สอนวิธีแปลผลการตรวจปัสสาวะ (UA)
เรียน คุณหมอ
หนูอายุ 24 ปี 8 เดือน
ค่ะ พอดีจะเข้าทำงานแบงค์แห่งหนึ่ง
เค้าให้ไปตรวจร่างกาย แต่ผลการตรวจปัสสาวะน่าจะมีปัญหา
เค้าให้ไปตรวจใหม่อีกรอบอ่ะค่ะ รบกวนคุณหมอ
ช่วยแปลผลให้ทราบหน่อยนะคะ
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
Urine Analysis
Color Amber
Clarity Turbid
Sp.Gr 1.025
(1.003-1.03)
pH 5.0
(5-7)
Protein Negative
Glucose Negative
Ketone 2+
(repeated
1 time)
Urobilinogen Negative
Bilirubin Negative
Blood Negative
Leukocyte 1+
Nitrite Negative
Microscopic Examination
Centrifuged 10 ml
White blood cell 3-4 cells/HPF (<3)
Red
blood cell 0-1 cell/HPF (<5)
Squamous
epithelial cell 5-10 cells/HPF (<5)
Bacteria Moderate
Amorphous -
Mucous
thread 2+
……………………………………………..
ตอบครับ
ผมเคยสอนวิธีแปลผลค่าการตรวจนับเม็ดเลือดหรือ
CBC
ไปแล้ว คราวนี้จะสอนวิธีแปลผลการตรวจปัสสาวะ หรือ urine
analysis (UA) นะครับ
Color ก็แค่บอกว่าฉี่เป็นสีอะไร
ของคุณรายงานว่าเป็นสี Amber แปลว่าสีทองอำพัน ฮั่นแน่
ฉี่สีสวยเสียด้วย ในประเด็นสีของปัสสาวะนี้หากเป็นตระกูลเฉดสีเหลืองอ่อนๆรวมทั้งสีทองอำพันก็ถือว่าปกติ
แต่หากเป็นสีเหลืองเข้มก็อาจผิดปกติในแง่ที่อาจมีดีซ่านหรือหมายถึงมีน้ำดีออกมาในปัสสาวะ
ถ้าเป็นสีส้มหรือสีแดงก็ผิดปกติแน่นอนในแง่ที่ว่าน่าจะมีเลือดปน ถ้าไม่ใช่เพราะเก็บตัวอย่างขณะมีเมนส์ก็ต้องเป็นเพราะมีเลือดออกในทางเดินปัสสาวะ
ซึ่งอาจหมายถึงมีนิ่ว หรือไตอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือโน่น เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือมะเร็งของไตไปเลย
ดังนั้นการมีฉี่สีส้มหรือสีแดงจึงต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไว้ก่อน
จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่
ในเรื่องสีนี้ยังเป็นไปได้อีกสีหนึ่งคือปัสสาวะสีเป็นโค้ก หมายถึงสีน้ำตาลดำแบบเป๊บซี่โคล่า
อันนี้หมายถึงการมีเม็ดเลือดแตกในร่างกายแล้วถูกขับออกมาในปัสสาวะ เช่นคนเป็นโรคขาดเอ็นไซม์จีซิกซ์พีดี
(G6PD) มักจะมีอาการเม็ดเลือดแตกง่ายให้เห็นเป็นครั้งคราว
หรือบางทีติดเชื้อแรงๆรวมทั้งเชื่อเช่นมาเลเรียก็ทำให้เม็ดเลือดแตกได้
คนสมัยก่อนถึงได้เรียกมาเลเรียว่า “ไข้ปัสสาวะดำ”
Clarity แปลว่าความใสของปัสสาวะอยู่ระดับไหน ถ้าใสก็รายงานว่า clear ถ้าขุ่นอย่างของคุณนี้ก็รายงานว่า Turbid ซึ่งแปลว่าขุ่น
การมีปัสสาวะขุ่นถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่เป็นเพราะร่างกายกำลังขาดน้ำอยู่อย่างแรง ก็น่าจะมีเหตุอื่นให้ปัสสาวะขุ่น
เช่น มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โมเลกุลสารเคมีต่างๆรั่วออกมาในปัสสาวะ เช่นโปรตีน
น้ำตาล คีโตน ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งสารเคมีแต่ละตัวที่รั่วออกมาเป็นตัวบ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอะไร
Sp.Gr ย่อมาจาก specific gravity
แปลว่าความถ่วงจำเพาะ หมายถึงความหนาแน่นของน้ำปัสสาวะเมื่อเทียบกับน้ำบริสุทธิ์
คือน้ำบริสุทธิ์โดยนิยามมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.0 ปัสสาวะของคุณมีความถ่วงจำเพาะ
1.025 ถือว่าแม้จะอยู่ในพิสัยปกติ (1.003-1.03) แต่ก็ค่อนไปทางสูง
บ่งบอกว่าขณะที่คุณเก็บปัสสาวะนี้ร่างกายกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ
ซึ่งเป็นแคแรคเตอร์ของสาวไทยที่ต้องทำตัวให้ขาดน้ำไว้เสมอจะได้ไม่เสียฟอร์มที่ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อย
หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ไตพังง่ายๆไม่รู้ตัว การที่ค่า SpGr สูงนี้ เป็นตัวอธิบายว่าการที่ปัสสาวะขุ่นนั้นอาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่
อาจเกิดจากร่างกายขาดน้ำเท่านั้นเอง
pH หมายถึงค่าความเป็นกรดเป็นด่างของปัสสาวะ
คือของเหลวทั่วไปที่เป็นกลางไม่เปรี้ยวไม่ฝาดไม่เป็นกรดหรือด่าง ค่า pH จะเท่ากับ 7.4 แต่ปัสสาวะของคนเรานี้ต้องเปรี้ยวถึงจะดี
คือต้องเป็นกรดมี pH อยู่ระหว่าง (5.0 – 7.0) ของคุณนี้มี pH 5.0 แม้จะคาบเส้นอยู่ในพิสัยปกติแต่ก็ชวนให้เอะใจว่าทำไมปัสสาวะเปรี้ยวจี๊ด
เอ๊ย ไม่ใช่ทำไมปัสสาวะเป็นกรดมากอย่างนั้น อาจมีสารเคมีอะไรที่มีฤทธิ์เป็นกรด
เช่น บักเตรี ยา อาหาร (เช่นโปรตีน) อยู่ในปัสสาวะมากผิดปกติ
Protein หมายถึงโมเลกุลโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะ ของคุณนี้รายงานว่าได้ผลลบ (Negative)
แปลว่าไม่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ การมีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะแสดงว่าไตกำลังมีปัญหา
อาจจะเป็นโรคได้สารพัดเช่นโรคไตรั่ว (nephrotic syndrome) โรคไตอักเสบ
โรคไตเรื้อรัง เป็นต้น
Glucose หมายถึงโมเลกุลของน้ำตาลกลูโคสที่รั่วออกมาในปัสสาวะ ของคุณรายงานว่าไม่มี
ถ้าของใครมีน้ำตาลรั่วออกมาในปัสสาวะก็แสดงว่ามีน้ำตาลในเลือดสูง
หรือเป็นเบาหวานนั่นเอง
Ketone หมายถึงมีโมเลกุลของคีโตนรั่วออกมาในปัสสาวะ
