ปาย.. ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ
เราไปตั้งหลักกันที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง |
เรามากันสามคนพ่อแม่ลูก ขับรถเช่่าอีซูสุ.มิวเอ็กซ์โฟร์วีลไดรฟ์ออกจากสนามบินเชียงใหม่ ทริปนี้เรามีเวลาสามวันสองคืน มิชชั่นหลักก็คือเพื่อขึ้นไปเยี่ยมชมไร่กาแฟของเพื่อนผู้อาวุโสกว่าท่านหนึ่ง ซึ่งท่านปลีกวิเวกขึ้นมาทำไร่กาแฟบนเขาที่ทางไปเมืองปาย และไหนๆก็มาแล้ว เราจึงวางแผนว่าจะขับไปตั้งหลักเที่ยวที่เมืองปายสักหนึ่งวันก่อน แล้วจึงค่อยขึ้นไปไร่กาแฟ ออกจากสนามบินเราขับตามจีพีเอส. เพื่อไปตั้งหลักเริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง วันนี้สามารถเข้ามาในอุทยานโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะเป็นวันพ่อ
อะฮ้า แหล่งพลังงานทดแทนเนื้อสัตว์ |
"ไม่ช่า ซื้อมาจากเชียหม่า"
ใกล้กันหญิงสาวลีซออีกคนหนึ่งขายน้ำขิงร้อนๆ เธอได้ยินเราคุยกันจึงรีบจับประเด็นไปเพิ่มมูลค่าสินค้าของเธอทันที
"น้ำขิงร้อ..ร้อ ปลูกเอโต้เอ"
ซื้อมันเทศเผาแล้วไม่ซื้อน้ำขิงได้ไง ถูกแมะ ไม่ว่าเธอจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ต้องอุดหนุนน้ำขิงอยู่แล้ว เพราะมันเทศเผากับน้ำขิงเนี่ย มันของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ
ดอกบัวตองข้างกระต๊อบชาวบ้านที่ริมถนน |
อิ่มอร่อยแล้วคราวนี้จึงถึงคิวเดินดูวิวถ่ายรูป ห้วยน้ำดังนี้คนเขาจะมาดูทะเลหมอกกันตอนเช้า แต่เรามาดูทะเลคนตอนบ่ายแทน บรรยากาศก็น่ารื่นรมย์ไม่แพ้กัน วิวดี ดอกไม้สวย อากาศเย็น ผู้คนแต่งตัวเต็มยศจนบางคนดูตะลุ้กปุ๊กไปหน่อย แต่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นบรรยากาศฮอลิเดย์ทริปของแท้ เราดูวิวถ่ายรูปแล้วก็ชวนกันเดินทางต่อไป ผมถามเจ้าหน้าที่อุทยานว่าจุดท่องเที่ยวที่ดีที่สุดจากนี้ไปคือที่ไหน เขาตอบว่าต้องไปดูสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ซึ่งเป็นสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้เพื่อการเดินทัพสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย
นี่..มันสะพานนวรัฐนี่หว่า |
"เฮ้ย..นี่มันสะพานนวรัฐนี่หว่า"
คือย้อนหลังไปประมาณปีพ.ศ. 2512 ผมเป็นจิ๊กโก๋..เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นนักศึกษาอยู่แม่โจ้ เชียงใหม่ ความที่มีเชื้อคริสต์อยู่ด้วย ผมจึงได้ไปสนิทสนมกับบราเดอร์คนหนึ่งเป็นฝรั่งสอนอยู่ที่โรงเรียนปรินซ์รอย ฝรั่งคนนี้ได้มอบภาพ "ขัวเหล็ก" หรือสพานวรัฐซึ่งทอดข้ามลำน้ำปิงที่เชียงใหม่ให้ พร้อมกับเขียนคำสอนไว้ใต้ภาพทำนองว่าให้ผมเลิกเป็นจิ๊กโก๋เสียเถอะ มันไม่ดี ผมจำรายละเอียดของคำสอนของเขาไม่ได้ดอก แต่จำภาพขัวเหล็กได้ เพราะผมเสียบภาพขัวเหล็กนี้ไว้บนหัวนอนผมอยู่หลายปีก่อนที่จะหายสาบสูญไปไหนก็ไม่รู้ในเวลาต่อมา มาเห็นขัวเหล็กที่เมืองปายจึงจำได้แม่น และเมื่อไปอ่านดูป้ายให้ความรู้ที่เขาตั้งไว้ก็จึงถึงบางอ้อ สพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้ของจริงนั้นเป็นสะพานไม้ ถูกชาวเมืองปายรื้อไปทำฟืนเรียบร้อยหมดแล้ว หิ หิ พูดเล่น ป้ายจริงเขาบอกว่าสะพานไม้นั้นญี่ปุ่นระเบิดทิ้งตอนใกล้จะแพ้สงคราม พอมาปีพ.ศ. 2518 เขาจึงเอาสะพานนวรัฐที่รื้ออกมาจากเชียงใหม่มาสร้างไว้ที่นี่ให้คนดูเล่น
จบการถ่ายรูปขัวเหล็กแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป ผมเสาะหาคำแนะนำที่ท่องเที่ยวใกล้ๆเอาจากแม่ค้า เธอแนะนะว่าให้ไปเที่ยวปายแคนยอน ผมถามว่า
ปาย..ไมโครแคนยอน ฝรั่งว่าดีกว่าแกรนด์แคนยอน |
เธอพูดช้าๆเป็นภาษากรุงเทพให้ฟังชัดถ้อยชัดคำว่า
"ปาย แคนยอน ค่ะ" ผมอดติดใจไม่ได้จึงถามว่า
"แล้วมันเหมือนกับแกรนด์ แคนยอน หรือเปล่า" เธอตอบว่า
"เหมือนกันนั่นแหละ แต่ฝรั่งเขาว่าปายแคนยอนดีกว่า"
พอกลับมาขึ้นรถภรรยาถามว่าไปไหนต่อ ผมตอบว่าไป "มินิแคนย่อน" พอขับรถไปถึง ซึ่งก็แค่ราวไม่เกิน 5 กม. เราจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเขาไปราวสามร้อยเมตร พอไปถีงผมต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่
"เมื่อกี้บอกชื่อผิด ขื่อจริงเขาคือปาย..ไมโครแคนย่อน"
สองข้างคือเหว ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น |
วิวสวย แต่จิตหมกมุ่นอยู่กับความกลัวตกเหว |
ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ |
ข้าวปุกงา |
ยมพบาลกำลังร้องขายน้ำต้มใส่กระบอกไม้ไผ่ |
ใครจะปั้นหุ่นโดยปั้นพุงได้เหมือนจริง |
เราเดินถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือมาจนถึงร้านอาหารริมถนนชื่อ "ปายใจดี" จึงตัดสินใจแวะเข้าไปกินอาหารมื้อเย็น เป็นร้านอาหารใหญ่ที่อาหารมีรสชาติดี เสร็จแล้วก็พากันกลับรถเพื่อขับไปหาที่พักที่จองไว้ว่าอยู่ที่ไหนต่อไป
สายหมอก กาแฟ และมันเทศต้ม |
เรารอให้หมอกจางอยู่นานจนรอต่อไปไม่ไหว เพราะสายแล้วหมอกก็ยังไม่จาง จึงต้องเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางต่อไปโดยตั้งใจจะไปตามคำแนะนำของคนที่นี่ว่าให้ไปดูเมืองจีนปลอมชื่อหมู่บ้านสันติชล แต่พอขับออกจากซอยออกมาก็พบกับตลาดซึ่งมีชาวบ้านใส่เสื้อกันหนาวสวมหมวกอุ่นนั่งตั้งวงกินโจ๊กกันอยู่ สมาชิกของเราคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆมาก็ร้องเรียนขอกินโจ๊กบ้าง เราจึงตกไปนั่งกินโจ๊กเพิ่มอุณหภูมิร่างกายกัน กินไปก็ชมเมืองปายยามเช้าไป ผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาสัญจรไปมาโดยเดินบ้าง จักรยานบ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ บ้านเรือนก็มองเห็นแต่เค้าโครงร่างๆอยู่หลังม่านหมอก
อิ่มโจ๊กได้ที่แล้วก็พากันเดินทางต่อไป เราขับรถต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านท้องนาซึ่งลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา ตัวผืนนากว้่างไกลแค่ไหนไม่รู้เพราะภาพหายไปในความขาวของม่านหมอก เห็นแต่ภูเขาสีน้ำเงินรางๆเป็นฉากหลังไกลๆ ชาวนาสุบกุบ (สวมหมวก)เกี่ยวข้าวกันอยู่ตะคุ่มตะคุ่ม
ซูมอินชาวนาเกี่ยวข้าวกลางสายหมอก |
หมู่บ้านสันติชล
เกาลัดย่างห่มผ้า |
บัวหิมะ โฆษณาว่ากินดิบๆได้ |
อาหมวยชาวจีนฮ่อหน้าตาสวยอีกคนหนึ่งร้องขายบัวหิมะ เข้าไปดูใกล้นึกว่าจะได้เห็นดอกบัวเย็บเจี๊ยบมีเกล็ดน้ำแข็งจับ ที่แท้กลายเป็นหัวมันแกว เธอยืนยันว่านี่ไม่ใช่มันแกว นี่เป็นบัวหิมะพันธุ์แท้จากเมืองจีนที่เธอซื้อมาจากตลาดเชียงใหม่ โอเค. บัวหิมะ ก็บัวหิมะ จะต้องซื้อไปลองกินดูหน่อยเพื่อพิสูจน์ว่ามันใช่มันแกวหรือไม่ใช่ สนนราคาก็ไม่ได้แพงเลย กิโลละยี่สิบบาท
หมู่บ้านสันติชล ความสำเร็จการพัฒนาชุมชน |
ร้านกาแฟที่วิวสวย ถ้าหาจังหวะหลบเวลาที่ทัวร์ลงพ้น |
ร้านกาแฟ
ออกจากหมู่บ้านสันติชล เราเดินทางต่อมุ่งหน้าจะขึ้นไปไร่กาแฟของเจ้าภาพตามที่ตั้งใจมา นั่นหมายความว่าเราต้องวิ่งย้อนกลับถนนเส้นปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ กำลังขับจะพ้นเมืองปายก็ผ่านจุดที่มีคนยั้วเยี้ยจึงจอดแวะดูว่าเขามีอะไรกัน จึงพบว่าเป็นร้านกาแฟชื่อ "ปายอินเลิฟ" ที่นักท่องเที่ยวยั้วเยี้ยเพราะเขามาถ่ายรูปวิวสวยๆ มีบ้านสองชั้นเท่ๆสีเหลืองหลังหนึ่ง ร้านกาแฟ สวนดอกไม้ ตัวร้านกาแฟนั้นคิวยาวแน่นขนัด แต่หากสบจังหวะที่แร้ง..เอ๊ย ไม่ใช่ ทัวร์ไม่ลง ก็จะมีช่องว่างให้ไปนั่งกินกาแฟได้บ้าง วิวจากระเบียงโต๊ะนั่งกินกาแฟนี้ดีมาก ผมถ่ายรูปมาด้วย แต่ภาพบ้านสีเหลืองและวิวสวนดอกไม้นั้นผมไม่สามารถถ่ายรูปมาได้ เพราะไม่สามารถหลบกล้องพ้นเหล่าคนหนุ่มคนสาวและคนเฒ่าคนเถิบที่มาแอ๊คชั่นแอ๊บแบ๊ว คิกขุ อาโนเนะ แบบว่าเอาสองมือโค้งขึ้นไปบรรจบกันเป็นรูปหัวใจแล้วเอียงสะโพกไปทางโน้นที่..แชะ เอียงสะโพกมาทางนี้ที..แชะ ไม่สามารถหลบพ้นจริงๆ
แผ่นดินแยก
เดินทางกันต่อไป คราวนี้จะจากเมืองปายจริงๆละ อ้าว เดี๋ยว ป้ายเล็กๆขวามือนั่นว่าอะไรนะ Land Split แปลว่าแผนดินแยก ผมเกิดความสนใจขึ้นมาทันที จึงเลี้ยวขวาควับเข้าถนนซอยนั้นไปได้ทันเวลา แล้วขับต่อไปในถนนชนบทแคบๆไปอีกหลายกิโลเมตร ก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า Land Split หรือแผ่นดินแยก
