สามอย่างเมื่อคิดถึงแคนาดา

วันสองวันนี้ยังไม่ตอบคำถามนะครับ เพราะยังเมาเครื่องบิน มาคุยกันเล่นถึงที่ผมไปขับรถเที่ยวแคนาดากันดีกว่า
สะพานเดินป่า Capillano Bridge

     เราไปกันแปดคน ไปถึงแวนคูเวอร์ก็ไปเช่ารถตู้ 10 ที่นั่งขับไปนอนโรงแรมจิ้งหรีดที่ชานเมืองตอนเหนือ พอรุ่งเช้าก็รีบขับออกจากเมือง เพราะเรามาจากกรุงเทพมหานครจึงมีเชื้อกลัวมหานครเป็นธรรมดา จุดหมายแรกเราไปเที่ยวเดินป่าบนสพานแขวน Capillano Bridge ซึ่งว่ากันว่าเป็นสพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาวที่สุด เป็นทางเดินที่สูงมาก เดินไปเดินมาเดินขึ้นเดินลงจนเหนื่อยได้ที่แล้วก็เดินทางกันต่อไปโดยขับเลียบชายฝั่งทะเลขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปค้างคืนที่เมืองวิสเล่อร์ (Whistler) แวะเที่ยวน้ำตกสองสามแห่ง แล้วเข้าไปเดินเที่ยวในเมืองวิสเล่อร์ซึ่งเคยเป็นสนามสกีโอลิมปิก

วิสเล่อร์ เมืองสกีที่ยังคึกคักแม้ในหน้าร้อน
      เมืองนี้ถ้าจะเรียกว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในแคนาดาก็คงไม่ผิดความจริงนัก แม้จะเป็นเมืองสกี แต่หน้าร้อนก็ยังคึกคักด้วยบรรดานักจักรยานบ้าง นักเดินป่าเดินเขา (hiking) บ้าง คึกคักจนกระเช้าที่ใช้ขนนักสกีที่ปกติจะปิดกันหน้าร้อนยังเปิดบริการขนจักรยาน นักปั่น นักเดินป่า ขึ้นไปยอดเขาไม่ได้ขาด จุดขึ้นกระเช้านั้นขึ้นจากกลางเมืองเลยที่เดียว ตรงกลางเมืองที่เรียกว่าวิลเลจนี้ไม่ให้รถยนต์เข้ามาวิ่ง จึงเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่เดินเล่นช้อปปิ้งและดื่มกินกันคึกคัก
  เราแวะค้างคืนโรงแรมระดับดีของเมืองชื่อพินนาเคิล โฮเต็ล ตกเย็นก็เดินเล่นในเมือง รุ่งขึ้นก็ขับรถเดินทางมุ่งหน้าไปยังวนอุทยานร้อกกี้เมาเทนอันเป็นจุดหมายของการเดินทางมาครั้งนี้ ถนนดี รถไม่มีเพราะเส้นทางนี้ไม่มีใครเขาวิ่งกัน ส่วนใหญ่คนเขาไปวิ่งเส้นไฮเวย์จากแวนคูเวอร์ตรงไปยังเขาร้อกกี้ แต่เราชอบหนึคนจึงมาวิ่งทางนี้ วิวสวยมาก แดดดี มาเที่ยวนี้ผมโชคนี้ได้บั๊ดดี้ผู้ชื่นชอบการขับรถมาร่วมทางด้วย สบายไม่ต้องขับเอง ทำให้อารมณ์ดี จนต้องฮัมเพลง

    "เที่ยวไปตามตะวัน
บุกบั่นไปตามลม
สนุกสุขสม หัวใจหงายคว่ำ
ชีพยังยาวนาน 
หรือสั้นแต่เพียงคำ
เอาตูด..ดแช่น้ำ แล้วเดินต่อไป.."

     ผมเปล่าพูดคำหยาบนะ เพลงของเฉลียงเขาว่าอย่างนี้จริงๆ แต่ว่าถนนสายนี้แม้จะร้างผู้คน แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ผู้คนเสียที่เดียว เพราะพอเราขับไปขับไป ผมสังเกตเห็นรถสีน้ำเงินขาวคันหนึ่ง ตามเรามา พอเข้ามาใกล้ เห็นแค่โลโก้คนขี่ม้าที่ข้างรถผมก็ใจหายแว้บ..บ และเปรยกับบัดดี้สหายสิงห์คะนองนาของผมว่า


แค่เห็นตราคนขี่ม้าก็ใจหายแว้บ
   "โอ๊ะ..โอ ท่าทางเราจะได้รู้จักกับหนึ่งในสองของเสาหลักแห่งประเทศแคนาดาเสียแล้ว"

     คือว่าประเทศแคนาดานี้ เขาถือว่าเสาหลักที่สร้างชาติของเขาขึ้นมามีอยู่สองอย่าง คือการรถไฟ กับตำรวจม้า (mounted police) และตอนนี้หนึ่งในสองเสาหลักนั้นก็เดินอาดๆตรงมายังรถของเราแล้ว ผมปล่อยให้บัดดี้ออกฟอร์มเอาตัวรอดด้วยวิธีทำทีเป็นพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด ขณะที่ผมเองสาละวนแอบถ่ายรูปตำรวจม้าอยู่ และก็ถ่ายได้สำเร็จเสียด้วย
     เขาเริ่มต้นด้วยการขอโทษขอโพยบั๊ดดี้ของผมอย่างสุภาพว่าเขาจำเป็นต้องสวมแว่นดำเพราะแดดมันแรง อย่าหาว่าไม่สุภาพเลย แล้วก็วกเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว

     "ทำไมคุณขับรถเร็วจัง ลิมิทคือ 90 แต่คุณล่อเข้าไปซะ 140 กว่า ตามกฎหมายหากใครขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด 50 กม./ชม.ขึ้นไปจะต้องถูกจับส่งขึ้นศาลเพื่อไปให้การต่อศาลว่าทำไมจึงขับรถเร็ว แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวจึงไม่จับคุณส่งไปศาล จะเอาแค่เปรียบเทียบปรับตามอัตราปกติ 400 เหรียญ .."

     ผ่าง ผ่าง ผ่าง... พอยื่นใบสั่งแล้วเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถม้ายี่ห้อโตโยต้าของเขา พวกเราลอบเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก บั๊ดดี้ของผมตอนนี้เปลี่ยนจากสิงห์คะนองนากลายเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้ว เขาค่อยๆพารถคลานออกจากข้างถนน ขณะที่ผมเปรยกับผู้โดยสารในรถว่า

     "..ขอบคุณคำรวจม้าที่ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของเราครั้งนี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น" ผู้โดยสารอาวุโสท่านหนึ่งแสดงความคิดบวกเสริมว่า

     " สี่ร้อยเหรียญไม่แพงหรอก หารแล้วก็เหลือคนละ 50 เหรียญเอง"

แผนผังรถไฟวิ่งเป็นเกลียวสองชัน
   คิดได้ดังนั้นแล้ว พวกเราก็เอา..ูดแช่น้ำแล้วเดินหน้าต่อไป

     เราเดินทางมาถึงเมืองโกลเดน พักค้างคืนแล้วเดินทางต่อไปยังอุทยานเขาร้อกกี้ ไหนๆได้เจอกับตำรวจม้าแล้วจะไม่เจอกับการรถไฟได้ไง เราแวะเที่ยวชุมจุดสำคัญของการสร้างทางรถไฟข้ามประเทศสองจุด จุดหนึ่งเป็นจุดที่เขาตอกหมุดสุดท้ายจบการก่อสร้าง อีกจุดหนึ่งซึ่งน่าสนใจกว่าเป็นช่วงที่รางรถไฟขดเป็นเกลียวมุดอุโมงสองชั้นเพื่อให้มีแรงลากตู้ขึ้นเขา อธิบายยังไงท่านผู้อ่่านก็จะไม่เข้าใจ ผมจึงถ่ายรูปแผนผังมาให้ดู
รถไฟกำลังขดเป็นงูกินหาง

     เนื่องจากที่นี่รถไฟมาทุก 20 นาที เราจึงยืนรอดูรถไฟวิ่งขดแบบงูกินหางตนเอง ซึ่งเป็นอะไรที่อะเมซซิ่งทิงนองนอยมาก รูปที่ผมถ่ายรถไฟจริงมาให้ดูด้วยนี้ไม่ค่อยชัดนัก เพราะโดนป่าสนบัง แต่ก็พอจะเห็นรถไฟเพิ่งวนเกลียวได้หนึ่งชั้น

     ความภาคภูมิใจในรถไฟของชาวแคนาดานี้ ส่วนหนึ่งมาจากความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตนเองทีมีความเป็นคนจริง ทำอะไรทำจริง ยากลำบากแค่ไหนก็ยืนหยัดทำจนสำเร็จ เส้นทางรถไฟผ่านป่าเขาสูงๆต่ำๆวกๆวนๆที่มีความยาวถึงห้าพันกม.และมีการบริหารจัดการทางด้านการตลาดอย่างดีที่เราเห็นอยู่นี่ เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงความอึดและความเก่งของเผ่าพันธ์ของเขา

ถ้าผู้คนมุงอยู่ข้างทาง ต้องมีหมี
     เราขับไปตามถนนไฮเวย์ผ่านอุทยานซึ่งสองข้างมีรั้วกันสัตว์ป่าไม่ให้ออกมาถูกรถชน มีสพานแและอุโมงสำหรับสัตว์ป่าใช้ข้ามหรือลอดถนนไปยังป่าอีกข้างหนึ่งเป็นระยะๆ ถนนนี้ห้ามรถบันทุกวิ่ง ขณะขับ เห็นคนหยุดรถลงมาดูอะไรข้างทาง เราหยุดตาม จึงพบว่าเขาจอดรถดูหมีกัน คนที่มาเที่ยวแคนาดาจะบ้าจี้เรื่องหมีกันทุกคน เพราะไปที่ไหนก็มีป้ายมีรูปปั้นเกี่ยวกับหมี ถังขยะก็ทำเสียบึกบึนมีฐานรากมั่นคงเวลาจะเปิดก็ยากคือต้องแบมือสอดเข้าไปปลดกระเดื่องในซอกฝา ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะหมีชอบมาคุ้ยถังขยะ แต่ว่าเห็นเขาหยุดอยู่ข้างทางเราจะหยุดตามดูตะพึดก็ไม่ได้นะ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งเห็นเขาหยุดเราหยุดบ้าง แต่ปรากฎว่าเขาหยุดฉี่ข้างทาง โอ้..ฝรั่งก็ฉี่ข้างทางเป็นเหมือนกันเหรอเนี่ย

     โอกาสที่จะได้เจอหมีนี้ อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เจอกันยากเจอกันเย็นแต่อย่างใด เพราะวันต่อมาขณะพักอยู่ที่เมืองแบมฟ์ (Banff) เราขับรถขึ้นไปดูวิวบนเขานอกเมือง ผู้โดยสารท่านหนึ่งร้องขึ้นเสียงดังลั่นว่า

ว้าย หมีใหญ่ 
     "ว้าย..หมีใหญ่"

     ผู้โดยสารอาวุโสติงเบาๆว่า

     "เวลาเธอตื่นเต้น พยายามพูดอะไรให้มันชัดถ้อยชัดคำหน่อยได้ไหม"
   
     อีกคนหนึ่งกวาดสายตาไปทั่วป่าแล้วว่า

     "ไม่เห็นมีอะไร อยู่ตรงไหน เธอหาเรื่องทะลึ่งหรือเปล่า" ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่า

     "บ้า หมีจริงๆ นี่ อยู่ตรงนี้ เห็นไหม"

     ทุกคนมองไปตามนิ้วชี้ของเธอ จึงเห็นหมีจริงๆสีน้ำตาลตัวบะเริ่มกำลังกินดอกไม้สีเหลืองอยู่ที่ข้างทางไม่ไกลจากรถนี่เอง

หมีวัยรุ่นเดินผ่านหน้ารถของเรา
     อีกสองวันต่อมาขณะที่เราขับรถกลับจากเดินไพรนอกเมืองจัสเปอร์ เราก็เจอหมีขนาดเริ่มจะเข้าวัยรุ่นอีกตัวหนึ่ง คราวนี้เธอยุรยาตราผ่านหน้ารถของเราไปอย่างไม่อินังขังขอบอะไรเลยเชียว สรุปว่าเราอยู่ในอุทยานหกวัน เจอหมีสามดัว จึงพอนับได้ว่าโอกาสเจอหมีก็ไม่ได้น้อย

     นอกจากหมีแล้ว สัตว์อื่นก็หาดูได้ไม่ยาก โดยเฉพาะกวาง มีให้ดูหลายชนิด เราเจอกวางเขาสวยที่ชานเมืองแบมฟ์ และเจอกวางก้นขาว (เอลค์) อีกหลายตัวตามชายป่า ในวันที่เราเข้าพักที่ไพน์บังกาโล ตื่นเช้าก็มีกวางแม่ลูกอ่อนพาลูกออกมาหากินแถวหน้ากระต๊อบของเรานั่นเอง ผมจะลงรูปสัตว์ต่างๆให้ดูสักสี่ห้ารูปนะ
กวางเขางามนอกเมืองแบมฟ์ 














กวางเอลคฺ์แม่ลูกอ่อนพาลูกออกหากินเช้าตรู่ที่หน้ากระท่อม














ฝูงแพะภูเขาลงลงกินดินโป่งข้างถนนไปจัสเปอร์














ฝูงห่านป่าที่บึงนอกเมืองแบมฟ์






ตัวอะไรไม่รู้ พบได้ทั่วไป
แม้แต่ในสนามโรงแรม





















ใครหนอช่างเข้าใจตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Spirit Island

เลค หลุยส์ ที่เต็มไปด้วยคน
      นอกจากสัตว์ป่าต่างๆแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอุทยานเขาร้อกกี้นี้คือทิวทัศน์ระดับสวยเด็ดขาดซึ่งมีอยู่ทั่วไป จุดที่ผมชอบที่สุดคือเกาะ Spirit Island ซึ่งต้องนั่งเรือไปชม เป็นเกาะเล็กๆพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย มีต้นสนขึ้นอยู่สักสิบต้น แต่แบ็คกราวด์ที่เป็นเทือกเขาหิมะและน้ำซึ่งสะท้อนแสงแล้วให้สีหลากหลายนั้นเจ๋งมาก โดยเฉพาะในวันครึ้มฝนที่มีสีเทาประกอบอย่างวันที่พวกเรามาถึงนี้ มันให้อารมณ์เชิงจิตวิญญาณได้สมชื่อ

     ส่่วนทะเลสาบเลค หลุยส์ ที่คนเขาลือกันว่าสวยนักหนานั้น ผมว่าไม่สวยนักเพราะคนเยอะเกินไป แถมยังมีโรงแรมขนาดมหึมาตั้งอยู่ตรงนั้นเสียอีกทำให้เสียบรรยากาศไปโข
ทะเลสาปแอกเนสมองลงไปจากทีเฮ้าส์
     ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะเดินรอบทะเลสาบเลคหลุยส์แต่พอเห็นคนแล้วผมก็ถอดใจ จึงตัดสินใจเดินตัดป่าเพื่อไปที่ร้านกาแฟชื่อทีเฮ้าส์เพื่อดูทะเลสาบแอกเนสซึ่งมีระยะทาง 3.5 กม.แทน เพื่อนร่วมเดินทางไม่เอาด้วยเพราะเดินกันมาหลายวันทุกคนขาลากหมดแล้ว จึงเหลือแต่เราสามพ่อแม่ลูก พอเดินไปได้สักหน่อยจึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่านอกจากระยะทางในแนวราบ 3.5 กม.แล้ว ยังต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางในแนวดิ่ง 380 เมตรด้วย ซึ่งเท่ากับเดินขึ้นยอดตึกเอ็มไพร์สเตทเลยทีเดียว แต่เนื่องจากหลวมตัวเดินไปแล้วก็ต้องถูลู่ถูกับเดินขึ้นเขาไปจนถึงทีเฮ้าส์ (tea house) ด้วยความยากลำบาก พากันขึ้นไปนั่งดื่มกาแฟ ทานเบเกอรี่แล้วมองดูวิวรอบทิศซึ่งสวยและสงบเงียบดีมาก เพราะนักท่องเที่ยวทัวร์กรุ้ฟไม่มีใครเข่าดีพอที่จะมาถึงตรงนี้ได้ มีแต่พวกนักเดินไพรไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่ก็ดูจะมีแต่หมอสันต์กับภรรยาเท่านั้น

     เราเดินป่า เที่ยวน้ำตก ดูทะเลสาบ เดินบนธารน้ำแข็ง วนเวียนกันอยู่อย่างนี้หลายวัน มีอยู่วันหนึ่งเราไปพักค้างคืนที่ข้างทะเลสาบ Emeral lake เวลามองออกจากห้องพักเห็นน้ำเป็นสีเขียวมรกต อีกวันหนึ่งเราไปเดินที่ทะเลสาบฮอร์สชู (เกือกม้า) ซึ่งมีน้ำเป็นสีครามน้ำเงิน อีกวันหนึ่งเราไปเดินไพรรอบทะเลสาบมอเรน (Moraine lake) ซึ่งน้ำเป็นสีเขียวไข่กา นอกจากนี้ยังมีน้ำตกอีกราวสิบกว่าแห่งและทะเลสาปอีกนับไม่ไหวจำไม่หมด ผมลงรูปให้ดูเป็นบางแห่งก็แล้วกันนะ

มองเห็นน้ำสีมรกตจากห้องพัก



















น้ำสีครามปนน้ำเงินที่ฮอร์สชูเลค














ทะเลสาบมอเรน ซึ่งน้ำเป็นสีเขียวไข่กา

เก็บเชอรี่ฟาร์มริมทาง

ห้องนอนกลางป่าริมลำธาร ปลอดโปร่งดีมาก
     ขากลับเราขับรถไปทางหุบเขาโอกานาแกน (Okanakan valley) เนื่องจากเป็นฤดูเชอรี่สุกพอดี เราจึงไปเก็บเชอรี่เองแบบ UPICK ในฟาร์มที่นั่น แล้วไปพักค้างคืนที่เมืองโฮป เป็นรีสอร์ทอนุรักษ์ธรรมชาติที่สวยงามมาก เราพักในกระท่อมหลังเล็ก แช่น้ำร้อนซึ่งตั้งถังน้ำร้อนอยู่ในป่า ตัวผมเองไปนอนหลับในที่พักในป่าริมลำธาร รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสมองเป็นอันดี

ทิ้งให้ลูกเมียนอนในกระต๊อบนี้ ตัวผมเองหลบไปนอนในป่า
     สิ่งสุดท้ายที่อดพูดถึงไม่ได้คือห้องส้วม คือในอุทยานทั่วประเทศแคนาดาจะใช้ส้วมที่เรียกว่าส้วมวีไอพี. (VIP - ventilation improvement pit) แปลเป็นภาษาไทยก็คือส้วมหลุมที่มีปล่องแก้สขนาดใหญ่และค่อนข้างจะปลอดกลิ่น กลเม็ดวิธีทำก็คืออาศัยปิดฝาโถนั่งไว้ แล้วใช้ปล่องใหญ่ขนาด 10 นิ้วได้ ส่งปลายปล่องขึ้นไปสูง เพื่อให้ความดันอากาศต่างกันระหว่างโคนกับปลายทำให้มีลมเฉื่อยๆพัดเอาแก้สจากในหลุมขึ้นไปปลายปล่องตลอดเวลา ปลายปล่องก็กรุมุ้งลวดไม่ให้แมลงเข้าและออก ที่หลุดเข้าไปวางไข่ได้ก็ออกมาไม่ได้ กลายเป็นปุ๋ยอยู่ในนั้น ส้วมแบบนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในอุทยาน นับได้เป็นร้อยส้วม ไม่ต้องใช้น้ำเลย

     บรรยากาศข้างในก็ไม่ได้เลวร้าย มีแสงลอดลงมาจากหลังคา บางแห่งยังแถมมีระบบแผ่นโปร่งแสงที่พื้นดินหลังห้องส้วมพอให้แสงส่องเข้าไปถึงในหลุมได้อีกต่างหาก เวลาก้มลงมองทะลุหลุมแล้วเกิดแสงและเงาให้ความความรู้สึกเหมือนมองภาพเขียนของแรมแบรนท์ หิ หิ เป็นศิลปะแบบแรมแบรนท์ที่หาชมที่ประเทศอื่นไม่ได้ เพราะสื่ออารมณ์ด้วยทั้งภาพและกลิ่นพร้อมกันควบสองอยาตนะในคราวเดียว

     กล่าวโดยสรุป เมื่อใดก็ตามที่มีใครพูดถึงแคนาดาในอนาคต ผมจะไม่คิดถึงรถไฟกับตำรวจม้าดอก แต่จะคิดถึง (1) หมี (2) วนอุทยาน และ..(3) ส้วมหลุม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี