โลหิตจางจากการขาดโฟเลท (folate deficiency anemia)
เรียนนายแพทย์สันต์ที่เคารพ
หนูอายุ 27
ปี มีปัญหาเรื่องอ่อนเพลียเรื้อรังที่มีแต่จะเป็นมากขึ้นจนไม่มีแรงจะไปทำอะไร
คุณพ่อกับคุณแม่เขาไปเดินออกกำลังกายและชวนหนูทุกวันแต่หนูไม่มีแก่ใจเลยเพราะมันหมดแรง
น้ำหนักตัวก็ลดลงจากเดิม 45 กก. ตอนนี้น้ำหนักตัวเหลือ 41
กก. หนูสูง 155 ซม. เมื่อปีที่แล้วตอนที่หนูอยู่สวิสไปหาหมอที่นั่นตรวจแล้วบอกว่าเป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและไม่ได้แนะนำให้ทำการรักษาเป็นพิเศษแต่อย่างใด
เมื่อหนูกลับมาเมืองไทยแล้วได้ไปตรวจคัดกรองโรคทาลาสซีเมียโดยละเอียด
มีหมอตรวจหลายคน ตรวจหลายครั้ง ได้ผลดังข้างท้ายนี้ โดยสรุปหมอบอกว่าไม่ได้เป็นโลหิตจางธาลาสซีเมีย
แต่เกิดจากการเสียเลือดประจำเดือนและให้ธาตุเหล็กมาทาน หนูทานอยู่พักหนึ่งไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นก็เลยหยุดไป
ตอนนี้บางครั้งมึนหัวโคลงเคลง อ้อ ลืมเล่าให้ฟังว่าตอนเรียนหนังสือหนูเคยทานยาคุมกำเนิดอยู่
3 ปี ตอนนี้หยุดทาน แต่ประจำเดือนก็ไม่มาอีกเลย
ขอคำแนะนำจากคุณหมอค่ะ
Hb 6.8 (12-16)
Hct 25.1 (36-47)
RBC 2.95 (3.8-5.4)
MCV 87.5 (80-95)
MCH 25.8 (27-32)
MCHC 29.5 (32-36)
RDW 22.6 (11.6-14.5)
Hypochromia 1+
Microcytosis 1+
Macrocytosis , few
Ovalocytosos, few
Schistocyte, few
Polychromasia, few
Hemoglobin typing
OF test positive
HbA2 1.40 (2.0-3.5)
HbF <0 .5=".5" o:p="o:p">0>
Interpretation: A2A Normal typing with or without
alpha-thalassemia
Suggestion: ควร confirm ด้วย DNA analysis
PCR alpha thal complete profile
Alpha-Thal1 (SEA Type) Negative
Alpha-Thal1 (Thai Type) Negative
Alpha-Thal2 (3.7 kb Type) Negative
Alpha-Thal2 (4.2 kb Type) Negative
PCR for HbConstant spring Negative
PCR for HbPakse Negative
Interpretation: Non alpha thalassemia (Thai, SEA,
3.7kb, 4.2 kb, HbCS, HbPakse)
Comment:
1.
ไม่มีความเสี่ยงต่อ alpha
thalassemia ชนิดรุนแรง
2.
ควรพิจารณาผลร่วมกับ Hb
typing เพื่อหาความเสี่ยงต่อเบต้าธาลาสซีเมียด้วย
End of report
………………………………………………………….
ตอบครับ
ผลเลือดของคุณที่แน่ๆก็คือกำลังอยู่ในภาวะโลหิตจางที่รุนแรงใกล้จะตายแล้ว
เพราะฮีโมโกลบิน (Hb) ต่ำมาก แต่มีข้อที่น่าสังเกตคือดูจากขนาดของเม็ดเลือด
(MCV) ซึ่งค่อนข้างโต หากมีสาเหตุจากขาดธาตุเหล็กก็อาจไม่ใช่สาเหตุเดียว
อาจมีสาเหตุอื่นที่ทำให้โลหิตจางโดยเม็ดเลือดยังมีขนาดโตดีอยู่เช่น ขาดโฟเลต หรือวิตามินบี 12
ปัญหาของคุณน่าจะซับซ้อนไม่ธรรมดาและซีเรียสมาก
ผมแนะนำให้คุณไปเจาะเลือดดูค่าต่อไปนี้ให้ครบคือ (1) Ferritin
(2) Folic acid (3) Vitamin B12 และเก็บอุจจาระไปตรวจหาไข่พยาธิปากขอด้วย
เมื่อได้ผลเลือดและผลอุจจาระแล้วเอาไปให้หมอโลหิตวิทยา (hematologist) ที่รพ.ไหนสักแห่งดู
พร้อมกับเล่าอาหารการกินของคุณให้หมอเขาฟังโดยละเอียด
โรคเป็นมากขนาดนี้อย่ามารักษาทางอินเตอร์เน็ทเลย
เดี๋ยวคุณตายไปจริงๆบาปกรรมจะตกแก่ผมเปล่าๆ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..................................................................
จดหมายจากผู้ป่วยฉบับที่สอง (10 มค. 56)
หนูไปเจาะเลือดตามที่หมอบอกแล้ว
ได้ผลดังนี้
Ferritine 3.89 ng/mL (13.00-150.00)
Folic acid 3.7ng/mL (4.6-18,7)
Vitamin B 12 344.9 pg/mL (211.0-911.0)
ส่วนอุจจาระหนูยังไม่ได้เอาไปตรวจ
เพราะหนูอาย ส่วนอาหารของหนูนั้นหนูก็ทานโปรตีนเช่นเนื้อหมูไม่ได้ขาด ส่วนผักก็ทานในรูปของต้มจับฉ่ายบ้างพอควร
เพียงแต่ตอนหลังมานี้หนูเบื่ออาหาร อ้อ ลืมบอกคุณหมออีกเรื่องหนึ่งว่าหนูดื่มแอลกอฮอล์
(วิสกี้) มากพอควรด้วยคะ
คุณหมอช่วยตอบจดหมายหนูด้วยนะคะ
หนูสัญญาว่าจะไปหาหมอก็ต่อเมื่อได้อ่านคำตอบของคุณหมอแล้ว แต่หนูจะไม่ไปหาหมอที่ไหนเด็ดขาดถ้ายังไม่ได้อ่านคำตอบของคุณหมอ
เพราะหนูเคยไปหามาแล้วแต่ไม่เคยได้รับคำแนะนำที่จ่างแจ้งเลย
...............................................................
ตอบครับ (ครั้งที่สอง)
ฮั่นแน่.. มาฟอร์มขู่บังคับอีกละ ชอบกันจริงจริ๊ง
เด็กสมัยนี้ไม่รู้เป็นอะไร
ชอบเอาความเป็นความตายของตัวเองมาบีบบังคับผู้ใหญ่แบบว่าไม่รักหนูละก็หนูจะตายให้ดูนะ
เป็นนิสัยที่ไม่เข้าท่าเลย อุตสาห์ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามา แต่ก็ยังไม่วายติดนิสัยตัวละครน้ำเน่าไทยแก้ไขไม่หาย
เอาเถอะ มาดูปัญหาสุขภาพของคุณดีกว่า
คำวินิจฉัยโรคที่คุณเป็นตอนนี้ตามหลักฐานที่ส่งมาให้ก็คือ
1. โรคโลหิตจางรุนแรง
ซึ่งมีสองโรคซ้อนกันอยู่คือ
1.1 ขาดธาตุเหล็ก
(iron
deficiency anemia)
1.2 ขาดโฟเลท
(folate
deficiency anemia)
2. ขาดโปรตีนและแคลอรี่
(protein-calorie
malnutrition) ทั้งนี้ดูจากดัชนีมวลกาย
3. ประจำเดือนไม่มาเนื่องจากภาวะขาดอาหาร
(secondary amenorrhea)
คำแนะนำของผมก็คือไปหาหมอทางด้านโลหิตวิทยาทันที
การรักษาตัวเองในระหว่างนี้ สิ่งที่พึงทำคือ
1..ทานอาหารให้เพียงพอที่จะนำไปสร้างเม็ดเลือด
ในประเด็นต่อไปนี้
1.1 ทานอาหารที่มีโฟเลทมาก
คำว่าโฟเลทกับโฟลิกแอซิดนี้คือตัวเดียวกัน
มันมีมากในผักสดผลไม้สดและธัญพืชไม่ขัดสี ความที่มันเป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ (water
soluble vitamin) การปรุงอาหารโดยการต้มผักอย่างต้มจับฉ่ายจึงสูญเสียโฟเลทไป
ควรหัดทานผักสด งานวิจัยอาหารไทยพบว่าผักไทยที่มีโฟเลตมากได้แก่ถั่วต่างๆ
ผักคะน้า กะหล่ำ ผักโขม ผักกาด และผลไม้เช่นส้ม สับปะรด ฝรั่ง มะละกอ
คนเป็นมังสะวิรัติจึงไม่ขาดโฟเลทยกเว้นเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ซึ่งร่างกายต้องการมากเป็นพิเศษ
ประเด็นสำคัญคือการสูญเสียโฟเลตจากการปรุงอาหารด้วยความร้อน
งานวิจัยเดียวกันพบว่าการนึ่งผัก 20-60 นาทีทำให้โฟเลตเสียไป 90% ดังนั้นจึงควรหาโอกาสทานผักสดหรือผักที่ที่ไม่ต้องปรุงด้วยความร้อนนานๆด้วย
1.2 ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก
จะให้ดีควรทานธาตุเหล็กที่อยู่ในเนื้อสัตว์
เพราะธาตุเหล็กที่ได้จากอาหารที่เป็นพืชไม่ได้อยู่ในรูปของโมเลกุลฮีม (nonheme iron) ทำให้ร่างกายนำมาใช้ยากเพราะต้องอาศัยกรดสกัดเอาตัวเหล็กออกมาก่อนจึงจะดูดซึมไปใช้ได้
ต่างจากธาตุเหล็กจากสัตว์เช่นเลือด ตับ เนื้อ
ซึ่งอยู่ในรูปของฮีมที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่าย ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าพืชไม่ได้ให้ธาตุเหล็ก
ให้เหมือนกันแต่มันใช้ยาก พืชที่มีธาตุเหล็กเหลือเฟือเช่น ในถั่วต่างๆ ผักต่างๆ
เช่น ผักกูด ผักแว่น ใบแมงลัก เห็ดฟาง พริกหวาน กะเพราแดง ขึ้นฉ่าย และธัญพืช อย่างไรก็ตามคนทานมังสวิรัติจึงต้องทานอาหารที่ให้ธาตุเหล็กมาก
ร่วมกับอาหารที่ให้วิตามินซีมากเพราะวิตามินซีช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก
งานวิจัยผู้ทานอาหารมังสวิรัติพบว่าการทานอาหารประเภทข้าวและผักที่เราทานอยู่เป็นประจำโดยไม่มีเนื้อสัตว์เลย
การดูดซึมธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารไปใช้จะเกิดขึ้นเพียง 3-10% เท่านั้น แต่ถ้าได้วิตามินซีจากผลไม้อีก 25-75 มก.
(ฝรั่งประมาณครึ่งลูก) การดูดซึมของธาตุเหล็กที่มีอยู่ในข้าวและผักนั้นจะเพิ่มขึ้น
จึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซี.สูงร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงไปด้วยเสมอ
ถ้าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็ เช่น ส้ม ผรั่ง มะม่วง มะละกอ แคนตาลูป มะเฟือง
สตรอเบอรี่ กีวี สับปะรด ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูงก็เช่น พริกหวาน ผักบุ้ง คะน้า
ตำลึง พริก มะเขือเทศ บรอกโคลี นอกจากอุปสรรค์เรื่องร่างกายใช้ nonheme
ironได้ยากแล้ว ยังมีประเด็น สารแทนนิน ที่พบในน้ำชา กาแฟ
จะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กให้ร่างกายได้รับเหล็กน้อยลงไปอีก แคลเซียมที่ได้จากนมหรือจากยาเม็ดแคลเซียมก็ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กเช่นกัน
1.3 ทานอาหารที่มีวิตามินบี.12
ให้มากๆ วิตามินตัวนี้ร่างกายต้องใช้สร้างเม็ดเลือด เราได้วิตามินบี.12
จากการที่บักเตรีช่วยหมัก (fermentation) ดังนั้นอาหารหมักๆเหม็นๆเช่นกะปิ
น้ำปลา ปลาร้า จึงมีวิตามินบี. 12 มาก ในผักสดที่เราทานก็มีวิตามินบี.12
อยู่บ้าง นอกจากนี้เรายังมีทางได้วิตามินบี.12 มาจากการที่บักเตรีพวก Bifidobacteria และ lactobacilli
ในลำไส้ของเรา
เอาสารคาร์โบไฮเดรตในกลุ่มโอลิโกแซคคาไรด์จากอาหารเช่นจากถั่วต่างๆไปย่อยด้วยวิธีหมักจนได้แก้สและวิตามินบี.12
ออกมาเป็นผลพลอยได้ แค่นี้ก็พอใช้แล้ว
ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อเราทานยาปฏิชีวนะซึ่งมักทำให้บักเตรีที่หมักอาหารในลำไส้ของเราเกิดล้มตายเป็นเบือ
