เห็นคนตายมาแยะ แต่ทำไมปลงไม่ตก

ซื้อไก่ตัวนี้มาเพราะเห็นว่าอัตตามันแยะดี

ถาม..อ.จารย์หมอว่า ตัวเองทำงานในรพ.เห็นคนเจ็บป่วย คนตาย ประจำ ทำไมไม่ปลงตก เมื่อเกิดกับตัวเอง ยังทำใจไม่ได้ ยังมีการเศร้าโศกอีก ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมชาติ

..............................................

ตอบครับ

     คุณถามว่า "ทำไม" แต่ใจผมอยากจะตอบคำถามว่า "ทำอย่างไร" มากกว่า เพื่อให้ทั้งคุณและทั้งผู้อ่านท่านอื่นๆเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง

     ต่อคำถามว่าทำไม เห็นคนตายอยู่ตำตาทุกวันแล้วทำไม "ไม่เก็ท" คำตอบมีได้หลายแบบนะ เช่น

     1. แฟนบล็อกนี้ท่านหนึ่งซึ่งคงเป็นสายพุทธออร์โธด็อกซ์ เขียนตอบมาไว้ใต้คำถามของคุณว่า 

     "คนที่เห็นความตายทุกวัน หรือคนที่ผ่าศพทุกวัน แต่ไม่สามารถทำใจได้นั้นก็เพราะขาดการใคร่ครวญ หรือน้อมเข้ามาหาตน หรือ โอปนยิโก ยังประมาทอยู่" 

     ผมถือว่านั่นก็เป็นคำตอบให้คุณได้อย่างหนึ่ง

     2. เพื่อนผมคนหนึ่งแวะมาชะโงกดูหน้าจอคอมขณะผมนั่งตอบคำถามนี้ พูดว่า 

     "อ้าว ถ้าเห็นคนตายทุกวันแล้วบรรลุธรรมได้ สัปเหร่อก็บรรลุธรรมกันหมดแล้วสิ"  

     หิ หิ ผมถือว่านั่นก็เป็นคำตอบให้คุณได้อีกอย่างหนึ่ง 

     พูดถึงตรงนี้ขอเล่าเพิ่มเติมกึ่งนอกเรื่องหน่อย สมัยที่ผมเป็นหมอฝึกหัด คนงาน (ชุดน้ำเงิน) หญิงสาวคนหนึ่งเธอไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ระดับมัธยมต้น เธอตั้งใจจะเพิ่มความก้าวหน้าในงานอาชีพด้วยการวางแผนไปเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาลในอนาคต เวลาอยู่เวรห้องฉุกเฉินด้วยกันเธอชอบเอาการบ้านมาถามผม ผมเหลือบเห็นหนังสือวิชาเรียนพุทธศาสนาของเธอจึงถามเธอว่าเขาสอนอะไรเธอบ้าง เธอตอบอย่างฉะฉานว่า 

     "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน  ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็จะทุกข์" 

     เห็นแมะ เรื่องหลักพื้นฐานของชีวิตนี้อย่าว่าแต่คนคร่ำวอร์ดแล้วอย่างคุณเลย แม้แต่เด็กนักเรียน ม.ต้นยังรู้และเข้าใจเลย แต่ว่าการ "รู้และเข้าใจ" ว่าไม่ควรคิดยึดมั่นถือมั่น มันเป็นคนละเรื่องกับการ "หลุดพ้น" จากความคิดยึดมั่นถือมั่น

     ผมขอข้ามคำถามว่าทำไม ไปตอบในประเด็นว่า "ทำอย่างไร" ดีกว่านะ ก่อนตอบคำถามคุณต้องเข้าใจก่อนว่าผมนี้เป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เชื่อคำสอนของศาสนาใดๆตะพึดแบบ 100% ผมอาจจะขโมยไอเดียของศาสนาโน้นนิดศาสนานี้หน่อย บางที่ก็เป็นไอเดียของคนธรรมดาอย่างเช่นช่างปั้นหม้อ หรือคนเพี้ยนๆเช่นคนทรงมนุษย์ต่างดาว ผมรับเอามาทดลองปฏิบัติดู ถ้ามันเวอร์คผมก็เอาไว้ใช้ต่อ ถ้ามันไม่เวอร์คผมก็ทิ้งไป คำแนะนำของผมจึงเป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวของคนคนหนึ่งเท่านั้น เอามาเล่าให้คุณฟัง คุณจะเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับตัวเองแค่ไหนผมไม่รู้และไม่มีการรับประกัน คำแนะนำของผมคือ 

