โรคกลัวคน (Social Anxiety Disorder)


สวัสดีค่ะคุณหมอ 
รบกวนเรียนถามคุณหมอเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของตัวเองหน่อยนะค่ะ เนื่องจากไม่ทราบจะไปปรึกษาใครดี และไม่กล้าที่จะปรึกษาใครจริงจังสักที คือว่าหนูเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเอง จะสั่นและเหมือนจะตกใจทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกับคนที่รู้สึกไม่สนิท คนที่ไม่สนิทในความหมายของหนู คือ แม้กระทั่งคนหัวหน้าที่เจอหน้ากันทุกวัน แต่ก็ไม่สนิทกันสักที หนูมักจะมีอาการไม่ดีคือจะสั่นๆ ไม่กล้าสบตาด้วยตลอด ไม่ทราบว่าอาการอย่างนี้ เรียกว่าเป็นโรคไหมค่ะ หมอพอจะมีวิธีแนะนำให้หายจากอาการแบบที่กล่าวไว้ไหมค่ะ

อีกอย่างหนูจะสึกว่าตัวเองเป็นคนขี้ตื่นเต้นมาก เวลาอยู่ต่อหน้าคน แม้เพียงแค่สองสามคนหนูก็จะมีอาการตื่นเต้นตลอด สติไม่อยู่กันเนื้อกับตัว บางทีพูดอะไรก็จะพูดวกไปวนมา แต่อาการแบบนี้ไม่เกิดเวลาอยู่กับคนในครอบครัว หรือคนที่เราสนิทกันมาก 
หนูอยากจะหายจากอาการแบบนี้ค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคกับการเข้าสังคมของหนู และเป็นอุปสรรคกับการทำงานของหนูด้วย เพราะต้องเจอลูกค้าทุกวันค่ะ หนูอยากเสนอความเป็นตัวของตนเองมากขึ้นกว่าเดิม กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดง เสนอความคิดของตัวเองเหมือนคนอื่นๆเขาบ้าง 
และหนูหวังเป็นอย่างยิ่งค่ะว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดีจากคุณหมอค่ะ
ขอบคุณคุณหมอล่วงหน้าค่ะ

……………………………………..

ตอบครับ

     อาการที่คุณเป็นอยู่ ทางการแพทย์ถือว่าเป็นโรคโรคหนึ่งชื่อ Social Anxiety Disorder เรียกย่อว่า SAD นิยามว่าคือความกลัวสถานการณ์ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น กลัวตัวเองจะทำเปิ่นทำเขลา หรือพูดอีกอย่างว่ากลัวคนอื่นเขาประเมินหรือตัดสินตัวเองว่าไม่เข้าท่าโง่เง่าเต่าตุ่น ความกลัวนี้มีมากจนมีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตปกติของตน คนที่มีความผิดปกติแบบคุณนี้มักเป็นคนขี้อาย เงียบ หลบ เก็บกด ไม่เป็นมิตร ปสด. ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆที่เจ้าตัวใจจริงแล้วอยากจะคบหาเป็นเพื่อนกับใครต่อใคร อยากมีส่วนร่วม อยากมีปฏิสัมพันธ์ แต่ใจมันไม่กล้า เพราะว่าใจมันกลัว...กลัวคน โรคนี้จัดเป็นหนึ่งในห้าของโรคกลัวแบบขี้ขึ้นสมองที่ระบุไว้ในตารางจำแนกโรคจิตเวช (DSM-IV) โรคแบบคุณนี้ต่างจากโรคกลัวจนมีอาการป่วยทางกาย (panic disorder) ซึ่งพวกนั้นจะเข้าๆออกๆห้องฉุกเฉินบ่อยๆ เพราะนึกว่าตัวเองป่วยทางกาย แต่พวกกลัวสังคมแบบคุณนี้รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้ป่วยทางกายและมีน้อยมากที่จะไปโรงพยาบาล

