จิตใน จิตนอก ความรู้ตัว ความคิด สติ ลมหายใจ

"Bear Lake ที่โคโลราโด อเมริกา" โดยมือใหม่หัดวาด 

(หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR)

    เช้าวันนี้ อากาศเย็นๆกลางสนามโล่งๆอย่างนี้ เราจะทดลองปฏิบัติเพื่อทำความรู้จักกับความเงียบ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า silence meditation

    ทำไมต้องฝึก silence meditation

    ย้อนกลับไปเมื่อวาน เราได้คุยกันถึงว่าชีวิตคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งมีองค์ประกอบแยกย่อยได้ห้าอย่างคือ 1. สิ่งเร้า (stimuli) 2. ความรู้สึก (feeling) 3. ความจำ (memory) 4. ความคิดต่อยอด (thought) 5. ความรู้ตัว (consciousness / awareness) และผมได้ย้ำความสำคัญของความรู้ตัวว่าเพราะมีความรู้ตัวเป็นผู้รับรู้อยู่ ประสบการณ์หรือชีวิตจึงเกิดขึ้นได้

    ตัวความรู้ตัวนี้ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมขอแบ่งแยกย่อยว่ามันมีอยู่สองภาคก็แล้วกันนะ คือภาคที่มันไปรับรู้เกาะเกี่ยวผูกพันและหลอมรวมกับส่วนอื่นอีกสี่ส่วนข้างต้นกลายเป็นแต่ละประสบการณ์ในใจขึ้นมา ภาคนี้ผมขอเรียกตามภาษาง่ายๆที่มีผู้สอนบางท่านใช้กันอยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่า "จิตนอก" ก็แล้วกัน 

    กับอีกภาคหนึ่งคือภาคที่มันเป็นความตื่นความสามารถรับรู้ได้ที่อยู่ของมันว่างๆนิ่งๆเงียบๆตลอดเวลาโดยไม่เกาะเกี่ยวอาศัยสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ภาคนี้ผมขอเรียกตามภาษาบ้านๆว่า "จิตใน"

    การฝึกปฏิบัติ silence meditation วันนี้ก็คือการฝึกเพื่อทำความรู้จักกับ "จิตใน" นี่แหละ

    ให้นั่งในท่าที่ตัวเองสบาย แต่ขอให้หลังตรง ผ่อนคลายร่างกาย ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มที่มุมปากนิดๆ ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ แล้วค่อยๆหลับตาลง

    เริ่มด้วยการสนใจฟังเสียง เริ่มที่เสียงที่ดังที่สุดก่อน คือเสียงผมพูด แล้วฟังเสียงที่เบาลงไปตามลำดับ เสียงนกเขาขัน เสียงนกร้อง เสียงรถยนต์ไกลๆ เสียงไก่ขัน เสียงหมาเห่าไกลๆเบาๆ

    ให้ตั้งใจฟังเสียงที่เบาลงไปอีก อยู่ไกลออกไปอีก เบาเสียจนไม่เงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยิน


    คราวนี้ให้สนใจฟังความเงียบ


    ให้สังเกตนะ ว่าความเงียบแท้จริงแล้วเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่รอบตัวเรา ครอบคลุมไปหมดทุกตารางนิ้ว เสียงเป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่โผล่ขึ้นมาในความเงียบ ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ไกล้บ้าง ไกลบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง เกิดขึ้นมาแล้ว ดังอยู่สักพัก แล้วก็ดับหายไปในความเงียบ

    คราวนี้ให้สมมุติใจเราเองเป็นความเงียบ ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้ เราเป็นผู้สังเกตรับรู้เสียงทั้งหลายว่าเกิดขึ้นในตัวเรา แล้วดับหายไปในตัวเรา

    ความเงียบนี้มันเหมือนกับความว่างเปล่า ตรงที่มันปรากฎอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดประมาณ ดำรงอยู่ได้โดยไม่อิงอาศัยอะไรทั้งสิ้น มีแต่สิ่งอื่นๆที่จะเกิดขึ้นแล้วดับหายไปในความเงียบหรือความว่างเปล่านี้ รวมทั้งความคิดของเราก็เกิดขึ้นและดับหายไปในนี้แหละ ดังนั้นจากนี้ไปผมจะให้ถือเอาวาความเงียบกับความว่างเปล่าเป็นสิ่งเดียวกัน

    เมื่อสมมุติว่าใจเรานี้เป็นความเงียบ เราได้เพิ่มองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งที่ความเงียบธรรมดาไม่มี นั่นคือ "ความตื่น" และ "ความสามารถรับรู้" อะไรได้

    ดังนั้นในการปฏิบัติ silence meditation นี้ ให้เราดำรงตนเป็นความตื่น เป็นความสามารถรับรู้อะไรได้ ขณะเดียวกันก็เป็นความเงียบ เป็นความว่างเปล่า ที่ไม่เกาะเกี่ยวอิงอาศัยหรือยึดติดกับความคิดหรือกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปจดจ่อกับอะไรทั้งสิ้น เปิดตัวเองออกอ้าซ่า ยอมรับให้ทุกอย่างให้เกิดขึ้นในนี้ และยอมรับให้ทุกอย่างดับหายไปในนี้   

    ผ่อนคลาย..ย relax..x ไม่ต้องเกร็ง บางท่านยังเกร็งอยู่ ไม่ต้องตั้งรับ ไม่ต้องตั้งการ์ด แค่เปิดกว้าง สังเกต รับรู้ ยอมรับ 

    บางท่านยังพะวงอยู่กับการจดจ่อกับลมหายใจตลอดเวลา การเป็นความเงียบนี้ให้ทิ้งลมหายใจไปก่อน ไม่ต้องจดจ่อกับอะไรทั้งสิ้น ผ่อนคลาย เปิดรับทุกอย่างที่เข้ามาหาให้เข้ามา เปิดรับ รับรู้ แบบรับรู้เฉยๆโดยไม่ไปคิดต่อยอด

    ผมจะให้เวลาปฏิบัติ silence meditation ไปด้วยตัวท่านเองโดยผมจะไม่พูดอะไร 5 นาที แต่จะตีระฆังเป็นพักๆเพื่อเตือนคนใจลอยว่าเรากำลังฝึกปฏิบัติทำความรู้จักกับความเงียบกันอยู่

.................................................

    โอเค ครบห้านาทีแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกันไปกินข้าวเช้า ใครมีคำถามอะไรก็เชิญได้ครับ

คำถาม1 

    "การเป็นความเงียบหรือว่างเปล่านี้ มันเกี่ยวข้องกับสติจดจ่อที่ลมหายใจอย่างไร หรือว่าเมื่อเรามาฝึกเป็นความเงียบเป็นความว่างเปล่านี้แล้วให้เราทิ้งเรื่องสติไปเลยเพราะไม่เกี่ยวกัน"

ตอบ1

    อุปมา..ถ้า "ความรู้ตัว" หรือ "จิตใน" นี้ว่าเป็นตัวของผู้สังเกต อุปไมย..สติก็เป็นเสมือนลูกกะตาหรือเป็นมือของผู้สังเกต คือสติเป็นเครื่องมือที่ความรู้ตัวใช้รับรู้สิ่งเร้าต่างๆ รวมถึงการใช้มันไปรับรู้ไปตามดูลมหายใจด้วย

    แต่เมื่อเราฝึกถอยมาเป็นความเงียบที่ตื่นและรู้ตัวอยู่ ตัวความเงียบนี้แหละคือความรู้ตัวหรือ "จิตใน" ที่แท้จริงของเรา ในยามนี้สติซึ่งเปรียบได้กับมือหรือลูกกะตาของมันก็ไม่ได้ไปลูบคลำหรือไปดูอะไรที่ไหนในที่อื่นๆ มันแค่สงบนิ่งอยู่กับความรู้ตัวแบบนิ่งอยู่เฉยๆ แบบแขนที่ห้อยนิ่งๆอยู่ข้างกายหรือแบบลูกกะตาที่หลับตาอยู่ สภาวะอย่างนี้จะพูดแบบบ้านๆว่าเรากำลังใช้สติดู "จิตใน" อยู่ก็พูดได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

...................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

หมอสันต์แนะนำตัวเอง ในโอกาสที่มีผู้อ่านครบ 4 ล้านครั้ง

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีอ่านผล CBC (การตรวจนับเม็ดเลือด)

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025