ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2557
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้สัมภาษณ์วิทยุ FM ….
ว่าด้วยสารพัดเรื่อง และ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
(ถอดจากสคริปต์)
FM ….
ที่มาของหนังสือ “โรคหัวใจ” ที่คุณหมอเพิ่งเขียนออกมาใหม่ แล้วก็..คุณหมอมีแจกให้หนูอีกสักเล่มไหมคะ
นพ.สันต์
ที่มาก็ไม่ได้มีอะไรพิสดาร ทางอมรินทร์พริ้นติ้งเขามาขอให้เขียนหนังสือเรื่องโรคหัวใจที่อ่านง่ายและครบถ้วนให้
แล้วเขาก็ขยันทวงต้นฉบับ ผมก็เลยเขียนให้ได้สำเร็จ เท่านั้นเอง หนังสือในมือผมตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะลิขสิทธิ์เป็นของอมรินทร์เขา เขาให้แซมเปิ้ลมาไม่กี่เล่ม
ซึ่งก็หมดไปแล้ว ถ้าคุณอยากได้เพิ่มคงต้องไปหาซื้อเอาเองตามร้านหนังสือ
FM ….
แล้วเรื่องของ “เฌออ้วน” ที่เล่าในหนังสือ ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรแล้วคะ
นพ.สันต์
ฮะ..ฮะ..ฮะ.. เธอก็กำลังปากกัดตีนถีบเพื่อจะปกครองตัวเองให้ได้ เธอเป็นคนที่สุดโต่ง
ผู้หญิงตัวคนเดียวที่ชอบสะสมสมบัติบ้า แล้วก็ที่สำคัญ อ้วนด้วย เพราะชอบกิน
คนแบบนี้มีไม่ใช่น้อยนะ แต่ที่โชคร้ายถึงขนาดไฟไหม้บ้านในวันที่ตัวเองกำลังทำบอลลูนรักษาหัวใจอยู่ในโรงพยาบาลนั้น
คงมีแต่เธอคนเดียวละมัง
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากให้ท่านผู้ฟังเรียนรู้จากเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อ
“เฌออ้วน” นี้ก็คือร่างกายเราก็เหมือนบ้าน เมื่อเราเผลอไม่เก็บกวาดขยะก็สะสม
ถึงจุดหนึ่งขยะนั้นก็เป็นเชื้อไฟเผาบ้านของเราเอง
ขยะในร่างกายก็คือไขมันที่เกิดจากการตะบันกินอาหารที่ให้แคลอรี่เข้าไปมากกว่าความจำเป็นที่ร่างกายต้องใช้
พอเหลือก็สะสมเป็นไขมัน ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดบ้าง
พอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็เป็นเรื่อง
ดังนั้นเราต้องบันยะบันยังการเอาสมบัติบ้าเข้าบ้าน นั่นหมายถึงการกิน และขยันเก็บกวาดบ้าน
นั่นหมายถึงการขยันออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมบอกเป็นการบ้านให้เฌออ้วนเอาไปทำ เธอเก็ทแล้วแน่นอน
แต่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ นั่นต้องตามไปลุ้นดู
FM ….
ปีใหม่ปีนี้ คุณหมอมีความคิดอะไรบ้างคะ
นพ.สันต์
เป็นธรรมดาเมื่อมีเวลาว่าง
โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวซึ่งผมเริ่มหยุดมาได้สองวันแล้ว ผมก็มักจะเผลอคิดทบทวน
แบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่า self reflection นั่นแหละ เผลอคิดทีไร
สารัตถะที่ผมสรุปได้ก็มักจะเหมือนเดิม ว่าสิ่งที่รอผมอยู่ไม่ไกล แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง
ก็คือความตาย มาถึงวัยนี้แล้ว ผมเหลือเวลาอีกไม่มาก
ผมจะใช้เวลาที่เหลือทำอะไรเป็นสิ่งที่ผมต้องตรองให้ตกผลึก และรีบลงมือทำ
อีกอย่างหนึ่งที่มักเป็นข้อสรุปเมื่อผมคิดทบทวนถึงการใช้ชีวิตทุกครั้งก็คือ
ผมมักจบลงด้วยการเตือนตัวเองถึงการเผลอยึดถือ
หมายความว่ายึดถือความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วชีวิตก็ติดกับดักความยึดถืออันนั้น อย่างโทรศัพท์มือถือที่ผมถือคุยกับคุณอยู่เนี่ย
ถ้าถือแป๊บเดียวแล้ววาง มันก็ไม่หนักเลย แต่ถ้าถือทั้งวันทั้งคืนมันก็จะหนักอึ้งจนถือต่อไปต่อลำบากใช่ไหมละ
ถ้าเราวางมันลงเสียในบางช่วงเวลา แล้วกลับมาถือใหม่ ก็จะสบายกว่า ดังนั้นกิจกรรมที่ตัดวงจรความคิดซ้ำซาก
ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิตามดูลมหายใจ การรำมวยจีน การฝึกโยคะ
หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่เราได้เอาใจของเราออกจากความคิดที่ครอบเราอยู่ไปจดจ่อกับอะไรสักอย่างเช่นลมหายใจหรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แม้จะเป็นเพียงชั่วคราววันละ 15 หรือ 20 นาที ก็เป็นการวางความคิดยึดถือลง ทำให้ใจมันเบาลง
ทำให้เราสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่หนักอึ้งมาก นี่เป็นความคิดตกผลึกที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อผมเผลอคิดทบทวนชีวิต
FM ….
แล้วที่ว่าเวลาที่เหลือจะทำอะไร อันนี้ตกผลึกหรือยังคะ
นพ.สันต์
ตกผลึกแล้ว แน่นอน เพราะผมไม่ใช่เพิ่งมาคิดปีนี้ ผมคิดมาทุกปี อันที่จริงสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้
ก็เป็นผลจากการสรุปความคิดในปีก่อนๆ คือผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปตามการคิดไตร่ตรองมาเป็นระยะๆแบบนี้ตลอดมา
ตั้งแต่เลิกเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ เลิกทำงานบริหารโรงพยาบาล กลับไปเรียนเวชศาสตร์ครอบครัวใหม่เอาเมื่ออายุห้าสิบกว่าแล้ว
และหันมาทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทุกวันนี้ที่ผมทำอยู่คือ สอนคนไข้เป็นรายคนให้ดูแลตัวเองเป็น
ในรูปแบบของคลินิกในโรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 วัน ทำเฮลท์แค้มป์เพื่อสอนทักษะในการดูแลตัวเองให้คนเป็นกลุ่มๆเดือนละสองสามครั้งทุกเดือน
เขียนบล็อกให้ความรู้คนทางอินเตอร์เน็ททุกสัปดาห์ ทำรายการทีวี.ให้ความรู้แก่คนที่ชอบดูทีวี.
เขียนหนังสือด้านสุขภาพให้ความรู้คนที่ชอบอ่านหนังสือปีละเส่มสองเล่ม ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลมาจากการตกผลึกความคิดในปีก่อนๆ
FM ….
พูดถึงรายการทีวี. ที่ทำอยู่ตอนนี้มีอะไรบ้างคะ
นพ.สันต์
รายการหมอสันต์ทันโรคทางเนชั่นแชนแนลตอนนี้จบซีซั่นไปแล้ว
ที่กำลังจะออนแอร์ใหม่ก็มีรายการ "เต้นเปลี่ยนชีวิต" (Dance Your Fat Off) ที่จะออกฉายที่ช่องสาม
แล้วมีอีกสองรายการที่จะออกที่ช่อง 7 และอีกช่องเข้าใจว่าจะเป็นช่อง 9 ซึ่งสองอันหลังนี้ชื่อรายการคงต้องรอให้เขาประกาศอย่างเป็นทางการก่อน
จะตัดหน้าพูดไปก่อนคงไม่เหมาะ ทั้งหมดนี้สาระหลักอยู่ที่การมุ่งสอนให้ผู้คนรู้จักดูแลสุขภาพตัวเองด้วยตัวเองซึ่งเป็นพันธะกิจส่วนตัวสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ของผม
โดยแทรกไปกับเปลือกนอกหรือหีบห่อที่คนดูทีวี.เขารับได้ เช่นเป็นรูปแบบเกมโชว์บ้าง เป็นเรียลลิตี้บ้าง
แล้วแต่
FM ….
นอกจากการเผยแพร่ความรู้วิธีการดูแลสุขภาพด้วยตนเองแล้ว มีอะไรที่จะต้องรีบทำก่อนตายอีกไหมคะ
นพ.สันต์
หึ..หึ มี.. มี
มีมานานแล้วด้วย ก็การสร้างนิคมคนแก่ไง
FM ….
ต๊าย.. หนูขอไม่ไปอยู่นะคะ
นพ.สันต์
ขอโทษที่ผมใช้ภาษาทื่อมะลื่อไปหน่อย คือตัวเองตอนนี้หกสิบกว่าแล้ว
จึงใช้คำว่า “คนแก่” ได้สะดวกปากโดยไม่ต้องเกรงใจใคร คือในเรื่องนี้มันมีที่มาสามประเด็นนะ
ประเด็นที่หนึ่ง ก็คือคุณภาพชีวิตของคนแก่เมืองไทยมันแย่
ตัวคนแก่เองก็ถูกโปรแกรมสมองว่าเมื่อตัวเองแก่แล้วต้องทำตัวให้เป็นภาระกับลูกหลานและสังคมเข้าไว้จะได้คุ้มกับการที่เราเหนื่อยยากให้กับสังคมและลูกหลานมาตลอดชีวิต
ส่วนสังคมไทยโดยรวมนั้นก็ได้ค่อยๆทิ้งความเป็นสังคมเอื้ออาทรมาเป็นสังคมที่ผู้คนจะเอาแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง นั่นหมายถึงการทิ้งคนแก่ซึ่งทำประโยชน์อะไรให้ตัวเองไม่ได้แล้วด้วย
เมื่อเอาทั้งสองอย่างนี้มารวมกัน คุณภาพชีวิตของคนแก่มันเลยแย่
ประเด็นที่สอง คือทุกวันนี้รูปโฉมของการแพทย์และสาธารณสุขของชาติได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
แต่องคาพยพของการดูแลกิจการสาธารณสุขของชาติไม่ได้เปลี่ยนตาม ไม่ต้องไปดูไกลหรอก ไล่ดูชื่อหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขก็ได้
ยังมีชื่อหน่วยงานอย่างเช่น กองโรคเท้าช้าง อยู่เลย แต่หากดูหลักฐานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงสุขภาพในคนไทยวันนี้แล้ว
เราคาดหมายได้แน่นอนเลยว่าจากนี้ไปอย่างน้อยอีก 30 ปี
ครึ่งหนึ่งของคนไทยวัยผู้ใหญ่จะป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อันหมายถึงโรคหลอดเลือดที่สมอง
ที่หัวใจ ที่ไต โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง ยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งเป็นโรคเหล่านี้มากขึ้น
พอมาถึงวัยเกษียณก็เป็นกันมากเกินครึ่งห้อง
ผมหมายถึงห้องสอนการดูแลสุขภาพตนเองสำหรับผู้เกษียณ
ประเด็นก็คือวิธีจัดการโรคเรื้อรังของชาติไทยตอนนี้คือการใช้ยารักษาในโรงพยาบาลตะพึด
ซึ่งหลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ชี้ชัดแล้วว่ามันไม่ได้ผล วิธีนี้รังแต่จะเป็นภาระมหาศาลให้กับทั้งตัวคนป่วยและกับสังคม
โรคเรื้อรังต้องการการจัดการที่เป็นระบบครบวงจรแบบที่เรียกว่า disease
management system ซึ่งเน้นที่การป้องกันทั้งๆที่เป็นโรคแล้วหรือ secondary
