ฝึกวางความคิดวางตัวตนเต็มกำลังแทบตาย แต่แล้วก็ไหลกลับไปใจลอยเท่าเดิม
![]() |
บลูเลค อุทยานแห่งชาติรอกกีเมาเทน โคโลราโด |
เรียนอาจารย์สันต์
หนูฝึกวางความคิด วางตัวตนแบบเต็มกำลัง แต่แล้วก็ไหลกลับมาใจลอยเท่าเดิม นั่งสมาธิดูลมหายใจและพุทโธสลับบ้างครึ่งชั่วโมงทุกวันก็แล้ว เป็นการนั่งใจลอยตั้งแต่ต้นจนจบเสียเป็นส่วนใหญ่ หนูมีความตั้งใจจะเลิกเป็นคนใจลอย แต่ปฏิบัติตามคำสอนรวมทั้งคำสอนของอาจารย์(ตามความเข้าใจของหนู)ด้วยแล้ว มันก็ยังไม่หายใจลอย ไม่เคยไปเข้าคอร์สธรรมะตามวัด เพราะเห็นเพื่อนไปมาแล้วก็บอกว่างั้นๆ หนูควรจะมาเข้าคอร์ส SR ของอาจารย์ไหมคะ
อาจารย์มีคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติเพิ่มเติมไหมคะ
...................................................
ตอบครับ
ตัวผมเองเคยมีปัญหาแบบคุณนี้เป๊ะเลย คือตั้งใจจะมีสติ แต่ก็เกิดอาการลื่นไถลเข้าไปอยู่ในความคิดแบบไม่รู้ตัว แล้วก็ยาว..วไปเลย คำแนะนำต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมใช้แก้ปัญหาให้ตัวเองมาก่อน
1. ก่อนอื่นขอซักซ้อมความเข้าใจเรื่องเป้าหมายของการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณก่อนนะ ว่าเป้าหมายไม่ใช่การขจัดความคิดให้หมดเกลี้ยงไปจากหัว
แต่เป้าหมายคือการเฝ้าสังเกตดูความคิด (observing a thought) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่พัวพันกับความยึดถือในตัวตน ว่าเมื่อเกิดความคิดแล้วเราก็แค่รับรู้ว่าความคิดมันเกิดขึ้นแล้ว เฝ้าสังเกตดูมัน ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา แล้วปล่อยให้มันผ่านออกไปของมันเอง โดยไม่ไปผสมโรงคิดตอบโต้ทำลายหรือคิดต่อยอด เป้าหมายคือแค่นี้
2. การจะสังเกตดูความคิดนี้เราอาศัยความรู้ตัว (awareness) ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของใจ ที่ไม่ใช่ความคิด และไม่ใช่ร่างกาย มันจะง่ายขึ้นหากคุณถือเอาว่าความรู้ตัวนี้มันอยู่นอกร่างกาย (ซึ่งหลักฐานหลายอย่างก็บ่งชี้ว่าอย่างนั้น) เพื่อความง่ายผมจะเรียกที่ที่ความรู้ตัวมันอยู่นี้ว่าเป็น "ความเงียบสงัด (silence)" ก็แล้วกัน จากที่ตรงนี้ คุณมองเข้ามาในร่างกายและมองเข้ามาในความคิด มองอย่างไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับทั้งร่างกายและกับทั้งความคิด
3. เริ่มต้นการฝึกปฎิบัติคุณก็ต้องฝึกออกจากร่างกายและความคิดไปอยู่ที่ความเงียบสงัดให้ได้ก่อน ซึ่งผมแนะนำให้ทำเป็นสามขึ้นตอน คือ
ขั้นที่ 1. คุณผ่อนคลายร่างกายก่อน ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มที่มุมปาก ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ และผ่อนคลายทั้งตัว
ขั้นที่ 2. คุณเรียกสติ (attention) ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวก่อน โดยการถามตัวเองว่า "ฉันรู้ตัวอยู่รึเปล่า" แล้วพยายามตอบตัวเอง ถ้าตอบได้ว่ารู้ตัวอยู่ก็จบขั้นที่ 2.
ขั้นที่ 3. ให้คุณตื่นตัว (alert) เฝ้าสังเกตดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามี..หรือจะมี อะไรโผล่ขึ้นมาในใจบ้าง ผมหมายถึงสังเกตดูความคิดนั้นแหละ ถ้ามีอะไรโผล่มาก็รับรู้และเฝ้าดูมันไป แค่นั้น
ทำสามขั้นนี้วนไปรอบแล้วรอบเล่า ถ้ามีความคิดเกิดขึ้นก็ไม่ได้ถือว่าล้มเหลวนะ ก็แค่รับรู้ว่ามีความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้น ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และเฝ้าสังเกตดูมันไป จนความคิดนั้นมันฝ่อหายไปเอง ทั้งหมดนี้ก็ยังถือว่าคุณอยู่ในความเงียบสงัดได้สำเร็จอยู่
เริ่มฝึกครั้งแรกนานแค่ 1 นาทีก็พอ โดยใช้โทรศัพท์มือถือตั้งจับเวลาไว้เลย เมื่อฝึกอยู่ในความเงียบสงัดได้นานถึง 1 นาทีโดยที่รู้ทุกครั้งที่มีความคิดเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นจึงค่อยขยายเวลาฝึกไปเป็น 3 นาที แล้วไปเป็น 5 นาที แล้วไปเป็น 10 นาที ถ้าคุณฝึกออกไปอยู่ในความเงียบสงัดได้นานถึง 10 นาทีโดยรู้ทุกครั้งที่ความคิดเกิดขึ้น ผมก็ไม่ต้องห่วงอะไรคุณแล้ว เพราะคุณไปต่อของคุณเองได้แล้ว
เส้นทางไปต่อก็คือหัดอยู่ในความเงียบสงัดในชีวิตประจำวันในช่วงเวลาที่คุณไม่ได้ทำงาน เช่นฝึกในช่วงอาบน้ำ กินข้าว ขับรถ เป็นต้น หัดจนสามารถอยู่ในความเงียบสงัดได้เป็นประจำ จะออกจากความเงียบสงัดมาคิดอะไรก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องคิดเท่านั้น
4. ถามว่าต้องมาเรียน SR ไหม ตอบว่าฝึกออกไปอยู่ในความเงียบสงัดให้ได้นาน 10 นาทีด้วยตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยถามคำถามนี้กับตัวเองใหม่ ถึงตอนนั้นได้คำตอบว่าอย่างไรก็ให้คุณทำตามนั้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์