Dysthymia ความเศร้าเรื้อรัง


เรียน คุณหมอสันต์ ที่นับถือ

     ผมอายุ  49 ปี  นานปีกว่ามาแล้วที่ผมเริ่มมีความรู้สึกไม่มีความสุขในชีวิต เศร้า ท้อ รู้สึกว่าชีวิตผิดไปหมด หลังตีสองแล้วนอนไม่หลับ มีความคิดถึงความตาย ไม่ใช่คิดกลัวตาย แต่คิดอยากตาย เพียงแต่ว่ามันคิดไปไม่ตลอดเพราะยังมีลูกเมียต้องดูแล ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองจะเก็บมาคิดวนเวียนซ้ำซากไม่รู้จบ เช่น ผู้รับเหมาสร้างบ้านแล้วไปมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ตัวเองได้บอกผู้รับเหมาว่าให้ทำความตกลงโดยนุ่มนวลโดยตัวเองจะเป็นผู้จ่ายเงินค่าเสียหายให้ แต่เพื่อนบ้านโทรมาใช้คำพูดที่ไม่ดี ก็เก็บมาคิดว่าทำไมพูดอย่างนั้นกับเราได้ ภรรยาป่วย จะต้องรักษากันนาน ก็เก็บมาคิดซ้ำซากและเป็นทุกข์มากกว่าตัวภรรยาเสียอีก ลูกสาวเรียนหนังสือเก่งได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่ยังหางานทำไม่ได้ก็รู้สึกว่าตัวเองผิดที่ลุ้นให้ลูกสาวมาเรียนทางนี้แล้วพาเขามาเจอทางตัน เป็นต้น การตัดสินใจในหน้าที่การงานก็มีความเสียหายบ่อย เพราะประสิทธิภาพการคิดลดลง
     ผมได้พยายามหาทางออกหลายอย่าง เช่น ได้พยายามเลิกธุรกิจ เพราะมีเงินมากแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะชีวิตยิ่งแย่ลง ธุรกิจของผมคือการซื้อขาย พอรับทราบข่าวราคาสินค้าขึ้นลงแล้วตัวเองไม่ได้ตัดสินใจซื้อขายก็มีความรู้สึกผิด รู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินเป็นชีวิตที่ไร้ค่า ตัวผมเป็นคนที่ได้ศึกษาธรรมะมาบ้างพอควร เพราะวัยเด็กเพิ่งแตกหนุ่มก็ต้องช่วยพ่อแม่ค้าขายทำเงินและเครียด ได้ไปที่วัด หัดนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่ามันทำให้ตัวเองดีขึ้น จึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณวัด ทุกวันนี้ยังบริจาคเงินให้วัดนั้นอยู่ปีละมากๆ ทุกปี นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสไปเข้าแค้มป์วิปัสสนาครั้งละหลายๆวันบ่อย ของอาจารย์โกเอนก้าก็เคยไป เคยบวชอย่างเป็นกิจจะลักษณะจริงจังมาแล้วด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นช่วยอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ ผมมีเพื่อนน้อย เพื่อนที่ทำธุรกิจค้าขายกันเป็นสังคมของคนโลภมาก ผมป่วยอย่างนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้เลย มีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่นอกวงการค้าขายและคุ้นเคยกันมานาน ผมระบายให้เขาฟัง แต่พอระบายแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าเดิม ตั้งแต่มีอาการเซ็งชีวิตมานี้ ผมได้พยายามใช้ชีวิตให้ง่ายๆแบบเพื่อนๆคนอื่นเขาบ้าง เช่นไปกินดื่มและเที่ยวผู้หญิง แต่ก็ไม่เวอร์ค เพราะรู้สึกผิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งซึ่งไม่เคยทำและไม่เข้าท่า ได้เคยพบกับจิตแพทย์มาแล้ว แต่ก็ได้รับคำแนะนำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้ยา

ผมขอโทษที่เขียนยาวมาก แต่ต้องการให้คุณหมอทราบเรื่องของผมให้มากที่สุด เพื่อจะได้แนะนำให้ตรงกับปัญหาของผม

..............................................

ตอบครับ

จดหมายของคุณ ทำให้ผมนึกถึงบทกลอนของจีรนันท์ พิตรปรีชา นานหลายสิบปีมาแล้ว ซึ่งเธอเขียนในอารมณ์เศร้า เขียนได้ไพเราะเสียไม่มี ผมจำได้เลาๆว่าเธอเขียนว่า

...ตัวฉันเหมือนกรวดเม็ดร้าว
แตกแล้วด้วยความเศร้า หมองหม่น
ปรารถนาเป็นธุลี ทุรน
ดีกว่าทนอึดอัดใจ อยู่ใต้น้ำ..”

เข้าเรื่อง..ตอบจดหมายของคุณดีกว่า
1.. อาการของคุณนี้อย่างเบาะๆแพทย์ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นภาวะ Dysthymia ซึ่งนิยามว่าคือภาวะซึมเศร้าเรื้อรังที่ไม่ทำให้ตาย แต่ก็ไม่หายไปไหนสักที หรือถ้าไปเจอแพทย์ที่ห้าวหน่อยอย่างผมนี้ ก็จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าขนานแท้ (major depression) แต่ไม่ว่าจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอะไร การรักษาของแพทย์ยุคจรวดนี้มันก็แปะเอี้ยเหมือนกันหมด คืออัดยาแก้ซึมเศร้าลูกเดียว ผมถึงแปลกใจเล็กน้อยที่คุณบอกว่าไปหาจิตแพทย์แล้วหมอบอกยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาอะไร ที่แปลกใจเพราะขึ้นชื่อว่าจิตแพทย์ในโลกนี้ไม่ว่าชาติภาษาไหน เห็นคนไข้หน้าเศร้าๆมายังไม่ทันอ้าปากดูลิ้นไก่เลยก็สั่งยาแก้ซึมเศร้าให้แล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะหมอญี่ปุ่นเป็นมากที่สุด คนญี่ปุ่นจึงเป็นชาติที่บริโภคยาแก้ซึมเศร้ามากที่สุดตอนนี้ ขอโทษ..นอกเรื่องแล้ว กลับเข้าเรื่องดีกว่า
2.. คำแนะนำแรกเลยคือ แนะนำให้คุณไปหาจิตแพทย์อีกที หาคนเดิมแล้วถามถึงยาแก้ซึมเศร้าก็ได้ หรือหาอีกคนหนึ่งก็ได้ คือถึงแม้ผมจะชอบค่อนแคะจิตแพทย์ แต่กรณีของคุณนี้ผมเองกลับเห็นว่ามันน่าใช้ยาจริงๆ เพราะยาต้านซึมเศร้าสมัยนี้มันเวอร์คมากนะครับ เพียงแต่ว่าคุณต้องใจเย็นๆเพราะกว่าจะเห็นผมมันจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ดังนั้นหากจะลองยาแก้ซึมเศร้าคุณต้องทำใจลองอย่างน้อยสัก 2 เดือน ซึ่งผมเชื่อว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมัน และนี่เป็นคำแนะนำที่อยู่บนมาตรฐานของหลักวิชาแพทย์สากล
3.. การรักษาร่วมที่ได้ผลอีกอย่างหนึ่งคือการทำพฤติกรรมบำบัดแบบสอนให้คิดใหม่ทำใหม่ (cognitive behavior therapy) ซึ่งก็ต้องไปหาจิตแพทย์อีกนะแหละ เขาจะจัดให้คุณได้พบกับนักจิตบำบัดแล้วไปรักษากันเป็นคอร์สๆไป งานวิจัยบอกว่าการรักษาแบบนี้ช่วยได้ เพียงแต่เมืองไทยไม่เป็นที่นิยม ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าทำไม อย่างไรก็ตามผมแนะนำให้คุณไปเสาะหาการรักษาแบบนี้ด้วย

4.. คำแนะนำส่วนตัวของผม อันนี้ส่วนตัวนะ ไม่เกี่ยวกับหลักวิชาแพทย์ ผมแยกคำแนะนำของผมออกเป็นสามส่วน คือ

ส่วนที่ 1. เอาคอนเซ็พท์ใหญ่ก่อน คุณมีปัญหาจากความคิดที่ผูกพันกับอีโก้หรือความยึดถือตัวตนของคุณ เช่นเพื่อนบ้านโทรศัพท์มาด่าคุณก็รับไม่ได้ว่าเอ๊ะเราเป็นคนดีขนาดนี้มาด่าเราอย่างนี้ได้ยังไง ลูกสาวตกงานอีโก้ของคุณก็รับไม่ได้ว่าเราเป็นพ่อที่เก่งขนาดนี้ผลิตลูกสาวออกมาตกงานได้ไง ประมาณนี้ การจะคิดแก้ปัญหาไปข้างหน้าต้องไปในทิศทางลดอีโก้ลง ไม่ใช่เพิ่มอีโก้ขึ้น
ส่วนที่ 2. ตอนนี้ใจคุณเหมือนม้าป่าที่แร่ดไปไหนต่อไหนจนคุณเอาไม่อยู่ ที่คิดจะเอาอานไปใส่เอาบังเหียนไปสวมขี่เล่นเท่ๆนั้นลืมไปได้เลย ขั้นต้นนี้คุณสร้างคอกขังมันไว้ให้ได้ก่อนก็บุญแล้ว คอกที่ว่านี้ก็คือวินัยต่อตนเองในรูปของการแบ่งเวลา ที่คุณเคยคิดจะเลิกทำมาหากินนั่นลองไหม่ไหมละ เลิกครึ่งเดียวก็พอ แบ่งเวลาทำงานครึ่งหนึ่ง และเวลาว่างอีกครึ่งหนึ่ง คอกที่ว่าก็คือแค่เนี้ยะแหละ เอาแค่เวลาว่างอย่าทำงาน แค่นี้พอ ถ้าทำได้แค่นี้ก็เท่ากับว่าเริ่มจับม้าเข้าคอกได้แล้ว
ส่วนที่ 3. ผมมองโรคของคุณว่าเป็นโรคทางใจ  การจะแก้ปัญหาคุณต้องมีเครื่องมือแก้ปัญหาทางใจที่ดี ซึ่งผมมีเครื่องมือที่ดีที่ผมใช้กับตัวเองอยู่ประจำ เครื่องมือนี้มี 7 อย่าง ผมจะเล่าให้ฟัง คุณลอกเลียนไปใช้ได้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์
เครื่องมือที่  1. การรู้จักเลือกเครื่องมือ (Choosing) ไม่ได้กวนโอ๊ยนะครับ ก็เครื่องมือผมมีตั้งเจ็ดอย่าง ตอนไหนจะหยิบอะไรมาใช้ถ้าคุณหยิบไม่ถูกนี่ก็เจ๊งแล้ว ดังนั้นคุณต้องเฟ้นเครื่องมือเป็น หยิบฉวยให้ถูกอันถูกเวลา ตอนท้ายผมจะบอกเคล็ดให้ว่าเวลาไหนจะหยิบเครื่องมือใด
เครื่องมือที่ 2. ความรู้สึกปลื้ม (Fulfillment) คือ คุณต้องหัดสร้างความรู้สึกปลื้มในตัวเองขึ้นในใจ วิธีการก็คืออย่างน้อยวันละหนึ่งครั้งหรือยิ่งวันละหลายครั้งก็ดี ให้คุณคิดย้อนหลังถึงเหตุการณ์ที่คุณได้ทำอะไรลงไปในลักษณะของการให้ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน อาจเป็นเรื่องง่ายๆก็ได้ เช่นคุณปลูกต้นไม้แล้วรดน้ำหนึ่งต้น คุณก็ให้กับโลกแล้ว หรือคุณเอ่ยปากขอโทษเพื่อนบ้านแล้วทำให้เขามีความสุขว่าโอ้โหฉันนี่ขนาดเจ้าเศรษฐีข้างบ้านมันต้องมาขอโทษเลยนะ นี่ก็เป็นการให้เขาโดยที่คุณไม่ได้อะไรตอบแทนมีแต่จะเสียอีโก้ของคุณไป หรืออาจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ความเป็นคนดีโดยเนื้อในของคุณดลใจให้คุณทำไปแล้วเช่นการบริจาคทานเงินทีละมากๆ คุณคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่สำคัญ ขอให้คิดถึงมัน มันจะก่อความรู้สึกปลื้ม หัวใจมันจะพองนิดๆ แล้วใจของคุณมันจะสงบลงไม่ซัดส่ายมาก เพราะใจของคนเรานี้มันจะซัดส่ายดิ้นรนมากถ้ามันรู้สึกไม่ปลื้มหรือไม่ fulfill ถ้ามันมี fulfillment มันก็จะสงบ พอใจมันสงบไม่ซัดส่ายแล้วการจะทำขั้นต่อไปมันก็ง่ายขึ้น
เครื่องมือที่ 3. ความรู้ตัว (Awareness) อันนี้ก็คือสตินั่นแหละ คุณต้องฝึกให้รู้ตัวเองบ่อยๆว่า เมื่อตะกี้นี้คุณมีความคิด (though) อะไร มีอารมณ์ (mood) อย่างไร การรู้ตัวนี้เอาแค่รู้ตัวเฉยๆ ไม่ต้องไปแทรกแซงหรือทำอะไรต่อยอดจากความคิดหรืออารมณ์เดิมทั้งสิ้น เศร้าก็บอกตัวเองให้รู้ตัวว่าเรากำลังเศร้า ตามดูความเศร้าไป แค่นั้น
เครื่องมือที่ 4. ที่นี่เดี๋ยวนี้ (Hear and Now) คือพอเรารู้ตัวว่าคิดอะไร ความคิดนั้นจะฝ่อลง เราต้องหาที่จอดให้ใจเรา ไม่งั้นใจมันก็จะฟุ้งไปเรื่องใหม่อีก ที่จอดของใจที่ดีที่สุดก็คือ "ที่นี่ เดี๋ยวนี้" มีสองมิตินะ คือสถานที่ และเวลา ถ้าที่นี่เดี๋ยวนี้ยังมีอะไรมากมายจนจอดไม่ได้อีกก็ลมหายใจของคุณนั่นแหละ เอาใจไปจอดที่ลมหายใจแบบที่เขาเรียกว่า breathing meditation นั่นแหละ หายใจเข้ารู้ตัวว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ตัวว่าหายใจออก ใจมันจะได้ไม่ฟุ้งไปไกลหรือคิดอะไรซ้ำซากจนกู่ไม่กลับ
เครื่องมือที่ 5. ความกล้าหาญ (Courage) คือบางจังหวะต้องใช้ความกล้า แปลว่าความไม่กลัว สุดยอดของความกลัวก็คือกลัวตาย คุณคิดเสียว่าอย่างมากก็แค่ตาย การตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดก็ดี เปลี่ยนการกระทำก็ดี การเอาชนะความซึมเศร้าหดหู่ก็ดี หลายครั้งมันต้องใช้ความกล้า คุณต้องฝึกหัดบ่มเพาะเครื่องมือนี้ 
เครื่องมือที่ 6. การผ่อนคลาย (Relax) บ่อยครั้งความพยายามที่จะหนีมากเกินไปทำให้เราอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง ถ้าเรารู้จักหย่อนสายป่าน ถอยเข้ามุม หรือปล่อยวาง ในบางจังหวะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด กลับพบว่าเราหลบหลีกสิ่งร้ายๆได้พ้นไปแบบง่ายๆ
เครื่องมือที่ 7. การเพิกเฉย (Ignore) เป็นเครื่องมือที่มองเผินๆคนดีเขาไม่ใช้กัน แต่ถ้ารู้จังหวะใช้มันมีประโยชน์มาก เพราะในบรรดาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานี้ หลายๆอย่างอยู่ในเขตอำนาจของเราที่เราควบคุมบังคับได้ เช่นการที่เราจะเลือกคิดอะไรไม่คิดอะไรตัวเราบังคับได้ อันนี้เราควรใช้ความกล้าเข้าไปทำไปจัดการ แต่หลายๆอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือเขตอำนาจควบคุมบังคับของเรา เช่นเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองตั้งท่าจะตีกันให้ตายในเดือนสิงหาคมนี้ ถ้าเราไปกังวลหมกมุ่นครุ่นคิดเราก็บ้าตายเพราะเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กรณีเช่นนี้การเพิกเฉยกลับเป็นเครื่องมือที่ดี
เอาละ คุณได้รู้จักเครื่องมือทั้งเจ็ดของผมแล้ว ทีนี้มาประเด็นสำคัญ คือเมื่อใดจะหยิบเครื่องมือใด หลักมีอยู่ว่า "ความรู้ตัว" และ "ที่นี่เดี๋ยวนี้" นั้นเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาจิตตกหรือจิตเฟื่องฟู แต่ในยามที่จิตตก คุณต้องเฟ้นเครื่องมืออีกสองตัวมาช่วย นั่นคือ "ความรู้สึกปลื้ม" และ "ความกล้าหาญ" คือยามจิตตกต้องภาคภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำมา และปลุกปลอบจิตใจให้สู้ต่อไปอย่างกล้าแข็ง ไม่ใช่ไปหยิบเครื่องมือ "ถอยเข้ามุม" หรือ "เพิกเฉย" ขึ้นมาใช้ก็จบเห่กันพอดี  การเฟ้นเครื่องมือที่เหมาะขึ้นมาใช้ คือไฮไลท์ของการใช้เครื่องมือแก้ปัญหาทางใจของผม คุณเอาไปลองดูนะครับ
ก่อนจบขอแถมอีกเรื่องหนึ่ง คือการจะเอาชนะความกลัว คุณต้องหัดเอาชนะความกลัวตายก่อน กลเม็ดที่ผมใช้อยู่ผมเลียนแบบมาจากพระท่านหนึ่ง เป็นเทคนิคที่เรียกว่า "ซ้อมตาย" ผมไม่รู้ว่าคุณนับถือศาสนาอะไร แต่นั่นไม่สำคัญ ผมแค่จะเล่าที่มาของเทคนิคนี้ว่ามันมาจากความเชื่อของชาวพุทธที่ว่าคนเราตายแล้วจะไปเกิดใหม่ และความคิดที่อยู่กับเราในโมเมนต์ที่เราตาย จะเป็นตัวพาเราไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน ถ้าตอนจะตายเราใจลอยฟุ้งสร้านไปไหนต่อไหนไม่รู้ โอกาสจะไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่ก็สูง แต่ถ้าโมเมนต์ที่เราตายเรามีสติรู้ตัวดีอยู่ เราก็จะไปสู่สุขคติ นี่เป็นความเชื่อของชาวพุทธซึ่งนำมาสู่เทคนิคซ้อมตายนี้ วิธีการก็คือก่อนนอนเราเข้านอนด้วยการบอกตัวเองว่าการนอนหลับครั้งนี้จะเป็นการตายของเรา เราจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว วันพรุ่งนี้ไม่มีความหมายเพราะมันจะไม่มีแล้ว มีแต่ว่าคืนนี้ตายแล้วใครจะพาเราไปไหน จะเป็นความคิดฟุ้งสร้าน หรือจะเป็นสติความรู้ตัวของเราที่จะเป็นตัวพาเราฝ่าความมืดของปรโลกไป นั่นอยู่ที่เราจะเดินทางเข้าไปสู่ความตายในคืนนี้อย่างไร ความที่เรากลัวจะไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่เราก็จะเข้านอนด้วยการตั้งสติให้ดี รู้ตัวให้ตลอดว่าไม่คิดฟุ้งสร้านอะไรจนหลับไป ทำเทคนิคนี้บ่อยๆเราจะไม่กลัวตาย และใช้รักษาอาการนอนไม่หลับคิดโน่นคิดนี่ได้ด้วย 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
   

.......................................................
25 มิย. 55
Cool Visa 


คุณหมอค่ะ ได้อ่านแล้ว สำหรับหนูขอบคุณค่ะสำหรับแนวคิดดี ๆ ทั้งหมดมันเยี่ยมมากเลย.. ขออนุญาตินำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ได้มั๊ยค่ะ เพราะว่าแนวคิดของคุณหมอนั้นดีมากเลยค่ะ อยากนำไปให้คนที่เค้าไม่ได้ใช้ Internet อ่านค่ะ เผื่อว่าสำหรับคนที่เค้ากำลังมีปัญหาอยู่ในตอนนี้หรือในภายหน้าอาจช่วยเค้าได้ อนุญาติหรือไม่แล้วแต่คุณหมอจะกรุณาค่ะ


ตอบครับ


บทความของผมทุกบทความเอาไปเผยแพร่ต่อได้ครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่อย่าเอาไปเซ็งลี้เอาตังค์ก็แล้วกัน


สันต์


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี