จะไปจากลูกและหลานก็รู้สึกผิด
คุณหมอคะ
ดิฉันเป็นครูเกษียณกินบำนาญได้สองปี สามีเสียไปหลายปีแล้ว อยู่ที่จังหวัด............ แต่ตอนนี้มาอยู่กรุงเทพฯเพื่อช่วยดูหลาน ตอนแรกว่าจะมาชั่วคราวช่วงเขาหาพี่เลี่้ยงไม่ได้ แต่นี่อยู่มาได้สองปีแล้ว พี่เลี้ยงก็ยังเข้าๆออกๆดิฉันเบื่อชีวิตแบบคนกรุงเทพ อยากกลับไปอยู่ต่างจังหวัด คิดถึงบ้านมาก และไม่กล้าบอกลูก ลูกชายกับลูกสะใภ้เมื่อเห็นมีแม่อยู่เขาก็กลับบ้านดึก กลายเป็นว่าทุกอย่างฉันเหนื่อยดูแลหมด ทำไปเพราะรักลูก หลานก็น่ารัก แต่เราก็เลี้ยงเด็กรุ่นลูกมาแล้วหนึ่งรุ่น แก่แล้วจะให้มาเลี้ยงรุ่นหลานอีกหนึ่งรุ่นหนึ่งก็จะมากเกินไปกระมัง ทุกวันนี้ได้แต่คิดแล้วเศร้า 24 ชม. 7 วัน นั่งเหม่อมองดูหลานเหมือนติดกับดักไม่อยากกินข้าวกินปลา ไม่ยอมให้ลูกรู้เพราะกลัวเขาจะทุกข์ คุณหมอช่วยแนะนำหน่อยว่าดิฉันควรทำอย่างไร
..............................................
1. หลานเป็นปัญหาของลูกชายและลูกสะไภ้นะ ไม่ใช่ปัญหาของคุณ พวกเขาแต่งงานกันแล้วมีลูก พวกเขาก็ต้องเลี้ยงดู นี่มันเป็นตรรกะที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องคิดมากเลย ดังนั้นต่อปัญหาหลาน คุณส่งมอบหลานคืนให้ลูกชายและลูกสะไภ้ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาไปซะก็จบ อย่าไปแบกปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาของคุณไว้
2. ความรู้สึกผิด (guilty feeling) เป็นปัญหาของคุณเอง ไม่ใช่ของลูกชายหรือลูกสะไภ้ การที่คุณมีอัตตาหรือมีตัวตนที่คุณวาดขึ้นว่าคุณเป็นแม่ที่ดีเลิศเมตตาเอื้ออาทรต่อลูก พอจะทิ้งไปคุณก็กลัวอัตตาที่คุณปั้นขึ้นนี้จะเสียหาย ความรู้สึกผิดเป็นความพยายามของคุณที่จะปกป้องอัตตาของคุณ แต่ว่าอัตตาของคุณมันเป็นของปลอมนะ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นแค่คอนเซ็พท์หรือความคิดเท่านั้น ชื่อว่าความคิดมันจะไปมีตัวตัวอะไร มันก็เกิดดับเกิดดับ คุณเป็นครูคุณก็คงรู้ดี แค่คุณวางมันลงมันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ดังนั้นต่อปัญหาความรู้สึกผิด คุณวางอัตตานั้นลงซะ เมื่อไม่มีตัวตนของแม่ผู้ประเสริฐค้ำอยู่ ความรู้สึกผิดก็ไม่มี
3. วิธีจะกลับไปอยู่บ้านนอกก็ไม่เห็นจะยากอะไร คุณก็ซื้อตั๋ว เก็บของ แล้วก็บอกลาลูกชายและลูกสะไภ้ว่าแม่อยากกลับบ้านนอกและได้ตัดสินใจกลับบ้านนอกเป็นการแน่นอนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็หิ้วกระเป๋าออกมาเลย แค่เนี้ยะ แล้วการไปอยู่บ้านนอกมันก็ใช่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเสียเมื่อไหร่ สมัยนี้มีอะไรก็ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์ทางไลน์ได้ง่ายจะตายไป
4. คุณกับผมเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ที่เราต่างก็เป็นผู้สูงวัยที่เกษียณแล้ว แปลไทยให้เป็นไทยก็คือมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไม่มาก ชีวิตที่เหลืออยู่ควรเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ ได้ทำสิ่งที่อยากทำ และได้ทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เป็นชีวิตที่ปล่อยวางอัตตาและเป็นอิสระจากความคิดลบทั้งปวง อย่าไปใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้จมอยู่กับความคิดลบเช่นความรู้สีกผิด ความยึดถือเกี่ยวพัน เพราะนอกจากชีวิตวันนี้จะไม่มีคุณภาพแล้ว ตามคติของทางศาสนาพุทธ หากคนเราจมอยู่กับความคิดลบจนถึงเวลาตาย เมื่อตายไปก็จะไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดีด้วยนะ
5. ผมจะบอกอะไรที่คุณคิดไม่ถึงอย่างหนึ่ง หากคุณตัดสินใจทำตามที่ผมแนะนำ ท้ายที่สุดแล้วจะนำความสุขมาให้ทุกๆคน รวมทั้งลูกชาย ลูกสะไภ้ และหลานด้วย เพราะการมีแม่ผัวเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ในบ้านคอยเลี้ยงลูกให้นั้น อนาคตของครอบครัวนี้ย่อมจะมีแต่ปัญหาซ้อนปัญหา อารมณ์ซ้อนอารมณ์ ต่อไปอีกไม่รู้จบ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ดิฉันเป็นครูเกษียณกินบำนาญได้สองปี สามีเสียไปหลายปีแล้ว อยู่ที่จังหวัด............ แต่ตอนนี้มาอยู่กรุงเทพฯเพื่อช่วยดูหลาน ตอนแรกว่าจะมาชั่วคราวช่วงเขาหาพี่เลี่้ยงไม่ได้ แต่นี่อยู่มาได้สองปีแล้ว พี่เลี้ยงก็ยังเข้าๆออกๆดิฉันเบื่อชีวิตแบบคนกรุงเทพ อยากกลับไปอยู่ต่างจังหวัด คิดถึงบ้านมาก และไม่กล้าบอกลูก ลูกชายกับลูกสะใภ้เมื่อเห็นมีแม่อยู่เขาก็กลับบ้านดึก กลายเป็นว่าทุกอย่างฉันเหนื่อยดูแลหมด ทำไปเพราะรักลูก หลานก็น่ารัก แต่เราก็เลี้ยงเด็กรุ่นลูกมาแล้วหนึ่งรุ่น แก่แล้วจะให้มาเลี้ยงรุ่นหลานอีกหนึ่งรุ่นหนึ่งก็จะมากเกินไปกระมัง ทุกวันนี้ได้แต่คิดแล้วเศร้า 24 ชม. 7 วัน นั่งเหม่อมองดูหลานเหมือนติดกับดักไม่อยากกินข้าวกินปลา ไม่ยอมให้ลูกรู้เพราะกลัวเขาจะทุกข์ คุณหมอช่วยแนะนำหน่อยว่าดิฉันควรทำอย่างไร
..............................................
1. หลานเป็นปัญหาของลูกชายและลูกสะไภ้นะ ไม่ใช่ปัญหาของคุณ พวกเขาแต่งงานกันแล้วมีลูก พวกเขาก็ต้องเลี้ยงดู นี่มันเป็นตรรกะที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องคิดมากเลย ดังนั้นต่อปัญหาหลาน คุณส่งมอบหลานคืนให้ลูกชายและลูกสะไภ้ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาไปซะก็จบ อย่าไปแบกปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาของคุณไว้
2. ความรู้สึกผิด (guilty feeling) เป็นปัญหาของคุณเอง ไม่ใช่ของลูกชายหรือลูกสะไภ้ การที่คุณมีอัตตาหรือมีตัวตนที่คุณวาดขึ้นว่าคุณเป็นแม่ที่ดีเลิศเมตตาเอื้ออาทรต่อลูก พอจะทิ้งไปคุณก็กลัวอัตตาที่คุณปั้นขึ้นนี้จะเสียหาย ความรู้สึกผิดเป็นความพยายามของคุณที่จะปกป้องอัตตาของคุณ แต่ว่าอัตตาของคุณมันเป็นของปลอมนะ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นแค่คอนเซ็พท์หรือความคิดเท่านั้น ชื่อว่าความคิดมันจะไปมีตัวตัวอะไร มันก็เกิดดับเกิดดับ คุณเป็นครูคุณก็คงรู้ดี แค่คุณวางมันลงมันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ดังนั้นต่อปัญหาความรู้สึกผิด คุณวางอัตตานั้นลงซะ เมื่อไม่มีตัวตนของแม่ผู้ประเสริฐค้ำอยู่ ความรู้สึกผิดก็ไม่มี
3. วิธีจะกลับไปอยู่บ้านนอกก็ไม่เห็นจะยากอะไร คุณก็ซื้อตั๋ว เก็บของ แล้วก็บอกลาลูกชายและลูกสะไภ้ว่าแม่อยากกลับบ้านนอกและได้ตัดสินใจกลับบ้านนอกเป็นการแน่นอนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็หิ้วกระเป๋าออกมาเลย แค่เนี้ยะ แล้วการไปอยู่บ้านนอกมันก็ใช่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเสียเมื่อไหร่ สมัยนี้มีอะไรก็ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์ทางไลน์ได้ง่ายจะตายไป
4. คุณกับผมเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ที่เราต่างก็เป็นผู้สูงวัยที่เกษียณแล้ว แปลไทยให้เป็นไทยก็คือมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไม่มาก ชีวิตที่เหลืออยู่ควรเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ ได้ทำสิ่งที่อยากทำ และได้ทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เป็นชีวิตที่ปล่อยวางอัตตาและเป็นอิสระจากความคิดลบทั้งปวง อย่าไปใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้จมอยู่กับความคิดลบเช่นความรู้สีกผิด ความยึดถือเกี่ยวพัน เพราะนอกจากชีวิตวันนี้จะไม่มีคุณภาพแล้ว ตามคติของทางศาสนาพุทธ หากคนเราจมอยู่กับความคิดลบจนถึงเวลาตาย เมื่อตายไปก็จะไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดีด้วยนะ
5. ผมจะบอกอะไรที่คุณคิดไม่ถึงอย่างหนึ่ง หากคุณตัดสินใจทำตามที่ผมแนะนำ ท้ายที่สุดแล้วจะนำความสุขมาให้ทุกๆคน รวมทั้งลูกชาย ลูกสะไภ้ และหลานด้วย เพราะการมีแม่ผัวเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ในบ้านคอยเลี้ยงลูกให้นั้น อนาคตของครอบครัวนี้ย่อมจะมีแต่ปัญหาซ้อนปัญหา อารมณ์ซ้อนอารมณ์ ต่อไปอีกไม่รู้จบ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์