เมื่อนั้นคนก็จะขาดวิตามินบี.12 ได้ สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นคนสูงอายุ
ข้อมูลการศึกษาในผู้สูงอายุอเมริกันว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้นลำไส้จะดูดซึมวิตามินบี.12
ไปใช้ได้น้อยลง ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้น การทานและหากไม่ชอบทานของหมักๆเหม็นๆ
การทานวิตามินบี.12 เสริมด้วยก็น่าจะดี
1.4 ทานอาหารโปรตีนให้มากๆ โปรตีนจากสัตว์จะพร้อมใช้มากกว่าจากพืช
คืออาหารโปรตีนทุกชนิดเมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะย่อยลงไปเป็นกรดอามิโนก่อน
แล้วค่อยเอาไปสร้างเม็ดเลือดหรือสร้างเป็นเนื้อหนังมังสาขึ้นมาภายหลัง
ในบรรดากรดอามิโนทั้งหลายนี้ บางส่วนร่างกายก็สร้างขึ้นเองได้ แต่มีอยู่ 8 ตัวที่ร่างกายสร้างขึ้นไม่ได้ คือ
ทริปโตแฟน, เฟนิลอะลานีน, ไลซีน,
ทริโอนีน, วาลีน, เมไทโอนีน,
ลิวซีน, ไอโซลิวซีน
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพืชทุกชนิดไม่มีชนิดไหนมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ตัว เช่นถั่วเหลืองที่ว่ามีกรดอะมิโนจำเป็นมากที่สุดก็มีแค่ 7 ตัว ยังขาดเมไทโอนีน งามีเมไทโอนีนแยะแต่ขาดตัวอื่นหลายตัว ข้าวกล้องมีเมไทโอนีนแต่ขาดไลซีน
เป็นต้น ดังนั้นการทานมังสวิรัติต้องทานพืชอาหารโปรตีนหลายอย่างคละกันเพื่อให้ได้กรดอะมิโนจำเป็นครบทุกตัว
เช่นทานถั่วเหลืองผสมกับงา (สูตรยอดนิยม) หุงข้าวกล้องกับถั่วดำ เป็นต้น ส่วนโปรตีนจากสัตว์เช่นนมวัวและไข่นั้นจะมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง
8 ตัวในตัวของมันเอง
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งคือทานโปรตีนเท่าไรถึงจะพอ
สูตรง่ายๆคือขอให้ได้โปรตีนอย่างน้อยวันละ 50 กรัม 50 กรัมนี้
หมายถึง 50 กรัมของโปรตีน ไม่ใช่กรัมของเนื้อนมไข่
ยกตัวอย่างคุณทานเนื้อหมู 100 กรัม (สะเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น) คุณจะได้โปรตีน
20% คือ 20 กรัมเท่านั้นเอง
หรือถ้าคุณทานไข่ใบโตหนึ่งฟอง (70 กรัม) คุณจะได้โปรตีน 10%
คือ 7 กรัมเท่านั้นเอง คุณดื่มนม 1 แก้ว (250 ซีซี.) คุณจะได้โปรตีนประมาณ 3.3% คือ 8.2 กรัมเท่านั้นเอง
ดังนั้นวันหนึ่งถ้าคุณอยากได้โปรตีน 50 กรัมคุณต้องทานสเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น
ไข่สองฟอง นม 2 แก้ว ประมาณนี้
แหล่งอาหารโปรตีนที่ดีมากคือถั่วต่างๆ ผลเปลือกแข็ง (nut) และเมล็ด
(seed) ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 20-30% แถมยังมีวิตามินและเกลือแร่มาก
ถั่วต่างๆคุณคงรู้จักดีอยู่แล้ว ตัวอย่างของผลเปลือกแข็งก็เช่น มะม่วงหิมพานต์
เกาลัด แป๊ะก๊วย อัลมอนด์ มะคาเดเมียเป็นต้น ตัวอย่างของเมล็ดก็เช่น งา
เมล็ดทานตะวัน เมล็ดเก๋ากี้ เป็นต้น
คุณหาผลเปลือกแข็งและเมล็ดเหล่านี้มาทานเป็นของว่างแทนขนมหวานหรือเค้กคุ้กกี้ซึ่งมีให้แต่พลังงานก็จะมีประโยชน์ดีกว่า
ถ้าไม่ชอบเคี้ยวอาจหาโปรตีนผง (Whey
protein) ละลายน้ำทานแทนก็ได้เหมือนกัน
การใช้โปรตีนผงก็ต้องดูข้างขวดให้ดี ว่าเป็นผงแบบ whey concentrate ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์โปรตีนไม่สูงมาก (30-80%) หรือเป็นผงแบบ
hydrolysate ซึ่งมีโปรตีนสูงถึงระดับใกล้เคียง 100%
2.. คุณต้องเริ่มออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน ยังโคลงเคลงอยู่ก็ออกเบาๆก่อน แล้วค่อยๆให้หนักขึ้นๆ เพราะการออกกำลังกายจะกระตุ้นให้มีการปล่อยสารช่วยสร้างเม็ดเลือด (erythropoietin) การออกกำลังกายนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการปรับได้อาหารโปรตีนพอเพียง และต้องออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบฝึกกล้ามเนื้อ ผมเคยเขียนเรื่องการออกกำลังกายไปแล้วหลายครั้ง หาอ่านดูได้
2.. คุณต้องเริ่มออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน ยังโคลงเคลงอยู่ก็ออกเบาๆก่อน แล้วค่อยๆให้หนักขึ้นๆ เพราะการออกกำลังกายจะกระตุ้นให้มีการปล่อยสารช่วยสร้างเม็ดเลือด (erythropoietin) การออกกำลังกายนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการปรับได้อาหารโปรตีนพอเพียง และต้องออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบฝึกกล้ามเนื้อ ผมเคยเขียนเรื่องการออกกำลังกายไปแล้วหลายครั้ง หาอ่านดูได้
3.. ในระยะ
3-6 เดือนแรกคุณต้องเสริมเหล็ก โฟเลท และวิตามินบี.12
ในรูปของยาเม็ด อันนี้จำเป็น เพราะคุณเป็นมากหากมัวรอจากอาหารอย่างเดียวอาจไม่ทันใจ
การที่ระดับเหล็กในร่างกายของคุณต่ำมากนั้นร่างกายต้องใช้เวลา 3-6 เดือนนำเหล็กเข้าไปสำรองไว้ให้พอใช้
ดังนั้นระยะแรกนี้ใช้วิธีเสริมดีที่สุด หาซื้อเอาได้ตามร้านขายยา ทั้งสามตัวเป็นอาหาร
ไม่ต้องมีพิธีรีตองในการซื้อและในการใช้
4. ยังไงก็ต้องไปหาหมอ
เพราะนอกจากที่ผมพูดมาข้างต้นแล้ว ยังมีประเด็นที่คุณทำเองไม่ได้
เช่นการค้นหาสาเหตุที่อาจทำให้มีการสูญเสียเหล็กหรือโฟเลทจากร่างกาย
เช่นมีพยาธิปากขอคอยดูดเลือด มีความผิดปกติของระดับฮอร์โมนไทรอยด์จนการเผาผลาญอาหารผิดปกติไป
เป็นต้น
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. โครงการศึกษาปริมาณโฟเลทในอาหารไทย. Accessed on September 30, 2011 at http://nutrition.anamai.moph.go.th/temp/main/view.php?group=2&id=121
บรรณานุกรม
1. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. โครงการศึกษาปริมาณโฟเลทในอาหารไทย. Accessed on September 30, 2011 at http://nutrition.anamai.moph.go.th/temp/main/view.php?group=2&id=121