดของตำบลบ้านนอก
วันหนึ่งมีซินแสจีนเดินทางผ่านมา เขาเอามือชี้หน้าผมแล้วพูดดังๆให้พวกผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่แถวนั้นได้ยิน
ว่า
“เจ้าเด็กคนนี้มีโหงวเฮ้งโจ้วซือปราบมังกร”
คำทำนายนั้นใกล้ความจริงที่สุดเมื่อปี พ.ศ.
2524
เรื่องมีอยู่ว่าตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบแพทย์
อินเทอร์นเสร็จหมาดๆก็ถูกส่งไปใช้เวรใช้กรรมที่โรงพยาบาลอำเภอปากพนัง
จังหวัดนครศรีธรรมราช แบบที่น้องสมัยนี้เรียกว่า พชท.1 นั่นแหละ
ตัวโรงพยาบาลเป็นสุขศาลาไม้สร้างมาตั้งแต่สมัยร.7 ทั้งโรงพยาบาลมีนางพยาบาลอยู่คนเดียว (เป็นนางจริงๆเสียด้วย คือหยั่นหว่อหยุ่นสมบูรณ์ดีมาก
และมี ผ. เป็นฝั่งเป็นฝ่าเรียบร้อยแล้ว)
ในปีที่ผมไปถึงนั้น มีการเสริมกำลังผู้ช่วยพยาบาลละอ่อนอายุสิบกว่าขวบทำอะไรยังไม่เป็นมาให้อีก
5
คน เนื่องในโอกาสยกสถานะจากสุขศาลาขึ้นเป็นโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมกำลังครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ผมจึงจัดตั้งวอร์ดมาตรฐานขึ้นที่ระเบียงสุขศาลา จำนวนเตียงแม้ไม่ครบสิบเตียงตามชื่อโรงพยาบาล
แต่ก็พอแก้ขัดได้ แม้ว่าในฤดูไข้เลือดออกระบาด เตียงจะเต็มเหยียดจนต้องปูเสื่อเสริมนอนกันบนพื้นเป็นบางครั้งก็ตาม
การมีลูกน้องเป็นละอ่อน ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้น
มันเป็นชีวิตที่ลำบากยากแค้นลำเค็ญสำหรับคนเป็นนายมากแค่ไหน
ผมเข้าใจดีแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เพราะหน้าไข้เลือดออกระบาด ทุกคืนผมต้องตั้งนาฬิกาปลุก
เพื่อปลุกตัวเองขึ้นให้ตื่นขึ้นมาทุกสองชั่วโมง เพื่อมาราวด์ดูว่าคนไข้เด็กคนไหนจะช็อกหรือช็อกไปแล้วบ้าง
เพราะไม่กล้าอาศัยรอให้ลูกน้องละอ่อนรายงาน
วันหนึ่งขณะนั่งตรวจคนไข้นอกอยู่
ผู้ช่วยพยาบาลละอ่อนอายุสิบแปดซึ่งผมมอบอำนาจออกตราตั้งให้รั้งตำแหน่ง “หัวหน้าวอร์ด”
ก็กระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า
“หมอคะ คนไข้เด็กคนหนึ่งเป็นไข้สูง
หายใจขัด ตัวเขียว และที่จมูกมีอะไรไม่รู้อุดอยู่แถมดิ้นด๊อกแด๊กๆได้ด้วย”
ผมรีบจ้ำไปดู เห็นแม่อุ้มเด็กอายุไม่ถึงขวบ
เด็กกำลังร้องตัวเขียวปั๊ด ที่รูจมูกมีหางไส้เดือนขนาดเขื่องเท่าปลายตะเกียบเอ็มเค.สุกี้โผล่ออกมาโบกสะบัดเป็นที่น่าสยดสยอง
แม่เด็กซึ่งเป็นครอบครัวคนงานประมงมาจากภาคอิสานก็เอาแต่ร้องกระต๊าก
เสียงดังลั่นเหมือนแม่ไก่เพิ่งออกไข่เสร็จว่า
“ซ่อยสันแน.. ซ่อยสันแน”
ผมพรวดเข้าไปจับหางไส้เดือนแล้วดึงออกมาจากรูจมูก
ฮึ่ย .ย.. มันตัวยาวตั้งคืบกว่า ดึงตั้งนานกว่าจะออกมาหมด
แถมยังดิ้นเหมือนจะพันมือจนผมตกใจต้องสบัดทิ้งไปดิ้นดุ๊กดิ๊กๆอยู่บนพื้น ขณะที่หัวหน้าวอร์ดอายุสิบแปดของผมเอามือกุมหน้าอกตัวซีดอยู่ห่างๆ
ปากก็ร้องเป็นภาษาใต้แบบมีอารมณ์ว่า
“ ฮ่าย..ย..ย..”