     โรคนี้เป็นโรคของเด็กและวัยรุ่น พอเข้าวัยผู้ใหญ่ก็มักหาย แต่ก็ไม่แน่ บางรายเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่หาย จะเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งให้ฟัง นานมาแล้วสมัยที่ผมยังเป็นครูสอนนักเรียนแพทย์อยู่ ครั้งหนึ่งมหาลัยเขาเอาพวกอาจารย์แพทย์ไปอบรมวิธีสอน ไปสัมนากินนอนกันที่โรงแรมริมทะเล ตกค่ำพวกอาจารย์ซึ่งเกือบทั้งหมดก็อาวุโสระดับสี่สิบอัพกันทั้งนั้นแล้วก็กินอาหารเย็นด้วยกันและผลัดกันขึ้นร้องเพลงบนเวที แบบว่า..ถ้อยทีถ้อยทนฟังกันไป แล้วก็ถึงตาอาจารย์หญิงท่านหนึ่งขึ้นร้องเพลง ผมสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่ามือที่ท่านถือไมโครโฟนนั้นสั่นอยู่ ซึ่งผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะท่านชรา แต่พอร้องไปได้ยังไม่ทันครบท่อน ท่านก็ค่อยๆ รูดแบบสาละวันเตี้ยลงๆ สู่พื้นเวที โดยที่ปากก็ยังร้องเพลงได้และมือยังถือไมค์อยู่ ผมซึ่งนั่งใกล้เวทีรีบกระโดดขึ้นไปบนเวทีเพราะคิดว่าวัยนี้แล้วมาฟอร์มนี้หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันแหงๆ แต่ก็ผิดคาด ท่านไม่ได้หมดสติ พอปฐมพยาบาลสักครูท่านก็สารภาพว่าท่านกลัวคน ผมนึกในใจว่า

      “..โธ่ อาจารย์ ปูนนี้เนี่ยนะ”

      นึกเฉยๆนะ แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอก เพราะตอนนั้นท่านเริ่มฟื้นและแข็งแรงเป็นปกติดีแล้วขืนพูดออกไปผมอาจได้รับบาดเจ็บได้

     พูดถึงเรื่องกลัวคน  ขอเล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ ประมาณปีพ.ศ. 2541 ผมขับรถพาลูกเมียเที่ยวไปในชนบทของนิวซีแลนด์ วันหนึ่งขณะขับรถเลียบชายฝั่งตะวันตกของเกาะใต้ ได้แวะไปที่ตำบลหนึ่งซึ่งเล็กมากชื่อเมืองฮาส มีบ้านเรือนอยู่ไม่เกินสิบหลังคา แต่มีร้านเหล้าแบบ tavern อยู่ด้วย ตกกลางคืนผมส่งลูกเมียเข้านอนแล้วตัวเองก็เดินฝ่าลมหนาวไปเยี่ยมร้านเหล้า พอเข้าไปแล้วมีพวกชาวไร่กีวี่ผู้ชายมาดื่มเบียร์กันคับคั่ง คงขับรถมาจากฟาร์มนอกเมือง คุยกันโขมงโฉงเฉง พอได้ดื่มสักหน่อยผมก็เข้าไปคลุกวงในด้วยได้ กีวี่คนหนึ่งปากยังคาบบุหรี่อยู่ถามผมว่า

“คุณว่าคุณมาจากไหนนะ กรุงเทพเหรอ” ผมตอบว่า

“ใช่” อีกคนหนึ่งว่า

“โอ้  เมืองใหญ่นี่ ใหญ่มากเลยใช่ไหม” ผมตอบว่า

“มีคนตั้งสิบล้านคน คุณไปเที่ยวสิ” อีกคนว่า

“ผมอยากไปนะ สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง ผมจะไป”

อีกคนตะโกนมาจากมุมห้องแต่ไกลว่า

“ผมไม่ไปหรอก.. ผมกลัวคน”

ทั้งห้องหัวเราะกันครืน

          กลับมาที่โรคกลัวสังคมของคุณดีกว่า คนเป็นโรคแบบคุณนี้มักจะออกอาการมากเมื่อถูกแนะนำให้รู้จักคนใหม่ หรือถูกล้อเลียน ถูกวิจารณ์ หรือไปอยู่ในสถานะการณ์ที่มีคนมาสนใจตัวเองมากๆ หรือต้องไปทำอะไรขณะที่มีสายตาอื่นจ้องดู หรือต้องพูดต่อหน้าคนมากๆ ต้องพบกับคนสำคัญ เอะอะก็เขินอาย ไม่กล้าสบตาคน เอาแต่กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ หรือไม่ก็ก้มหน้าจิ้มไอโฟน หรือเขียนอะไรยิกๆไม่จบไม่สิ้น ที่มักเป็นควบกันมาก็คือความกังวล ความกลัว ประสาทเสีย อารมณ์ซึมเศร้า เซ็กซ์ดร็อพ ติดยา และมีบุคลิกต้องพึ่งพิงคนอื่นร่ำไป

     ถามว่าโรคนี้เป็นแล้วหายไหม ตอบว่าหายสิครับ วิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในทางการแพทย์คือใช้วิธีให้กินยา ควบกับการทำจิตบำบัดแบบที่เรียกว่าสอนให้คิดใหม่ทำใหม่ หรือ cognitive behavior therapy หรือ CBT เรื่องยากินคุณหาไม่ยาก ไปหาจิตแพทย์ก็ได้ยามาแล้ว แต่เรื่องหาที่ทำ CBT ในเมืองไทยนี้อาจจะยากหน่อย ถ้าหาไม่ได้ คุณมีทางเลือกสองวิธีคือ

วิธีที่ 1. ไปหาเกมคอมพิวเตอร์หลอกเด็กที่เข้าใช้รักษาเด็กเป็นโรคนี้ในโรงเรียนฝรั่งมาเล่น เช่นเกม “แมวเหมียวจอมรับมือ”(Coping Cat) เกมนี้เข้าท่ามากนะครับ ความจริงเกมหลอกเด็กพวกนี้ไม่ใช่ของขี้ไก่นะ เป็นผลจากงานวิจัยมานาน หมอจิตเวชฝรั่งเรียกเกมพวกนี้ว่าเป็นวิธีรักษาแบบ computerized CBT ฟังดูศักดิ์สิทธิ์แมะ

วิธีที่ 2. คุณทำ CBT ให้ตัวเองโดยอาศัยคนใกล้ชิดที่เขายอมช่วยคุณ ผมจะแนะนำให้ใช้เทคนิค CBT บางเทคนิคเช่น  

     2.1 เทคนิคเข้าหา (exposure therapy) เริ่มด้วยการจินตนาการสมมุติเอาก่อน สมมุติว่าเราเดินผ่านหัวหน้าคนที่ไม่สนิทคนนั้นอีกแระ จินตนาการให้เห็นตัวเราว่าเจ๊าะแจ๊ะอย่างนั้นอย่างนี้ ใหม่ๆแม้จะเป็นเพียงจินตนาการเราก็ยังรู้สึกกลัว บ่อยๆเข้าก็ชักจะคุ้นและทำได้ พอมั่นใจระดับหนึ่งก็ทำการบ้านโดยหาคนพาออกงาน เช่นไปนั่งกินข้าวในที่คนตัวเป็นๆจริงๆแยะๆ แล้วเข้าไปพูดคุยกับเขา ทำแบบนี้บ่อยๆจนเลิกกล้วและกล้าพบหน้าพูดคุยกับผู้คน

   2.2 เทคนิคฝึกทักษะทางสังคม (social skill training) ก็คือการซ้อมนั่นเอง ใหม่ๆก็ซ้อมพูด ซ้อมมองตาคนในกระจก แล้วก็ไปซ้อมกับคนใกล้ชิดที่เราไม่กลัวอยู่แล้ว แล้วก็ไปซ้อมกับเพื่อนๆที่ห่างออกไป จนกล้าพอก็ไปซ้อมกับหัวหน้ารูปหล่อคนนั้น...อีกแระ (แหะ แหะ พูดเล่นนะ)

    2.3      เทคนิดคิดใหม่ (cognitive restructuring) เรียนรู้ที่จะจับว่าความคิดอันไหนชักนำให้เกิดความกลัว แล้วมองลงไปในความคิดนั้นให้เห็นว่าประเด็นนั้นไม่จริง ประเด็นนี้งี่เง่า แล้วฟอร์มความคิดใหม่ที่เป็นบวกและเข้าท่ากว่าขึ้นมาแทน คิดถึงความคิดบวกนี้บ่อยๆ

     ในเชิงหลักฐานวิทยาศาสตร์ ทั้งสามเทคนิคข้างต้น และเกมคอมพิวเตอร์แมวเหมียว เป็นอะไรที่มีงานวิจัยรองรับว่าได้ผลจริง คำแนะนำเพิ่มเติมของผมที่ไม่เกี่ยวกับผลวิจัยเหล่านี้ก็คือพื้นฐานที่จะทำให้เทคนิคทั้งสามอย่างนั้นสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ความสามารถที่จะตามรู้ (recall) อย่างกระชั้นชิดว่าเมื่อตะกี้เราเผลอคิดหรือรู้สึกหรือทำอะไรไป และอยู่ที่ความรู้ตัว (awareness) ว่า ณ ขณะนี้เราอยู่ที่ไหนทำอะไร เราต้องตามเมื่อตะกี้ให้ทันก่อน เราจึงจะรู้ว่า ณ ขณะนี้เราอยู่ตรงไหน คือการตามรู้เมื่อตะกี้ นำเรากลับมาสู่ ณ ขณะนี้ งงแมะ ทริกที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือถ้าเราตามรู้ว่าเมื่อตะกี้เรากลัวขี้ขึ้นสมอง เราก็ตามดูความกลัวนั้น พอถูกตามดู ความกลัวมันจะหายไป ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ พอมันหายไป เราก็จะหล่นกลับมาอยู่กับตัวเรา ณ ขณะนี้ ที่นี่ ตรงนี้ และเมื่อใดที่เรารู้ตัวว่า ณ ขณะนี้เราอยู่ที่นี่ เมื่อนั้นเราเป็นนายเรา การที่เราลนลาน หลุกหลิก ลุกลี้ลุกลน วนไปวนมา นั่นคือโมเมนต์ที่เราเผลอไผลใจลอยอย่างสิ้นเชิงจนไม่สามารถ recall ได้ว่าเมื่อตะกี้เราอยู่ที่ไหน ในสภาพนั้นเราไม่ได้เป็นนายเรา เพราะเราอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่ความคิดหรือความกลัวซึ่งโผล่มาจากห้วงความจำในอดีตกำลังครอบและทำตัวเป็นนายเราอยู่ เทคนิคสำคัญที่ผมชอบใช้เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มก็คือ “สโลว์โมชั่น” เหมือนกับหนังตอนนางเอกกับพระเอกมาพบกันแล้ววิ่งเข้าหากันกลางทุ่งหญ้า กล้องจับภาพมุมกว้างตัดแสงตะวันยามเย็น แล้วอยู่ๆ ปุ๊บ.. เขาก็ดึงภาพให้สโลโมชั่น

     พูดถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง ผมเรียนรู้เทคนิคนี้สมัยเป็นหมออยู่เมืองนอก ผมเป็นหมอหัวใจต้องมีหน้าที่ตามดูคนไข้หัวใจทั้งโรงพยาบาลไม่ว่าจะอยู่ที่วอร์ดไหน และความที่เวลามีน้อยแต่เรื่องที่ต้องทำมีมากผมต้องเดินฉับๆทำอะไรหลายอย่างในคราวเดียวกัน ในโรงพยาบาลที่ผมทำงานนั้นมีอยู่วอร์ดหนึ่งเขามีไว้เก็บคนไข้แก่ๆโดยเฉพาะ เรียกว่า Geriatric ward เวลามีโทรศัพท์ตามให้ไปดูคนไข้วอร์ดนี้ สไตล์ผมก็จะเปิดประตูพรวดเข้าไปแล้วจ้ำพรวดๆๆ สามก้าวไปถึงกลางห้องทำงานพยาบาลเลย ผมจำได้ครั้งแรกที่ผมเข้าไปในวอร์ดนี้หลังจากก้าวที่สาม ผมต้องชะงัก เพราะผมรู้สึกว่ามีผมเคลื่อนไหวอยู่คนเดียวในโลกใบนั้น ต่อเมื่อผมสะกดตัวเองให้นิ่ง ผมถึงเริ่มรับรู้ได้ว่ามีการเคลื่อนไหวนอกตัวผมอย่างช้าๆ พยาบาลแก่ๆกำลังพาคนไข้แก่ๆเดินไปตามทางเดินในวอร์ดด้วยวอล์เกอร์เก่าๆ อย่างช้าๆ เนิบๆ ค่อยๆ ย่างก้าวทีละเซ็นต์ๆ อีกคนหนึ่งกำลังป้อนข้าวคนไข้หญิงชราอย่างช้าๆ อีกด้านหนึ่งชายชราอีกคนหนึ่งกำลังเคี้ยวอาหารในปากอย่างช้าๆ ชนิดที่ว่าผมกวาดตาผ่านแกไปสองรอบ ปากที่อยู่ในจังหวะอ้ายังขยับไม่ทันถึงจังหวะหุบเลย ประเด็นก็คือ ทันทีที่ผมสะกดตัวเองให้นิ่งหรือปรับตัวเองเข้าโหมดสโลว์โมชั่น ผมเพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรกของวันนั้นว่า ณ ขณะนั้นผมอยู่ที่ไหน อยู่ในท่าไหน กำลังคิดอะไร และกำลังจะทำอะไร แตกต่างจากในโหมดที่เร่งรีบที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นทั้งวันผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าในแต่ละขณะผมอยู่ที่ไหนทำอะไร เพราะชีวิตผมถูกครอบโดยสิ่งกระตุ้นและการสนองตอบแบบอัตโนมัติเกือบตลอดเวลา จากวันนั้นผมเรียนรู้ว่าหากจะฝึกการตามความคิดเมื่อตะกี้ให้ทัน ผมต้องปรับชีวิตให้เข้าไปอยู่ในโหมดสโลว์โมชั่น

       เออ..แล้วมันเกี่ยวกับโรคกลัวคนขี้ขึ้นสมองของคุณตรงไหนนะ เออ เหอ เหอ ผมก็ลืมไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษ ดึกแล้วคุณขา คงต้องขอลาไปก่อนโดยไม่สรุป อ้อ นึกออกละ มันเกี่ยวตรงที่ถ้าคุณหัดใช้โหมดสโลว์โมชั่น มันจะทำให้คุณตั้งสติได้ง่าย และการฝึกเทคนิค CBT ทั้งสามอย่างข้างต้นนั้นด้วยตนเอง ก็จะสำเร็จ... แฮ้ จบบริบูรณ์แล้วคราวนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