prevention หมายความว่าเน้นไปที่การมุ่งให้คนป่วยปรับวิธีใช้ชีวิตกินอยู่เคลื่อนไหวหลับนอนอย่างไรให้หายป่วย
และเน้นไปที่การฟื้นฟูสมรรถนะที่สะง็อกสะแง็กให้สามารถเคลื่อนไหวช่วยตัวเองได้เต็มความสามารถของตัวเองจนนาทีสุดท้าย
แต่สิ่งเหล่านี้ระบบการแพทย์และการสารธารณสุขของชาติไม่ได้ทำเลย พูดถึงยังแทบจะไม่พูดถึงเลย ไม่เชื่อคุณไปกระทรวงสาธารณสุขแล้วถามหา "กรมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต" สิว่ามีไหม..ไม่มี้
ประเด็นที่สาม ธุรกิจก็ดี กิจกรรมเพื่อสังคมหรือ NGO เช่นมูลนิธิทั้งหลายก็ดี
เขามีวิธีทำงานแบบอนุรักษ์นิยม คือทำตามแบบแผนที่เคยทำกันมา ไม่มีใครกล้าคิดทำอะไรใหม่
พูดง่ายๆว่าสังคมไทยเรานี้ขาดนวัตกรรมเชิงสังคม หรือ social creativity ธุรกิจไม่กล้าทะลึ่งทำอะไรใหม่เพราะกลัวเจ๊ง แม้จะมีเงินระดับมหาเศรษฐีแล้วก็ยังกลัวเจ๊ง คนที่ทะลึ่งไปแล้วก็เจ๊งไปแล้วจริงๆ ส่วน NGO ไม่กล้าคิดทำอะไรใหม่เพราะกลัวไม่ได้เงินสนับสนุน เพราะ NGO ไทยนี้อยู่ได้เพราะเงินสนับสนุน
ไม่ใช่อยู่ได้เพราะรายได้จากนวัตกรรมที่ตัวเองคิดขึ้น ผมพูดอย่างนี้ NGO คงไม่โกรธกันนะ
เพราะผมเองก็เป็นประธานมูลนิธิ เป็นกรรมการมูลนิธิอยู่สองสามแห่ง
ปัญหาคุณภาพชีวิตของคนแก่จึงเป็นปัญหาที่ธุรกิจและ NGO ไทยช่วยอะไรไม่ได้
FM ….
ขอโทษ คุณหมอคะ ขอขัดนิดหนึ่งนะคะ
แล้วทั้งสามประเด็นนี้ เท่าที่ดิฉันจับประเด็นได้ คือ (1) คุณภาพชีวิตผู้สูงวัยทุกวันนี้ไม่ดี (2) รูปแบบของการเจ็บป่วยเปลี่ยนไป และ (3) องค์กรธุรกิจและมูลนิธิยึดแนวอนุรักษ์นิยม
ทั้งสามอย่างนี้มันมาเกี่ยวสิ่งที่คุณหมอคิดจะทำยังไงละคะ
นพ.สันต์
อ้าว ก็ผมคิดจะทำนิคมคนแก่นี่ อะไรที่เกี่ยวกับคนแก่มันก็ต้องเกี่ยวกับการสร้างนิคมคนแก่ถูกไหม
FM ….
ค่ะ ค่ะ
นพ.สันต์
คือที่ผมพูดว่านิคมคนแก่เนี่ย ไม่ใช่คอนเซ็พท์เดิมแบบบ้านบางแคนะ
ไม่ใช่ว่าพอมีคนแก่จำนวนล้นหลามมากงกๆเงิ่นๆเกะกะถนนวุ่นวายนัก
เราก็ทำโรงเลี้ยงคนแก่แล้วไล่ให้คนแก่ที่เกะกะเข้าไปรวมกันอยู่ในนั้น
จัดคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เพื่อให้ผู้คนนอกโรงเลี้ยงได้ใช้ชีวิตกันต่อไปตามปกติ ไม่ใช่อย่างนั้น
สิ่งที่ผมคิดจะสร้าง คือชุมชน หรือ community ที่คนแก่นอกจากจะใช้อยู่อาศัยแล้วยังใช้เป็นที่เรียนรู้วิธีใช้ชีวิตให้ก่อประโยชน์ต่อตนเองและสังคมเต็มศักยภาพที่ตนมี
มีความเป็นชุมชนไทยที่แท้จริง หมายความว่ารู้จักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ดูแลกันและกันได้
FM ….
แบบว่าบ้านจัดสรรคนรวยที่ออกแบบให้เหมาะกับผู้สูงวัย
นพ.สันต์
มันมีหลายรูปแบบนะครับ แบบที่คุณพูดถึงนั้นเขาเรียกว่า CCRC หรือ continuous
care retirement community นั่นก็เป็นแบบหนึ่ง ซึ่งเมืองไทยก็มีคนลองทำอยู่บ้างแล้ว อย่างน้อยก็สองเจ้า
คือกาชาดทำที่สวางคนิวาส และของคุณหมอสมชัยทำที่บางไทร อยุธยา
แต่รูปแบบที่ผมจะทำเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
เรียกว่า senior co-housing เรียกสั้นๆว่า CoHo เริ่มต้นด้วยการหาคนที่รู้จักกันจำนวนหนึ่ง
ประมาณ 8-15 คน ที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว หากยังไม่รู้จักกันก็มารู้จักกันเบื้องต้นจนเกิดสังคมจริงๆขึ้นมาก่อน
อาจจะตั้งต้นก่อนสี่ห้าคน แล้วสมาชิกเก่าโหวตรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง แล้วคนเหล่านี้จึงมาทำแผนร่วมกันว่าจะสร้างสังคมที่อยู่ตอนแก่ของตัวเองขึ้นมาด้วยกัน
ในรูปแบบของชุมชนเล็กๆอยู่ในรั้วเดียวกัน คนเหล่านี้จะวางแผนออกแบบที่พักร่วมกัน
ที่พักอาศัยแบ่งเป็นหน่วยๆแยกของใครของมันก็จริง แต่อะไรที่จะเป็นภาระกับผู้สูงอายุเช่นการทำสวน
ตัดหญ้า ซักรีด อยู่เวรยาม สนามออกกำลังกาย สวนดอกไม้ สวนผัก สวนพักผ่อน
หรือแม้กระทั่งที่กินข้าวเย็น
สร้างเป็นพื้นที่ร่วมอันเดียวซึ่งทุกคนเป็นเจ้าของร่วมคล้ายกับคอนโด
เพียงแต่ว่าสิ่งปลูกสร้างมันอยู่แนวราบ คนเหล่านี้จะเอาความรู้ความชำนาญของตัวเองออกมาแชร์กับของคนอื่น
และร่วมกันทำกิจกรรมนับตั้งแต่ออกแบบ คุมการก่อสร้าง พัฒนาพื้นที่ จนถึงเข้าไปอยู่อาศัย
บางคนอาจจะยังไม่เกษียณและไปๆมาๆอยู่ บางคนเกษียณแล้วและอยู่ประจำ รูปแบบของการอยู่อาศัยร่วมกันจะเน้นการเรียนรู้จากกันและกันหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆร่วมกัน
และสร้างสรรค์ประโยชน์ให้เต็มศักยภาพที่สมาชิกมี ทั้งประโยชน์ต่อตนเอง ต่อ co-housing
ลามออกไปถึงประโยชน์ต่อสังคมภายนอกถ้าชุมชนนั้นมีศักยภาพมากพอ
ชุมชนแบบนี้ไม่ต้องเป็นคนรวย เพราะรูปแบบของ co-housing เป็นรูปแบบลดต้นทุนจากการใช้ร่วม
เช่นแทนที่จะต้องจ้างคนสวนประจำของตัวเองก็จ้างคนสวนร่วมทั้งหมดคนเดียว แทนที่จะต้องมีพื้นที่วางเครื่องซักผ้าอบผ้าในบ้านของตัวเองก็ไปใช้เครื่องร่วมแทน
เป็นต้น ถ้า CoHo อันแรกเวอร์ค ผมก็จะขยายให้มีอันที่สอง อันที่สาม เมื่อมีหลาย CoHo มาอยู่ในละแวกเดียวกัน มันก็จะกลายเป็นหมู่บ้านของผู้สูงอายุแนวใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และที่สนองตอบต่อความต้องการของผู้สูงอายุที่จะมีชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ แล้วเมื่อรูปแบบนี้มันดีจริง มันก็จะแพร่หลายออกไป
FM ….
อื้อ..ฮือ คุณหมอต้องใช้เวลาทำนานไหมเนี่ย
จึงจะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นจริง
นพ.สันต์
คือการจะทำอะไรให้มีประโยชน์ถึงระดับก่อการกระเพื่อมเชิงบวกเป็นวงกว้างเนี่ย
ผมว่ามันต้องใช้เวลาสิบยี่สิบปี ผมอาจจะตายไปก่อนก็ได้ แต่ผมไม่ซีเรียสนะ ถามว่าต้องใช้เวลานานไหม
ตอบว่าสักสิบปียี่สิบปีละมัง
ซึ่งผมตั้งใจว่าพอขึ้นปีใหม่ปีนี้ ใช้เวลาเคลียร์งานแบ็คล็อกที่ค้างคาอยู่สักสามสี่เดือนจบแล้ว ผมก็จะเริ่มทำ CoHo อันแรกเลย คือปีนี้เอาจริงแน่นอน
FM ….
