ถูกกีดกันไม่ให้เข้าทำงานเพราะเป็นพาหะไวรัสบี.(HepatitisB) จะฟ้องดีแมะ
ช่วงนี้มีจดหมายถูกกีดกันการสมัครงานจากผู้เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี.มาหลายฉบับ
ผมเอามาตอบสองฉบับ ส่วนฉบับอื่นๆที่ผมไม่ได้เอามาตอบก็ขอให้ถือว่าได้ตอบไปพร้อมกันนี้แล้วนะครับ
จดหมายฉบับที่ 1.
สวัสดีครับ คุณหมอสันต์
ผมติดตาม blog ของคุณหมอสันต์มาพอสมควร
จึงคิดว่าคุณหมอน่าจะมีประสบการณ์ตอบคำถามผมได้บ้างครับ
ผมเป็น chronic hepatitis B คาดว่าน่าจะติดมาจากคุณแม่ เพราะเป็นมาตั้งแต่เด็ก ผมทำการศึกษาหาข้อมูล ทั้งความทางการแพทย์ทั้งไทยและนานาชาติ เช่น WHO,lecture
class in youtube เป็นต้น เพื่อป้องกันผู้อื่นและตนเอง แนวทางรักษา
เพื่อความรู้ หากต้องการให้ผมให้ความเข้าใจในผู้อื่นได้ผมก้ยินดีที่จะทำ
ผมอายุ 24 ปี สูง 174 หนัก 74 kg ประกอบอาชีพเป็น engineer ใน global company ชื่อดังแห่งนึง
ออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 5-6 วัน เน้น weight training , cardio การรับประทานอาหารก็เลือกทานผัก เป็นส่วนใหญ่ ที่ยังทำไม่ค่อยดีคือนอนก่อนเที่ยงคืนครับ
ผมอายุ 24 ปี สูง 174 หนัก 74 kg ประกอบอาชีพเป็น engineer ใน global company ชื่อดังแห่งนึง
ออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 5-6 วัน เน้น weight training , cardio การรับประทานอาหารก็เลือกทานผัก เป็นส่วนใหญ่ ที่ยังทำไม่ค่อยดีคือนอนก่อนเที่ยงคืนครับ
ผลตรวจล่าสุดทีโรงพยาบาลนานาชาติชื่อดัง ย่าน นานา พบว่า
- HbsAg positive
- Anti-HbsAg negative
- Anti-HbcAg positive
- Viral Load 165 copy
/ ml
- SGOT , SGPT , AFP ปกติ
- Ultrasound result ปกติ ไม่มีพบอาการบวม หรือ ผิดปกติ แต่อย่างใด
จาก lab test ผมเข้าใจว่า ผมมีแต่ anti core แต่ไม่มี anti S antigen ไวรัสมันเลยไม่แบ่งตัว และมันก็ยังไม่หมดไปจากตัวผมซักที (ผมเข้าใจถูกไม๊ครับ)
หมอยังแถมมาด้วยว่าสุขภาพทั่วไปผมแข็งแรงกว่าคนปกติอีก
จาก lab test ผมเข้าใจว่า ผมมีแต่ anti core แต่ไม่มี anti S antigen ไวรัสมันเลยไม่แบ่งตัว และมันก็ยังไม่หมดไปจากตัวผมซักที (ผมเข้าใจถูกไม๊ครับ)
หมอยังแถมมาด้วยว่าสุขภาพทั่วไปผมแข็งแรงกว่าคนปกติอีก
เรื่องที่ผมจะปรึกษาก็คือ ผมไปสมัครนักบินสายการบินแห่งนึง
ผมผ่านการทดสอบข้อเขียน สัมภาษณ์ จนกระทั่งรอบตรวจร่างกาย ที่ต้องไปตรวจที่ รพ
ที่ตั้งอยู่หลังสนามบินดอนเมือง ผมทราบสุขภาพร่างกายผมดี เพราะผมตรวจทุกปี
ว่าทุกอย่างปกติ ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่อง hep b ครับ ซึ่งผมก็ได้ยินมาว่า
สายการบินในประเทศไทย จะไม่รับ จึงก่อให้เกิดคำถามในใจผมว่า ทำไม ?
