หอบหืดแบบเบาะๆ แค่ "หอบรายเดือน"
รบกวนคุณหมอสันต์ค่ะ
หลานสาวของดิฉันอายุ
16
ปี มาจากต่างจังหวัดมาอาศัยอยู่ด้วย มีปัญหาเรื่องหอบหืด เมื่อสองวันก่อนต้องไปโรงพยาบาลตอนกลางดึกหมอก็บอกว่าเป็นโรคหอบหืดแต่กำเนิดแล้วให้ยามาโดยไม่ได้พูดอะไร
เฉลี่ยแล้วเดือนสองเดือนเธอจะหอบเสียทีหนึ่ง นานมาแล้วเคยไปหาหมอที่คลินิกหมอให้ยาพ่นและยาเม็ดสีขาวๆยาวๆมาทานเป็นประจำ
แต่เธอก็ทานบ้างไม่ทานบ้างและเลิกทานได้หลายเดือนแล้ว เวลาเธอหอบทีไรดิฉันเครียดมาก
เธอก็เครียดเพราะเธอกลัวต้องเป็นโรคนี้ตลอดชีวิต
ดิฉันอยากให้คุณหมอช่วยอธิบายโรคนี้อย่างละเอียดหน่อยนะคะว่าโรคนี้มันเกิดจากอะไร
เป็นมาอย่างไร จะรักษากันต่อไปอย่างไร อยากให้หมอบอกชื่อยาด้วยนะคะ ดิฉันจะได้อ่านข้างขวดเพื่อทำความรู้จัก อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับหลานสาว สงสารเขาค่ะ
........................................
ตอบครับ
แหมคุณจะเอาวิชาโรคหอบหืดเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียดเลยเรอะ
จริงจังมากเลยนะคุณเนี่ย แต่โอเค. ละเอียดก็ละเอียด เอาแบบตำราเลยนะ
นิยาม:
โรคหอบหืด (Asthma) คือภาวะที่มีการอักเสบของทางเดินลมหายใจ แล้วหลอดลมหดเกร็งตัว ทางเดินลมหายใจบวม
มีสารคัดหลั่งมาก จนเกิดภาวะทางเดินลมหายใจอุดกั้นเป็นครั้งคราว
สาเหตุ:
โรคหอบหืดเกิดได้จากหลายสาเหตุ
เช่น พันธุกรรม การแพ้สารต่างๆ (เช่น สเปรย์ น้ำหอม ละอองเกสร ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง
แมว หมา แมลงสาบ รา) บางคนเป็นหอบหืดเพราะการติดเชื้อไวรัสทางเดินลมหายใจ บางคนเป็นหอบหืดเฉพาะตอนออกกำลังกาย
หรือบางคนเป็นเฉพาะตอนหายใจเร็วมากผิดปกติในภาวะเครียด บางคนเป็นหอบหืดตามหลังโรคกรดไหลย้อน
หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือหวัดเรื้อรัง บางคนเป็นหอบหืดตามหลังการกินยาแอสไพรินหรือยาแก้ปวดแก้อักเสบ
(NSAID)
บางคนเป็นหอบหืดเพราะอ้วนดื้อๆ อ้วนอย่างเดียว โรคนี้เป็นแล้วใช่ว่าจะต้องเป็นกันจนตาย ไม่จริงครับ เป็นได้ก็หายได้ ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการแก้ไขสาเหตุ
อาการ:
โรคหอบหืด มีอาการคือหอบหน้าตั้ง
หายใจออกเสียงดังวี้ด วี้ด วี้ด และไอ
การวินิจฉัย:
แพทย์วินิจฉัยโรคนี้จากการฟังเสียงหายใจ
ร่วมกับการตรวจวัดลมหายใจด้วยเครื่อง (spirometry) กล่าวคือคนที่เป็นโรคหอบหืด ปริมาตรลมหายใจที่พ่นออกในวินาทีแรกต่อลมหายใจออกทั้งหมด
(FEV1/FVC) จะต่ำกว่าคนปกติก่อนได้ยาขยายหลอดลม
และจะดีขึ้นอย่างน้อย 12% หรือ 200 ซี.ซี. หลังได้ยาขยายหลอดลม ในกรณีการวินิจฉัยโรคหอบหืดเพราะออกกำลังกาย (exercise-induced
asthma -EIA) แพทย์ก็จะตรวจวัดลมหายใจด้วยเครื่องทั้งก่อนและหลังออกกำลังกายเช่นกันจึงจะยืนยันการวินิจฉัยได้
ในบางครั้งที่ห้องฉุกเฉินซี่งไม่มีเครื่องวัดลมหายใจเต็มรูปแบบ
แพทย์อาจจะให้เป่าเครื่องวัดอัตราเร็วสูงสุดของลมหายใจออก (Peak expiratory flow -PEF)
แทนเนื่องจากใช้อุปกรณ์ง่ายกว่าก็ได้
ในการวินิจฉัยโรคนี้
แพทย์จะจัดชั้นความรุนแรงของโรคเพื่อวางแผนการรักษาไปด้วย
โดยที่โรคนี้แบ่งความรุนแรงออกเป็นสี่ขั้นคือ
ขั้นที่หนึ่ง Intermittent
ผมแปลง่ายๆว่า “หอบรายเดือน” นิยามว่าคือคนที่หอบน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1
ครั้ง หอบตอนกลางคืนน้อยกว่าเดือนละ 2 ครั้งตรวจค่า
FEV1 หรือ PEF ได้มากว่า 80% ของค่าปกติ และมีความแตกต่างกันก่อนและหลังได้ยาไม่เกิน 20%
ขั้นที่สอง Mild
persistent
ผมแปลง่ายๆว่า “หอบรายสัปดาห์” นิยามว่าคือคนที่หอบมากกว่าสัปดาห์ละ 1
