ลูกทูนหัวประกาศอยากจะฆ่าตัวตาย
(จดหมายฉบับนี้่ต่อเนื่องมาจากจดหมายฉบับก่อนเรื่อง "ลูกสาวอายุสิบห้าจะต้องไปกรุงเทบ..บ ให้ได้" ท่านที่ไม่เคยอ่านมาก่อนอาจเปิดอ่านได้จากตรงนี้
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/10/blog-post_11.html )
อาจารย์หมอที่เคารพ
ดิฉันได้คุยกับลูก บอกถึงเหตุผลต่างๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ แต่เค้าก็ยังยืนกราน จะไปๆ ตอนนี้ ลูกพูดบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว!
คิดอีกแง่มุมนึง มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือน ว่าลูกอาจจะหนีออกจากบ้าน ไม่อยากให้ลูกคิดแบบนี้เลย
เหมือนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง ให้เลือกพนักงานไปทำงานที่ค่อนข้างยาก และเราประเมินแล้วว่า ตอนนี้ลูกเรายังไม่เหมาะสมกับงานชิ้นนั้น
เค้าคิดจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายแม่ โดยการหนีออกจากบ้าน.....,,,เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ลูกบอกว่า " แม่รู้มั้ย หนู อยากตายมา5ครั้งละ!
เราก็ถาม "เพราะอะไรทำไมถึงคิดอย่างนั้น? ลูกบอกว่า เพราะแม่ ตา-ยาย รักมากไป !
หนูขออนุญาตอะไร ก็ห้ามไปหมด เพราะกลัว หนูจะมีอันตราย!"
ดิฉันก็บอกถึงการประเมินผลของเราเกี่ยวกับตัวเขา ลูกก็จะตอบกลับมาว่าแม่ไม่ไว้ใจหนู อย่างเรื่องระเบียบวินัย ลูกก็บอก "หนูมี แต่แม่ มองไม่เห็น" ซึ่งแม่ก็มองไม่เห็นจริงๆ
บางเรื่องที่ลูกมาบอกมาเล่าแล้วเราไม่สามารถทำให้ได้ เรื่องเค้าได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศแต่แม่ไม่ให้ไป ความเป็นจริงคือที่เรียกกันว่า ทุน แต่จริงๆแล้ว เราต้องส่งค่าใช้จ่ายทุกเดือน....รู้สึกเสียใจนะคะ ที่เราไม่ความสามารถให้เค้าได้
หรืออย่างที่เขาอยากได้โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นใหม่ ราคาแพง เราก็บอกเค้าว่า มันแพง เกินความจำเป็น แต่ ก็ซื้อ เครื่องละ 6-7 พัน ให้เค้า แล้วเราก็บอกลูกว่า 6-7 พันนี่อาจจะเป็นเงินเดือนของใครบางคน เลยนะ แต่เค้าก็ยังไม่พอใจ
จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กดีนะคะ
อาจารย์หมอคะ เราให้ในสิ่งที่เค้าต้องการไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เราควร ทำยังไง คะ
...............................................