ยังไม่ทันที่จะสั่งลูกน้องเอาปี๊บตัดมาตักใส้เดือนไปทิ้ง
แม่เด็กก็ร้องเอะอะขึ้นอีก มีไส้เดือนอีกตัวโผล่ออกมาที่รูจมูกเด็กอีกแล้ว
ผมรีบดึงทิ้งบนพื้นอีก
แล้วโผล่มาอีกตัว ผมดึงอีก แล้วโผล่มาอีกตัว..
ผมดึงอีก..อีก..อีก..อีก...
แต่ละตัวยาวไม่ต่ำคืบ ดึงออกมาได้ยี่สิบกว่าตัวจึงหมด
พวกไส้เดือนที่ออกมาต่างพากันเต้นระบำยึกยือๆส่ายฮูลาฮุปอยู่บนพื้นวอร์ดรายรอบตัวผมเต็มไปหมด
ฮ่าย..ย..ย
พวกคนไข้ที่ปูเสื่อนอนต่างลุกหนีเป็นพัลวัล
หัวหน้าวอร์ดวัยละอ่อนของผมไม่เคยออกศึกหนักขนาดนี้มาก่อน เธอถึงกับเป็นลมหน้ามืดไปด้วยความสยดสยองท่ามกลางฝูงไส้เดือน
ณ บรรทัดนี้ ผมขอเขียนบทกวีสรรเสริญตัวเองไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า
“..ฟ้าลิขิตส่งเทพมาปราบมังกร
ท่ามกลางทะเลบ้าและฝูงมังกรร้าย
โจ้วซือร่ายกระบี่ฟาดฟัน
กู้ชีวีเด็กและปลอบขวัญดรุณีงาม
....
กึ๋ยย..ย..ย..”
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์
PS ขอโทษที่ยังไม่มีอารมณ์ตอบจดหมายคนป่วย
ได้แต่เขียนเรื่องอดีตไร้สาระ
......................................................................
6 กพ. 57
จดดหมายจากผู้อ่าน
คุณหมอยอดนักสืบคะ ไส้เดือนเข้าจมูกเด็กได้อย่างไรคะ
.................................................
ตอบครับ
วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน (Ascaris) เริ่มด้วย “คนกินอึคน” หมายถึงกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีไข่พยาธิไส้เดือนอยู่ ไข่นั้นก็ไปฟักและเติบโตเป็นตัวไส้เดือนอยู่ในลำไส้ ส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นฝูง แล้วก็ออกไข่ปนออกไปในอุจจาระ เพื่อจะได้ไปเติบโตในท้องคนอื่นต่อไปอีก
เมื่อเด็กป่วยและมีไข้สูง พยาธิไส้เดือนจะออกอาการอยู่ไม่สุขแบบ "ไส้เดือนถูกเสียม" และจะเคลื่อนทัพย้อนขึ้นมาถึงกระเพาะอาหารได้ อาการป่วยทำให้เด็กคลื่นไส้และขย้อนเอาไส้เดือนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ขึ้นมาโบกไม้โบกมืออยู่ที่รูจมูกได้ครับ ในยุคโน้นซึ่งคนกินอึคนเป็นวิถีชีวิต เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนเป็นธรรมดา
สันต์ ใจยอดศิลป์
......................................................................
6 กพ. 57
จดดหมายจากผู้อ่าน
คุณหมอยอดนักสืบคะ ไส้เดือนเข้าจมูกเด็กได้อย่างไรคะ
.................................................
ตอบครับ
วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน (Ascaris) เริ่มด้วย “คนกินอึคน” หมายถึงกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีไข่พยาธิไส้เดือนอยู่ ไข่นั้นก็ไปฟักและเติบโตเป็นตัวไส้เดือนอยู่ในลำไส้ ส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นฝูง แล้วก็ออกไข่ปนออกไปในอุจจาระ เพื่อจะได้ไปเติบโตในท้องคนอื่นต่อไปอีก
เมื่อเด็กป่วยและมีไข้สูง พยาธิไส้เดือนจะออกอาการอยู่ไม่สุขแบบ "ไส้เดือนถูกเสียม" และจะเคลื่อนทัพย้อนขึ้นมาถึงกระเพาะอาหารได้ อาการป่วยทำให้เด็กคลื่นไส้และขย้อนเอาไส้เดือนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ขึ้นมาโบกไม้โบกมืออยู่ที่รูจมูกได้ครับ ในยุคโน้นซึ่งคนกินอึคนเป็นวิถีชีวิต เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนเป็นธรรมดา
สันต์ ใจยอดศิลป์