ครั้งแต่ไม่ถึงกับทุกวัน หอบตอนกลางคืนมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง วัดค่า FEV1 หรือ PEF ได้น้อยกว่า
80% ของค่าปกติ และแตกต่างกันก่อนและหลังได้ยา 20-30%
ขั้นที่สาม Moderate persistent
ผมแปลง่ายๆว่า “หอบรายวัน” นิยามว่าคือคนที่หอบทุกวัน หอบตอนกลางคืนมากกว่าสัปดาห์ละครั้ง
วัดค่า FEV1 หรือ PEF ได้ระหว่าง 60-80%
ของค่าปกติ และแตกต่างกันก่อนและหลังได้ยามากกว่า 30%
ขั้นที่สี่ Severe persistent
ผมแปลง่ายๆว่า “หอบหอบทุกวันจนหมดแรงบ่อย”
นิยามว่าคือคนที่หอบทุกวันแถมมีอาการหมดแรง (exacerbation) บ่อยๆ วัดค่า FEV1 หรือ PEF ได้ต่ำกว่า 60% ของค่าปกติ
และแตกต่างกันก่อนและหลังได้ยามากกว่า 30%
การรักษา:
การรักษาโรคหอบหืดแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
1.. การให้ความรู้
คือการสอนผู้ป่วยนะแหละ
ประเด็นที่ต้องสอนกันก็คือ (1) ให้ผู้ป่วยรู้จักระดับความรุนแรงของโรคหอบหืดที่ตัวเองเป็น
ว่าเป็นขั้นไหน ขั้นนี้เขารักษากันอย่างไร (2) สอนให้รู้เทคนิคการใช้ยาสูดพ่น (3) สอนให้รู้วิธีติดตามประเมินตัวอง (self monitoring) และให้ทำแผนปฏิบัติการของตัวเองเมื่อต้องการเสาะหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น (4) สอนให้รู้แนวทางการรักษาโรคว่าต้องมีทั้งการควบคุมสิ่งแวดล้อมและการใช้ยา ไม่ใช่มีแต่ตะบันใช้ยาอย่างเดียว (5) สอนให้รู้จักไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสมกับโรคนี้ว่าต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงจะดี
2.. การควบคุมสิ่งแวดล้อม (environmental control)
เริ่มด้วยการทดสอบผิวหนังว่าแพ้สารอะไรแล้วลงมือหลีกเลี่ยงหรือกำจัดสารนั้น เรียนรู้วิธีหลบเลี่ยงควันบุหรี่ของคนอื่น มุ่งแก้ปัญหาในบ้านเพราะชีวิตส่วนใหญ่คนเราอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะเอย่างยิ่งในห้องนอน
ทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดูดฝุ่น
ถ้าจำเป็นก็ใช้เครื่องที่มีถุงเก็บฝุ่นสองชั้นและมีใส้กรองแบบละเอียด ถ้าเป็นไปได้ควรย้ายไปนอนชั้นสูงขึ้นเพราะมีฝุ่นและราน้อยกว่า
ตัวไรฝุ่นเองไม่ได้ทำให้แพ้ แต่เอ็นไซม์ในมูลของมันซึ่งตกค้างตามฟูกหมอนเป็นตัวทำให้แพ้
ควรใช้ผ้าปูปลอกหมอนแบบกันไรฝุ่นได้ ควรซักผ้าในน้ำร้อน (54.4
องศา) เอาพรมออกจากห้องนอน ไม่ใช้เฟอร์นิเจอร์บุผ้า ลดการใช้ผ้าม่าน
เลี่ยงตุ๊กตาผ้า ถ้ามีก็ต้องซักตุ๊กตาผ้าทุกสัปดาห์ หรือไม่ก็จับใส่ช่องแข็งของตู้เย็นบ่อยๆเพื่อให้ไรตาย ในส่วนของสัตว์เลี้ยงเช่น แมว สุนัข ตัวทำให้แพ้คือขี้ไคล
น้ำลาย ปัสสาวะ และโปรตีนจากตัวสัตว์ ซึ่งมักล่องลอยอยู่ในอากาศ ต้องแก้ด้วยการเอาสัตว์เลี้ยงออกไปจากบ้านหรืออย่างน้อยก็จากห้องนอน
ใช้ไส้กรองแอร์แบบละเอียด และอาบน้ำสัตว์เลี้ยงทุกสัปดาห์ สารจากสัตว์ที่ทำให้แพ้สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในบ้านอีกนานถึงหกเดือนหลังจากเอาสัตว์ออกไปแล้ว
ในส่วนของแมลงสาบ ควรแก้โดยการใช้กับดัก ใช้เหยื่อ เก็บเศษอาหารจากห้องนอน
ถ้าแก้ไม่ได้ก็อาจจะต้องย้ายบ้านหนีแมลงสาบ ในส่วนของราควรทำให้ทำให้พื้นที่แห้ง
ให้ความชื้นน้อยกว่า 50% ได้ยิ่งดี เช่นเอาพรมออกจากพื้นที่ๆเปียกบ่อย
เอาวอลเปเปอร์เก่าออก ทำความสะอาดห้องน้ำและพื้นผิวด้วยผงฟอก
ในส่วนของละอองเกษรควรแก้ด้วยการปิดหน้าต่าง ปิดประตู ใช้เครื่องปรับอากาศ
และใช้ไส้กรองแบบ HEPA filter ทั้งในรถในบ้าน ควรสวมแว่น ผูกผ้าปิดจมูกเมื่อตัดหญ้า ถ้าจำเป็นก็ควรวางแผนไปพักร้อนหรือย้ายที่อยู่ในฤดูที่แพ้มาก
3..
การรักษาด้วยยา
ยาที่ใช้รักษาหอบหืดมีสองแบบ
คือยาควบคุม (controller medication) ซึ่งต้องใช้ทุกวันหอบไม่หอบก็ต้องใช้
กับอีกแบบหนึ่งคือยาบรรเทา (reliever medication) ซึ่งไม่ใช้ทุกวัน
แต่ใช้เฉพาะเมื่อมีอาการหอบเท่านั้น
หลักการเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับระดับขั้นความรุนแรงของโรค
กล่าวคือ
3.1 ถ้าอาการอยู่ระดับหอบรายเดือน
(Intermittent)
ไม่ต้องใช้ยาควบคุม
ใช้แต่ยาบรรเทาในกลุ่มยาเสริมเบต้าฤทธิ์สั้น (short-acting
beta-agonist -SABA) เช่น albuterol (Ventolin) สูดพ่นเมื่อมีอาการเท่านั้น หลานสาวของคุณอยู่ในระดับนี้ คือยังเป็นไม่มาก
เรียกว่าแค่หอบรายเดือน ใช้ยาแค่นี้พอ ยาเม็ดขาวๆยาวๆนั้นเป็นยา controller medication ยังไม่จำเป็นต้องกินหรอกครับ
ทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยในขั้นนี้อีกทางหนึ่งคือใช้ยาบรรเทาในกลุ่มยาแอนตี้โคลิเนอร์จิกเช่นยา
ipratroprium bromide (Atrovent) สูดพ่นเฉพาะเวลามีอาการ
3.2 ถ้าอาการอยู่ระดับหอบรายสัปดาห์
(Mild persistent)
เป็นระดับที่ต้องเริ่มใช้ยาควบคุมไม่ให้เกิดอาการ
คือใช้ยาสะเตียรอยด์แบบสูดพ่น (inhaled
corticosteroids- ICS) เช่น beclomethasone (Beclovent) หรือยา budesonide (Pulmicort Respule) อีกวิธีหนึ่งคืออาจเลือกใช้ยากินควบคุมอาการแบบอื่นที่ไม่ใช่สะเตียรอยด์ก็ได้
เช่น ยาในกลุ่ม leukotriene receptor antagonist (LTRA) เช่นยา
Montelukast
3. ถ้าอาการอยู่ระดับหอบรายวัน
(Moderate persistent)
เป็นระดับที่ต้องใช้ยาควบคุมที่ได้จากการควบรวมตัวยาสองอย่างเข้าด้วยกัน
เช่นยาสูดพ่นควบสะเตียรอยด์กับยาเสริมเบต้าชนิดออกฤทธิ์ยาว เช่นยา Symbicort
ซึ่งควบยา budesonide กับยา foermoterol
หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ยากินเช่น theophylline
4. ถ้าอาการอยู่ระดับหอบรายวันจนหมดแรงเป็นบางครั้ง
(Severe persistent)
เป็นระดับที่ต้องใช้ยาควบคุมที่ได้จากการควบรวมยาหลายชนิดในขนาดสูง
ร่วมกับยาบรรเทาอาการขั้นแรงเช่นยาสะเตียรอยด์ฉีดถ้าจำเป็น ในรายที่มีสาเหตุจากการแพ้และดื้อต่อการรักษาแบบอื่น แพทย์อาจมีการพิจารณาใช้ยาฉีดต้านอิมมูโนโกลบูลินอี (anti-IgE) ชื่อ omalizumab ก็ได้
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
- National Heart, Lung, and Blood
Institute. Global Strategy for Asthma Management and Prevention. NIH Publication; 2008.
- National Heart, Lung, and Blood
Institute. Education for a partnership in asthma care. Expert panel report
3: guidelines for the diagnosis and management of asthma. National Asthma
Education and Prevention Program (NAEPP).
Aug 2007.