ตลาดน้อย ไม่เกี่ยวกับพระยาน้อย
![]() |
โบสถ์กัลหว่าร์ |
กลับจากไปซุ่มอยู่มวกเหล็กเจ็ดวันมานั่งบ้านกรุงเทพก้นยังไม่ทันอุ่น เพื่อนคู่หนึ่งซึ่งฝ่ายหญิงเป็นคนกรุงเทพก็โทรศัพท์มาหาว่า
"คุณหมอรู้จักตลาดน้อยไหม?" ผมตอบว่า
"ไม่รู้จักตลาดน้อย แต่รู้จักพระยาน้อย"
ที่ตอบอย่างนั้นเพราะสมัยเด็กๆเคยเรียนเรื่องราชาธิราช ซึ่งเป็นกษัตริย์ชาวมอญที่หาญกล้าลุกขึ้นโซ้ยกับพม่ายักษ์ใหญ่ที่นำโดยเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ตัวราชาธิราชนั้นกำเนิดจริงเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นเด็กเลี้ยงช้างชื่อมะกะโท โตขึ้นความฉลาดชักพาให้ได้ดีกลายเป็นพระยาน้อย ตัวพระยาน้อยนี้มาเกี่ยวกับตลาดตรงที่หมอไปเที่ยวตลาดแล้วไปได้เมียใหม่มาจากตลาดน้่นเอง เออ.. แล้วกษัตริย์มอญเขาจะมี ม. มันเกี่ยวอะไรกับที่เพื่อนผมเขาโทรมาหาไหมเนี่ย ตอบว่าไม่เกี่ยวหรอกครับ แต่เมื่อเพื่อนเขารู้ว่าผมไม่รู้จักตลาดน้อยก็ชวนว่าวันหยุดอากาศเย็นๆอย่างนี้ไปเดินออกกำลังกายเที่ยวชมตลาดน้อยกันดีกว่า ผมซึ่งเป็นคนว่าง่ายก็ตกลง เพราะผมไม่ใช่คนกรุงเทพ ถ้าไม่ไปเที่ยวกรุงเทพกับคนกรุงเทพคราวนี้แล้วจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพกันเมื่อไหร่ละครับ
เรานั่งแทกซี่ไปลงที่หน้าริเวอร์ซิตี้ ริมน้ำเจ้าพระยา แล้วเดินมุดไปข้างหลังตรงไหนก็ไม่แน่ใจ มุดไปได้นิดเดียวก็ไปเจอโบสถ์กาลหว่าร์ ซึ่งเรียกชื่อตามภูเขา "กาลวาริโอ" ที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน สร้างโดยพวกโปรตุเกสที่อพยพมาจากอยุธยา โดยรัชกาลที่ 1. ให้ที่ดินอยู่ทำกินกันแถวนี้ โบสถ์นี้มีหน้าต่างอาร์คโค้ง ประดับกระจกสี มีพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนอยู่ข้างๆโบสถ์ และมีรูปพระแม่มาเรียอุ้มทารกอยู่บนหน้าจั่วอาคารใกล้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบรรยากาศโกธิคแบบฝรั๊ง ฝรั่ง อยู่แถวนี้ด้วย
เราเดินไปตามซอยเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปได้อีกหน่อยก็ถึงอาคารแบงค์สยามกำมาจล หรือธนาคารไทยพานิช สำนักงานใหญ่แห่งแรกของเขาเลยทีเดียว อาคารทรงยุโรปริมน้ำสวยงาม ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีสมกับเป็นสมบัติของคนรวย ตัว
แบงค์สยามกำมาจล |
ชมบรรยากาศริมน้ำยามเช้าหน้าธนาคารแล้ว เราก็เริ่มเดินเข้าซอกเล็กซอยน้อยเรียกว่าซอยแฟลตทรัพย์สิน มีบ้านสวยๆเก่าๆแบบห้องแถวสไตล์ชิโนโปรตุกีสหลายหลัง แต่อะไรก็ไม่ถูกใจเท่าจิตรกรรมผนังริมกำแพงใกล้วัดจีนซึ่งเขียนเป็นรูปรถลาก ผมถ่ายรูปมาให้ดูเผื่อท่านจะนึกไม่ออก
ชีวิตในตรอกในซอยของกทม.ในย่านเก่าๆจะคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งคือธุรกรรมประจำวันเช่นการทำมาหากินรวมทั้งการหุงข้าวต้มแกงก็มักจะทำกันหน้าบ้านริมตรอกหรือกลางตรอกนั่นเอง หม้อชามรามไหกะทะก็แขวนไว้ตามกำแพงหน้าบ้านนั่นแหละ บางบ้านก็เอาซะรกเชียว แต่บางบ้านก็แขวนอย่างเรียบร้อย บางทีก็มีหมวกจีนกุ้ยเล้ยแขวนอยู่ด้วย นับว่าเป็นศิลปกรรมแบบโพสต์โมเดิร์นได้อย่างหนึ่ง
เมื่อมองเข้าไปในบ้าน ส่วนใหญ่จะเห็นหิ้งวางของขายเช่นแป้งฝุ่นทาหน้า สบู่ ยาสีฟัน ดูท่าทางไม่ซีเรียสเรื่องการขายนัก เข้าใจว่าเป็นการคงสภาพหิ้งขายของเดิมไว้แก้คิดถึงอดีตมากกว่า เกือบทุกบ้านมีศาลเจ้าจีนเล็กๆอยู่บนพื้นบ้าน บางบ้านมีหิ้งพระ บางบ้านมีทั้งสองอย่าง ทำให้ห้องนั่งเล่นของบ้านแต่ละหลังแน่นขนัด แบบว่าอาม่าอากงนั่งเก้าอี้คนละตัวก็เต็มบ้านพอดี
ตามผนังกำแพงของตรอกก็มักมีจิตรกรรมผนังแต่พองาม ไม่ได้ลายพร้อยเลอะเทอะแบบที่เห็นจนชินตาในตรอกของโรมหรือปารีส มีอยู่ภาพหนึ่งตอนแรกผมนึกว่าเป็นคาวบอยใส่หมวกสูบไปป์ แต่ดูอีกทีเป็นตัวเลขแฮะ คือเอาตัวเลขหนึ่งถึึงสิบมาต่อๆกันเป็นรูปคาวบอยใส่หมวกสูบไปป์ จะด้วยเจตนาใบ้หวยหรืออย่างไรก็เหลือเดา
![]() |
จิตรกรรมผนังปริศนา |
เราเดินต่อไปถึงศาลเจ้าฮ้อนหว่องกุงหรือศาลเจ้าโรงเกือก เป็นศาลเจ้าขนาด
![]() |
เล่าปี่ ที่ศาลเจ้าโรงเกือก |
![]() |
บ้านของเจ้าสัวที่เคยรุ่งเรืองในอดีต |
![]() |
ปีกขวาของบ้านที่มีห้องหับหลายชั้น |
ออกจากบ้านเจ้าสัวผู้ล่วงลับ เราลาคนเฝ้าใจดีเดินทางตามตรอกต่อไปในย่านตลาดน้อย ผ่านต้นไทรย้อยที่ร่มครื้ม มีบ้านโบราณหลังเล็กๆแบบว่าสวยๆแต่จะพังมิพังแหล่อยู่หลายหลัง แล้วก็มาสะดุดตาที่รถเฟียตสีส้มขาวที่ถูกจอดทิ้งไว้ข้างตรอกมาแล้วประมาณหนึ่งอสงไขยเวลา รถคันนี้จอดอยู่หน้าบ้านโบราณทรงจาโคเบียลแบบที่เห็นแถบเมืองดะนีดัน ประเทศนิวซีแลนด์ แต่ว่าหลังนี้เก๋ากว่ามาก.ก..ก ผมเข้าใจว่าในบ้านนี้ยังมีคนอาศัยอยู่ เพราะตุ๊กตาผ้าที่วางอยู่บนหน้าต่างหลังลูกกรงนั้นยังดูใหม่และใช้การได้อยู่เลย ผมยืนมองอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับรำพึงในใจว่า การทอดทิ้งไม่บำรุงรักษาเนี่ยมันก็เป็นความงามได้อีกแบบหนึ่งแฮะ
เราย่ำต๊อกต่อไป แต่ว่าตอนนี้ชักจะเมื่อยขาแล้ว เพื่อนชวนแวะดื่มกาแฟที่เกสท์เฮ้าส์ชื่อ River View Guest House ซึ่งสูงแปดชั้นเสียดทะลุยอดไม้และห้องแถวโบราณขึ้นไปโดยที่เรามองจากตรอกไม่ออกเลย ต่อเมื่อได้ขึ้นลิฟท์ไปบนชั้นแปดแล้วจึงรู้ว่าวิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาจากร้านกาแฟตรงนี้สวยเอาเรื่อง มองไปฝั่งธนเห็นเจดีย์จีนแบบในซองยาหอมโผล่ทะลุแมกไม้ขึ้นมาริมคุ้งน้ำ มองไปทางด้านขวามือก็เห็นสะพานพุทธอยู่ไกลๆ
![]() |
สัจจธรรมลูกเสือสาม |
เราเดินเท้าต่อไปถึงศาลเจ้าขนาดใหญ่อีกศาลหนึ่งชื่อศาลเจ้าโจซือก๋งหรือวัดซุ่นเฮ่งยี่ ในศาลนี้ มีศิลปกรรมในลักษณะปูนปั้นนูนต่ำอยู่ตามผนัง มีอยู่ภาพหนึ่งเป็นภาพ "สัจจธรรมเสือกับลูกสามตัว" ผมถามคนเฝ้าศาลว่ามันหมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่ามันเป็นสัจจธรรมว่าเมื่อคนหรือสัตว์อย่างเสือนี้มีลูกสามตัว มันจะมีตัวหนึ่งที่มันแหกคอกไปจากปกติของครอบครัว พอเขาเล่ามาถึงตอนนี้ผมจึงขัดขึ้นว่า
"นั่นมันตัวผมเลยนะครับนั่น"
และเมื่อตั้งใจมองภาพสัจจธรรมนี้ก็จะเห็นว่าในบรรดาลูกเสือสามตัวนั้น สองตัวเขาลายพาดกลอนเหมืือนแม่ แต่อีกตัวหนึ่งกลับเล่นลายแบบเสือดาวไปเสียฉิบ ผมดูไปก็อมยิ้มให้กับตัวเองไป เพราะเราสามพี่น้อง ขณะที่พี่กับน้องเขาขยันช่วยพ่อแม่ทำมาค้าขาย แต่ผมกลับเบี้ยวไม่ทำดื้อๆ เอาเวลาไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเลี้ยงไก่ปลูกเห็ดของตัวเองมิสนใจใครจะว่าอย่างไร
![]() |
พระถังซัมจั๋งนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่หลังลูกศิษย์ที่กำลังออกลิงออกค่าง |
![]() |
ลายสลัก 18 อรหันต์บนจีวร |
ตรงหน้าศาลแห่งนี้ ที่ท่าน้ำเจ้าพระยา มีโรงงิ้วขนาดใหญ่ ผมถามว่างิ้วที่นี่เป็นงิ้วจริงหรืองิ้วปลอม เพราะผมเคยไปดูงิ้วที่มวกเหล็กแล้วมันไม่สะใจ เพราะร้องกันเงี้ยวง้าวและร่ายรำเปะปะแบบขอไปที คนเฝ้าบอกว่า
"อ๋อ นั่นมันงิ้วอิสาน"
เขาหมายถึงงิ้วที่จ้างคนงานอิสานมาเล่นแทน แบบไม่ต้องรู้ภาษาจีน แต่ท่องคำอ่านที่เขียนเป็นภาษาไทย่เอา การร่ายรำคุณก็นึกภาพคนเซิ้งกระติ๊บข้าวมารำงิ้วก็แล้วกัน
"พวกที่เล่นตอนกลางวันเป็นงิ้วอิสาน พวกที่เล่นกลางคืนเป็นงิ้วจีนมืออาชีพ ถ้าคุณอยากดูงิ้วจริงคุณต้องมาตอนกลางคืน ครั้งต่อไปก็คือคิืนวันมาฆะบูชา ราววันที่ 5 มีนา"
ผมจึงตัั้งใจว่ามาฆะบูชาปีนี้จะมาดูงิ้วที่นี่แน่นอน
เราย่ำต่อไป ผ่านห้องแถวเก่าสีฟ้าห้อยโคมสีเหลืองสดใส เข้าไปในตรอกที่ร่มครื้ม ผ่านบ้านที่อาม่าออกมานั่งพักผ่อนกับลูกชายที่มีเหยี่ยวเกาะอยู่ที่แขน เราแวะเข้าไปทักทาย สองแม่ลูกใจดีชี้ชวนให้เราดูสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่เลี้ยงไว้ตรงหน้าบ้านในตรอกเล็กๆนั้น มีตัวเฟอเร็ตตัวเล็กๆนอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าในกรง ผมปลุกมันขึ้นมาโดยการกระตุกผ้าเบาๆ มันโผล่หน้าอันใสซื่อออกมามองว่าเกิดอะไรขึ้น เราคุยกับสองแม่ลูกใจดีอยู่พักใหญ่แล้วก็ลาเพื่อเดินทางต่อไป
แล้วเราก็มาถึงเซียงกง ทราบจากการที่มีป้ายสีเหลืองบอกชื่อเซียงกงเป็นภาษาอังกฤษ รถปิ๊คอัพเก่าที่จอดอยู่ข้างป้ายมานานอย่างน้อย 2 อสงไขยเวลา ปี๊บน้ำมันก๊าดกองระเกะระกะบนหน้าหม้อรถและอาแปะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อฆ่าเวลาที่ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
แถบเชียงกงนี้ผมสังเกตเห็นความเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือแต่ละบ้านจะเล่นกันคนละเรื่อง ถ้าขายลวด ก็ ลวด ลวด ลวด ถ้าขายเฟืองเกียร์ก็ เกียร์ เกียร์ เกียร์ ถ้าขายกระสอบก็ กระสอบ
กระสอบ กระสอบ เดินมาได้อีกครู่หนึ่งผมก็เจอร้านที่เล่นแต่วาลว์ปิดเปิดน้ำขนาดใหญ่ ก็วาลว์ วาลว์ วาลว์ เขาเอาวาลว์น้ำมากองไว้เต็มหน้าบ้าน ผมเห็นแสงแดดสาดทำมุมกำลังสวย ได้ความรู้สึกว่านี่แหละ ความเป็นเชียงกง จึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
![]() |
ศิลปะถั่วตัดรูปสิงห์โตหยก |
แล้วเราก็มาถึงร้านถั่วตัดชื่อ "เฮียบเตียง" ซึ่งขายแต่ ถัวตัด ถั่วตัด ถั่วตัด ไม่ใช่แค่ถั่วตัดชนิดถั่วกับงาปนกันแล้วคลุกน้ำตาลอัดเป็นแผ่นเท่านั้นนะครับ ยังทำถั่วตัดในรูปแบบของสิงห์โตหยก แต่งแต่มสีสันมีหลายขนาดทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ โดยกระบวนการผลิตก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร มีอาแปะคนเดียวนั่งอยู่ที่หลังร้านบรรจงเอาภู่กันจุ่มสีแต่งแต้มตุ๊กตาสิงห์โตหยกทำด้วยถั่วตัดเหล่านั้น ที่ผนังเหนือศรีษะของอาแปะมีวิทยุทรานซิสเตอร์เปิดเพลงจีนเบาๆ อุปกรณ์การทำงานทุกชิ้นบอกได้คำเดียวว่า.. เก๋า ผมชอบใจจึงขอซืื้อถั่วตัดสิงห์โตหยกหนึ่งตัว อาม่าเจ้าของร้านบอกว่าต้องจองล่วงหน้าจึงจะได้ ที่ผลิตได้ตอนนี้คนเขาจองไว้หมดแล้ว จึงซื้อได้แต่ถั่วตัดจากโหลแบบเป็นแผ่นๆมาหนึ่งกิโล
เราย่ำต๊อกต่อไปจนมาถึงวัดอุทัยราษฎร์บำรุงหรือวัดญวน ที่วัดนี้มีพระประธานตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่สามรูป ทุกรูปเป็นเพศหญิงหมด พระสงค์ของวัดนี้นุ่งเหลืองห่มเหลืองแต่เป็นกางเกง ไม่ใช่จีวร ผมถามพระวัดนี้ว่าทำไมพระประธานจึงเป็นเพศหญิง ท่านตอบว่า
"ก็เจ้าแม่กวนอิมไงละโยม" ผมถามว่า
![]() |
โพธิสัตว์เป็นผู้หญิง แล้วจะเป็นไรแมะ |
"แล้วอีกสององค์เป็นใครครับ" ท่านตอบว่า
"ก็เจ้าแม่กวนอิมนั่นแหละ ท่านมีหลายปาง" แล้วก็มีเสียงสอดขึ้นมาจากชายสูงอายุที่อยูู่ใกล้ เข้าใจว่าจะเป็นมัคทายก ว่า
"ท่านไม่ได้เป็นผู้หญิงหรอก ความจริงท่านเป็นผู้ชาย"
ฟังน้ำเสียงแล้วมัคทายกท่านนี้คงจะรับไม่ได้กับการที่พระโพธิสัตว์จะเป็นเพศหญิง ผมนึกในใจเล่นๆว่าพระโพธิสัตว์เป็นผู้หญิงบ้างไม่ได้รึไง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
พูดถึงวัดญวนนี้ บันทึกที่หน้าวัดเล่าว่าพระญวนมีความแตกฉานในเรื่องพุทธศาสนานิกายมหายาน สมัยที่ร. 4 ทรงผนวชอยู่ ก็ได้อาศัยสมภารวัดญวนนี่แหละช่วยเคลียร์ข้อสงสัยเรื่องมหาญาน ครั้นเมื่อท่านได้เป็นกษัตริย์ วัดญวนนี้จึงโดดเด่นขึ้นมา
เราย่ำต๊อกจนมาโผล่ย่านเยาวราช ผ่านห้องแถวซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหาร บ้างผลิตก๋วยเตี๋ยว บ้างผลิตขนมจีบ บ้างผลิตซาละเปา อุปกรณ์การผลิตก็คือมอเตอร์ บวกเครื่องกลึง เป็นอย่างนั้นจริงๆ แหล่งพลังงานนั้นบางร้านก็ยังยืนหยัดใช้ฟืนอยู่เลย เข้าใจว่าจงใจรักษารสชาติของอาหาร เราก็แวะกินขนมจีบซาละเปาที่ร้านชื่อกว้านๆอะไรสักอย่าง คนแน่นมาก แต่ก็อร่อยดี กินอิ่มแล้วก็เดินกันต่อไป คราวนี้มุดเข้าตรอกโน้นออกตรอกนี้ มีอยู่ตรอกหนึ่งแขวนป้ายว่า 9 WORK ไม่รู้ว่าขายอะไร มีอาแปะนั่งทอดหุ่ยอย่างสบายอารมณ์อยู่หน้าร้าน ดูแล้วภาพมีความลึกให้ความรู้สึกดี ผมจึงขออนุญาตอาแปะถ่ายรูปมาหนึ่งรูป
ในที่สุดเราก็มาถึงวัดไตรมิตร บรรยากาศเปลี่ยนเป็นผู้คนเนืองแน่น ผมเคยพาเพื่อนฝรั่งมาที่นี่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ตัวองค์พระทองคำย้ายขึ้นไปอยู่บนมณฑปที่สร้างใหม่ ที่ฐานของมณฑปมีพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องความเป็นมาของเยาวราช ซึ่งทำได้ดีมาก ไม่แพ้ museum ชั้นดีที่ไหนในโลกนี้ มีการสร้างชีวิตจำลองในเรือที่กุลีจีนพากันอพยพมา และจำลองชีวิตชาวบ้านแบบคลาสสิกต่างในเยาวราชทั้งการกินอยู่ค้าขาย ดังนั้นผมจึงขอแนะนำท่านผู้อ่านทุกท่านว่าถ้ามีโอกาสลองไปเยี่ยมวัดไตรมิตรอีกครั้ง และอย่าลืมแวะดูมิวเซียมเยาวราชนี้ให้ได้
พูดถึงทองคำที่ทำพระพุทธรูป ตอนที่ผมเคยพาเพื่อนฝรั่งมา สมัยนั้นตัวพระพุทธรูปอยู่ในลูกกรงเหล็ก เพื่อนฝรั่งเคยถามผมว่า
"เป็นทองทั้งองค์จริงหรือ จะเอาทองคำที่ไหนตั้งหลายพันกิโลกรัมมาทำ" ผมตอบว่า
"จริงไม่จริงไม่มีใครรู้ เพราะตอนนี้ขโมยยังไม่สามารถเอาสิ่วเข้าไปเจาะถึงตัวพระพุทธรูปได้"
เพื่อนฝรั่งฟังผมพูดแล้วมองดูลูกกรงเหล็กสองชั้นรอบตัวองค์พระแล้วพยักหน้าหงึกๆๆ แล้วพึมพัมว่า
"ผมคิดว่าน่าจะเป็นทองคำจริงๆ"
เราเริ่มมุดตรอกกันอีกแล้ว คราวนี้ผ่านห้องแถวไม้ซึ่งบางส่วนแหกประเพณีทาสีฟ้าอมเขียวมรกตจัดจ้านตัดกับสีไม้คลาสสิกดั้งเดิม แต่ดูแล้วก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินดี มุดไปมุดมา มาโผล่ที่อาคารทรงยุโรปเก๋ไก๋หลังหนึ่ง เรียกว่ามัสยิด "หลวง โกชา อิศหาก" มัสยิดแห่งนี้เท่มาก ไม่เชื่อท่านดูรูปถ่าย
![]() |
มัสยิด หลวงโกชา อิศหาก |
เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็นมัสยิดทรงฝรั่ง นับว่าหลวงโกชาคนนี้เป็นคนมีหัวแหกประเพณีทีเดียว ปกติถ้าเป็นวัดวาฝรั่งด้านหลังก็จะมีป่าช้า ผมจึงสงสัยว่ามัสยิดทรงฝรั่งนี้จะมีป่าช้าเหมือนวัดฝรั่งหรือไม่ จึงดอดไปดูข้างหลัง
![]() |
ทางเดินผ่ากลางสุสานมายังตัวมัสยิด |
เดินมาจนเหนื่อย ผ่านหน้าร้านโอเลี้ยงแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นสโมสรผู้ชาย (men's club) เราพักดื่มโอเลี้ยงแก้เหนื่อยกันที่นี่ มีคนจีนสูงอายุจำนวนราวยี่สิบสามสิบคนมานั่งดื่มชากาแฟคุยกันเสียงดัง ส่วนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาและจอดไว้หน้าร้านเรียงกันเป็นตับ มอเตอร์ไซค์ที่ขับกันมาหลายคันเป็นช้อปเปอร์หรือฮาร์เลย์เดวิดสัน อายุสมาชิกแต่ละคนทุกโต๊ะ (ไม่นับโต๊ะเราซึ่งมีภรรยาและลูกผมมาด้วย) แต่ละท่านไม่ต่ำเจ็ดสิบปี สโมสรแห่งนี้มีกฎซึ่งเขียนไว้ชัดเจนที่ข้างฝาและที่ทางเดินเข้า กฎนั้นมีอยู่ข้อเดียว คือ
"ห้ามบ้วนน้ำลาย"
สโมสรผู้ชาย..ยิ่งแก่ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้เมีย |
เรื่องที่คุยกันในสโมสรแห่งนี้ส่วนใหญ่ผมฟังไม่ออกเพราะเป็นภาษาแต้จิ๋ว แต่บางโต๊ะก็คุยกันภาษาไทยสำเนียงจีน จับความได้ว่ากำลังวิจารณ์ระบบตุลาการกันอยู่ ท่าท่างแต่ละคนจะปักหลักนั่งกันเป็นวันๆ การได้มาเห็นสโมสรแห่งนี้ทำให้ตระหนักในธาตุแท้ของผู้ชายอย่างหนึ่งคือ แก่แล้วไม่อยากอยู่ใกล้เมีย (หิ หิ พูดเล่น)
หายเหนื่อยแล้วเรามุดตรอกกันต่อ แต่ว่าผมจะจบบทความนี้เพราะดึกแล้ว ก่อนจบผมให้ดูภาพนี้ ซึ่งผมถ่ายมาจากตรอกในเยาวราชแห่งหนึ่ง ตรอกแคบ ตึกแถวสองชั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นศิลปะแบบโพสต์โมเดิร์นชุดนี้..เจ๋งแมะ
![]() |
ศิลปะโพสต์โมเดิร์น ในตรอกเยาวราช |
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์์