ของคุณรายงานว่ามี 2+ หมายความว่ามีมากพอควร (1+ เท่ากับมีแต่น้อย 2+ เท่ากับมีปานกลาง 3+ เท่ากับมีมาก) แปลว่าผิดปกติละสิครับ เขาระบุไว้ด้วยว่าตรวจซ้ำอีกครั้งก็ยังผิดปกติอยู่นั่นแล้ว
แสดงว่าผิดปกติจริงๆไม่ใช่ความคลาดเคลื่อนของแล็บ
ดังนั้นมารู้จักคีโตนกันหน่อยนะว่ามันคืออะไร
ทำไมถึงมาโผล่ในฉี่ของเราได้ คือปกติกระบวนการขับเคลื่อนร่างกายของเรานี้จะต้องมีเม็ดพลังที่เรียกว่าอะเซติลโคเอ (AcetylCoA) ไปช่วยเซลต่างๆทำงานจึงจะมีชีวิตปกติอยู่ได้
การจะได้เม็ดพลังนี้มามีสองทางเท่านั้น หนึ่งคือย่อยโมเลกุลกลูโคสเอาเม็ดพลัง
สองคือย่อยโมเลกุลคีโตนเอาเม็ดพลัง ปกติร่างกายจะใช้กลูโคสเพราะเราได้มาง่ายๆจากอาหารคาร์โบไฮเดรตเช่นน้ำตาลและแป้ง
ต่อเมื่อไม่มีกลูโคส ตับจึงจะย่อยไขมัน ทั้งไขมันที่กินเข้าไปหรือไขมันที่สะสมไว้ ออกมาเป็นกรดไขมันอิสระ (free fatty acid หรือ FAA) แล้วย่อยต่อไปเป็นคีโตน เมื่อได้คีโตนแล้วก็เอาไปให้เซลใช้เป็นเม็ดพลัง
แต่บางที่หากส่งคีโตนให้เซลมากเกินไปเซลก็ประท้วงไม่ใช้คีโตนเสียดื้อๆ ทำให้คีโตนเหลือบานเบอะ ต้องระบายออกมาทางลมหายใจเป็นกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ หรือไม่ก็ระบายออกไปทางปัสสาวะ คนที่มีคีโตนมากจนต้องระบายทิ้งเช่นนี้ไม่ใช่คนปกติ
ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีกลูโคสใช้ เช่นคนที่ขาดอาหาร
โดยเฉพาะพวกนางแบบที่ชอบกินแล้วอ๊วก กินแล้วอ๊วก หรือคนที่ลดความอ้วนด้วยสูตร No Carb คือกินแต่เนื้อสัตว์และไขมันแต่ไม่กินคาร์โบไฮเดรตเลย หรือคนที่เป็นโรคเบาหวาน
ซึ่งเซลร่างกายเอากลูโคสไปต่อยเป็นเม็ดพลังไม่ได้ ทำให้แม้จะมีกลูโคสบานเบอะ
แต่ก็ใช้ไม่ได้ ต้องหันไปใช้ไขมันแทน หรือคนที่ร่างกายขาดน้ำอย่างแรง หรือคนที่ได้รับบาดเจ็บ
เป็นต้น
คนที่มีกลิ่นน้ำยาล้างเล็บหรือกลิ่นคีโตนออกมาทางลมหายใจนี้ เวลาไปเข้าเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ของตำรวจมีหวังโดนจับเพราะเครื่องแยกไม่ออกว่านี่เป็นคีโตนหรือนี่เป็นแอลกอฮอล์ ในบางประเทศเช่นสวิเดนซึ่งมีรถชนิดที่ดักจับแอลกอฮอล์จากลมหายใจของคนขับ ถ้าคนขับเมามาก รถจะสตาร์ทไม่ติด เคยมีคนที่มีคีโตนออกมาในลมหายใจมากจากการลดความอ้วนด้วยสูตร No Carb ขึ้นไปขับรถแบบนี้แล้วขับไม่ได้ เพราะสตาร์ทรถไม่ติด
Urobilinogen เป็นสารต้้งต้นที่โมเลกุลฮีม (heme) ซึ่ง 85% มาจากเม็ดเลือดแดง 15% มาจากเซลตับและอื่นๆ ฮีมทั้งหลายเมื่อเซลต้นสังกัดตายลง ตัวฮีมเองก็ถูกย่อยสลาย (metabolized) กลายเป็นน้ำดี (bilirubin) ซึ่งตัวนี้มันไม่ชอบไปกับน้ำ จึงไม่ออกไปทางปัสสาวะ แต่จะถูกขนมาที่ตับเพื่อเชื่อม (conjugate) กับกรดกลูโคโลนิกแล้วถูกขับออกไปทางท่อน้ำดี ไปออกในลำไส้ แล้วถูกจับแยกจากกรดกลูโคโลนิกกลายเป็นยูโรบิลิโนเจน (urobilinogen) ซึ่งมีสีใสปิ๊ง ก่อนที่จะถูกบักเตรีทำให้กลายเป็นยูโรบิลิน (urobilin) ซึ่งมีสีเหลืองอ๋อย ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสะเตอร์โคบิลิน (sterocbilin) ซึ่งเป็นสีเหลืองปนน้ำตาลอยู่ในอุจจาระ ในเส้นทางนี้ยูโรบิลิโนเจนส่วนหนึ่งได้หลบรอดพ้นจากการถูกเปลี่ยนเป็นยูโรบิลินแล้วถูดดูดซึมจากลำไส้กลับเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง เนื่องจากตัวยยูโรบิลิโนเจนนี้ชอบไปกับน้ำ มันจึงถูกส่งไปถูกขับทิ้งที่ไต ที่นั่นมันจะถูกเปลี่ยนเป็นยูโรบิลินอีก ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองอ๋อย
การแปลความหมายค่ายูโรบิลิโนเจนก็คือถ้ามันสูงผิดปกติ แสดงว่ามีน้ำดีถูกขับออกไปในอุจจาระมาก ทำให้เกิิดยูโรบิลิโนเจนขึ้นในลำไส้มาก แล้วก็ถูกดูดซึมกลับเข้ามาในกระแสเลือดมาก จึงออกไปทางปัสสาวะมาก สรุปว่าเป็นดีซ่านชนิดที่ท่อน้ำดีไม่อุดตัน เช่นดีซ่านจากเม็ดเลือดแตกเป็นต้น ทำไมถึงรู้ละว่าท่อน้ำดีไม่อุดตัน อ้าว ก็ถ้าท่อน้ำดีอุดตันน้ำดีก็ออกไปในลำไส้ไม่ได้ แล้วยูโรบิลิโนเจนมันจะมาจากไหนละ ถูกแมะ
แล้วถ้ามันต่ำผิดปกติละ ตอบว่าการแปลความหมายต้องแยกเป็นสองกรณี ในกรณีที่ไม่มีดีซ่าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะในการทำงานของระบบร่างกายปกตินั้นไม่มียูโรบิลิโนเจนออกมาในปัสสาวะเลยนั่นและเจ๋ง ปกติ ดี โลด แต่ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะดีซ่าน หมายถึงว่าตัวเหลืองตาเหลืองอ๋อย เจาะเลือดมีดีซ่านจริงๆ แต่ปัสสาวะไม่มียูโรบิลิโนเจนออกมาเลย แสดงว่าเป็นดีซ่านที่เกิดจากท่อน้ำดีอุดตันเข้าแล้ว เพราะเมื่อท่อน้ำดีอุดตัน น้ำดีก็ไหลไปลงลำไส้ไม่ได้ จึงท้นเข้ามาในกระแสเลือด เมื่อไม่มีน้ำดีไหลไปลงลำไส้ ก็ไม่เกิดยูโรบิลิโนเจนในลำไส้ ก็ไม่มีการดูดซึมยูโรบิลิโนเจนกลับเข้ามาในเลือด ก็ไม่มียูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะ แม้จะมีดีซ่าน ทำให้หมอวินิจฉัยชนิดของดีซ่านได้จากการดูผลตรวจน้ำปัสสาวะได้
Urobilinogen เป็นสารต้้งต้นที่โมเลกุลฮีม (heme) ซึ่ง 85% มาจากเม็ดเลือดแดง 15% มาจากเซลตับและอื่นๆ ฮีมทั้งหลายเมื่อเซลต้นสังกัดตายลง ตัวฮีมเองก็ถูกย่อยสลาย (metabolized) กลายเป็นน้ำดี (bilirubin) ซึ่งตัวนี้มันไม่ชอบไปกับน้ำ จึงไม่ออกไปทางปัสสาวะ แต่จะถูกขนมาที่ตับเพื่อเชื่อม (conjugate) กับกรดกลูโคโลนิกแล้วถูกขับออกไปทางท่อน้ำดี ไปออกในลำไส้ แล้วถูกจับแยกจากกรดกลูโคโลนิกกลายเป็นยูโรบิลิโนเจน (urobilinogen) ซึ่งมีสีใสปิ๊ง ก่อนที่จะถูกบักเตรีทำให้กลายเป็นยูโรบิลิน (urobilin) ซึ่งมีสีเหลืองอ๋อย ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสะเตอร์โคบิลิน (sterocbilin) ซึ่งเป็นสีเหลืองปนน้ำตาลอยู่ในอุจจาระ ในเส้นทางนี้ยูโรบิลิโนเจนส่วนหนึ่งได้หลบรอดพ้นจากการถูกเปลี่ยนเป็นยูโรบิลินแล้วถูดดูดซึมจากลำไส้กลับเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง เนื่องจากตัวยยูโรบิลิโนเจนนี้ชอบไปกับน้ำ มันจึงถูกส่งไปถูกขับทิ้งที่ไต ที่นั่นมันจะถูกเปลี่ยนเป็นยูโรบิลินอีก ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองอ๋อย
การแปลความหมายค่ายูโรบิลิโนเจนก็คือถ้ามันสูงผิดปกติ แสดงว่ามีน้ำดีถูกขับออกไปในอุจจาระมาก ทำให้เกิิดยูโรบิลิโนเจนขึ้นในลำไส้มาก แล้วก็ถูกดูดซึมกลับเข้ามาในกระแสเลือดมาก จึงออกไปทางปัสสาวะมาก สรุปว่าเป็นดีซ่านชนิดที่ท่อน้ำดีไม่อุดตัน เช่นดีซ่านจากเม็ดเลือดแตกเป็นต้น ทำไมถึงรู้ละว่าท่อน้ำดีไม่อุดตัน อ้าว ก็ถ้าท่อน้ำดีอุดตันน้ำดีก็ออกไปในลำไส้ไม่ได้ แล้วยูโรบิลิโนเจนมันจะมาจากไหนละ ถูกแมะ
แล้วถ้ามันต่ำผิดปกติละ ตอบว่าการแปลความหมายต้องแยกเป็นสองกรณี ในกรณีที่ไม่มีดีซ่าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะในการทำงานของระบบร่างกายปกตินั้นไม่มียูโรบิลิโนเจนออกมาในปัสสาวะเลยนั่นและเจ๋ง ปกติ ดี โลด แต่ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะดีซ่าน หมายถึงว่าตัวเหลืองตาเหลืองอ๋อย เจาะเลือดมีดีซ่านจริงๆ แต่ปัสสาวะไม่มียูโรบิลิโนเจนออกมาเลย แสดงว่าเป็นดีซ่านที่เกิดจากท่อน้ำดีอุดตันเข้าแล้ว เพราะเมื่อท่อน้ำดีอุดตัน น้ำดีก็ไหลไปลงลำไส้ไม่ได้ จึงท้นเข้ามาในกระแสเลือด เมื่อไม่มีน้ำดีไหลไปลงลำไส้ ก็ไม่เกิดยูโรบิลิโนเจนในลำไส้ ก็ไม่มีการดูดซึมยูโรบิลิโนเจนกลับเข้ามาในเลือด ก็ไม่มียูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะ แม้จะมีดีซ่าน ทำให้หมอวินิจฉัยชนิดของดีซ่านได้จากการดูผลตรวจน้ำปัสสาวะได้
Bilirubin หมายถึงน้ำดี ของคุณไม่มี คนที่มีน้ำดีออกมาในปัสสาวะแสดงว่ากำลังมีปัญหาดีซ่าน
เช่นตับกำลังอักเสบ หรือทางเดินน้ำดีกำลังอุดตัน หรือเม็ดเลือดกำลังแตก เป็นต้น
Leukocyte หมายถึงสารจากเม็ดเลือดขาว ถ้ามีมากก็แสดงว่ามีเม็ดเลือดขาวออกมาในปัสสาวะมาก
Nitrite คือสารพวกไนไตรท์ ซึ่งปกติไม่มีในปัสสาวะ จะมีก็เฉพาะในภาวะที่มีการติดเชื้อบักเตรีชนิดที่สร้างไนไตรท์ได้
หรือไม่ก็เกิดเลือดออกในปัสสาวะขนาดหนัก ของคุณไม่มีไนไตรท์เราก็จะข้ามตรงนี้ไป
Microscopic
Examination แปลว่าการส่องกล้องจุลทรรศน์ดูปัสสาวะ
Centrifuged 10 ml แปลว่าเอาปัสสาวะ 10 ซีซี.มาปั่นแล้วเอาตะกอนที่ปั่นได้มาส่อง
White blood cell แปลว่าเม็ดเลือดขาว ของคุณตรวจพบ 3-4 เซลต่อหนึ่งจอกล้องจุลทรรศน์
ซึ่งก็ถือว่ามีมากกว่าปกติจนน่าสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะหรือเปล่า
Red blood cell แปลว่าเม็ดเลือดแดง
ของคุณมี 0-1 เซลต่อจอ ถือว่าปกติ
Squamous epithelial
cell แปลว่าเซลเยื่อบุผิว ของคุณออกมา 5-10 เซลต่อจอ ซึ่งมากกว่าปกติ แสดงว่าอาจเก็บตัวอย่างปัสสาวะแบบมีการปนเปื้อน หรืออาจมีการติดเชื้อหรืออักเสบเกิดขึ้น
Bacteria ก็คือบักเตรี ของคุณรายงานว่ามีมากปานกลาง ปกติปัสสาวะไม่ควรมีบักเตรี
เพราะมันเป็นกรด บักเตรีอยู่ไม่ได้ ถ้ามีบักเตรีแสดงว่ามีการติดเชื้อ
แต่ถ้าเราฉี่แล้วตั้งทิ้งไว้นานกว่าห้องแล็บจะมารับไปตรวจ
บักเตรีในอากาศก็อาจเข้าไปเจริญเติบโตในปัสสาวะได้เหมือนกัน
เรียกว่าเป็นผลบวกเทียม หรือเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค
Amorphous แปลว่าผลึกในน้ำปัสสาวะ
เช่นผลึกกรดยูริก เป็นต้น ของคุณรายงานว่าไม่มี ถ้ามีก็บ่งบอกว่าสารที่ตกผลึกนั้นมีมาก
ถ้ามากถึงขนาดหนักก็จะกลายเป็นนิ่วนั่นแล
Mucous thread หมายถึงเยื่อเมือกที่เห็นเป็นเส้นๆในกล้อง
มีความหมายคล้ายๆกับเซลเยื่อบุผิว คือมีมากก็บ่งบอกถึงการอักเสบ
กล่าวโดยสรุป ปัสสาวะของคุณมีความผิดปกติตรงที่มีสารคีโตนสูง
มีความถ่วงจำเพาะสูง มีความเป็นกรดสูง มีจำนวนเม็ดเลือดขาวมาก มีเซลเยื่อบุมาก
ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าคุณอาจจะอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่
1. ร่างกายอาจขาดน้ำรุนแรง
2. อาจเป็นโรคขาดอาหารหรืออดอาหารมากเกินไป
3. อาจเป็นเบาหวาน
4. อาจมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
จะเป็นโรคอะไรแน่นั้นยังไม่รู้ ผมแนะนำให้คุณดื่มน้ำมากๆวันละอย่างน้อย 2 ลิตร ทานอาหารให้ได้สัดส่วนถูกต้องและพอเพียง ทำอย่างนี้สักสองสัปดาห์ แล้วไปตรวจร่างกายซ้ำ โดยคราวนี้ควรตรวจทั้งการวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA) การเพาะหาเชื้อบักเตรีในปัสสาวะ (urine culture) และการตรวจเลือดดูสภาวะเบาหวาน (FBS หรือ HbA1c) ด้วย จึงจะตอบคำถามคุณได้เด็ดขาดว่าคุณป่วยเป็นอะไร หรือว่าอาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์