ขอเคลียร์เรื่องการนอนหลับ การฝัน กับภูมิคุ้มกัน

ใน SR7 (spiritual retreat) อ.บอกว่าถ้าฝึกสติก่อนนอนก็จะไม่ฝัน แต่เมื่อเดือนก่อน อ.พูดถึงเรื่องภูมิต้านทานตอนนอนหลับว่าการฝันทำให้ภูมิคุ้มกันดี เหมือนมันขัดๆกัน หรือเรื่องเดียวกัน อ.ช่วยแจงแถลงไขหน่อยครับ

..............................................................

ตอบครับ

ผมต้องขอโทษด้วยที่พูดอะไรไปแบบสั้นๆทำให้เกิดการจับความไปใช้งานสับสน เรื่องนี้มันคนละเรื่องเดียวกัน ผมจะแยกเป็นสามเรื่องนะ เอากันให้เคลียร์ทีละเรื่อง คือ

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับกับการสร้างภูมิคุ้มกัน
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างการหลับแบบฝัน (REM sleep) กับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
(3) ผลของการฝึกสติสมาธิต่อการนอนหลับ

     ก่อนที่จะลงลึกไปทีละเรื่อง ขอท้าวความถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ก่อน ว่ามันแบ่งออกเป็นสองระบบใหญ่ๆคือ

     1. ระบบต่อสู้แบบรูดมหาราช (innate immunity) คือด่านป้องกันผู้รุกรานทุกรายไม่ว่าหน้าใหม่หน้าเก่า ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม มีอยู่สี่ด่านสี่ชั้นจากนอกเข้าใน คือ (1) ผิวหนัง (2) การก่อการอักเสบ (3) ระบบช่วยฆ่า (compliment system) (4) และเซลนักฆ่า (NK)

     2. ระบบต่อสู้ศัตรูเก่า (adaptive immunity) หมายถึงระบบที่ทำงานโดยวิธีจดจำเอกลักษณ์ของเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่าแอนติเจน (antigen) ไว้ เมื่อใดที่มันกลับเข้ามาสู่ร่างกายอีกก็จะอาศัยความจำเดิมมาสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านมันได้อย่างเจาะจงทันที ระบบนี้มีรากมาจากเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดที่อยู่ในไขกระดูกได้สร้างเม็ดเลือดขาวชื่อลิมโฟไซท์ขึ้นมา เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซท์นี้แบ่งออกเป็นสองชนิด

     เม็ดเลือดขาวชนิด ที.เซลล์ (T cell) ที่ทำงานโดยตัวมันเองไปทำลายเซลล์ใดๆที่มีเชื้อโรคหรือแอนติเจนอยู่ในตัวในลักษณะเจาะให้แตกดื้อๆ

     เม็ดเลือดขาวชนิด บี.เซลล์ (B cell) ซึ่งทำงานโดยตัวมันสร้างโมเลกุลภูมิคุ้มกัน (antibody) เพื่อไปจับทำลายเชื้อโรคอีกต่อหนึ่ง

     เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ยังแยกย่อยออกเป็นอีกสองแบบ แบบแรกคือ เซลล์นักฆ่า (Killer T Cell) ซึ่งผิวของมันมีโมเลกุลชื่อ CD8 เป็นเหมือนเรด้าร์ช่วยให้ค้นหาเชื้อโรค เมื่อพบก็จะเจาะให้เซลล์นั้นระเบิดตายไปพร้อมกันทั้งตัวเซลล์ป่วยเองและเชื้อโรคที่อยู่ข้างใน

     เม็ดเลือดขาวทีเซลล์อีกชนิดหนึ่งคือ เซลล์สอดแนม (Helper T cell) ที่ผิวของมันจะมีเรด้าร์ช่วยค้นหาแอนติเจนชื่อ CD4 เมื่อพบเชื้อโรคแล้วมันจะแบ่งตัวออกลูกมาเป็นครอก ในครอกนั้นจะมีลูกอยู่สองแบบ คือ
     พวกช่วยจำ (memory cells) มีหน้าที่อย่างเดียวคือมีชีวิตเพื่อจำรายละเอียดของศัตรูไว้ แบบที่สองคือ
     พวกช่วยบอกข่าว (effector cells) มีหน้าที่ปล่อยโมเลกุลข่าวสาร (interleukin หรือ cytokine) หลายชนิดสู่กระแสเลือดเพื่อแจ้งข่าวไปยังเพื่อนร่วมทีมอีกสามกลุ่มสามแผนก คือบอกเซลล์มาโครฟาจให้มาจับกินเซลล์ป่วย บอกเซลล์นักฆ่าให้มาเจาะระเบิดเซลล์ป่วย และบอกเม็ดเลือดขาวชนิดบี.เซลล์ให้ผลิตภูมิคุ้มกันหรือแอนตี้บอดี้มาทำลายเชื้อโรค

     เอาละ คราวนี้มาเจาะลึกประเด็นที่ 1. คือการนอนหลับกับการสร้างภูมิคุ้มกัน งานวิจัยพบว่า ขณะนอนหลับ สมองจะปล่อยฮอร์โมนหลายตัวเช่น Growth hormone, เมลาโทนิน เป็นต้น ซึ่งจะมีผลเปลี่ยนชนิดและปริมาณของโมเลกุลข่าวสารที่ปล่อยออกมาโดยเม็ดเลือดขาวพวกช่วยบอกข่าวไปในทางทำให้เซลผู้รับข่าวสารทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคดีขึ้น ครั้นเมื่ออดนอนพวกโมเลกุลข่าวสารก็ลดปริมาณและคุณภาพลงทำให้เซลผู้รับข่าวสารขี้เกียจทำงาน ที่วัดได้แน่ๆเมื่ออดนอนก็คือเม็ดเลือดขาวแบ่งตัวน้อยลง โมเลกุลข่าวสารเช่ HLA-DR ลดลง ปริมาณเม็ดเลือดขาวที่วัดด้วย CD4+ และ CD8+ ลดลง และอุบัติการติดเชื้อทางเดินลมหายใจก็เพิ่มขึ้น

     สรุปง่ายๆว่าถ้าได้หลับเพียงพอภูมิคุณกันเพิ่มขึ้น ถ้าอดนอน ภูมิคุ้มกันลด

     คราวนี้มาเจาะลึกประเด็นที่ 2. คือความสัมพันธ์ระหว่างช่วงหลับฝัน (REM sleep) กับภูมิคุ้มกัน ความจริงผมไม่น่าพูดพาดพิงถึงประเด็นนี้เพราะมันไม่มีสาระอะไรที่จะเอาไปใช้งานได้ แต่ไหนๆพูดไปแล้วทำให้คุณงงแล้วก็ขอพูดต่อให้เคลียร์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการนอนหลับของคนเรานี้มันแบ่งเป็นระยะหรือรอบดังนี้

     ตอนที่ตื่นคลื่นสมองเป็นคลื่นเบต้า พอผ่อนคลายก็จะกลายเป็นคลื่นอัลฟ่า แล้วเข้าระยะเคลิ้ม

     ระยะเคลิ้ม (NREM-1 sleep) คลื่นสมองเป็นแบบธีต้า ลูกตาค่อยๆสงบลงแต่ยังไม่นิ่ง

     ระยะหลับนก (NREM-2 sleep) คลื่นสมองเป็นแบบธีต้าแถมด้วยช่วงความถี่สั้น (sleep spindle) ลูกตานิ่ง
     ระยะหลับลึก (NREM-3 sleep) คลื่นสมองเป็นเดลต้า หายใจช้า หัวใจเต้นช้า ร่างกายเผาผลาญน้อย

     ระยะหลับฝัน (REM sleep) ลูกตาจะกลอกไปมาเร็วมาก คลื่นสมองสลับไปมาแต่แผ่ว (low voltage) คำว่า REM ย่อมาจาก rapid eye movement คือลูกตากลอกไปมาเร็วนั่นเอง ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานคือหายใจเร็วหัวใจเต้นเร็วเหงื่อแตกได้ แต่กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว จากระยะนี้ก็จะกลับขึ้นไปหาระยะเคลิ้มใหม่ วนกันอยู่อย่างนี้

     ในการนอนหลับจริงคนเราจะหลับเวียนไปตามระยะต่างๆเป็นวงจรอย่างนี้ทั้งคืน คืนหนึ่งวนได้ประมาณ 6 รอบ ระยะเวลาในแต่ละรอบเอาแน่ไม่ได้

     เมื่อเข้าใจรอบของการนอนหลับแล้ว คราวนี้มาดูงานวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างการหลับฝัน (REM sleep) กับภูมิคุ้มกันโรค มันเป็นงานวิจัยในสัตว์ทดลอง คือในหนู โดยเอาหนูมาให้นอนหลับแต่ไม่ยอมให้ฝัน คือพอคลื่นสมองบอกว่าหลับมาลึกถึงระยะจะฝันแล้วก็จี้ให้ตื้นขึ้นจะได้ไม่ฝัน ทรมานหนูอยู่อย่างนี้ 72 ชั่วโมง แล้วเจาะเลือดหนูดูก็พบว่าหนูกลุ่มที่หลับโดยไม่มีโอกาสได้ฝันมีโมเลกุลข่าวสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบแบบเปะปะไม่สมเหตุสมผลและมีตัวชี้วัดการอักเสบต่างๆในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เป็นอย่างนี้อยู่นานถึงเจ็ดวันหลังเลิกงานวิจัยไปแล้ว ขณะที่หนูในกลุ่มควบคุมที่ให้หลับปกติมีระบบจัดการการอักเสบที่เป็นปกติดีกว่า จึงสรุปผลวิจัยว่าการไม่ได้ฝัน (lack of REM sleep) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันรวน

    งานวิจัยนี้แทบไม่ให้ประโยชน์อะไรเราเลย เพราะมันเพิ่งเป็นงานวิจัยในสัตว์ และการที่ภูมิคุ้มกันแย่ลงก็อาจจะเกิดจากปัจจัยกวน ไม่ใช่เกิดจากการไม่ได้ฝัน คืออาจจะเกิดจากการถูกจี้ให้ตื่นทำให้ธรรมชาติของการนอนหลับขาดๆติดผิดธรรมชาติก็ได้ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมเอางานวิจัยไร้สาระมาทำให้เกิดความกังวลที่ไร้สาระเพิ่มขึ้น ข้อที่เราจะเอาไปใช้ได้จริงๆมีอยู่อย่างเดียว คือการได้นอนหลับดีๆตามธรรมชาติทำให้ภูมิคุ้มกันโรคดีขึ้น

     อีกอย่างหนึ่งเรื่องการฝันนี้ คนเราหลับเป็นวงจรและมีการฝันเสมอ แต่ตื่นแล้วจะจำได้หรือจำไม่ได้ว่าฝันหรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นอย่าไปกังวลสนใจว่าเมื่อคือได้ฝันหรือไม่ได้ฝันเลย

     เอาละ คราวนี้มาเจาะลึกประเด็นที่ 3. ที่ว่าฝึกสติสมาธิทำ meditation แล้วจะฝันน้อยลงแปลว่ามันจะไม่ดีกับภูมิคุ้มกันหรือเปล่า อย่าเพิ่งเอาข้อมูลมาปะติดปะต่อกันในลักษณะนี้เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าการฝันหรือไม่ฝันมันทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร

     แล้วอีกอย่างหนึ่ง ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีงานวิจัยนะครับว่าคนทำ meditation แล้วจะฝันน้อยลงหรือมากขึ้น มีแต่งานวิจัยที่สรุปผลได้แน่ชัดว่าคนทำ meditation จะหลับง่ายขึ้น หลับดีขึ้น และมีโมเลกุลข่าวสารที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานขยันขันแข็งเพิ่มขึ้น มีความจำดีขึ้น เนื้อสมองมีขนาดใหญ่ขึ้น วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ meditation มีแค่นี้ ดังนั้นให้ถือตามผลของการทำวิจัย meditation ต่อภูมิคุ้มกัน ที่สรุปได้ว่ามันจะทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นข้อสรุปสุดท้ายของจริง อย่าเพิ่งเอาเรื่องฝันซึ่งยังเป็นเรื่องเลื่อนลอยมายุ่ง

     คราวนี้มาประเด็นที่ผมพูดว่าฝึกสติสมาธิแล้วจะฝันน้อยลง อันนี้เป็นประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์นะ คือตัวผมนี้ความเป็นมาคือเป็นคนมีความคิดแยะ ฝันแยะ และฝันร้ายๆแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝันว่ากำลังผ่าตัดหัวใจคนไข้แล้วเกิดเหตุเกินควบคุมจวนเจียนที่คนไข้จะตายแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อแตกพลั่ก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำสมัยยังอยู่ในวัยทำงาน พอผมป่วยและเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใหม่ หันมาจัดการความเครียดโดยทำ meditation เป็นเรื่องหลัก ก็พบว่าความฝันของผมลดลง และเนื้อหาของความฝันก็เปลี่ยนไป คือฝันร้ายๆไม่มีแล้ว มีแต่ฝันธรรมดา สบายๆ และยิ่งไปกว่านั้น ตอนหลังๆนี้ผมพบว่าในฝันนั้นผมกำกับความฝันของผมได้ด้วย หมายความว่าในฝันนั้นผมมีสติอยู่ด้วย เออ แปลกไหมละ แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สรุปว่าประเด็นฝึกสมาธิแล้วฝันน้อย ฝันดี ฝันแบบมีสติ นี่เป็นเรื่องประสบการณ์ของคนที่ฝึกสมาธิมาคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ และไม่เกี่ยวอะไรกับภูมิคุ้มกันโรค

   
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"