ผมจึงเปิด website ของ
ICAO ( International Civil Aviation Organization) ในหัวข้อ
Physical Examination ดูพบว่าในหัวข้อ hepatitis
b เนี่ย qualified หรือ disqualified
ขึ้นอยู่กับว่ามีอาการหรือไม่ ถ้าไม่มี ถือว่าไม่ผิดกฎการบิน
ผมจึงตัดสินใจว่าไหนๆก้ไหนๆแล้ว ยื่นผลตรวจละเอียด
แนบไปด้วยเลยตอนไปตรวจร่างกายที่ รพ. การตรวจร่างกายรอบสุดท้ายคือการพบแพทย์
ผมจึงปรึกษาแพทย์ แพทย์ก็เลยเปิดบทความที่แปลเป็นไทยแล้วให้ดู แล้วพูดกับผมว่า
"ไม่ผิดกฎการบิน ที่เหลือขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท ถ้าเขาไม่รับ
เขาก็ไม่รับคุณด้วยเหตุผลนี้แหละ " แล้วก็เขียน recommended
ไปให้ในใบ examination form
พอประกาศผลผู้ผ่านการตรวจร่างกาย
ปรากฏว่า ผม "ไม่ผ่าน" ตามคาดครับ แต่
บริษัทก็ไม่แจ้งอะไรกลับมาเลยว่าทำไม ทั้งๆ ที่ จ่ายเงินค่าตรวจไป 3,200 บาท ด้วยตนเอง
คำถามคือ บริษัทชั้นนำในประเทศไทยส่วนมากเป็นแบบนี้
ถ้าหากผมพบเจอกรณีนี้อีก เพราะรอบนี้หลักฐานผมไม่พอ
1 .ผมจะฟ้องศาลได้หรือไม่ ? เพราะ จากข่าวต่างๆทั่วโลก รัฐก็ออกนโยบายมาช่วยเหลือแรงงานกันแล้วทั้งนั้น ผมอยากจะเป็นจุดเริ่มเพื่อปรับบรรทัดฐานสังคม สักนิดหน่อยก็ยังดี
1 .ผมจะฟ้องศาลได้หรือไม่ ? เพราะ จากข่าวต่างๆทั่วโลก รัฐก็ออกนโยบายมาช่วยเหลือแรงงานกันแล้วทั้งนั้น ผมอยากจะเป็นจุดเริ่มเพื่อปรับบรรทัดฐานสังคม สักนิดหน่อยก็ยังดี
2 .คุณหมอทราบหรือไม่ว่า
คดีเหล่านี้เคยเกิดการฟ้องร้องในประเทศไทยมาแล้วหรือไม่ครับ ?
3 .ถ้าผมฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน
หลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันจะเพียงพอหรือไม่ที่ จะยืนยันว่า ผมปกติ
สามารถทำงานได้ ?
บางคำถามถ้าคุณหมอตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ หรือ
ถ้าคุณหมอมีข้อแนะนำผมจะยินดีอย่างยิ่งครับ
ผมแนบข่าวสารของต่างประเทศเรื่องนี้มาเล็กน้อย คุณหมอลองอ่านดูครับ
Chinese airline sued for Hepatitis B discrimination during recruitment
Apple has responded to each of the violations that were uncovered and says it will end relationships with repeat offenders
ขอบคุณสำหรับคำปรึกษาครับ
..............................................................
จดหมายฉบับที่ 2
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ก่อนอื่นหนูของแนะนำตัวก่อนน่ ะค่ะ.
หนูชื่อ...ค่ะ. ทำงานอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง
หนูมีปัญหาอย่างมากเกี่ยวกั บไวรัสตับอักเสบบีค่ะ. คือหนูเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีค่ะ.
ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีบริษั ทไหนรับ. เหตุผลคือ ตรวจสุขภาพไม่ผ่าน
เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี. คือแต่ละบริษัทให้เงินเดือนเยอะ สวัสดิการดีมาก
ถ้าได้ทำงานครอบครัวก็คงจะลื มตาอ้าปากได้ค่ะ แต่หนูก็ต้องพลาด. ผิดหวังทุกครั้ง
จนทำให้หนูเคยคิดฆ่าตัวตายด้ วยซ้ำ ว่าทำไมถึงเป็นโรคนี้. ไปหาคุณหมอ.
