เสี้ยวหนึ่งของชีวิตหมอน้อยชายแดน
บทความเขียนให้นิตยสาร Guitar Affection
31
มีนาคม
2523
หมอชุ่ยจบอินเทิร์นแล้ว
ชูหนังสือแนะนำตัวจากหัวหน้าแผนกซึ่งเขียนว่า “เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูงเยี่ยม” อวดให้เพื่อนๆดู
แต่เพื่อนๆต่างรู้กันดีว่าหมอชุ่ยนอกจากจะไม่ใช่คนยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นเพียงคนหลงๆลืมๆขาดๆแหว่งๆที่แถกเหงือกเอาตัวรอดในยามคับขันเก่งเท่านั้น
บังเอิญในวันสุดท้ายของการเป็นอินเทิร์นหมอชุ่ยมัวยุ่งอยู่กับคนไข้โดยที่ลืมไปว่าตัวเองจบอินเทิร์นแล้ว
หัวหน้าแผนกซึ่งถือหลักในการประเมินอินเทิร์นว่า “จะดูว่าใครดีให้ดูที่วันสุดท้าย” มาเห็นการทำงานของหมอชุ่ยเข้า เขาก็เลยฟลุ้คได้คะแนนยอดเยี่ยมไป
หมอชุ่ยจับฉลากได้ไปทำงานที่จังหวัดชายแดน
ได้เงินเดือน 2,300 บาท บวกค่าอยู่เวรอีก
1,500 บาท มีบ้านพักให้อยู่
ก็จัดว่าเป็นเศรษฐีน้อยๆแล้วในสมัยนั้น มีหมอใช้ทุนรุ่นเดียวกันมาจากต่างสถาบันนับรวมได้
5 คน
ทำให้การทำงานครึกครื้นสนุกสนานทุกวัน เมื่อใดที่ว่างตรวจคนไข้
ขณะที่พี่ๆหมอรุ่นเก่าเขาสาละวนไปทำร้านกัน เหล่าหมอน้อยทั้งห้าซึ่งไม่มีร้านรวงเป็นของตัวเองก็มักมายึดห้องพักแพทย์เป็นที่สุมหัว
“ตายละ... ฉันตรวจคนไข้ไปครึ่งวัน โดยไม่ได้กลัดกระดุมเม็ดบน”
หมอตุ่มคนสวยตกอกตกใจเมื่อมาพบว่าตัวเองแต่งตัวไม่เรียบร้อย เพื่อนหมออีกคนปลอบเป็นภาษิตฝรั่งว่า
“อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยหนู
นมมันหกไปแล้ว”
อยู่มาได้สามเดือนก็มีพี่ใหม่เข้ามาสมทบ
จบอเมริกันบอร์ดด้านศัลยกรรมมาจากเมืองนอกหมาดๆ
“โอ้โฮ..
เท่ระเบิดเลยวุ้ย”
พวกหมอจบใหม่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอย่างนี้
ทำให้ชื่อของพี่คนใหม่กลายเป็น “พี่เบิด” ไปโดยปริยาย ยิ่งนานไป
พี่เบิดก็ยิ่งกลายเป็นเทวดาขวัญใจของหมอน้อย เพราะทั้งความรู้ดี สอนเก่ง
ถ่ายทอดวิธีคิด วิธีตัดสินใจ เป็นที่พึ่งเวลาผ่าตัดแล้วทำต่อไม่ได้
แถมยังคอยเป็นผู้ตำหนิติติงน้องๆทุกครั้งที่เผลอละเลยเรื่องจริธรรม
หรือปิดๆบังๆอะไรกับคนไข้ พี่เบิดจะพูดกับชาวไร่ชาวนาตาสีตาสาด้วยมาดที่ตั้งใจเช่นเดียวกับที่เคยใช้กับคนไข้ฝรั่ง
จะทำอะไรกับคนไข้ต้องบอก ทำอะไรผิดไปต้องบอกเขาแม้เขาจะบ้านนอก ประโยคที่พี่เบิดใช้บ่อยก็คือ
“มันจะไม่แฟร์กับคนไข้”
หลายเดือนต่อมา วันหนึ่งขณะที่หมอชุ่ยกับพี่เบิดกำลังจะเลิกงานตรวจที่โอพีดี.
เท็คนิเชียนเอ็กซ์เรย์ก็เข้ามาดึงพี่เบิดออกไปอย่างเงียบๆ
หมอชุ่ยเห็นผิดท่าก็รีบจ้ำตามไปที่ห้องเอ็กซเรย์ เมื่อเดินไปถึงก็เห็นพี่เบิดและหมอตุ้มกำลังอ้าปากค้างดูฟิลม์เอ็กซ์เรย์ที่บนแผงอยู่ไม่วางตา
มันเป็นเอ็กซ์เรย์ของคนไข้ชื่อนายจันทร์ที่พี่เบิดผ่าตัดแก้ไขกระเพาะอาหารทะลุเมื่อเดือนก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมต้องอ้าปากค้างก็คือภาพคีมหนีบหลอดเลือดฮีโมสะแตทขนาดน้องๆฝ่ามือ
ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟิลม์ มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้
นอกจากเครื่องมือนั้นถูกลืมไว้ในท้องของคนไข้เมื่อวันผ่าตัด
เท็คนิเชียนเข้ามากระซิบเตือนว่าคนไข้ยังรอฟังผลฟิลม์อยู่ที่ห้องตรวจโอพีดี.
แต่พี่เบิดตอนนี้หน้าจ๋อยเปลี่ยนจากเทวดากลายเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้ว
หมอชุ่ยจึงถือโอกาสเสือกตัวเองเข้าไป
“ผมเองพี่.. ผมเอง”
ว่าแล้วหมอชุ่ยก็หยิบเสื้อกาวน์มาใส่
พยายามทำหน้าให้แก่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะเดินออกไปดวลกับคนไข้
“ลุงจันทร์ครับ
การผ่าตัดครั้งที่แล้วทำกันแบบฉุกเฉิน ทำให้มีเครื่องมือเป็นโลหะชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งตกค้างอยู่ในช่องท้องของลุง
ซึ่งทางหมอคุยกันแล้วมีความเห็นว่าคงจะต้องทำผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอาเครื่องมือนั้นออกมา”
ลุงจันทร์พยักหน้าแล้วบอกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า
“จ้างมันเต๊อะ หมอ ตอนนี้ผมก็สบายดีแล้ว
ไม่ต้องผ่าเอาออกหรอก”
หมอชุ่ยแอบถอนหายใจ อย่างน้อยคนไข้ก็ไม่ใช่ประเภทที่จะเรียกเอาค่าเสียหาย
หรือประเภทขู่จะไปฟ้องหนังสือพิมพ์ แต่หมอชุ่ยก็เก็บความดีใจไว้แล้ววางฟอร์มทำหน้าเคร่ง
ก่อนที่จะรุกฆาตไปว่า
“ไม่ได้ครับลุง เครื่องมือนั้นเป็นของหลวง...
ต้องเอาคืน”
การผ่าตัดทำกันอย่างเร่งรีบในคืนนั้นเลย
เมื่อได้คีมฮีโมสะแตทออกมาแล้ว หมอชุ่ยทำตลกโดยยกมือไหว้เจ้าคีมนั้นไปทีหนึ่ง
ทุกคนในห้องผ่าตัดพากันหัวเราะ.. ชีวิตในรพ.ชายแดนกลับสู่ภาวะปกติได้อีกครั้ง
’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’