จม.จากผู้อ่าน 25 พย. 55
ขอบคุณมากเลยค่ะอาจารย์สำหรับคำตอบ เป็นประโยชน์กับหนูมากจริงๆค่ะ สบายใจค่ะกับคำตอบที่ได้รับเพราะอย่างน้อยๆก็รู้สึกว่ามีทางแก้ไขได้ แม้จะดูเหมือนไม่ง่าย ต้องใช้เวลาและการฝึกฝนตัวเอง แต่ก็สารภาพค่ะว่าแอบเครียดเล็กน้อยตอนอ่านวรรคแรกๆค่ะ ไม่คิดว่าเราจะเป็นโรคอย่างที่ว่า เพราะมีแผนว่าจะเรียนต่อสาขาหนึ่งซึ่งมีระบุว่าต้องไม่มีปัญหาทางจิตเวชขั้นรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และหรือผู้อื่น แต่พออ่านจบก็หายเครียดค่ะ เพราะว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นมากเหมือนท่านอาจารย์หมอผู้หญิงคนนั้น แล้วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะไม่ไปไหนเพราะความที่กลัวคน เพียงแต่มีปัญหาเวลาต้องเผชิญหน้ากับคน เพียงลำพัง เพราะมีเหงื่อตกผิดปกติเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดีขึ้นหน่อยแล้วค่ะอาจารย์เพราะงานที่ทำอยู่ต้องมีการฟังลูกค้าอธิบาย ต้องมองตา มองหน้าผู้ป่วย เพื่อให้มีสมาธิในการฟัง เพื่อจะได้คอยอธิบายวิธีการปฏิบัติให้ลูกค้าฟังได้อย่างถูกต้อง สมาธิต้องมีเวลาทำงาน พยายามรู้ในสิ่งที่ตนเองทำอยู่ ณ ปัจจุบันมากขึ้น เรื่องปัญหาในการทำงานกับลูกค้าเริ่มน้อยลง แต่ยังติดเรื่องเวลาต้องพบปะพูดคุยกับคนอื่น 
(แก้ตัวนิดนึงค่ะอาจารย์ หัวหน้าเป็นผู้หญิงค่ะ อิอิ)


แอบถามอีกนิดได้ไหมค่ะอาจารย์ อาการแบบนี้ มีสิทธิจะเรียนหมอได้ป่าวค่ะ แล้วก็อยากรู้ว่าจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษาไหม ใช้เวลาในการรักษานานไหม ยาที่ใช้รักษามีผลข้างเคียงที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันไหม เช่น ทำให้ซึม ง่วงเป็นต้น

..................................


ตอบครับ (ครั้งที่ 2)

1. เป็นโรคปสด.ทุกชนิด รวมทั้งโรค SAD ถ้าอาการไม่รุนแรงถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิตปกติก็เรียนหมอได้ครับไม่มีกฎห้าม เพราะธรรมดาคนเป็นหมอก็ออกแนวปสด.อ่อนๆกันอยู่แล้ว (พูดเล่น) กรณีของคุณถ้าขยันฝึกตัวเอง หรือไปหาหมอแล้วขยันทำตัวตามที่หมอแนะนำก็หายและเรียนหมอได้แน่นอนครับ 
2. เรื่องจะไปหาหมอดีไหม เมื่อไร ผมแนะนำให้คุณลองรักษาตัวเองดูก่อน ถ้าหายก็ไม่ต้องไปหาหมอ ถ้าไม่หายในเวลาอันควร เช่น 3 - 6 เดือน ก็ควรไปหาหมอจิตแพทย์
3. ยารักษาที่จิตแพทย์ใช้รักษาโรคนี้มีผลข้างเคียงบ้างเป็นธรรมดา แต่ประโยชน์ที่จะได้จากยาก็ยังคุ้มที่จะใช้ครับ
4. ระยะเวลาที่ใช้รักษาโรคนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนรักษาไม่ถึงเดือนก็หาย บางคนต้องรักษากันไปถึงต้องรักษากันตลอดชีวิต บางคนรักษาจนมีผัว เอ๊ย..ขอโทษ แต่งงานกับหมอคนรักษาไปก็มี (นี่พูดถึงคนไข้ฝรั่งนะ ไม่ใช่คนไข้ไทย)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"