คุณหมอก็บอกว่าให้ออกกำลั งกายเยอะ ๆ หนูก็ออกค่ะ แต่ไปตรวจกี่ครั้งก็เจอ
หนูอยากให้คุณหมอแนะนำหน่อยได้ มั๊ยค่ะว่า มียาตัวไหนบ้างที่กินแล้ วเวลาไปตรวจสุขภาพไม่เจอไวรัสตั บอักเสบบี.
เพราะหนูหวังกับการทำงานมากค่ะ มันจะทำให้ครอบครัวหนูดีขึ้น
คุณหมอช่วยตอบหน่อยน่ะค่ะ.
ขอบคุณค่ะ
ก่อนอื่นหนูของแนะนำตัวก่อนน่
ขอบคุณค่ะ
.....................................................
ก่อนตอบคำถามของคุณทั้งสองคน ผมอยากจะให้คุณทำความเข้าใจความกลัวสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของมนุษย์เราว่าบางครั้งมันเป็นความกลัวระดับ "ขี้ขึ้นสมอง" จนทำให้สังคมมนุษย์เพี้ยนไปได้ นับตั้งแต่กฎหมายการเผาหรือแขวนคอผู้หญิงที่ทำตัวเก่งเกินผู้ชายด้วยข้อหาว่าเป็นแม่มดในสมัยปี 1600 กว่าๆ อีกตัวอย่างหนึ่งในยุคสมัยใหม่นี้เอง
คือคุณสนใจที่จะเป็นนักบิน คงเคยได้ยินเรื่องราวของการบินทะลุกำแพงเสียง (sound
barrier) ในช่วงประมาณปี 1940 สำหรับท่านที่ไม่เคยสนใจการบิน
ผมจะเล่าให้ฟัง ผมบังเอิญรู้เรื่องนี้เพราะมันอยู่ในวิชาบริหารธุรกิจซึ่งต้องเรียนสมัยผมทำงานบริหาร
เรื่องมีอยู่ว่าก่อนปี 1940 นั้นมีความเชื่อกันอย่างแน่นแฟ้นในหมู่นักบินว่าการบินด้วยความเร็วระดับแม็ค
1 (ความเร็วเหนือเสียง) นั้นเป็นไปไม่ได้และเป็นการพาตัวเองไปตาย
เพราะจะปะทะเข้ากับกำแพงเสียงอย่างจังจนเครื่องบินบุบบู้บี้ตายทั้งเครื่องทั้งคน
มีนักบินกล้าตายหลายคนไม่เชื่อว่ากำแพงเสียงมีอยู่จริง
พวกเขาจึงลองด้วยการบินสูงแล้วทิ้งเครื่องบินลงมาเร็วๆ (เพราะเครื่องบินสมัยก่อนเป็นเครื่องบินเล็กซึ่งจะบินราบแหวกอากาศจนเร็วเหนือเสียงไม่ได้)
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ตายสมใจ คนที่ลองแล้วรอดมาได้ในสภาพเครื่องบินบุบบู้บี้ก็มี
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือนักบินชื่อชัค ยีเกอร์ (Chuck Yeager)
เขารอดชีวิตมาบอกให้วิศวกรปรับแต่งเครื่องบินเล็กบางจุดแล้วอาสากล้าตายบินราบด้วยความเร็วเหนือเสียงเพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่ากำแพงเสียงนั้นจริงๆแล้วไม่มี
มันมีแต่กำแพงความงี่เง่าในใจของมนุษย์เท่านั้น การพิสูจน์นี้ทำโดยให้เครื่องบินใหญ่เอาเครื่องบินเล็กที่เขาขับไปปล่อยให้บินด้วยความเร็วเหนือเสียงที่ระดับสูงหลายหมื่นฟุตโดยใช้เรด้าร์ภาคพื้นดินจับความเร็ว
แล้วเขาก็พิสูจน์ได้ว่ากำแพงเสียงนั้นไม่มีอยู่จริง
สัจจธรรมข้อนี้นำมาสู่การผลิตเครื่องบินโดยสารไอพ่นเร็วกว่าเสียงขนาดใหญ่ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ที่เล่าให้ฟังนี้ก็เพื่อจะชี้ประเด็นว่าคนที่เขากีดกันคุณไม่ให้ได้เข้าทำงานนั้น
เขาทำไปด้วยความไม่รู้ ความไม่รู้นี้แท้จริงมันคือความกลัวสิ่งใหม่ๆ ความกลัวการเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งเดิมๆ
ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในใจของ lay man ที่ไม่รู้วิชาแพทย์เท่านั้น
แม้แต่หมอเองบางคนก็ยังมีความกลัวแบบนี้อยู่ หากจะมองให้น่ารักมันเป็นความอนุรักษ์นิยม
(conservative)
แต่หากจะมองให้น่าชังมันเป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดวิธี (mal practice) ซึ่งมีอยู่ในทุกวงการ
เอาละคุณพอทราบว่าคุณกำลังสู้รบตบมือกับอะไรแล้ว
คราวนี้มาตอบคำถามของคุณกันดีกว่า
1 . ถามว่าคุณจะฟ้องศาลดีไหม
ตอบว่า แหะ..แหะ ไม่อยากตอบเล้ย..ย กลัวพวกเดียวกันมาด่าว่าหมอสันต์อยู่ไม่สุขราดน้ำมันให้คนไข้ให้มาเอาเรื่องพวกกันเอง
ข้อนี้ผมขอใช้สิทธิมนุษยชน เคาะไปก่อน ยังไม่ตอบก็แล้วกันนะ บุ่ย..ย..ย
2. การฟ้องจะเป็นจุดเริ่มเพื่อปรับบรรทัดฐานสังคมได้สักนิดหน่อยก็ยังดี..รึเปล่า ตอบว่าการฟ้องร้องเป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งจะส่งผลให้ผู้ถูกฟ้องปรับตัวระมัดระวังไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
นั่นเป็นด้านดี อีกด้านหนึ่งจะสร้างสังคม “ลูกอีช่างฟ้อง” หมายความว่าผู้คนจะชอบอาศัยการฟ้องร้องเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์เข้าพกเข้าห่อตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นทะแนะ ทะนาย และคนที่หวังรวยจากความพลาดพลั้งของหมอและสถาบันต่างๆของสังคม
ถ้าถามความเห็นของผม ผมว่าน่าจะแก้ปัญหาด้วยการลองสร้างความเข้าใจกันแบบคุยกันดีๆ (สุนทรียะสนทนา) ดูก่อน น่าจะดีกว่าที่จะมาฟ้องกันนะครับ
3 . ถามว่าคดีแบบนี้ (การรอนสิทธิของผู้ป่วยพาหะตับอักเสบ) เคยเกิดการฟ้องร้องในประเทศไทยมาแล้วหรือยัง
ตอบว่ายังไม่เคยมีครับ รับประกันว่าถ้ามีสักเคสสองเคสพวกการบุคคลของบริษัทต่างๆคงสยิวเพราะความหนาวไปตามๆกัน
4 .
ถามว่าถ้าคุณฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน หลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันจะเพียงพอหรือไม่ที่จะยืนยันว่าคุณปกติสามารถทำงานได้
ตอบว่าเพียงพอครับ เพราะในเชิงกฎหมายการแพทย์ โรคที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานทุกชนิดมีอยู่ไม่กี่โรค
และแน่นอนว่าไม่รวมพาหะการเป็นตับอักเสบไวรัสบี.แต่อย่างใด
5. คุณผู้หญิงบอกว่าผิดหวังจากการสมัครงานซ้ำซากจนอยากฆ่าตัวตาย
อู้..ฮู้ว ใจเย็นๆครับ ตอนนี้คนเรายังโง่อยู่ ก็มีอะไรพิเรนๆกระบองๆให้เห็น
แต่คนเราจะไม่โง่ดักดานกันจนสิ้นชาติหรือตลอดไปหรอกครับ เพราะคนเราเป็นเวไนยสัตว์
หมายถึงสัตว์ที่มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ เชื่อผมเถอะอีกไม่นานพอผู้คนที่เกี่ยวข้องเขาก็จะฉลาดกันขึ้นมา
ปัญหามันก็จะดีขึ้นเอง มันจะไม่งี่เง่ากันอยู่อย่างนี้ตลอดไปดอก การที่คุณเขียนจดหมายมาหาผมนี้
ก็เป็นวิธีเร่งรัดการเรียนรู้ของคนในสังคมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างนุ่มนวลได้ทางหนึ่ง
อย่าลืมว่าคนเปิดอ่านบล็อกนี้มีถึงเดือนละสองแสนครั้งนะครับ
6. ถามว่ามียาตัวไหนบ้างที่กินแล้ วเวลาไปตรวจสุขภาพไม่เจอไวรัสตั บอักเสบบี. ตอบว่ามี
แต่ว่ามันต้องรอจังหวะใช้ คือเรื่องมันยาว การจะเข้าใจเรื่องนี้คุณต้องเข้าใจพยาธิวิทยาของโรค
และกลไกการทำงานของยาต้านไวรัสเช่น interferon-alpha ก่อน
คือพยาธิวิทยาของโรคนี้มันแบ่งได้เป็นสามระยะ คือ
ระยะที่ 1. ระยะยังไม่รู้จักกัน
(immune tolerance phase) หมายความว่าร่างกายยังไม่รู้จักเชื้อ
ไม่รู้ว่านี่คือศัตรู จึงปล่อยให้อาศัยอยู่ได้อิสระ
ระยะที่ 2. รู้จักกันและเริ่มทำสงคราม (immune active หรือ immune clearance phase) เป็นระยะที่ร่างกายเริ่มรู้จักไวรัส และเม็ดเลือดขาวจับกินไวรัส ขณะเดียวกันไวรัสส่วนหนึ่งก็อาศัยเม็ดเลือดขาวเป็นสถานที่ก๊อปปี้เพิ่มจำนวนตัวเอง เป็นการสู้กัน มีความเสียหายต่อเซลตับ มีตับอักเสบ
ระยะที่ 3. สงบศีกและยอมให้ไวรัสอยู่ (inactive chronic carrier phase) คือสู้กันไม่รู้แพ้ชนะ แต่พออยู่กันอย่างสงบได้ ไวรัสลดจำนวนลงไปมาก แต่ยังมีอยู่ในตัว ร่างกายก็ไม่ได้โถมปราบปรามแล้ว ได้แต่คุมเชิงกันอยู่
ระยะที่ 2. รู้จักกันและเริ่มทำสงคราม (immune active หรือ immune clearance phase) เป็นระยะที่ร่างกายเริ่มรู้จักไวรัส และเม็ดเลือดขาวจับกินไวรัส ขณะเดียวกันไวรัสส่วนหนึ่งก็อาศัยเม็ดเลือดขาวเป็นสถานที่ก๊อปปี้เพิ่มจำนวนตัวเอง เป็นการสู้กัน มีความเสียหายต่อเซลตับ มีตับอักเสบ
ระยะที่ 3. สงบศีกและยอมให้ไวรัสอยู่ (inactive chronic carrier phase) คือสู้กันไม่รู้แพ้ชนะ แต่พออยู่กันอย่างสงบได้ ไวรัสลดจำนวนลงไปมาก แต่ยังมีอยู่ในตัว ร่างกายก็ไม่ได้โถมปราบปรามแล้ว ได้แต่คุมเชิงกันอยู่
ในกรณีของคุณทั้งสองคนนี้ ผมเดาเอาว่ายังอยู่ในระยะที่ 3 เหตุที่ต้องเดาก็เพราะคุณทั้งสองไม่ได้ส่งค่า antiHBe ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันต้านไวรัสขณะแบ่งตัวมาให้ดู ผมจึงเดาเอาว่า AntiHBe
ของคุณทั้งสองเป็นบวกแล้ว
หมายความว่าร่างกายจำกัดเขตเชื้อได้แล้ว ไวรัสหยุดแบ่งตัวแล้ว
แต่ร่างกายกำจัดไวรัสเองไม่ได้ คือแรงไม่พอ การจะให้โรคหายก็คือต้องรอให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายกำจัดไวรัสไปตามธรรมชาติ
หรือไม่ก็รอจังหวะให้ไวรัสเหิมเกริมแบ่งตัวก่อการอักเสบขึ้นมาอีก
จึงจะเป็นจังหวะที่จะใช้ยาต้านไวรัสเช่น interpheron ได้ เพราะวิธีออกฤทธิ์ของยาต้านไวรัสไม่เหมือนกระสุนปืนที่ยิงโป้งไปที่ตัวไวรัสโดยตรง
แล้วตายเลย แต่ยานี้ออกฤทธิ์ผ่านเซลเม็ดเลือดขาวไม่ให้ไวรัสมาแบ่งตัวในเซล
คือไวรัสบี.มีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือมันจะอ้อยอิ่งออกฟอร์มแกล้งรอให้เม็ดเลือดขาวเฮี้ยนขึ้นมาแล้วจับมันกินเข้าไปในเซลก่อน
นั่นหมายความว่ารอให้มีสงครามหรือมีปฏิกริยาการอักเสบหรือปฏิกริยาต่อต้านของร่างกายเกิดขึ้นก่อน
มันจึงจะแผลงฤทธิ์ได้ พอเข้าไปในเซลได้ปุ๊บ
มันก็จะแอบเข้าไปหากลไกปั๊มยีนซึ่งทำงานคล้ายๆเครื่องปั๊มกุญแจที่อยู่ในเซล
แล้วเอาเครื่องนี้ปั๊มเพิ่มจำนวนไวรัสตัวมันเองออกมาเพียบจนทำเอาเซลแตก
ยาต้านไวรัสไปบล็อกเครื่องปั๊มนี้ไม่ให้ทำงาน ดังนั้นเมื่อไม่มีสงคราม
เมื่อเม็ดเลือดขาวไม่จับกินไวรัส ยาก็ออกฤทธิ์ไม่ได้ การให้ยาก็ไม่มีประโยชน์
อีกประการหนึ่ง
ความรู้เรื่องการกำจัดไวรัสตับอักเสบบี.นี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
มีการค้นพบใหม่ๆเกิดขึ้นแทบจะทุกปี
ผมมั่นใจว่าอีกไม่นานวงการแพทย์จะมีวิธีกำจัดไวรัสที่ซุ่มโป่งอยู่ได้
7.. ข้อสุดท้ายนี้คุณสองคนไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้นะ ว่า
7.1 ควรจะหาหมอโรคตับ
(hepatologist) ไว้เป็นที่พึ่งยามยากสักคน
เพราะความเปลี่ยนแปลงในวิชาสาขานี้เกิดขึ้นเร็ว หมอพันธ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นหมอประจำครอบครัว
หมออายุรกรรม หรือแม้แต่หมออายุรกรรมเฉพาะด้านโรคทางเดินอาหาร (gastroenterologist) ก็ยังยากที่จะตามความรู้โรคนี้ได้ทัน ดังนั้นสำหรับคนเป็นโรคนี้
หาหมอโรคตับดีที่สุด
7.2 คนในครอบครัวของคุณทุกคน
รวมคู่รักคู่รสของคุณด้วย ควรได้รับการตรวจภูมิคุ้มกันโรคนี้ ใครไม่มีภูมิคุ้มกัน
ก็ควรจับฉีดวัคซีนให้หมด
7.3 แม้จะเป็นคำแนะนำที่น่าเบื่อราวกับหนังสือสุขศึกษาชั้นประถม
แต่สำหรับคนเป็นโรคนี้สัจจธรรมก็คือไม่มีอะไรดีกว่าภูมิต้านทานของร่างกายเราเอง เตรียมพร้อมฟูมฟักภูมิต้านทานของร่างกายเราไว้ให้ดี ด้วยการวางรูทีนชีวิตให้มีการพักผ่อนให้พอ
ออกกำลังกายให้หนักทุกวัน กินอาหารถูกส่วนซึ่งต้องหนักไปทางผักและผลไม้
และจัดการความเครียดทางใจให้ดี เพราะในระหว่างที่รอการเกิดของยาใหม่ ไม่มีอะไรช่วยเราได้มากเท่าภูมิต้านทานของร่างกายตามธรรมชาติของเราเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1.
Keeffe EB, Dieterich DT, Han SH, et al. A treatment algorithm for the
management of chronic hepatitis B virus infection in the United States: an
update. Clin Gastroenterol Hepatol. Aug 2006;4(8):936-62.