Business model ที่ไม่ซ้ำใครในปาย |
ธุรกิจดีจนเปลี่ยนหลังคาตองตึงได้ |
พอเดินกลับลงมาถึงที่จอดรถเราก็หอบได้ที่พอดี หนุ่มเจ้าของบ้านซึ่งอายุน่าจะประมาณ 40 ปี เชื้อเชิญให้เรานั่ง เขาทำเครื่องดื่มน้ำกระเจี๊ยบมาให้ เอามันเทศเผา กล้วยฉาบ มะละกอ และแยมกระเจี๊ยบที่เขาทำเองมาให้ วิธีทำธุรกิจของเขาก็คือเขาโฟกัสที่การแสดงน้ำใจ ถ้าแขกชอบเขาจะหย่อนเงินลงกล่องเอง ซึ่งก็ดูจะได้ผลดี เพราะตอนที่เรานั่งอ้อยอิ่่งกันอยู่ที่นี่ก็มีฝรั่งซำเหมาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาคู่สองคู่ มาแวะกินอะไร แล้วหย่อนเงินลงกล่อง หลักฐานอีกประการหนึ่งที่แสดงว่า business model ที่ไม่ซ้ำแบบใครของเขาเวอร์คดีก็คือบ้านของเขาซึ่งเป็นเรือนมุงตองตึงนั้น ตอนนี้หลังคาส่วนใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนแล้วเรียบร้อย
ผมคุยกับเจ้าบ้านสองสามคำ แล้วหยอดเงินในกล่องให้ 200 บาท พอผมขึ้นรถแล้วเขายังวิ่งตามมาเคาะหน้าต่างและยื่นมะละกอสุกลูกงามให้ภรรยาผมและว่า
"พี่เอามะละกอนี่ไปลองดู หวานดีมากครับ"
นี่แสดงว่าเขาแอบดูตอนแขกหยอดเงินลงกล่อง หากเขาคำนวณว่าเขาได้กำไรมาก เขาก็จะมีวิธีคืนกำไรให้ลูกค้า โดยที่ไม่เสียบิสซิเนสโมเดลหลัก คือขายประสบการณ์ดีๆว่าได้มาพบกับความเอื้อเฟื้อของคนไทย ผมนึกชอบรูปแบบการทำธุรกิจของเขาจริงๆ ต้องคนใจถึงจึงจะทำธุรกิจแบบนี้ได้ ยิ่งถ้าคิดจะเจาะลูกค้าคนไทยด้วยแล้ว นอกจากจะใจถึงแล้วยังต้องให้อภัยทานเก่งด้วยจึงจะทำได้
โป่งเดือด
เราออกเดินทางต่อ คราวนี้คงได้จากเมืองปายแน่ เจ้าภาพที่อยู่บนไร่กาแฟโทรศัพท์มาถามว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว และแนะนำว่าเราควรจะแวะอาบน้ำร้อนที่โป่งเดือดก่อนขึ้นมาบนไร่กาแฟ เพราะมันหนาวมากเดี๋ยวจะอาบน้ำไม่ได้แล้วจะหาว่าไม่เตือน เราก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยออกจากปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ มาได้ราวสี่สิบกม.ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโป่งเดือด ไปถึงก็พบว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีน้ำร้อนเดือดปุดๆพุ่งขึ้นมาสูงเป็นเมตรและมีไอน้ำกลิ่นกำมะถันโขมง เรามุ่งหน้าไปยังสถานที่อาบน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำไว้เผื่อวันพรุ่งนี้ตามแผนก็ได้รับคำตอบว่าที่อาบน้ำร้อนส่วนตัวเต็ม ผมถามว่าผมจะรอ เธอบอกรอไม่ได้ เพราะน้ำร้อนใส่ได้วันละครั้งเดียว ผมถามว่าแล้วมีที่อาบน้ำที่เป็นห้องมีความเป็นส่วนตัวอีกไหม เธอตอบว่ามี พลางชี้มือไปทางห้องอาบน้ำที่้เรียงอยู่เป็นแถวแต่เธอบอกว่า
"มันเป็นน้ำเย....นะ"
ผมบอกว่าไม่ต้องลากเสียงก็ได้ผมรู้ว่ามันเย็น เมื่อผิดหวังไม่ได้อาบน้ำเราก็ชวนกันไปหาอาหารกิน ร้านอาหารอยู่ทางโน้น พากันเดินไปได้แป๊บเดียวก็สวนทางกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งบอกเราว่า
" อย่าเสียเวลาเดินไปเลยค่ะ อาหารหมดแล้ว เหลือแต่มาม่า"
อ้าว จะอาบน้ำก็เต็ม จะกินข้าวก็หมด เอางี้ เราเดินขึ้นเขาไปดูโป่งเดือดก็แล้วกัน เพราะไหนๆก็มาแล้ว ขณะเดินขึ้นเขาไปเห็นเด็กๆถือชลอมไข่ต้มใบเล็กๆมากันหลายคนจึงชวนกันว่าเออมื้อนี้เราต้มไข่กินก็ดีนะ เพราะทุกคนหิวแล้ว แต่ภรรยาบอกว่าไข่ดิบเขาน่าจะขายกันที่สำนักงานข้่างล่างโน่น เราไม่ได้ซื้อติดมือมาเสียด้วย ผมยังมองโลกในแง่ดีว่าน่าจะมีขายข้างบนน่า เพราะคนขายที่ฉลาดเขาต้องขายของตรงที่ที่คนเกิดมู้ดจะซื้อ แต่ผมคาดผิด เพราะพอไปถึงโป่งเดือดก็พบว่าเขาไม่มีไข่ขาย ผมเห็นเด็กคนหนึ่งมีไข่อยู่ในครอบครองแยะมากนับได้เป็นสิบใบ จึงรี่เข้าไปถามว่าหนูมีไข่ขายไหม คุณแม่ของเด็กซึ่งหน้าตาสะสวยน่ารักตอบแทนลูกด้วยสำเนียงคนเมืองเหนือว่าที่นี่เขาไม่มีขายค่ะ แต่ฉันแบ่งให้คุณได้ ผมก็ร้องโน โน โน ด้วยความเกรงใจ เธอก็ยังยืนยันว่าไม่เป็นไร ฉันมีแยะเหลือเฟือ ซึ่งผมก็เห็นว่าจริง เพราะสองแม่ลูกจะกินไข่อะไรกันนักหนาเป็นสิบฟอง จึงอ้อมแอ้มตอบไปแบบคนหน้าด้านว่า
"ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมขอรบกวนสามฟองก็แล้วกัน"
กระท่อมน้อย อยู่ริมลำห้วยธารา |
เม้าท์ อาราบิก้า
บ่ายคล้อยแล้ว เราเดินทางกันต่อไปยังน้ำตกหมอกฟ้า ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่เจ้าภาพจะมารับเราที่นั่น หลังจากนั้นก็ขับรถตามเจ้าภาพไปตามทางแคบๆขึ้นเขาไปอีกนาน..น..หนึ่งอสงไขยเวลา แล้วก็มาถึงบ้านบนดอยกลางไร่กาแฟที่โรแมนติกซะไม่มี จนคิดถึงเพลงของทูล ทองใจ ขึ้นมาทันที
"..กระท่อมน้อย อยู่ริมลำหัวยธารา
ทั่วถิ่นวนา ไร้ความน่ากลัว
เรไรจำเรียง เสียงก้อง
แสงจันทร์ส่อง สลัว
น้องรักอย่ากลัว ว่าจะขื่นขม.."
บดกาแฟด้วยมือ เพราะไม่มีไฟฟ้า |
"..อ้า..า นี่แหละคือชีวิต
Ah.. This is life.."
รีสอร์ทเกรดเอ. ซ่อนรูปอยู่ใต้หลังคาใบตองตึง |
รุ่งเช้า ที่บ้านน้อยในไร่กาแฟบนเขา เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินดูกาแฟและสำรวจโลเคชั่นกับเจ้าภาพพร้อมด้วยสุนัขแสนรู้อีกสองตัว เหนื่อยแล้วก็กลับมาทานข้าวต้มร้อนๆที่เจ้าภาพลงมือทำให้เอง ก่อนกลับผมถ่ายภาพวิวที่มองจากบ้านน้อยหลังนี้ไว้กันลืมด้วย เป็นวิวที่สวยที่สุดวิวหนึ่งของทริปนี้
วิวที่หน้าบ้านที่ไร่กาแฟบนดอย ก่อนจากลา |
ภูเขา ชายป่า นาขั้นบันได กระท่อม ขาดแค่ควายสักตัวสองตัว |
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
8 ธค. 58