ทำที่กรุงเทพนี่เหรอคะ
นพ.สันต์
ทำที่มวกเหล็กครับ เพราะผมอยุ่ที่นั่น ตัวผมก็จะเข้าไปอยู่อาศัยใน CoHo นี้ด้วย
FM …. แล้วไม่กลัวล่มหรือเจ๊งหรือคะคุณหมอ
นพ.สันต์
มันก็ต้องลุ้น คือนวัตกรรมทุกอย่างมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน
คุณเคยได้ยินชื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ใช่ไหม หมอชาวฝรั่งเศสที่ค้นพบวัคซีนนะ
คืนแรกที่เขาทดลองฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้กับเด็กที่ถูกหมาบ้ากัดมาเหวอะหวะ
คืนนั้นเขานอนไม่หลับทั้งคืน คือเมื่อคิดจะทำอะไรใหม่
มันก็ต้องยอมรับความเครียดจากการลุ้น แต่ด้วยวิธีรู้จักปล่อยวางความคิดเป็นพักๆ และด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่าที่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างสรรสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น ผมว่าถึงเจ๊งผมก็เอาตัวรอดได้นะ อย่างน้อยใจผมก็รอด แม้กระเป๋าจะไม่รอด
FM ….
คุณหมอคะ ปีใหม่จะบอกอะไรกับท่านผู้ฟังบ้างคะ
นพ.สันต์
ก็สวัสดีปีใหม่นะครับท่านผู้ชม ขอโทษ.. ท่านผู้ฟัง นอกจากการหยุดคิดไตร่ตรองถึงชีวิตที่ผ่านมาแล้ว
ในแง่สุขภาพก็เป็นธรรมเนียมว่าปีใหม่เป็นเวลาที่จะเริ่มต้นทำตามความตั้งใจใหม่
แบบที่ฝรั่งเรียกว่า new year resolution ฟิตเนสฝรั่งเนี่ยพอขึ้นปีใหม่ก็จะเช่าที่จอดรถสองชั้นเพิ่มไว้เลย
แต่เขาทำสัญญาเช่านานแค่สองเดือนนะ
เพราะพวกฟิตเนสรู้ดีว่าลูกค้าจะเฮี้ยวทำท่าจริงจังได้ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น แล้วก็จะแผ่วและเลิกไปเอง
เนี่ย ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แหละท่านผู้ฟังครับ
คือคิดตกไตร่ตรองได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แล้วลงมือทำไปแล้ว แต่มันทำไปได้ไม่นานก็หล่นแอ๊กกลับมาแบะแฉะอยู่ที่เดิม
แต่เชื่อผมเถอะครับ ขยันตั้งต้นใหม่เข้าไว้ ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก พลังมันจะค่อยๆมา แล้วมันจะติดลมเอง
ตัวช่วยอีกอันหนึ่งคือเลือกกฎเหล็กประจำใจสักหนึ่งข้อ เอาข้อเดียวนะ อย่ามาก
อย่างผมเคยล้มเหลวในเรื่องออกกำลังกาย จนผมตั้งกฎเหล็กต่อตัวเองขึ้นมาว่าต่อไปนี้การออกกำลังกายทุกวันเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดของชีวิต สำคัญกว่าการแปรงฟัน ชีวิตนี้ต้องทำสิ่งสำคัญสูงสุดก่อน ตื่นเช้ามาถ้ายังไม่ได้ออกกำลังกาย ห้ามแปรงฟัน
โดยวิธีนี้ก็ออกจากบ้านไปไหนไม่ได้เพราะฟันยังไม่ได้แปรง
จึงออกกำลังกายทุกวันได้สำเร็จ ท่านผู้ฟังลองวิธีนี้ดูก็ได้นะครับ คือตื่นขึ้นมา ทำสิ่งสำคัญให้ได้ก่อน..ก่อนการแปรงฟัน
FM ….
ค่ะ ท่านผู้ฟังคะ นั่นคือ นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ หัวหน้าศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 แขกพิเศษของเราในวันนี้นะคะ ขอบพระคุณคุณหมอคะ
โอกาสหน้าคุณหมอคงจะให้เวลาคุยกันเราอีกนะคะ
..............................................................