     ขั้นที่ 1. ให้คุณฝึกถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้สัก 1 นาทีก่อน 1 นาทีก็คือ 10 ลมหายใจโดยประมาณ เพราะคนเราหายใจราว 10 ครั้งต่อนาที ไม่ต้องโลภมาก ขอแค่ 1 นาที ถ้าคุณหายใจเข้าออกช้าๆแบบปกติ 10 ลมหายใจหรือ 1 นาทีโดยปลอดความคิดได้ นั่นคุณใกล้จะหลุดพ้นเต็มทีแล้วนะ เพราะวันนี้คุณปลอดความคิดได้ 1 นาที อนาคตคุณก็มีโอกาสปลอดความคิดได้ 2, 3, 4, 5.. นาที

     ในการจะทำอย่างนี้ได้ผมให้เครื่องมือคุณไว้ 7 อย่าง คือ (1) ตัวความสนใจ (attention) เอง (2) ลมหายใจ (3) ความรู้สึกบนร่างกาย (4) การผ่อนคลายร่างกาย (5) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเมื่อง่วง (6) การสังเกตความคิดจากข้างนอกความคิด (7) การจดจ่อความสนใจอยู่กับลมหายใจหรือร่างกาย ซ้ำๆซากๆให้ได้นานที่สุด เครื่องมือทั้งเจ็ดนี้คุณสลับกันใช้ตามจังหวะเวลาอันควร เป้าหมายคือให้คุณหายใจได้นาน 1 นาที โดยไม่มีความคิด จะฝึกขณะหลับตาหรือลืมตาก็ได้

     ขั้นที่ 2. ให้คุณฝึกเปลี่ยนตัวตน (change of identity) คุณทำงานอยู่ในโรงพยาบาล สมมุติว่าใครๆก็เรียกคุณว่า "หมอติ๊งต่าง" คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าตัวคุณนี้คือหมอติ๊งต่าง มีร่างกายนี้เป็นที่สถิตย์ มีชุดความคิดนี้เป็นสิ่งบอกตัวตน การฝึกในขั้นที่ 2 นี้ผมจะให้คุณแบ่งตัวเองเป็นสองคน คุณที่แท้จริงนั้นไม่ใช่หมอติ๊งต่าง เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่หมอติ๊งต่าง คุณยังไม่ต้องไปรู้ตอนนี้ก็ได้ว่าคุณจริงๆนั้นเป็นอะไร เอาเป็นว่าไม่ใช่หมอติ๊งต่าง ไม่ใช่ร่างกายของหมอติ๊งต่าง ไม่ใช่ชุดความคิดของหมอติ๊งต่างก็แล้วกัน รู้แต่ว่าคุณที่แท้จริงนั้นสามารถมองเห็นและรับรู้ร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่างได้ คล้ายๆกับคุณเป็นนายหนังตะลุงเป็นคนเชิดหนังตะลุงที่ตัดเป็นหุ่นชื่อหมอติ๊งต่าง เวลาทำงานคุณอาศัยร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่างทำงาน แต่คุณไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวดองกับหมอติ๊งต่างและหรือร่างกาย/ความคิดของเธอเลย เวลาคุณมองร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่าง คุณมองราวกับว่าคุณไม่เคยรู้จักหมอติ๊งต่างมาก่อน 

     คอนเซ็พท์ของการเปลี่ยนตัวตนหรือ change of identity นี้มันคล้ายๆกับคอนเซ็พท์ที่คนเราลาเพศฆราวาสไปบวชเป็นพระ ต้องทิ้งชื่อแซ่ดั้งเดิม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เปลี่ยนทรงผมใหม่คือโกนหัวซะเลย ทิ้งสมบัติที่เคยมี ทิ้งบ้านช่องห้องหอ ทิ้งไปหมด ไปครอบครองแต่ผ้านุ่งกับเข็มเย็บผ้ากับอะไรอีกไม่กี่อย่าง คอนเซ็พท์มันคล้ายกัน แต่การไปบวชยุคนี้มันอาจจะเป็นแค่พิธีกรรมเปลี่ยนตัวตนภายนอกชั้นผิวเผิน ที่ผมให้คุณทำนี้คือให้เปลี่ยนตัวตนภายใน 100% โดยที่ตัวตนภายนอกคือหมอติ๊งต่างนั้นเธอยังอยู่คุณไม่ต้องไปยุ่งกับเธอ คุณเปลี่ยนตัวตนภายในไปเป็นอีกคนหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่หมอติ๊งต่างอีกต่อไปแล้ว ขั้นตอนการเปลี่ยนตัวตนหรือ change of identity นี้จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ก่อน ไม่งั้นคุณจะหลุดพ้นไปไหนได้ยาก     

    ขั้นที่ 3. ให้คุณเริ่มมองออกมาจากมุมของคุณที่แท้จริงคือมุมมองของนายหนังตะลุง มองออกมาดูที่ใจของหมอติ๊งต่างซึ่งเป็นหุ่นหนังตะลุง มองอย่างสนใจจริงจังแบบวินาทีต่อวินาที absolute attention สนใจว่าวินาทีต่อไปจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในใจของหมอติ๊งต่างบ้าง มองให้เห็นตามที่มันเป็นนะ อย่าไปตัดสินว่านั่นมันถูกนี่มันผิด แม้แต่นั่นมันเป็นสิ่งนั้นนี่มันเป็นสิ่งนี้ก็ไม่ต้องไปตั้งชื่อให้ เพราะการไปตั้งชื่อหรือไปนิยามสิ่งที่เห็นเข้า คุณจะหมดโอกาสเห็นส่วนที่คุณยังไม่ได้เห็นและควรจะได้เห็น ยกตัวอย่างเช่นหากคุณไปนิยามเพศให้หมอติ๊งต่างว่าเป็นผู้หญิง แค่นี้คุณก็จะพลาดโอกาสเห็นอะไรในใจหมอติ๊งต่างในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงไปหมดสิ้น เพราะคำนิยามของคุณไปบดบังการมองของคุณไว้ไม่ให้เห็นส่วนที่นอกเหนือจากการเป็นผู้หญิงเสียแล้ว ดังนั้น อย่าไปนิยาม อย่าไปพิพากษา แค่มองอย่างสนใจอย่างยิ่ง และมองเห็นตามที่มันเป็น หมอติ๊งต่างจะพูดอะไร จะทำอะไร จะคิดอะไรคุณอย่าไปขัด แค่สังเกตดูอย่างผู้สังเกตที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง แค่นั้น หมอติ๊งต่างหัวเราะคุณก็นั่งดู หมอติ๊งต่างร้องไห้คุณก็นั่งดู ไม่ต้องไปสมเพทเวทนาหรือไปปลอบโยน เพราะคุณไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวดองอะไรกับเธอ ในขั้นนี้คุณจะใช้เวลาฝึกมองดูนานเท่าใดก็ได้ไม่ต้องรีบร้อน มันจะเป็นช่วงชีวิตที่มหัศจรรย์และสนุกมาก เพราะคุณเดาไม่ถูกหลอกว่าในหนึ่งวินาทีข้างหน้าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในใจของหมอติ๊งต่างบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าๆ คุณก็จะเห็นเองว่าความคิดของหมอติ๊งต่างเมื่อถูกคุณนั่งมอง มันจะเขิน แล้วค่อยๆห่างไป ห่างไป รวมทั้งความยึดติดในยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติพัสถาน และความผูกพันกับลูกกับสามีของหมอติ๊งต่างด้วย มันจะค่อยๆซาไปเองโดยไม่ต้องไปอบรมสั่งสอนอะไร เหลืออย่างเดียวเท่านั้นที่มันจะไปช้ากว่าเขาเพื่อน คือความผูกพันกับร่างกายนี้ แต่ไม่เป็นไร คุณให้เวลามันโดยไม่ต้องไปเร่งรัด มันอยากจะผูกพันต่อไปอีกนานเท่าใดก็ช่างมัน มองมันให้เห็นตามที่มันเป็น ทำบ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ ทำอย่างนี้ไป วันหนึ่งคุณก็จะวางมันลงได้

 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี