นักศึกษาพยาบาลกับความผิดพลาดในอาชีพ
สวัสดีค่ะคุณหมอ
หนูเป็นนักศึกษาพยาบาลค่ะ หนูเพิ่งไปขึ้นวอร์ดมาครั้งแรก หนูจิตตกมากเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ หนูยังอยากทำให้เป็นอยู่ แต่หนูทำพลาดหลายครั้ง เงอะงะ ทำไรไม่คิด ต้องให้อาจารย์บอกตลอด หัตถการบางอย่างก็ยังไม่ได้ลองทำ เหมือนจะไปช้ากว่าเพื่อน ที่เคยเรียนมาเรื่องโรคเรื่องยาก็ลืมๆไปบ้าง การพยาบาลพื้นฐานที่ฝึกมาจากแลปก็พอมีในหัว แต่มาทำจริงบนวอร์ดก็ต่างกัน ต้องปรับหลายอย่าง รับเคสนี่ปัญหาใหญ่เลยค่ะ ไม่รู้ต้องเก็บข้อมูลยังไงถึงจะถูกต้อง พี่ๆบอกว่าฝึกบ่อยๆ แล้วจะเข้าใจ จับจุดได้เอง แต่เห็นเพื่อนๆหลายคนทำได้แล้ว ไม่เครียดกัน หนูเลยรู้สึกแตกต่าง เดี๋ยวก็ขึ้นปีสูงแล้ว ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเลยค่ะ ยิ่งปีสูงมีทั้งเรียนทั้งขึ้นวอร์ด ความรู้เก่าต้องมี ความรู้ใหม่ก็มา ไม่มั่นใจเลยว่าจะเรียนรู้ทัน ทุกทีเรียนแบบจำไปสอบ แต่ตอนนี้ต้องนำไปใช้ด้วย มันยิ่งกดดันเพราะจำที่เรียนไม่ได้ หนูไม่มั่นใจเลยว่าจะไปดูแลใครได้ มาครึ่งทางแล้วแต่ยังทำอะไรไม่เป็น
ขนาดขึ้นวอร์ดครั้งแรกยังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปหล่ะคะ หนูจะแย่กว่าเดิมมั๊ย หนูจะไม่มีความสุขรึเปล่า หนูกลัวหนูจะไม่ชอบมัน
หนูเคยอ่านที่อาจารย์เขียนว่า นศพ. เมื่อขึ้นปีสี่ก็รู้ตัวแล้วออกกันเยอะ แล้วแบบหนูมันเป็นอาการของคนรู้ตัวรึเปล่าคะ ? หนูมาได้ครึ่งทางแล้ว หนูยังอยากไปต่อ แต่หนูกลัวไปไม่ไหว หนูจะทำยังไงดีคะ
...........................................
ตอบครับ
1.. ถามว่าเป็นนักศึกษาพยาบาลเพิ่งไปขึ้นวอร์ดมาครั้งแรก ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็พลาด หนูต่างจากคนอื่นหรือเปล่า ตอบว่าไม่แตกต่างหรอกครับ แม้ว่าคนอื่นจะดูฟอร์มดีกว่าเรา เพราะว่าไม่มีใครทำอะไรเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก ทุกคนก็ต้องมาหัดเอากันทั้งนั้น ที่คุยกันว่าแน่ๆนั้นมีไหมละที่เกิดมาก็ทำอะไรเป็นทันที่ที่ออกจากท้องแม่ร้องอุแว้อุแว้ก็ทำเป็นแล้ว ไม่มีหรอก มาหัดกันเอาทั้งนั้น หัดเป็นช้าเป็นเร็วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องขยันหัดขยันทำแล้วก็จะทำเป็น เพียงแต่ช่วงหัดนี้เราต้องหมั่นสังเกตสังกาและใช้สามัญสำนึกเข้าไปตรวจสอบวินิจฉัยด้วย ไม่ใช่ทำไปตะพึดทั้งๆที่มันขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป
พูดมาถึงตรงนี้ผมนอกเรื่องหน่อยนะ สมัยผมเป็นเด็ก โตมาในชนบทภาคเหนือ หน้าหนาวอากาศหนาวมากและในบ้านของทุกคนไม่ได้มิดชิดเหมือนบ้านสมัยนี้ ทุกคนต้องมาตั้งวงผิงไฟ ในวงผิงไฟมักจะมีผู้ใหญ่ที่มีนิสัยขี้โม้เล่าเรื่องโน่นนี่นั่นให้เด็กๆอ้าปากฟัง คนขี้โม้นี้คนเหนือเรียกว่าคน “ลม” เช่นลุงสุขขี้โม้ชาวบ้านเขาก็จะเรียกว่า “สุขลม” เป็นต้น ลุงสุขลมนี้เป็นนักเล่าเรื่องที่ผมประทับใจมาก และทำให้วัยเด็กของผมมีสีสัน เขาเล่าเรื่องหนึ่งถึงน้อยสึกใหม่ชื่อคำ คำว่า “น้อย” นี้ก็คือคำว่า “ทิดที่สึกจากการเป็นเณร” นั่นเอง เป็นคำเรียกนำหน้าเณรที่บวชอยู่นานตั้งแต่เด็กแล้วสึกออกมาเป็นฆราวาสเอาตอนหนุ่มๆ น้อยคำสึกออกมาแล้วก็อยากจะมีเมียจึงไปหารือญาติผู้ใหญ่ถึงวิธีจีบสาวมาทำเมีย ญาติผู้ใหญ่ก็สอนว่าให้ไปดูไก่แจ้สิว่ามันจีบไก่ตัวเมียอย่างไร น้อยคำก็ไปนั่งดูไก่แจ้ จนเกิดความมั่นใจแล้วก็ไปแอ่วสาว คำว่าแอ่วสาวนี้เป็นวิถีชีวิตของหนุ่มชาวเหนือสมัยโน้นที่พอตกค่ำคืนเสร็จจากนาแล้วก็ไปเยี่ยมตามบ้านสาวเพื่อไปพูดคุยเกี้ยวพาราสีสาว ปะเหมาะก็จะได้รักชอบกันแล้วเอากันเสียเลย เอากันนี้แปลว่าแต่งงานกันนะครับ อย่าคิดไปทางอกุศล
น้อยคำไปแอ่วสาวสวยที่ตัวเองหมายตาไว้ พอไปถึงบันไดหน้าบ้านก็ทำเสียงแบบไก่แจ้
“ก๊อด..ด ก้อด กอด กอด “
สาวเจ้าได้ยินเสียงอะไรเหมือนไก่ตัวผู้อยู่ข้างล่างจึงลงบันไดมาชูตะเกียงน้ำมันก๊าดดู เห็นน้อยคำกำลังเอียงคอทำเสียงก๊อดๆๆ ก็ดีใจทำตาวาวเพราะเธอก็แอบชอบความหล่อของน้อยคำเป็นทุนอยู่แล้ว จึงออกปากเชื้อเชิญว่า
“พี่น้อยคำหรือนี่ ขึ้นมาข้างบนก่อนสิ”
น้อยคำรับคำเชิญเดินพร้อมกับทำเสียงกอด..ด กอด กอด กอด ขึ้นบันไดไป พอไปถึงบนบ้าน สาวเจ้าก็เชื้อเชิญให้น้อยคำนั่งเพื่อช่วยกันแกะหอม (กระเทียม) ซึ่งเป็นขั้นต้นของมาตรฐานการเกี้ยวพาราสีสมัยโน้นที่ต้องช่วยสาวแกะกระเทียมไปคุยกันไป แต่น้อยคำไม่ยอมนั่ง เพราะอาจารย์ของน้อยคำคือไก่แจ้ไม่เคยนั่งเวลาจีบไก่สาว น้อยคำจึงทำเสียงกอด กอด กอด ทำคอเอียงเดินวนๆเป็นวงกลมไปทางชานนอกบ้าน สาวเจ้าเป็นห่วงสวัสดิภาพพี่น้อยจึงรีบร้องห้ามว่า
“พี่น้อย อย่า..อย่าเดินไปที่ชาน ชานมันผุแล้ว”
ไม่ทันขาดคำชานนอกบ้านก็ถล่มลงโครม สาวเจ้าตกใจรีบถือตะเกียงน้ำมันก๊าดวิ่งลงบันไดมาดูแล้วร้องว่า
“พี่น้อย..ย พี่น้อยคำ เป็นอะไรหรือเปล่าเจ๊า”
น้อยคำรู้สึกว่าตัวเองจะเสียฟอร์มที่ตกชานบ้านสาว เพื่อรักษาฟอร์ม จึงขยับจะทำเสียงก๊อด ก๊อดแบบไก่แจ้แก้เขิน แต่ก็ส่งเสียงไม่ออกเพราะจุกลิ้นปี จึงทำทีเป็นผิวปากเป็นเพลงเพื่อแสดงความรื่นเริงเป็นการรักษาฟอร์มต่อหน้าสาวไว้
สาวเจ้าเอาตะเกียงน้ำมันก๊าดมาส่องดูหน้าพี่น้อย เห็นน้อยคำซึ่งกำลังจุกแน่นเต็มที่เพราะหล่นจากที่สูงแต่พยายามทำฟอร์มผิวปากอย่างรื่นเริงใจโดยไม่มีเสียงออกมาเพราะจุกแน่น ลุงสุขลมเล่าพร้อมกับทำสีหน้าจุกแน่นทำปากจู๋พยายามผิวปากโดยมีแต่เสียงลมพ่นออกมาดัง
“ผู่..ผู่ ผู่..”
จบละ ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
อ้าว นี่เราคุยกันเรื่องอะไรอยู่นะ อ้อ เรื่องครั้งแรกทำไม่เป็น เป็นเรื่องปกติ ไม่เฉพาะแต่น้อยคำหรอก แต่คุณเป็นถึงนักศึกษาพยาบาลแล้ว ในการหัดให้คุณใช้สามัญสำนึกให้มากกว่าน้อยคำหน่อยก็ละกัน หิ หิ
2. ถามว่าหนูทำพลาดหลายครั้ง เงอะงะ ทำอะไรไม่คิด ต้องให้อาจารย์บอกบทตลอด หนูเป็นไรคะ ตอบว่าหนูเป็นคนไร้สติและทำงานโดยไม่มีขั้นตอนไงครับ การทำอะไรในวิชาชีพของเรานี้ มันมีขั้นตอนมาตรฐานกำกับไว้ละเอียดยิบอยู่แล้ว คนรุ่นก่อนเขาทำเป็นมาตรฐานไว้หมดแล้ว เราไม่ต้องคิดเอง เราในฐานะนักวิชาชีพเราจะต้องทำตามขั้นตอนมาตรฐานไปทีละขั้นเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ อย่าไปคิดอ่านขั้นตอนเอาเองที่หน้างาน เพราะฉะนั้นก่อนลงมือทำหนูต้องท่องขั้นตอนมาตรฐานให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบก่อน ถ้ายังท่องไม่ได้อย่าเพิ่งลงมือ ให้ท่องในใจใหม่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ท่องให้ได้ ท่องออกเสียงต่อหน้าคนไข้เลยก็ได้ พอท่องได้แล้วค่อยลงมือทำ ทำไปทีละขั้น ใช้สติกำกับ ทำขั้นที่หนึ่งก่อน บอกตัวเองว่าเรากำลังทำขั้นที่หนึ่งนะ พอจบขั้นที่หนึ่งก็บอกตัวเองว่าเราทำขั้นที่หนึ่งจบแล้วนะ กำลังเริ่มทำขั้นที่สอง ทำแบบเนี้ยะ ไปจนจบ
3. ถามว่าหนูจำอะไรไม่ได้ ความรู้เก่าต้องมี ความรู้ใหม่ก็มา ไม่มั่นใจเลยว่าจะเรียนรู้ทัน เคยแต่เรียนแบบจำไปสอบ แต่ตอนนี้ต้องนำไปใช้ด้วย มันกดดันเพราะจำที่เรียนไม่ได้ หนูโง่เกินไปหรือเปล่าคะ ตอบว่าไม่โง่หรอกครับ จำที่เรียนมาไม่ได้ ก็ต้องทบทวนก่อนเอามาใช้สิครับ นี่จะบอกอะไรให้นะ ตอนที่ผมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ เป็นหมอใหญ่กำลังพีคสุดๆ ชำนาญมาก ทำผ่าตัดไปแยะแล้ว แต่แม้ในตอนนั้นก่อนทำผ่าตัดทุกครั้งผมก็ยังต้องนั่งสมาธิ ทบทวนขั้นตอนการผ่าตัดตั้งแต่ต้นจนจบก่อนลงมือจริงอยู่เลย แล้วนี่คุณเป็นใคร คุณเป็นเด็กเอียดเพิ่งขึ้นฝึกทำงานบนวอร์ดครั้งแรก นี่เป็นโอกาสที่คุณจะหัดเรียนโดยโน้ตย่อสิ่งที่จะต้องนำไปปฏิบัติ และหัดทบทวนสิ่งที่เรียนมาก่อนลงมือปฏิบัติ คิดทบทวนไม่ออกก็เปิดตำราสิครับ ตำรามันหนักมากคอนไปไม่ไหวก็ย่อมันไว้ในไอโฟนสิครับ ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่โง่หรือไม่โง่ แต่อยู่ที่การขาดขั้นตอนทบทวนสิ่งที่เรียนมาก่อนนำมาปฏิบัติ
4. ถามว่าขนาดขึ้นวอร์ดครั้งแรกยังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปหละคะ หนูจะแย่กว่าเดิมมั๊ย หนูจะไม่มีความสุขรึเปล่า หนูไม่ชอบมันใช่ไหม ตอบที่ละประเด็นนะ (1) ต่อไปจะแย่กว่าเดิมไหม ตอบว่านี่ไม่ใช่เวลาจะคิดถึงอนาคต นี่เป็นเวลาฝึกทักษะที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบัน (2) หนูจะไม่มีความสุขหรือเปล่า ตอบว่าความสุขเป็นเรื่องของเดี๋ยวนี้นะ ตอนนี้คุณมีความสุขหรือเปล่าละ ถ้ามีก็มี ถ้าไม่มีก็ไม่มี (3) หนูไม่ชอบมันใช่ไหม ตอบว่าชอบหรือไม่ชอบการพยาบาลคุณได้วินิจฉัยและตัดสินไปตั้งแต่ตอนสอบเข้าเรียนแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตั้งคำถามย้อนอดีต ตั้งไปคุณก็ตอบไม่ได้เพราะคุณก็ยังไม่รู้จักอาชีพนี้เลย ตอนนี้เป็นเวลาทำความรู้จักอาชีพนี้ ด้วยการสนองตอบต่อความท้าทายในวิชาชีพนี้ไปทีละช็อต ทีละช็อด จนคุณทำวิชาชีพนี้ได้เจนจบครบถ้วนไม่มีอะไรเหลือให้ท้าทายอีกแล้ว จึงค่อยถามตัวเองว่าอาชีพนี้เป็นอย่างนี้แหละ แล้วคุณยังชอบมันอยู่หรือเปล่า
5. ถามว่าหนูจะทำไงต่อไปดีคะ ตอบว่าเย็นนี้กลับไปหอพักก็เริ่มทบทวนหัตถการที่เงอะงะไปเมื่อตอนเช้า เราทำไปกี่เรื่อง แต่ละเรื่องมีขั้นตอนอย่างไร จดไว้ แล้วท่องซะ ขั้นตอนไหนที่เราพลาด ดอกจันทร์ไว้เตือนตัวเองครั้งหน้า พอวันรุ่งขึ้นขณะกินข้าวหรืออาบน้ำก็หยิบขั้นตอนออกมาท่อง จินตนาการตามไปทีละขั้นๆ จนเห็นภาพตัวเองทำหัตถการนั้นตั้งแต่ต้นจนจบได้ชัดแจ๋วเหมือนดูหนังยูทูปโดยในหนังนั้นไม่มีอาจารย์คอยบอกบทด้วย พอสายก็ไปขึ้นวอร์ด แล้วก็ลุย...ย
สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ จดหมายของเธอคนนี้ออกจะไร้สาระหน่อยนะครับ แต่ผมก็ตอบให้ เพราะว่าผมรักพยาบาล ขอโทษที่ท่านผู้อ่านต้องมาเสียเวลาให้กับความลำเอียงของผม..เหอะน่า นิดนุง
ผมมองอาชีพยาบาลว่าเป็นอาชีพที่ดี มีคุณค่า มีโอกาสทำงานโดยใช้เมตตาธรรมจากก้นบึ้งของหัวใจตน เป็นความฝันของเด็กผู้หญิงจำนวนมากที่อยากจะมาทำอยากจะมาเป็น แต่ส่วนใหญ่มาไม่ถึงจุดที่คุณมาถึง ตอนนี้คุณมาถึงที่นี่แล้ว ก็มีแต่ต้องเดินหน้าสานฝันนั้นต่อไป อย่าได้วอกแวก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูเป็นนักศึกษาพยาบาลค่ะ หนูเพิ่งไปขึ้นวอร์ดมาครั้งแรก หนูจิตตกมากเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ หนูยังอยากทำให้เป็นอยู่ แต่หนูทำพลาดหลายครั้ง เงอะงะ ทำไรไม่คิด ต้องให้อาจารย์บอกตลอด หัตถการบางอย่างก็ยังไม่ได้ลองทำ เหมือนจะไปช้ากว่าเพื่อน ที่เคยเรียนมาเรื่องโรคเรื่องยาก็ลืมๆไปบ้าง การพยาบาลพื้นฐานที่ฝึกมาจากแลปก็พอมีในหัว แต่มาทำจริงบนวอร์ดก็ต่างกัน ต้องปรับหลายอย่าง รับเคสนี่ปัญหาใหญ่เลยค่ะ ไม่รู้ต้องเก็บข้อมูลยังไงถึงจะถูกต้อง พี่ๆบอกว่าฝึกบ่อยๆ แล้วจะเข้าใจ จับจุดได้เอง แต่เห็นเพื่อนๆหลายคนทำได้แล้ว ไม่เครียดกัน หนูเลยรู้สึกแตกต่าง เดี๋ยวก็ขึ้นปีสูงแล้ว ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเลยค่ะ ยิ่งปีสูงมีทั้งเรียนทั้งขึ้นวอร์ด ความรู้เก่าต้องมี ความรู้ใหม่ก็มา ไม่มั่นใจเลยว่าจะเรียนรู้ทัน ทุกทีเรียนแบบจำไปสอบ แต่ตอนนี้ต้องนำไปใช้ด้วย มันยิ่งกดดันเพราะจำที่เรียนไม่ได้ หนูไม่มั่นใจเลยว่าจะไปดูแลใครได้ มาครึ่งทางแล้วแต่ยังทำอะไรไม่เป็น
ขนาดขึ้นวอร์ดครั้งแรกยังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปหล่ะคะ หนูจะแย่กว่าเดิมมั๊ย หนูจะไม่มีความสุขรึเปล่า หนูกลัวหนูจะไม่ชอบมัน
หนูเคยอ่านที่อาจารย์เขียนว่า นศพ. เมื่อขึ้นปีสี่ก็รู้ตัวแล้วออกกันเยอะ แล้วแบบหนูมันเป็นอาการของคนรู้ตัวรึเปล่าคะ ? หนูมาได้ครึ่งทางแล้ว หนูยังอยากไปต่อ แต่หนูกลัวไปไม่ไหว หนูจะทำยังไงดีคะ
...........................................
ตอบครับ
1.. ถามว่าเป็นนักศึกษาพยาบาลเพิ่งไปขึ้นวอร์ดมาครั้งแรก ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็พลาด หนูต่างจากคนอื่นหรือเปล่า ตอบว่าไม่แตกต่างหรอกครับ แม้ว่าคนอื่นจะดูฟอร์มดีกว่าเรา เพราะว่าไม่มีใครทำอะไรเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก ทุกคนก็ต้องมาหัดเอากันทั้งนั้น ที่คุยกันว่าแน่ๆนั้นมีไหมละที่เกิดมาก็ทำอะไรเป็นทันที่ที่ออกจากท้องแม่ร้องอุแว้อุแว้ก็ทำเป็นแล้ว ไม่มีหรอก มาหัดกันเอาทั้งนั้น หัดเป็นช้าเป็นเร็วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องขยันหัดขยันทำแล้วก็จะทำเป็น เพียงแต่ช่วงหัดนี้เราต้องหมั่นสังเกตสังกาและใช้สามัญสำนึกเข้าไปตรวจสอบวินิจฉัยด้วย ไม่ใช่ทำไปตะพึดทั้งๆที่มันขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป
พูดมาถึงตรงนี้ผมนอกเรื่องหน่อยนะ สมัยผมเป็นเด็ก โตมาในชนบทภาคเหนือ หน้าหนาวอากาศหนาวมากและในบ้านของทุกคนไม่ได้มิดชิดเหมือนบ้านสมัยนี้ ทุกคนต้องมาตั้งวงผิงไฟ ในวงผิงไฟมักจะมีผู้ใหญ่ที่มีนิสัยขี้โม้เล่าเรื่องโน่นนี่นั่นให้เด็กๆอ้าปากฟัง คนขี้โม้นี้คนเหนือเรียกว่าคน “ลม” เช่นลุงสุขขี้โม้ชาวบ้านเขาก็จะเรียกว่า “สุขลม” เป็นต้น ลุงสุขลมนี้เป็นนักเล่าเรื่องที่ผมประทับใจมาก และทำให้วัยเด็กของผมมีสีสัน เขาเล่าเรื่องหนึ่งถึงน้อยสึกใหม่ชื่อคำ คำว่า “น้อย” นี้ก็คือคำว่า “ทิดที่สึกจากการเป็นเณร” นั่นเอง เป็นคำเรียกนำหน้าเณรที่บวชอยู่นานตั้งแต่เด็กแล้วสึกออกมาเป็นฆราวาสเอาตอนหนุ่มๆ น้อยคำสึกออกมาแล้วก็อยากจะมีเมียจึงไปหารือญาติผู้ใหญ่ถึงวิธีจีบสาวมาทำเมีย ญาติผู้ใหญ่ก็สอนว่าให้ไปดูไก่แจ้สิว่ามันจีบไก่ตัวเมียอย่างไร น้อยคำก็ไปนั่งดูไก่แจ้ จนเกิดความมั่นใจแล้วก็ไปแอ่วสาว คำว่าแอ่วสาวนี้เป็นวิถีชีวิตของหนุ่มชาวเหนือสมัยโน้นที่พอตกค่ำคืนเสร็จจากนาแล้วก็ไปเยี่ยมตามบ้านสาวเพื่อไปพูดคุยเกี้ยวพาราสีสาว ปะเหมาะก็จะได้รักชอบกันแล้วเอากันเสียเลย เอากันนี้แปลว่าแต่งงานกันนะครับ อย่าคิดไปทางอกุศล
น้อยคำไปแอ่วสาวสวยที่ตัวเองหมายตาไว้ พอไปถึงบันไดหน้าบ้านก็ทำเสียงแบบไก่แจ้
“ก๊อด..ด ก้อด กอด กอด “
สาวเจ้าได้ยินเสียงอะไรเหมือนไก่ตัวผู้อยู่ข้างล่างจึงลงบันไดมาชูตะเกียงน้ำมันก๊าดดู เห็นน้อยคำกำลังเอียงคอทำเสียงก๊อดๆๆ ก็ดีใจทำตาวาวเพราะเธอก็แอบชอบความหล่อของน้อยคำเป็นทุนอยู่แล้ว จึงออกปากเชื้อเชิญว่า
“พี่น้อยคำหรือนี่ ขึ้นมาข้างบนก่อนสิ”
น้อยคำรับคำเชิญเดินพร้อมกับทำเสียงกอด..ด กอด กอด กอด ขึ้นบันไดไป พอไปถึงบนบ้าน สาวเจ้าก็เชื้อเชิญให้น้อยคำนั่งเพื่อช่วยกันแกะหอม (กระเทียม) ซึ่งเป็นขั้นต้นของมาตรฐานการเกี้ยวพาราสีสมัยโน้นที่ต้องช่วยสาวแกะกระเทียมไปคุยกันไป แต่น้อยคำไม่ยอมนั่ง เพราะอาจารย์ของน้อยคำคือไก่แจ้ไม่เคยนั่งเวลาจีบไก่สาว น้อยคำจึงทำเสียงกอด กอด กอด ทำคอเอียงเดินวนๆเป็นวงกลมไปทางชานนอกบ้าน สาวเจ้าเป็นห่วงสวัสดิภาพพี่น้อยจึงรีบร้องห้ามว่า
“พี่น้อย อย่า..อย่าเดินไปที่ชาน ชานมันผุแล้ว”
ไม่ทันขาดคำชานนอกบ้านก็ถล่มลงโครม สาวเจ้าตกใจรีบถือตะเกียงน้ำมันก๊าดวิ่งลงบันไดมาดูแล้วร้องว่า
“พี่น้อย..ย พี่น้อยคำ เป็นอะไรหรือเปล่าเจ๊า”
น้อยคำรู้สึกว่าตัวเองจะเสียฟอร์มที่ตกชานบ้านสาว เพื่อรักษาฟอร์ม จึงขยับจะทำเสียงก๊อด ก๊อดแบบไก่แจ้แก้เขิน แต่ก็ส่งเสียงไม่ออกเพราะจุกลิ้นปี จึงทำทีเป็นผิวปากเป็นเพลงเพื่อแสดงความรื่นเริงเป็นการรักษาฟอร์มต่อหน้าสาวไว้
สาวเจ้าเอาตะเกียงน้ำมันก๊าดมาส่องดูหน้าพี่น้อย เห็นน้อยคำซึ่งกำลังจุกแน่นเต็มที่เพราะหล่นจากที่สูงแต่พยายามทำฟอร์มผิวปากอย่างรื่นเริงใจโดยไม่มีเสียงออกมาเพราะจุกแน่น ลุงสุขลมเล่าพร้อมกับทำสีหน้าจุกแน่นทำปากจู๋พยายามผิวปากโดยมีแต่เสียงลมพ่นออกมาดัง
“ผู่..ผู่ ผู่..”
จบละ ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
อ้าว นี่เราคุยกันเรื่องอะไรอยู่นะ อ้อ เรื่องครั้งแรกทำไม่เป็น เป็นเรื่องปกติ ไม่เฉพาะแต่น้อยคำหรอก แต่คุณเป็นถึงนักศึกษาพยาบาลแล้ว ในการหัดให้คุณใช้สามัญสำนึกให้มากกว่าน้อยคำหน่อยก็ละกัน หิ หิ
2. ถามว่าหนูทำพลาดหลายครั้ง เงอะงะ ทำอะไรไม่คิด ต้องให้อาจารย์บอกบทตลอด หนูเป็นไรคะ ตอบว่าหนูเป็นคนไร้สติและทำงานโดยไม่มีขั้นตอนไงครับ การทำอะไรในวิชาชีพของเรานี้ มันมีขั้นตอนมาตรฐานกำกับไว้ละเอียดยิบอยู่แล้ว คนรุ่นก่อนเขาทำเป็นมาตรฐานไว้หมดแล้ว เราไม่ต้องคิดเอง เราในฐานะนักวิชาชีพเราจะต้องทำตามขั้นตอนมาตรฐานไปทีละขั้นเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ อย่าไปคิดอ่านขั้นตอนเอาเองที่หน้างาน เพราะฉะนั้นก่อนลงมือทำหนูต้องท่องขั้นตอนมาตรฐานให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบก่อน ถ้ายังท่องไม่ได้อย่าเพิ่งลงมือ ให้ท่องในใจใหม่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ท่องให้ได้ ท่องออกเสียงต่อหน้าคนไข้เลยก็ได้ พอท่องได้แล้วค่อยลงมือทำ ทำไปทีละขั้น ใช้สติกำกับ ทำขั้นที่หนึ่งก่อน บอกตัวเองว่าเรากำลังทำขั้นที่หนึ่งนะ พอจบขั้นที่หนึ่งก็บอกตัวเองว่าเราทำขั้นที่หนึ่งจบแล้วนะ กำลังเริ่มทำขั้นที่สอง ทำแบบเนี้ยะ ไปจนจบ
3. ถามว่าหนูจำอะไรไม่ได้ ความรู้เก่าต้องมี ความรู้ใหม่ก็มา ไม่มั่นใจเลยว่าจะเรียนรู้ทัน เคยแต่เรียนแบบจำไปสอบ แต่ตอนนี้ต้องนำไปใช้ด้วย มันกดดันเพราะจำที่เรียนไม่ได้ หนูโง่เกินไปหรือเปล่าคะ ตอบว่าไม่โง่หรอกครับ จำที่เรียนมาไม่ได้ ก็ต้องทบทวนก่อนเอามาใช้สิครับ นี่จะบอกอะไรให้นะ ตอนที่ผมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ เป็นหมอใหญ่กำลังพีคสุดๆ ชำนาญมาก ทำผ่าตัดไปแยะแล้ว แต่แม้ในตอนนั้นก่อนทำผ่าตัดทุกครั้งผมก็ยังต้องนั่งสมาธิ ทบทวนขั้นตอนการผ่าตัดตั้งแต่ต้นจนจบก่อนลงมือจริงอยู่เลย แล้วนี่คุณเป็นใคร คุณเป็นเด็กเอียดเพิ่งขึ้นฝึกทำงานบนวอร์ดครั้งแรก นี่เป็นโอกาสที่คุณจะหัดเรียนโดยโน้ตย่อสิ่งที่จะต้องนำไปปฏิบัติ และหัดทบทวนสิ่งที่เรียนมาก่อนลงมือปฏิบัติ คิดทบทวนไม่ออกก็เปิดตำราสิครับ ตำรามันหนักมากคอนไปไม่ไหวก็ย่อมันไว้ในไอโฟนสิครับ ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่โง่หรือไม่โง่ แต่อยู่ที่การขาดขั้นตอนทบทวนสิ่งที่เรียนมาก่อนนำมาปฏิบัติ
4. ถามว่าขนาดขึ้นวอร์ดครั้งแรกยังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปหละคะ หนูจะแย่กว่าเดิมมั๊ย หนูจะไม่มีความสุขรึเปล่า หนูไม่ชอบมันใช่ไหม ตอบที่ละประเด็นนะ (1) ต่อไปจะแย่กว่าเดิมไหม ตอบว่านี่ไม่ใช่เวลาจะคิดถึงอนาคต นี่เป็นเวลาฝึกทักษะที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบัน (2) หนูจะไม่มีความสุขหรือเปล่า ตอบว่าความสุขเป็นเรื่องของเดี๋ยวนี้นะ ตอนนี้คุณมีความสุขหรือเปล่าละ ถ้ามีก็มี ถ้าไม่มีก็ไม่มี (3) หนูไม่ชอบมันใช่ไหม ตอบว่าชอบหรือไม่ชอบการพยาบาลคุณได้วินิจฉัยและตัดสินไปตั้งแต่ตอนสอบเข้าเรียนแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตั้งคำถามย้อนอดีต ตั้งไปคุณก็ตอบไม่ได้เพราะคุณก็ยังไม่รู้จักอาชีพนี้เลย ตอนนี้เป็นเวลาทำความรู้จักอาชีพนี้ ด้วยการสนองตอบต่อความท้าทายในวิชาชีพนี้ไปทีละช็อต ทีละช็อด จนคุณทำวิชาชีพนี้ได้เจนจบครบถ้วนไม่มีอะไรเหลือให้ท้าทายอีกแล้ว จึงค่อยถามตัวเองว่าอาชีพนี้เป็นอย่างนี้แหละ แล้วคุณยังชอบมันอยู่หรือเปล่า
5. ถามว่าหนูจะทำไงต่อไปดีคะ ตอบว่าเย็นนี้กลับไปหอพักก็เริ่มทบทวนหัตถการที่เงอะงะไปเมื่อตอนเช้า เราทำไปกี่เรื่อง แต่ละเรื่องมีขั้นตอนอย่างไร จดไว้ แล้วท่องซะ ขั้นตอนไหนที่เราพลาด ดอกจันทร์ไว้เตือนตัวเองครั้งหน้า พอวันรุ่งขึ้นขณะกินข้าวหรืออาบน้ำก็หยิบขั้นตอนออกมาท่อง จินตนาการตามไปทีละขั้นๆ จนเห็นภาพตัวเองทำหัตถการนั้นตั้งแต่ต้นจนจบได้ชัดแจ๋วเหมือนดูหนังยูทูปโดยในหนังนั้นไม่มีอาจารย์คอยบอกบทด้วย พอสายก็ไปขึ้นวอร์ด แล้วก็ลุย...ย
สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ จดหมายของเธอคนนี้ออกจะไร้สาระหน่อยนะครับ แต่ผมก็ตอบให้ เพราะว่าผมรักพยาบาล ขอโทษที่ท่านผู้อ่านต้องมาเสียเวลาให้กับความลำเอียงของผม..เหอะน่า นิดนุง
ผมมองอาชีพยาบาลว่าเป็นอาชีพที่ดี มีคุณค่า มีโอกาสทำงานโดยใช้เมตตาธรรมจากก้นบึ้งของหัวใจตน เป็นความฝันของเด็กผู้หญิงจำนวนมากที่อยากจะมาทำอยากจะมาเป็น แต่ส่วนใหญ่มาไม่ถึงจุดที่คุณมาถึง ตอนนี้คุณมาถึงที่นี่แล้ว ก็มีแต่ต้องเดินหน้าสานฝันนั้นต่อไป อย่าได้วอกแวก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์