หายศีรษะไปนาน แต่ “ฉัน...ยังอยู่..อู่..อู่..อู่..อู่..”
ขออำไพที่หายหัวไปนาน นับได้เกือบสองเดือน ระหกระเหินผ่านร้อนผ่านหนาว แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่ สำหรับท่านที่รุ่นเดอะแล้ว จำเพลงของคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ได้ไหมครับ เพลงที่ร้องว่า
“ฉัน...ยังอยู่.... ยังอยู่เป็นคู่ของเธอเสมอ”
เวลาร้อง “ฉัน” เสร็จแล้วต้องลากเสียงเว้นว่างไปสามเคาะ เวลาร้องคำว่า “ยังอยู่” เสร็จแล้วต้องลากเสียง “อยู่” ให้ยาวออกไปอีกสี่เคาะ เพื่อแสดงอารมณ์ว่าถึงจะแทบตายก็ยังรอดมาได้นะเฟ้ย ประมาณนั้น
เปล่าผมไม่ได้ไปรบทัพจับศึกหรือตะลุยทำอะไรหนักๆอย่างเช่นตระเวนหาเสียงเพื่อชาติมาหรอกครับ เพียงแต่พักร้อนไปขับรถเที่ยวตระเร็ดเตร็ดเตร่ไปตามชนบทเมืองอังกฤษมา แล้วกลับมาเมาเครื่องบินอยู่หลายวัน แล้วมาประจวบกับตัวเองหลวมตัวไปตกลงทำรายการทีวี.ด้วยความโลภ ว่าเออหนอทุกวันนี้เรานั่งพูดกับคนไข้เป็นชั่วโมงคนได้ประโยขน์ก็มีคนแค่คนสองคน เราเขียนบล็อกให้คนอ่านคนได้ประโยชน์เท่าที่ดูสถิติที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาอ่านเดือนละราวสองหมื่นคน แต่นี่ถ้าเราพูดทางโทรทัศน์กับรายการที่ฮอท ฮอทเป็นประจำเนี่ย จะมีคนได้ประโยชน์เป็นล้านๆคนเชียวนะ คนเราพอมีความงกเข้าครอบงำ ก็ต้องเหนื่อยละสิครับ เพียงแค่ตั้งท่าจะทำรายการยังไม่ได้เริ่มออกอากาศเลยเวลาในชีวิตก็ถูกดูดไปแล้วเรียบร้อย พอว่างกลับมาเปิดเมล์ก็พบว่ามีคำถามของท่านผู้อ่านรออยู่แล้ว...เป็นร้อย
หยุดพล่ามแล้วเริ่มตอบคำถามเสียทีดีกว่า ฉบับแรกไม่ใช่ฉบับที่ส่งมาก่อนนะครับ ผมดูหัวเรื่องแล้วเลือกเอาตามอารมณ์ ดังนั้นอย่าตั้งชื่ออีเมลแบบว่า “ขอให้คุณหมอช่วยพิจารณาด้วยครับ” เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรจะเสียบเข้ากับอารมณ์ไหน เอาละ ตอบคำถามกันเถอะ ฉบับแรกของ season นี้เป็นของคุณ ร.ณ.
................................................................
สวัสดีค่ะ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
พอดีได้มีโอกาสได้เข้าไปอ่านBlog ทำไมต้องตรวจ HIV คือตัวดิชั้นเอง ก้อแต่งงานมาได้ 2 ปีแล้ว อยู่ต่างประเทศ ณ ตอนนี้ ถามว่าเคยไปรพทำเรื่องตรวจเลือดเป็นจิงเป็นจังไหม ไม่เคย มีแต่ โดนตรวจ HIV ตอนที่จะเข้าห้องผ่าตัดริดสีดวงที่เมืองไทย เมื่อปี 2007 หมอเขาก้อให้เซ็นชื่อก่อนเข้าห้องผ่าตัด พอผ่าตัดเสร็จแล้ว หมอก้อไม่ได้พูดอะไร ก้อเลยไม่ทราบว่าผลตรวจเลือดเป็นยังไง และอีกปี ตอนปี 2010 ตั้งท้องก้อได้มีการตรวจเลือดและ พอดีแท้ง ต้องขูดมดลูกออก ที่เมืองนอก ซึ่งหมอเขาก้อขอตรวจ HIV เหมือนกัน พอทำเรื่องเสร็จ หมอเขาก้อเดินมาบอกว่าแค่ว่า การชูดมดลูก ผ่านไปได้ด้วยดี กลับบ้านได้ นะ แค่นั้นเองค่ะ ก้อเลยอยากทราบว่าการที่หมอไม่บอกผลนี่เป็นเพราะหมอลืม หรือว่าผลตรวจไม่มีอะไร เลยไม่ได้บอกค่ะ ?
ขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างสูงเลยค่ะ
...........................................................................
ตอบครับ
การที่หมอรู้ผล HIV ของคุณแล้ว ไม่ได้บอกผลให้คุณ อย่าใช้วิธีคาดเดาว่าที่หมอไม่บอกผลเพราะผลมันคงจะเป็นลบเป็นอันขาด คุณต้องสื่อสารกับแพทย์เพื่อขอทราบผล HIV ให้เป็นกิจจะลักษณะ ต้องได้รับฟังจากปากหมอจะจะ จึงจะสรุปได้ว่าผลนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ
การที่หมอรู้ผล HIV แล้ว แต่ไม่บอกให้ผู้ป่วยรู้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ เกิดจากสาเหตุหลายอย่างครับ เช่น
1. หมอเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับการพบกันครั้งนั้นเท่านั้น เพราะมีเวลาน้อย แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับคนไข้ในหัวของหมอนั้นมีตั้งมากมาย ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับคนไข้ทั้งนั้น แต่มันไม่มีเวลาจะคุยกัน จึงไม่รู้อิทำพรือ แต่ถ้าคนไข้เอ่ยปากถามตรงๆว่าผล HIV เป็นอย่างไรก็จบ เพราะหมอก็จะบอกทันที
2. หมอกลัวคนไข้เอาเรื่อง ว่า “หา ว่าไงนะ แล้วใครใช้ให้หมอเจาะ HIV ของชั้น..หา” ประมาณนั้น เพราะกล่าวอย่างยุติธรรม คนไข้ทุกวันนี้ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ บางทีทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนอนุญาตให้เจาะ HIV แท้ๆ แต่พอแจ้งผลกลับมาและพบว่าผลนั้นมีผลเสียทางสังคมกับตัวเองมากมายแบบคาดไม่ถึง ท้ายที่สุดก็จึงมาฟ้องแพ่งเอากับหมอว่าเป็นแหล่งปล่อยให้ข้อมูลรั่วทำให้ตัวเองเสียหาย เพราะงี้ไง หมอเขาถึงกลัวกันนัก พากันคิดเสียว่าอย่ากระนั้นเลย ข้อมูล HIV ซึ่งเป็นข้อมูลเซ็นซิทีฟสุดยอดนี่ ตูข้าใช้วิธีรูดซิปปากดีกว่า วิธีรูดซิปปากของหมอนี้บางทีก็ทำกันสนิทเกินเหตุ แม้แต่ในเวชระเบียนก็ไม่เขียนเพราะกลัวคนไข้ใช้อำนาจของความเป็นผู้ป่วยเรียกเวชระเบียนไปดูแล้วจะเป็นเรื่อง บางแห่งเลี่ยงไปใช้โค้ดที่รู้กันไม่กี่คน เช่นว่าเป็นเคสเชอรี่บ้าง เป็นเคสดอกบัวบ้าง บางทีหมอด้วยกันยังไม่รู้เลยว่าคนไข้ที่ตัวเองรักษาอยู่มีผล HIV positive ซึ่งถ้าถอยออกมามองให้เห็นภาพรวมก็จะพบว่าระบบกลัวกันไปกลัวกันมาจนเกินเหตุแบบนี้ ไม่เป็นผลดีกับใครและต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
3. หมอไม่มีความรู้ความชำนาญในการแจ้งข่าว HIV จึงทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเรื่องนี้ผมไม่ถนัดนะ ทิ้งไว้ให้คนที่เขาถนัดเป็นคนแจ้งข่าวในโอกาสอันควร เพราะวงการแพทย์นี้มีธรรมเนียมยกย่องคนที่ไม่ทะลึ่งทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่เป็น ถือเป็นจริยธรรมวิชาชีพเลยทีเดียว ภายใต้หัวข้อการ “รู้ข้อจำกัดแห่งตน” แต่วิธีชิ่งแบบดองเอาไว้ให้คนที่ถนัดกว่าเขาทำนี้ บางครั้งหมอทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ถือว่าข้าก็ไม่ถนัดเหมือนกันหมด ข่าวนั้นจึงไม่มีการแจ้งกันเลยจนผู้เกี่ยวข้องตายกันไปหมดแล้ว แบบนี้ก็มี เชื่อหรือไม่