ตอบครับ (ครั้งที่ 2)
ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เป็นตอนที่เราจำเป็นต้องให้เธออยู่ความเป็นจริงในชีวิต ความเป็นจริงที่ว่าแม่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินมีทองส่งไปเรียนหรือไปฝึกงานเมืองนอก ไม่มีเงินซื้อไอโฟนรุ่นใหม่ให้ ถ้าเธอรับมือกับความเป็นจริงในชีวิตของเธอเองได้เสียแต่ตอนนี้ เมื่อถึงเวลาตาย เราก็จะตายตาหลับ ถ้าเราไปพยายามสร้างโลกเสมือนเพื่อให้เธอสุขใจแค่วันนี้แบบซื้อเวลาไปก่อน เธอจะไม่มีวันรู้ว่าการที่ต้องรับมือกับความผิดหวังด้วยตัวเองนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้ฝึก coping skill เธอจะปรับตัวยอมรับความเป็นจริงในชีวิตไม่ได้เลยเพราะไม่เคยฝึกแล้วจะทำได้อย่างไร ทักษะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ฝึกทำเท่านั้น เป็นอย่างนี้แล้วเราก็จึงกังวลจนตายไม่ลง
การจะบอกลูกว่าเราไม่มีเงิน ด้านหนึ่งเหมือนจะทำให้ลูกปฏิเสธเรา หรือเกลียดเรา แต่ความจริงไม่ใช่นะ ถ้าทำให้ดี ให้เนียนๆ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเอาลูกมาเป็นพวกกับเรา เป็นการฉวยโอกาสสร้างการเรียนรู้ทักษะการรับมือกับชีวิต เช่นสมมุติว่าลูกอยากได้ไอโฟน แม่จะต้องหาเงินพิเศษซื้อให้นะลูก ลูกต้องมาช่วยแม่ทำงานพิเศษนี้นะ แล้วเราจึงจะมีเงินซื้อไอโฟนกัน เป็นต้น บนแนวทางนี้เด็กจะได้เรียนรู้ความสุขจากการทำงาน เรียนรู้คุณค่าของเงิน และท้ายที่สุดก็อาจจะเลิกแผนจะซื้อไอโฟนด้วยตัวเธอเองด้วยซ้ำ
การจะสร้างวินัยตนเองให้แก่เด็ก เราต้องบังคับเขาก่อน นี่มันเป็นสัจจะธรรมและเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องวางแผนทำมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ลูกยังเด็ก วิธีทำคือต้องบังคับเรื่องสำคัญแบบกฎเหล็ก แต่ชี้แจงเหตุผลประกอบอย่างนุ่มนวล และหากถึงคราวจำเป็นจะต้องกลั้นน้ำตาลงโทษลูกก็ต้องทำ เมื่อเขาถูกบังคับได้สำเร็จ ต่อไปเขาจึงจะบังคับตัวเขาเองได้ คือเราบังคับเขา เพื่อสอนให้เขาบังคับตัวเองเป็น (discipline them, so that they can discipline themselves) มันเหมือนกับการจะเอาม้าป่ามาฝึกเป็นม้าบ้าน หากไม่สร้างคอกขังมันไว้เสียก่อน ย่อมจะไม่มีทางฝึกให้มันเป็นม้าบ้านได้เลย ปัญหาทุกวันนี้คือพ่อแม่รุ่น X จำนวนมากได้เลี้ยงลูกมาแบบลูกทูนหัวโดยไม่กล้าสร้างคอกกั้นหรือบังคับใช้วินัยใดๆกับลูกเลยจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ลูกจึงบังคับใจตัวเองไม่เป็น คือสร้าง self discipline ไม่ได้ แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะสายมาจนถึงปานนี้แล้ว เราก็ยังต้องเริ่มต้นเสมือนหนึ่งว่าเขายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ดี คือเริ่มกั้นคอกบังคับเขาให้ได้ก่อน ให้เขาเรียนรู้ความผิดหวังและปรับตัวกับมันให้เป็น แม้มาทำเอาตอนลูกโตย่อมจะทำยากกว่าตอนลูกยังเล็ก แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้โดยไม่มีเรา วิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้ดูจะมีทางเดียว..คือคุณแม่หนีไปบวชเป็นชีแล้วปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรต่อจากนี้ทั้งสิ้น
เขียนมาถึงตอนนี้ผมอยากจะถือโอกาสนี้เตือนท่านผู้อ่านท่านอื่นๆที่กำลังคิดอ่านจะเป็นพ่อแม่คน ว่าให้ชั่งน้ำหนักตัวเราเองเสียก่อนว่าเราพร้อมที่เป็นพ่อแม่คนได้จริงๆแล้วหรือยัง เราพร้อมที่จะสละเวลา อารมณ์ ความเหนื่อยยาก ฝึกสอนให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัยหรือยัง ถ้าเรายังไม่พร้อมก็อย่ามีลูก ถ้าเรามีลูกด้วยเจตนาที่จะให้เขามาเป็นสีสันความบันเทิงในชีวิตของเรา โดยเราให้ความรักเป็นการแลกเปลี่ยนแบบชิวๆไม่มีการบังคับขับไสอะไรกัน ฟังดูก็น่าจะเป็นชีวิตที่ดี แต่ว่าในชีวิตจริง ไม่ใช่ จุดจบมันมักจะเป็นแบบนี้ คือเป็นแบบ..ความเกิดเป็นทุกข์
การที่ลูกประท้วงว่าจะฆ่าตัวตายนี้เป็นสูตรสำเร็จของเด็กจักรพรรดิ์ที่ได้เรียนรู้ความความสุขของการได้เป็นอิสระชนคิดอ่านอยากได้อะไรก็ได้อย่างใจปรารถนามากขึ้นๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิตที่ควบคู่มากับความอยากได้ หมายความว่าไม่เคยฝึกทักษะการรับมือกับความผิดหวังเลย พอผิดหวังก็จะยอมรับชีวิตไม่ได้ ซึ่งบางรายก็ฆ่าตัวตายให้พ่อแม่เห็นจริงๆเสียด้วย แต่การที่พ่อแม่ไปตกอกตกใจกับคำประกาศว่าจะฆ่าตัวตายก็จะยิ่งทำให้เด็กจบลงด้วยการฆ่าตัวตายแน่นอนมากขึ้น เพราะยิ่งเห็นคำเรียกร้องของเธอศักดิ์สิทธิ์ เธอก็ยิ่งจะพัฒนาตัวเองไปในทิศทางตรงข้ามกับการพัฒนาทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิต เธอจะปรารถนาจากพ่อแม่มากขึ้นๆเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งพ่อแม่ก็ให้ไม่ได้ ณ จุดนั้นเธอก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ เพราะเธอเองก็ไม่มีทักษะที่จะพาตัวเองออกจากตาอับตรงนั้น ยกตัวอย่างสิ่งที่เด็กขอแล้วพ่อแม่ไม่มีทางจะให้ได้ไม่ว่าพ่อแม่จะรวยแค่ไหนก็ เช่น เด็กอดอาหารแบบกินแล้วล้วงคออ๊วก กินแล้วล้วงคออ๊วก ๆจนผอมโกรก แล้วร้องขอให้พ่อแม่ช่วยเธอ พ่อแม่จะไปช่วยอะไรได้ เพราะเธอไม่ยอมกิน ใช่ไหมครับ
คำประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ดูเผินๆจะเป็นแค่การประท้วงเรียกร้องความสนใจ แต่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการนำของความผิดปกติทางจิตไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าธรรมดาที่จะตามมาด้วยการฆ่าตัวตายจริงๆ วิธีรับมือกับคำประกาศจะฆ่าตัวตายของลูกที่เป็นเด็กจักรพรรดิ์ก็คือพ่อแม่ควรมีท่าทีที่รับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ พยายามจะเข้าใจ แต่ไม่ตกอกตกใจ พ่อแม่ต้องรักษาจิตของตัวเองให้ปกติ ไม่ไปกระต๊ากหรือก่ออารมณ์รุนแรงซ้อนอารมณ์ที่รุนแรงอยู่แล้วของลูก แบบนั้นก็จะพากันเข้าป่าไป ให้พ่อแม่เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำทุกอย่างไปด้วยความรักลูก แต่อะไรจะเกิดก็ให้ทำใจยอมรับว่าให้มันเกิด ไม่ลนลานสนองตอบในสิ่งที่เธอเรียกร้องต้องการแบบไม่มีเหตุผลซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อเธอเองในอนาคต แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ควรหันไปเสาะหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพ เช่น จิตแพทย์ หรือพาเข้าหาธรรมะ หาพระ หาเจ้า หรือหาอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความช่วยเหลือจากภายนอกที่พ่อแม่เห็นว่าจะพึ่งได้
ช่วงเวลาดังกล่าวเช่นนี้เป็นเหมือนทางโค้ง มันจะเครียดอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่่านั้นเอง เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาโอเค. ขอให้คุณมองไปทางบวก ว่าวันหนึ่งคุณก็จะผ่านทางโค้งนี้ไปได้
ผมรักคุณนะ และเอาใจช่วยคุณครับ
นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
.....................................................................
จดหมายจากผู้อ่าน1
หนูก็สาวGen Y ที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ ไม่เคยอดทนรออะไร พ่อแม่ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้หนูจนได้ ชีวิตหนูเหมือนที่อาจารย์พูดไม่มีผิดค่ะ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ เคยสอบติดมหาลัยคณะทางสายศิลป์(ทั้งๆที่ตัวเองเรียนสายวิทย์) ตอนนั้นใครห้ามก็ไม่ฟังจะเรียนให้ได้เพราะเป็นคณะดัง พอได้ไปเรียนเทอมเดียวก็ไม่ไหว บอกพ่อว่ามันไม่ใช่ ก็ขอซิ่ว ซิ่วมาเรียนที่ใหม่คราวนี้เป็นสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ยังไม่ใช่อีก ตอนนั้นคิดว่าถ้าซิ่วอีกรอบก็คงไม่ได้แล้ว พ่อแม่ก็คงไม่มีเงินส่ง เพื่อนฝูงก็จะขึ้นปี3กันแล้ว อายเพื่อนนะ ก็ทนเรียนจนจบ พอจบก็งอแงไม่ยอมทำงานเพราะไม่ชอบ มันไม่ใช่ ก็ขอไปทำงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาคือตัวแทนขายเครื่องมือแพทย์ พอไปทำได้สักพักก็ไม่ใช่อีก ก็ดิ้นรนไปเรียนต่อโทบริหาร จนสอบติดได้เรียนที่ดังๆ เรียนได้เทอมเดียวก็บอกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ไหว ก็เปลี่ยนใจไปเป็นครูสอนหนังสือเพราะชอบสอน เหมือนจะไปได้ด้วยดีเพราะชอบเด็กและสนุกกับการสอน แต่รายได้ก็ไม่พอใช้จ่าย จนสุดท้ายก็ต้องกลับไปทำวิชาชีพที่ตัวเองจบมา ทำได้สักพักจึงตัดสินใจมาสอบเรียนแพทย์เป็นปริญญาตรีใบที่2 ตอนนี้ใกล้จะเรียนจบแพทย์แล้วค่ะ แต่มองดูชีวิตเพื่อนๆเค้าแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ได้เลี้ยงลูก ดูแลสามี ได้ทำงานที่ตัวเองรักแบบพอเพียง หนูเห็นแล้วรู้สึกอิจฉามากค่ะ ย้อนมองดูตัวเองว่าที่ผ่านมาทำไมเราถึงเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ตั้งหลายปี เพื่อนๆอิจฉาหนูเพราะชีวิตหนูเหมือนจะดีกว่าตรงที่กำลังจะได้เป็นหมอแต่เพื่อนยังทำวิชาชีพเดิมที่จบมา แต่ในใจหนูรู้สึกอิจฉาเพื่อนมากกว่า หนูเหมือนกับมาแก้ไขอดีตและนับ1ใหม่ ในขณะที่เพื่อนเค้าไปกันไกลแล้วค่ะ ถ้าย้อนเวลาได้หนูคงเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่มีให้มีความสุขมากกว่าค่ะ ชีวิตหนูมีดีอย่างเดียวคือเรียนค่อยข้างดี ไม่เกเร ไม่เที่ยว ไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด นอกนั้นคือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง เงินเก็บไม่มี บ้านไม่มี รถไม่มี และยังต้องพึ่งพาคนอื่นให้ส่งเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ค่ะ ตอนนี้ก็คิดว่า น่าจะใช่แล้วกับกานเป็นหมอ แต่ในใจก็อยากแต่งงานมีครอบครัว เลี้ยงลูก ดูแลสามี และทำงานที่ไม่เหนื่อยจนเกินไปมากกว่าค่ะ ....... รอเรียนจบแล้ว ไม่รู้ความติดหนูจะเปลี่ยนอีกมั้ย (ตอนนี้มีแฟน คบมา5ปี แฟนก็ตามใจอีกแล้วค่ะ หนูกลัวใจตัวเองเหลือเกินค่ะอาจารย์)
อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามคุณแม่น้องจักรพรรดิ์แล้ว รับรู้ได้เลยว่าอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาสูงมาก หนูรู้สึกอิจฉาคนใกล้ตัวอาจารย์มากๆค่ะ ถ้าได้อยู่ใกล้ๆและได้พูดคุยกับอาจารย์คงได้มุมมองดีๆ และพลังดีๆด้านบวกมาจากตัวอาจารย์อีกเยอะเลยค่ะ
............................................
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/10/blog-post_11.html )
อาจารย์หมอที่เคารพ
ดิฉันได้คุยกับลูก บอกถึงเหตุผลต่างๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ แต่เค้าก็ยังยืนกราน จะไปๆ ตอนนี้ ลูกพูดบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว!
คิดอีกแง่มุมนึง มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือน ว่าลูกอาจจะหนีออกจากบ้าน ไม่อยากให้ลูกคิดแบบนี้เลย
เหมือนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง ให้เลือกพนักงานไปทำงานที่ค่อนข้างยาก และเราประเมินแล้วว่า ตอนนี้ลูกเรายังไม่เหมาะสมกับงานชิ้นนั้น
เค้าคิดจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายแม่ โดยการหนีออกจากบ้าน.....,,,เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ลูกบอกว่า " แม่รู้มั้ย หนู อยากตายมา5ครั้งละ!
เราก็ถาม "เพราะอะไรทำไมถึงคิดอย่างนั้น? ลูกบอกว่า เพราะแม่ ตา-ยาย รักมากไป !
หนูขออนุญาตอะไร ก็ห้ามไปหมด เพราะกลัว หนูจะมีอันตราย!"
ดิฉันก็บอกถึงการประเมินผลของเราเกี่ยวกับตัวเขา ลูกก็จะตอบกลับมาว่าแม่ไม่ไว้ใจหนู อย่างเรื่องระเบียบวินัย ลูกก็บอก "หนูมี แต่แม่ มองไม่เห็น" ซึ่งแม่ก็มองไม่เห็นจริงๆ
บางเรื่องที่ลูกมาบอกมาเล่าแล้วเราไม่สามารถทำให้ได้ เรื่องเค้าได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศแต่แม่ไม่ให้ไป ความเป็นจริงคือที่เรียกกันว่า ทุน แต่จริงๆแล้ว เราต้องส่งค่าใช้จ่ายทุกเดือน....รู้สึกเสียใจนะคะ ที่เราไม่ความสามารถให้เค้าได้
หรืออย่างที่เขาอยากได้โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นใหม่ ราคาแพง เราก็บอกเค้าว่า มันแพง เกินความจำเป็น แต่ ก็ซื้อ เครื่องละ 6-7 พัน ให้เค้า แล้วเราก็บอกลูกว่า 6-7 พันนี่อาจจะเป็นเงินเดือนของใครบางคน เลยนะ แต่เค้าก็ยังไม่พอใจ
จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กดีนะคะ
อาจารย์หมอคะ เราให้ในสิ่งที่เค้าต้องการไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เราควร ทำยังไง คะ
...............................................
ตอบครับ (ครั้งที่ 2)
ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เป็นตอนที่เราจำเป็นต้องให้เธออยู่ความเป็นจริงในชีวิต ความเป็นจริงที่ว่าแม่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินมีทองส่งไปเรียนหรือไปฝึกงานเมืองนอก ไม่มีเงินซื้อไอโฟนรุ่นใหม่ให้ ถ้าเธอรับมือกับความเป็นจริงในชีวิตของเธอเองได้เสียแต่ตอนนี้ เมื่อถึงเวลาตาย เราก็จะตายตาหลับ ถ้าเราไปพยายามสร้างโลกเสมือนเพื่อให้เธอสุขใจแค่วันนี้แบบซื้อเวลาไปก่อน เธอจะไม่มีวันรู้ว่าการที่ต้องรับมือกับความผิดหวังด้วยตัวเองนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้ฝึก coping skill เธอจะปรับตัวยอมรับความเป็นจริงในชีวิตไม่ได้เลยเพราะไม่เคยฝึกแล้วจะทำได้อย่างไร ทักษะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ฝึกทำเท่านั้น เป็นอย่างนี้แล้วเราก็จึงกังวลจนตายไม่ลง
การจะบอกลูกว่าเราไม่มีเงิน ด้านหนึ่งเหมือนจะทำให้ลูกปฏิเสธเรา หรือเกลียดเรา แต่ความจริงไม่ใช่นะ ถ้าทำให้ดี ให้เนียนๆ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเอาลูกมาเป็นพวกกับเรา เป็นการฉวยโอกาสสร้างการเรียนรู้ทักษะการรับมือกับชีวิต เช่นสมมุติว่าลูกอยากได้ไอโฟน แม่จะต้องหาเงินพิเศษซื้อให้นะลูก ลูกต้องมาช่วยแม่ทำงานพิเศษนี้นะ แล้วเราจึงจะมีเงินซื้อไอโฟนกัน เป็นต้น บนแนวทางนี้เด็กจะได้เรียนรู้ความสุขจากการทำงาน เรียนรู้คุณค่าของเงิน และท้ายที่สุดก็อาจจะเลิกแผนจะซื้อไอโฟนด้วยตัวเธอเองด้วยซ้ำ
การจะสร้างวินัยตนเองให้แก่เด็ก เราต้องบังคับเขาก่อน นี่มันเป็นสัจจะธรรมและเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องวางแผนทำมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ลูกยังเด็ก วิธีทำคือต้องบังคับเรื่องสำคัญแบบกฎเหล็ก แต่ชี้แจงเหตุผลประกอบอย่างนุ่มนวล และหากถึงคราวจำเป็นจะต้องกลั้นน้ำตาลงโทษลูกก็ต้องทำ เมื่อเขาถูกบังคับได้สำเร็จ ต่อไปเขาจึงจะบังคับตัวเขาเองได้ คือเราบังคับเขา เพื่อสอนให้เขาบังคับตัวเองเป็น (discipline them, so that they can discipline themselves) มันเหมือนกับการจะเอาม้าป่ามาฝึกเป็นม้าบ้าน หากไม่สร้างคอกขังมันไว้เสียก่อน ย่อมจะไม่มีทางฝึกให้มันเป็นม้าบ้านได้เลย ปัญหาทุกวันนี้คือพ่อแม่รุ่น X จำนวนมากได้เลี้ยงลูกมาแบบลูกทูนหัวโดยไม่กล้าสร้างคอกกั้นหรือบังคับใช้วินัยใดๆกับลูกเลยจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ลูกจึงบังคับใจตัวเองไม่เป็น คือสร้าง self discipline ไม่ได้ แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะสายมาจนถึงปานนี้แล้ว เราก็ยังต้องเริ่มต้นเสมือนหนึ่งว่าเขายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ดี คือเริ่มกั้นคอกบังคับเขาให้ได้ก่อน ให้เขาเรียนรู้ความผิดหวังและปรับตัวกับมันให้เป็น แม้มาทำเอาตอนลูกโตย่อมจะทำยากกว่าตอนลูกยังเล็ก แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้โดยไม่มีเรา วิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้ดูจะมีทางเดียว..คือคุณแม่หนีไปบวชเป็นชีแล้วปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรต่อจากนี้ทั้งสิ้น
เขียนมาถึงตอนนี้ผมอยากจะถือโอกาสนี้เตือนท่านผู้อ่านท่านอื่นๆที่กำลังคิดอ่านจะเป็นพ่อแม่คน ว่าให้ชั่งน้ำหนักตัวเราเองเสียก่อนว่าเราพร้อมที่เป็นพ่อแม่คนได้จริงๆแล้วหรือยัง เราพร้อมที่จะสละเวลา อารมณ์ ความเหนื่อยยาก ฝึกสอนให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัยหรือยัง ถ้าเรายังไม่พร้อมก็อย่ามีลูก ถ้าเรามีลูกด้วยเจตนาที่จะให้เขามาเป็นสีสันความบันเทิงในชีวิตของเรา โดยเราให้ความรักเป็นการแลกเปลี่ยนแบบชิวๆไม่มีการบังคับขับไสอะไรกัน ฟังดูก็น่าจะเป็นชีวิตที่ดี แต่ว่าในชีวิตจริง ไม่ใช่ จุดจบมันมักจะเป็นแบบนี้ คือเป็นแบบ..ความเกิดเป็นทุกข์
การที่ลูกประท้วงว่าจะฆ่าตัวตายนี้เป็นสูตรสำเร็จของเด็กจักรพรรดิ์ที่ได้เรียนรู้ความความสุขของการได้เป็นอิสระชนคิดอ่านอยากได้อะไรก็ได้อย่างใจปรารถนามากขึ้นๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิตที่ควบคู่มากับความอยากได้ หมายความว่าไม่เคยฝึกทักษะการรับมือกับความผิดหวังเลย พอผิดหวังก็จะยอมรับชีวิตไม่ได้ ซึ่งบางรายก็ฆ่าตัวตายให้พ่อแม่เห็นจริงๆเสียด้วย แต่การที่พ่อแม่ไปตกอกตกใจกับคำประกาศว่าจะฆ่าตัวตายก็จะยิ่งทำให้เด็กจบลงด้วยการฆ่าตัวตายแน่นอนมากขึ้น เพราะยิ่งเห็นคำเรียกร้องของเธอศักดิ์สิทธิ์ เธอก็ยิ่งจะพัฒนาตัวเองไปในทิศทางตรงข้ามกับการพัฒนาทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิต เธอจะปรารถนาจากพ่อแม่มากขึ้นๆเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งพ่อแม่ก็ให้ไม่ได้ ณ จุดนั้นเธอก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ เพราะเธอเองก็ไม่มีทักษะที่จะพาตัวเองออกจากตาอับตรงนั้น ยกตัวอย่างสิ่งที่เด็กขอแล้วพ่อแม่ไม่มีทางจะให้ได้ไม่ว่าพ่อแม่จะรวยแค่ไหนก็ เช่น เด็กอดอาหารแบบกินแล้วล้วงคออ๊วก กินแล้วล้วงคออ๊วก ๆจนผอมโกรก แล้วร้องขอให้พ่อแม่ช่วยเธอ พ่อแม่จะไปช่วยอะไรได้ เพราะเธอไม่ยอมกิน ใช่ไหมครับ
คำประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ดูเผินๆจะเป็นแค่การประท้วงเรียกร้องความสนใจ แต่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการนำของความผิดปกติทางจิตไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าธรรมดาที่จะตามมาด้วยการฆ่าตัวตายจริงๆ วิธีรับมือกับคำประกาศจะฆ่าตัวตายของลูกที่เป็นเด็กจักรพรรดิ์ก็คือพ่อแม่ควรมีท่าทีที่รับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ พยายามจะเข้าใจ แต่ไม่ตกอกตกใจ พ่อแม่ต้องรักษาจิตของตัวเองให้ปกติ ไม่ไปกระต๊ากหรือก่ออารมณ์รุนแรงซ้อนอารมณ์ที่รุนแรงอยู่แล้วของลูก แบบนั้นก็จะพากันเข้าป่าไป ให้พ่อแม่เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำทุกอย่างไปด้วยความรักลูก แต่อะไรจะเกิดก็ให้ทำใจยอมรับว่าให้มันเกิด ไม่ลนลานสนองตอบในสิ่งที่เธอเรียกร้องต้องการแบบไม่มีเหตุผลซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อเธอเองในอนาคต แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ควรหันไปเสาะหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพ เช่น จิตแพทย์ หรือพาเข้าหาธรรมะ หาพระ หาเจ้า หรือหาอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความช่วยเหลือจากภายนอกที่พ่อแม่เห็นว่าจะพึ่งได้
ช่วงเวลาดังกล่าวเช่นนี้เป็นเหมือนทางโค้ง มันจะเครียดอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่่านั้นเอง เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาโอเค. ขอให้คุณมองไปทางบวก ว่าวันหนึ่งคุณก็จะผ่านทางโค้งนี้ไปได้
ผมรักคุณนะ และเอาใจช่วยคุณครับ
นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
.....................................................................
จดหมายจากผู้อ่าน1
หนูก็สาวGen Y ที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ ไม่เคยอดทนรออะไร พ่อแม่ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้หนูจนได้ ชีวิตหนูเหมือนที่อาจารย์พูดไม่มีผิดค่ะ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ เคยสอบติดมหาลัยคณะทางสายศิลป์(ทั้งๆที่ตัวเองเรียนสายวิทย์) ตอนนั้นใครห้ามก็ไม่ฟังจะเรียนให้ได้เพราะเป็นคณะดัง พอได้ไปเรียนเทอมเดียวก็ไม่ไหว บอกพ่อว่ามันไม่ใช่ ก็ขอซิ่ว ซิ่วมาเรียนที่ใหม่คราวนี้เป็นสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ยังไม่ใช่อีก ตอนนั้นคิดว่าถ้าซิ่วอีกรอบก็คงไม่ได้แล้ว พ่อแม่ก็คงไม่มีเงินส่ง เพื่อนฝูงก็จะขึ้นปี3กันแล้ว อายเพื่อนนะ ก็ทนเรียนจนจบ พอจบก็งอแงไม่ยอมทำงานเพราะไม่ชอบ มันไม่ใช่ ก็ขอไปทำงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาคือตัวแทนขายเครื่องมือแพทย์ พอไปทำได้สักพักก็ไม่ใช่อีก ก็ดิ้นรนไปเรียนต่อโทบริหาร จนสอบติดได้เรียนที่ดังๆ เรียนได้เทอมเดียวก็บอกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ไหว ก็เปลี่ยนใจไปเป็นครูสอนหนังสือเพราะชอบสอน เหมือนจะไปได้ด้วยดีเพราะชอบเด็กและสนุกกับการสอน แต่รายได้ก็ไม่พอใช้จ่าย จนสุดท้ายก็ต้องกลับไปทำวิชาชีพที่ตัวเองจบมา ทำได้สักพักจึงตัดสินใจมาสอบเรียนแพทย์เป็นปริญญาตรีใบที่2 ตอนนี้ใกล้จะเรียนจบแพทย์แล้วค่ะ แต่มองดูชีวิตเพื่อนๆเค้าแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ได้เลี้ยงลูก ดูแลสามี ได้ทำงานที่ตัวเองรักแบบพอเพียง หนูเห็นแล้วรู้สึกอิจฉามากค่ะ ย้อนมองดูตัวเองว่าที่ผ่านมาทำไมเราถึงเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ตั้งหลายปี เพื่อนๆอิจฉาหนูเพราะชีวิตหนูเหมือนจะดีกว่าตรงที่กำลังจะได้เป็นหมอแต่เพื่อนยังทำวิชาชีพเดิมที่จบมา แต่ในใจหนูรู้สึกอิจฉาเพื่อนมากกว่า หนูเหมือนกับมาแก้ไขอดีตและนับ1ใหม่ ในขณะที่เพื่อนเค้าไปกันไกลแล้วค่ะ ถ้าย้อนเวลาได้หนูคงเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่มีให้มีความสุขมากกว่าค่ะ ชีวิตหนูมีดีอย่างเดียวคือเรียนค่อยข้างดี ไม่เกเร ไม่เที่ยว ไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด นอกนั้นคือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง เงินเก็บไม่มี บ้านไม่มี รถไม่มี และยังต้องพึ่งพาคนอื่นให้ส่งเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ค่ะ ตอนนี้ก็คิดว่า น่าจะใช่แล้วกับกานเป็นหมอ แต่ในใจก็อยากแต่งงานมีครอบครัว เลี้ยงลูก ดูแลสามี และทำงานที่ไม่เหนื่อยจนเกินไปมากกว่าค่ะ ....... รอเรียนจบแล้ว ไม่รู้ความติดหนูจะเปลี่ยนอีกมั้ย (ตอนนี้มีแฟน คบมา5ปี แฟนก็ตามใจอีกแล้วค่ะ หนูกลัวใจตัวเองเหลือเกินค่ะอาจารย์)
อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามคุณแม่น้องจักรพรรดิ์แล้ว รับรู้ได้เลยว่าอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาสูงมาก หนูรู้สึกอิจฉาคนใกล้ตัวอาจารย์มากๆค่ะ ถ้าได้อยู่ใกล้ๆและได้พูดคุยกับอาจารย์คงได้มุมมองดีๆ และพลังดีๆด้านบวกมาจากตัวอาจารย์อีกเยอะเลยค่ะ
............................................