ทีนี้ตัวคุณจะทำอย่างไรดี เจาะเลือดไปตั้งสองครั้ง แต่หมอไม่บอกผล ผมแนะนำว่าให้คุณกลับไปพบหมอท่านเดิมอีกครั้ง แล้วแจ้งวัตถุประสงค์การมาพบเพียงเรื่องเดียว ว่ามาครั้งนี้เพื่อมาขอรับทราบผล HIV โดยวิธีนี้คุณก็จะได้ผลเลือดของคุณแน่นอน ต้องขอกับหมอโดยตรงนะ เพราะคนอื่นไม่มีอำนาจหน้าที่ให้ข้อมูลนี้กับคุณ และหมอที่จะยอมเอ่ยปากแจ้งผล HIV กับคุณก็มีอยู่สองท่านเท่านั้น คือหมอที่รักษาคุณ กับหมอที่เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล หมายถึงหมอผู้อำนวยการรพ.นะแหละ ถามท่านใดท่านหนึ่งในสองท่านนี้ ท่านจะบอกผลให้คุณเพราะเป็นหน้าที่ของท่าน แต่หมอคนอื่นและเจ้าหน้าที่อื่นๆเช่นพยายาลหรือเทคนิเชียนแล็บเขาจะพากันชิ่งหมด นี่เป็นธรรมดาครับ อย่าไปว่าเขาเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
“ฉัน...ยังอยู่.... ยังอยู่เป็นคู่ของเธอเสมอ”
เวลาร้อง “ฉัน” เสร็จแล้วต้องลากเสียงเว้นว่างไปสามเคาะ เวลาร้องคำว่า “ยังอยู่” เสร็จแล้วต้องลากเสียง “อยู่” ให้ยาวออกไปอีกสี่เคาะ เพื่อแสดงอารมณ์ว่าถึงจะแทบตายก็ยังรอดมาได้นะเฟ้ย ประมาณนั้น
เปล่าผมไม่ได้ไปรบทัพจับศึกหรือตะลุยทำอะไรหนักๆอย่างเช่นตระเวนหาเสียงเพื่อชาติมาหรอกครับ เพียงแต่พักร้อนไปขับรถเที่ยวตระเร็ดเตร็ดเตร่ไปตามชนบทเมืองอังกฤษมา แล้วกลับมาเมาเครื่องบินอยู่หลายวัน แล้วมาประจวบกับตัวเองหลวมตัวไปตกลงทำรายการทีวี.ด้วยความโลภ ว่าเออหนอทุกวันนี้เรานั่งพูดกับคนไข้เป็นชั่วโมงคนได้ประโยขน์ก็มีคนแค่คนสองคน เราเขียนบล็อกให้คนอ่านคนได้ประโยชน์เท่าที่ดูสถิติที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาอ่านเดือนละราวสองหมื่นคน แต่นี่ถ้าเราพูดทางโทรทัศน์กับรายการที่ฮอท ฮอทเป็นประจำเนี่ย จะมีคนได้ประโยชน์เป็นล้านๆคนเชียวนะ คนเราพอมีความงกเข้าครอบงำ ก็ต้องเหนื่อยละสิครับ เพียงแค่ตั้งท่าจะทำรายการยังไม่ได้เริ่มออกอากาศเลยเวลาในชีวิตก็ถูกดูดไปแล้วเรียบร้อย พอว่างกลับมาเปิดเมล์ก็พบว่ามีคำถามของท่านผู้อ่านรออยู่แล้ว...เป็นร้อย
หยุดพล่ามแล้วเริ่มตอบคำถามเสียทีดีกว่า ฉบับแรกไม่ใช่ฉบับที่ส่งมาก่อนนะครับ ผมดูหัวเรื่องแล้วเลือกเอาตามอารมณ์ ดังนั้นอย่าตั้งชื่ออีเมลแบบว่า “ขอให้คุณหมอช่วยพิจารณาด้วยครับ” เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรจะเสียบเข้ากับอารมณ์ไหน เอาละ ตอบคำถามกันเถอะ ฉบับแรกของ season นี้เป็นของคุณ ร.ณ.
................................................................
สวัสดีค่ะ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
พอดีได้มีโอกาสได้เข้าไปอ่านBlog ทำไมต้องตรวจ HIV คือตัวดิชั้นเอง ก้อแต่งงานมาได้ 2 ปีแล้ว อยู่ต่างประเทศ ณ ตอนนี้ ถามว่าเคยไปรพทำเรื่องตรวจเลือดเป็นจิงเป็นจังไหม ไม่เคย มีแต่ โดนตรวจ HIV ตอนที่จะเข้าห้องผ่าตัดริดสีดวงที่เมืองไทย เมื่อปี 2007 หมอเขาก้อให้เซ็นชื่อก่อนเข้าห้องผ่าตัด พอผ่าตัดเสร็จแล้ว หมอก้อไม่ได้พูดอะไร ก้อเลยไม่ทราบว่าผลตรวจเลือดเป็นยังไง และอีกปี ตอนปี 2010 ตั้งท้องก้อได้มีการตรวจเลือดและ พอดีแท้ง ต้องขูดมดลูกออก ที่เมืองนอก ซึ่งหมอเขาก้อขอตรวจ HIV เหมือนกัน พอทำเรื่องเสร็จ หมอเขาก้อเดินมาบอกว่าแค่ว่า การชูดมดลูก ผ่านไปได้ด้วยดี กลับบ้านได้ นะ แค่นั้นเองค่ะ ก้อเลยอยากทราบว่าการที่หมอไม่บอกผลนี่เป็นเพราะหมอลืม หรือว่าผลตรวจไม่มีอะไร เลยไม่ได้บอกค่ะ ?
ขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างสูงเลยค่ะ
...........................................................................
ตอบครับ
การที่หมอรู้ผล HIV ของคุณแล้ว ไม่ได้บอกผลให้คุณ อย่าใช้วิธีคาดเดาว่าที่หมอไม่บอกผลเพราะผลมันคงจะเป็นลบเป็นอันขาด คุณต้องสื่อสารกับแพทย์เพื่อขอทราบผล HIV ให้เป็นกิจจะลักษณะ ต้องได้รับฟังจากปากหมอจะจะ จึงจะสรุปได้ว่าผลนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ
การที่หมอรู้ผล HIV แล้ว แต่ไม่บอกให้ผู้ป่วยรู้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ เกิดจากสาเหตุหลายอย่างครับ เช่น
1. หมอเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับการพบกันครั้งนั้นเท่านั้น เพราะมีเวลาน้อย แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับคนไข้ในหัวของหมอนั้นมีตั้งมากมาย ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับคนไข้ทั้งนั้น แต่มันไม่มีเวลาจะคุยกัน จึงไม่รู้อิทำพรือ แต่ถ้าคนไข้เอ่ยปากถามตรงๆว่าผล HIV เป็นอย่างไรก็จบ เพราะหมอก็จะบอกทันที
2. หมอกลัวคนไข้เอาเรื่อง ว่า “หา ว่าไงนะ แล้วใครใช้ให้หมอเจาะ HIV ของชั้น..หา” ประมาณนั้น เพราะกล่าวอย่างยุติธรรม คนไข้ทุกวันนี้ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ บางทีทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนอนุญาตให้เจาะ HIV แท้ๆ แต่พอแจ้งผลกลับมาและพบว่าผลนั้นมีผลเสียทางสังคมกับตัวเองมากมายแบบคาดไม่ถึง ท้ายที่สุดก็จึงมาฟ้องแพ่งเอากับหมอว่าเป็นแหล่งปล่อยให้ข้อมูลรั่วทำให้ตัวเองเสียหาย เพราะงี้ไง หมอเขาถึงกลัวกันนัก พากันคิดเสียว่าอย่ากระนั้นเลย ข้อมูล HIV ซึ่งเป็นข้อมูลเซ็นซิทีฟสุดยอดนี่ ตูข้าใช้วิธีรูดซิปปากดีกว่า วิธีรูดซิปปากของหมอนี้บางทีก็ทำกันสนิทเกินเหตุ แม้แต่ในเวชระเบียนก็ไม่เขียนเพราะกลัวคนไข้ใช้อำนาจของความเป็นผู้ป่วยเรียกเวชระเบียนไปดูแล้วจะเป็นเรื่อง บางแห่งเลี่ยงไปใช้โค้ดที่รู้กันไม่กี่คน เช่นว่าเป็นเคสเชอรี่บ้าง เป็นเคสดอกบัวบ้าง บางทีหมอด้วยกันยังไม่รู้เลยว่าคนไข้ที่ตัวเองรักษาอยู่มีผล HIV positive ซึ่งถ้าถอยออกมามองให้เห็นภาพรวมก็จะพบว่าระบบกลัวกันไปกลัวกันมาจนเกินเหตุแบบนี้ ไม่เป็นผลดีกับใครและต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
3. หมอไม่มีความรู้ความชำนาญในการแจ้งข่าว HIV จึงทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเรื่องนี้ผมไม่ถนัดนะ ทิ้งไว้ให้คนที่เขาถนัดเป็นคนแจ้งข่าวในโอกาสอันควร เพราะวงการแพทย์นี้มีธรรมเนียมยกย่องคนที่ไม่ทะลึ่งทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่เป็น ถือเป็นจริยธรรมวิชาชีพเลยทีเดียว ภายใต้หัวข้อการ “รู้ข้อจำกัดแห่งตน” แต่วิธีชิ่งแบบดองเอาไว้ให้คนที่ถนัดกว่าเขาทำนี้ บางครั้งหมอทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ถือว่าข้าก็ไม่ถนัดเหมือนกันหมด ข่าวนั้นจึงไม่มีการแจ้งกันเลยจนผู้เกี่ยวข้องตายกันไปหมดแล้ว แบบนี้ก็มี เชื่อหรือไม่
ทีนี้ตัวคุณจะทำอย่างไรดี เจาะเลือดไปตั้งสองครั้ง แต่หมอไม่บอกผล ผมแนะนำว่าให้คุณกลับไปพบหมอท่านเดิมอีกครั้ง แล้วแจ้งวัตถุประสงค์การมาพบเพียงเรื่องเดียว ว่ามาครั้งนี้เพื่อมาขอรับทราบผล HIV โดยวิธีนี้คุณก็จะได้ผลเลือดของคุณแน่นอน ต้องขอกับหมอโดยตรงนะ เพราะคนอื่นไม่มีอำนาจหน้าที่ให้ข้อมูลนี้กับคุณ และหมอที่จะยอมเอ่ยปากแจ้งผล HIV กับคุณก็มีอยู่สองท่านเท่านั้น คือหมอที่รักษาคุณ กับหมอที่เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล หมายถึงหมอผู้อำนวยการรพ.นะแหละ ถามท่านใดท่านหนึ่งในสองท่านนี้ ท่านจะบอกผลให้คุณเพราะเป็นหน้าที่ของท่าน แต่หมอคนอื่นและเจ้าหน้าที่อื่นๆเช่นพยายาลหรือเทคนิเชียนแล็บเขาจะพากันชิ่งหมด นี่เป็นธรรมดาครับ อย่าไปว่าเขาเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์