ลูกสะใภ้ในบ้านแม่ผัว จะเชื่อสมอง หรือเชื่อหัวใจ
หนูกับแฟนเพิ่งแต่งงานกัน เราไปฮันนิมูนที่ ... มีความสุขมาก หนูมีความร่าเริงในความรักและการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแฟน พอกลับจากฮันนิมูน เข้าเรือนหอ ซึ่งเป็นบ้านของแฟน (เขาเป็นลูกชายคนเดียว ครอบครัวเขาเป็นจี๊น จีน) หนูเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความอึดอัดขัดข้อง ไม่ใช่เฉพาะหนูนะคะ หนูสังเกตว่าแฟนหนูเวลาอยู่ในบ้านเขาเหมือนหุ่นยนต์ไม่เหมือนคนที่ไปฮันนิมูนกับหนู หนูคิดมาก จนบางวูบหนูคิดลบกับพ่อแม่ของแฟน สุขภาพหนูก็เริ่มแย่ หนูท้องผูกขับถ่ายไม่ออก นอนตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ หนูอยากจะย้ายออกไปอยู่กันเองข้างนอก แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะหนูรับปากกับแม่ของเขา ก่อนแต่งงานกันแม่ของเขาบอกหนูว่าแต่งแล้วต้องมาอยู่ที่บ้านเขานะเพราะแม่มีลูกชายคนเดียว หนูก็รับปาก แต่ถ้าใช้ชีวิตต่อไปในบ้านนี้ หนูคงตายแน่
คุณหมอคะ หนูจะทำอย่างไรดี
........................................................................
ตอบครับ
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของความแตกต่างระหว่างมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยหัวใจ คือมู้ดฮันนิมูน ซึ่งมีแต่ความรัก ความร่าเริง สดใส สร้างสรรค์ มีชีวิตชีวา กับมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยสมอง คือมู้ดลูกสะใภ้ในบ้านแม่ผัว
ในมู้ดที่ควบคุมโดยสมอง คุณจะเต็มไปด้วยความคิด สมองของคนเราทำงานเหมือนนักเรียนแก้โจทย์พีชคณิต ตั้งต้นโจทย์ยาวเชียว ต้องเขียนสมาการเป็นขั้นๆแล้วใช้ตรรกเชิงคณิตศาตร์ไล่ขั้นตอนลงไป จนสามารถตัดสมการที่ยาวเฟื้อยนั้นเหลือสั้นลงๆและได้คำตอบที่ถูกต้องในบรรทัดสุดท้าย แต่อย่าเผลอทำผิดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งแม้เพียงนิดเดียวนะ เพราะผิดนิดเดียวแค่นั้นทั้งข้อผิดหมดเลย การอยู่ในมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยสมองมันจึงเครียด
ส่วนหัวใจ หรือ "ใจ" ทำงานอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แบบแก้โจทย์พีชคณิต แต่ทำงานแบบวัดพลังงานการสั่นสะเทือน หัวใจใช้หลักง่ายๆว่าที่ไหนมีพลังงาน ที่นั่นมีชีวิต ตรงไหนไม่มีพลังงาน ตรงนั้นไม่มีชีวิต เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต มีคำถามว่าจะเอาไงกับเรื่องนี้ดี หัวใจจะวัดพลังงาน หมายความว่าชีวิตเรานี้มันจุ่มแช่อยู่ในสนามพลังงานอยู่แล้ว ถ้าเรื่องนั้นทำให้พลังงานเหือดแห้งไปก็เป็นคำตอบว่าอย่าไปยุ่งเลย แต่ถ้าเรื่องไหนวัดได้พลังงานกระตือรือล้นเพิ่มล้นปรี่ก็หมายความว่าเรื่องนี้ใช่แน่เลย ลุยเถอะ
เมื่อใดคุณอยู่ในมู้ดของฮันนิมูน มันเป็นโลกของหัวใจ คุณสร้างสรรค์ เมื่อใดคุณอยู่ในมู้ดของความคิด คุณมีแนวโน้มจะเป็นผู้ทำลายอะไรก็ตามที่ขวางหน้าเพื่อบรรเทาความกลัวของคุณ บนความเชื่อว่าคุณเป็นตัวตนที่แยกออกมาเป็นคนละสิ่งคนละอันจากชีวิตอื่น คำว่า "หลอมรวม" ที่เกิดขึ้นในใจของคุณเมื่อตอนฮันนิมูนมู้ดนั้น พอมาอยู่ในอาณัติของสมองคำนั้นไม่มีแล้ว มีแต่คำว่า "แบ่งแยก" และ "ปกป้องตัวเอง"
ผมไม่แปลกใจที่คุณบ่นว่าสุขภาพของคุณแย่ เพราะทุกเซลของร่างกายรับคำสั่งมาจากภายนอกเซล สัญญาณคำสั่งถึงเซลร่างกายมีส่วนน้อยมาจากใจ ส่วนใหญ่มาจากสมองซึ่งมาจากความจำอีกต่อหนึ่ง ถ้าสัญญาณบ่งบอกถึงความกลัว เซลก็ทำงานปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วคุณก็เจ็บป่วย
ระบบการศึกษาที่ไปผิดทางทำให้คนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาสูงถูกโปรแกรมให้เชื่อสมองมากกว่าเชื่อหัวใจ เมื่อเชื่อสมองมาก ความกลัวก็พอกพูน ปัญหาของชุมชน "แม่ผัวลูกสะใภ้" อยู่ตรงที่มันเป็นชุมชนของคนที่ต่างก็ขี้กลัว เมื่อคนขี้กลัวมาอยู่กับคนขี้กลัว การห้ำหั่นกันภายในชุมชนก็พร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ เพราะความกลัวทำให้แต่ละฝ่ายต่างมุ่งปกป้องความเป็นบุคคลหรือ "อีโก้" ของตัวเอง ไม่สนใจการหลอมรวมหรือเชื่อมโยงเข้าหากันแล้ว ความกลัวทำให้ทุกคนกระโดดลงหลุมหลบภัยของตัวเอง แล้วตายคาอยู่ในนั้นเพราะขาดการเชื่อมต่อหรือขาดพลังช่วยเหลือจากภายนอก พลังงานเก่าที่มีอยู่ก็หมดไปกับการเฝ้าระวังปกป้องอีโก้ของตัวเอง
ผมแนะนำให้คุณเปลี่ยนความคิดของคุณเสียใหม่ เปลี่ยนหลักคิดที่ยึดกุมเสียใหม่ ทิ้งมู้ดของสะไภ้ในบ้านแม่ผัวไปเสีย มาอยู่ในมู้ดของเจ้าสาวกำลังฮันนิมูน ทิ้งสมอง มาอยู่กับหัวใจ เอ็นจอยวันนี้ วันที่ได้มาร่วมชีวิตกับผู้ชายน่ารัก ได้มีโอกาสเกิดมาอยู่ในโลกที่สวยงาม สุขกับชีวิตให้เต็มที่ สร้างสรรค์ให้เต็มที่ ฮันนิมูนกับทุกโมเมนต์ของชีวิต มันไม่ได้เกิดขึ้นได้เพราะอุบัติเหตุนะ แต่มันเกิดขึ้นได้เพราะการฝึกจนคุณสามารถเป็นเจ้าของกลไกที่จะอยู่ในฮันนี่มูนมู้ดได้ตลอดเวลา
"แกล้งทำไป จนมันกลายเป็นคุณจริงๆ"
"Fake it until you make it"
คุณอาจจะต้องทำมากหน่อย เพราะสมองของคนเราถูกโปรแกรมให้ขี้กลัว ขี้สงสัย และขี้ขาดแคลน ยิ่งถ้าเป็นลูกสะไภ้สมองก็จะถูกโปรแกรมอย่างแรงให้กลัวแม่ผัว การจะพาตัวเองออกจากตรงนั้นมาอยู่ในมู้ดของฮันนิมูนซึ่งมีแต่ความรัก ความร่าเริง ความสุขที่เหลือเฟือจะเผื่อแผ่และพลังที่เหลือล้นพร้อมที่จะสร้างสรรค์ มันก็ต้องทำมากหน่อย แต่ทำซ้ำๆแล้วมันจะกลายเป็นจิตใต้สำนึก มันจะไล่ที่ความขี้กล้ว ขี้สงสัย และขี้ขาดแคลนของคุณได้ เริ่มต้นด้วยอะไรเล็กน้อยๆในบ้านของแม่ผัวที่คุณชอบหรือมีความตื่นเต้นที่จะได้ทำ ที่จะได้เป็นผู้ "ให้" ก่อน เริ่มจับที่ตรงนั้น แล้วลงมือทำโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ไม่คำนึงถึงผลลัพท์ ทำไปเพราะความรัก เพราะความอยากให้ การให้มันไม่ยากดอก ยิ่งให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนยิ่งไม่ยาก แค่ยิ้ม คุณก็เป็นผู้ให้แล้ว ทำเหมือนคนทำงานอดิเรกไม่ได้หวังอะไร คิดเสียว่าผลลัพท์มันจะเป็นศูนย์ ทำอย่างนี้แล้วในชีวิตจริงผลลัพท์ดีๆมันจะตามมาเอง
พอคุณเปลี่ยนมู้ดหรือความเชื่อของคุณได้แล้ว ทิ้งความกลัวสาระพัดเสียได้แล้ว ความเป็นจริงนอกตัวจะเปลี่ยนไปเอง คุณอาจจะคิดว่า ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ความคิดของคนคนหนึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวคนคนนั้นไมใช่หรือ เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นผู้สร้างความเป็นจริงรอบตัวขึ้นจากความกลัวของคุณเอง ไม่ว่าในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากความกลัวว่ามันจะเกิด หรือความเชื่อว่ามันจะเกิดทั้งนั้นแหละ
เรื่องการคิดอ่านแยกออกไปตั้งครอบครัวนอกเขตอิทธิพลของแม่ผัวนั้น ยังไม่ต้องไปกังวลตอนนี้ ถ้าจะทำจริง ยังไงมันก็ต้องทำได้ในที่สุด แต่ผมแนะนำว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน เรื่องสำคัญเร่งด่วนคือคุณทำเรื่องเปลี่ยนจากมู้ดลูกสะใภ้ในบ้านแม่ผัวมาเป็นมู้ดฮ้นนิมูนให้ได้ก่อน เปลี่ยนการเชื่อสมองมาเชื่อหัวใจคุณให้ได้ก่อน ถ้าทำแล้วมันไม่เวอร์คค่อยถึงคิดอ่านหาทางแยกครอบครัวออกไปตั้งหลักแหล่งข้างนอกอย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ในภายหลัง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
คุณหมอคะ หนูจะทำอย่างไรดี
........................................................................
ตอบครับ
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของความแตกต่างระหว่างมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยหัวใจ คือมู้ดฮันนิมูน ซึ่งมีแต่ความรัก ความร่าเริง สดใส สร้างสรรค์ มีชีวิตชีวา กับมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยสมอง คือมู้ดลูกสะใภ้ในบ้านแม่ผัว
ในมู้ดที่ควบคุมโดยสมอง คุณจะเต็มไปด้วยความคิด สมองของคนเราทำงานเหมือนนักเรียนแก้โจทย์พีชคณิต ตั้งต้นโจทย์ยาวเชียว ต้องเขียนสมาการเป็นขั้นๆแล้วใช้ตรรกเชิงคณิตศาตร์ไล่ขั้นตอนลงไป จนสามารถตัดสมการที่ยาวเฟื้อยนั้นเหลือสั้นลงๆและได้คำตอบที่ถูกต้องในบรรทัดสุดท้าย แต่อย่าเผลอทำผิดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งแม้เพียงนิดเดียวนะ เพราะผิดนิดเดียวแค่นั้นทั้งข้อผิดหมดเลย การอยู่ในมู้ดที่ขับเคลื่อนโดยสมองมันจึงเครียด
ส่วนหัวใจ หรือ "ใจ" ทำงานอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แบบแก้โจทย์พีชคณิต แต่ทำงานแบบวัดพลังงานการสั่นสะเทือน หัวใจใช้หลักง่ายๆว่าที่ไหนมีพลังงาน ที่นั่นมีชีวิต ตรงไหนไม่มีพลังงาน ตรงนั้นไม่มีชีวิต เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต มีคำถามว่าจะเอาไงกับเรื่องนี้ดี หัวใจจะวัดพลังงาน หมายความว่าชีวิตเรานี้มันจุ่มแช่อยู่ในสนามพลังงานอยู่แล้ว ถ้าเรื่องนั้นทำให้พลังงานเหือดแห้งไปก็เป็นคำตอบว่าอย่าไปยุ่งเลย แต่ถ้าเรื่องไหนวัดได้พลังงานกระตือรือล้นเพิ่มล้นปรี่ก็หมายความว่าเรื่องนี้ใช่แน่เลย ลุยเถอะ
ผมไม่แปลกใจที่คุณบ่นว่าสุขภาพของคุณแย่ เพราะทุกเซลของร่างกายรับคำสั่งมาจากภายนอกเซล สัญญาณคำสั่งถึงเซลร่างกายมีส่วนน้อยมาจากใจ ส่วนใหญ่มาจากสมองซึ่งมาจากความจำอีกต่อหนึ่ง ถ้าสัญญาณบ่งบอกถึงความกลัว เซลก็ทำงานปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วคุณก็เจ็บป่วย
ระบบการศึกษาที่ไปผิดทางทำให้คนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาสูงถูกโปรแกรมให้เชื่อสมองมากกว่าเชื่อหัวใจ เมื่อเชื่อสมองมาก ความกลัวก็พอกพูน ปัญหาของชุมชน "แม่ผัวลูกสะใภ้" อยู่ตรงที่มันเป็นชุมชนของคนที่ต่างก็ขี้กลัว เมื่อคนขี้กลัวมาอยู่กับคนขี้กลัว การห้ำหั่นกันภายในชุมชนก็พร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ เพราะความกลัวทำให้แต่ละฝ่ายต่างมุ่งปกป้องความเป็นบุคคลหรือ "อีโก้" ของตัวเอง ไม่สนใจการหลอมรวมหรือเชื่อมโยงเข้าหากันแล้ว ความกลัวทำให้ทุกคนกระโดดลงหลุมหลบภัยของตัวเอง แล้วตายคาอยู่ในนั้นเพราะขาดการเชื่อมต่อหรือขาดพลังช่วยเหลือจากภายนอก พลังงานเก่าที่มีอยู่ก็หมดไปกับการเฝ้าระวังปกป้องอีโก้ของตัวเอง
ผมแนะนำให้คุณเปลี่ยนความคิดของคุณเสียใหม่ เปลี่ยนหลักคิดที่ยึดกุมเสียใหม่ ทิ้งมู้ดของสะไภ้ในบ้านแม่ผัวไปเสีย มาอยู่ในมู้ดของเจ้าสาวกำลังฮันนิมูน ทิ้งสมอง มาอยู่กับหัวใจ เอ็นจอยวันนี้ วันที่ได้มาร่วมชีวิตกับผู้ชายน่ารัก ได้มีโอกาสเกิดมาอยู่ในโลกที่สวยงาม สุขกับชีวิตให้เต็มที่ สร้างสรรค์ให้เต็มที่ ฮันนิมูนกับทุกโมเมนต์ของชีวิต มันไม่ได้เกิดขึ้นได้เพราะอุบัติเหตุนะ แต่มันเกิดขึ้นได้เพราะการฝึกจนคุณสามารถเป็นเจ้าของกลไกที่จะอยู่ในฮันนี่มูนมู้ดได้ตลอดเวลา
"แกล้งทำไป จนมันกลายเป็นคุณจริงๆ"
"Fake it until you make it"
คุณอาจจะต้องทำมากหน่อย เพราะสมองของคนเราถูกโปรแกรมให้ขี้กลัว ขี้สงสัย และขี้ขาดแคลน ยิ่งถ้าเป็นลูกสะไภ้สมองก็จะถูกโปรแกรมอย่างแรงให้กลัวแม่ผัว การจะพาตัวเองออกจากตรงนั้นมาอยู่ในมู้ดของฮันนิมูนซึ่งมีแต่ความรัก ความร่าเริง ความสุขที่เหลือเฟือจะเผื่อแผ่และพลังที่เหลือล้นพร้อมที่จะสร้างสรรค์ มันก็ต้องทำมากหน่อย แต่ทำซ้ำๆแล้วมันจะกลายเป็นจิตใต้สำนึก มันจะไล่ที่ความขี้กล้ว ขี้สงสัย และขี้ขาดแคลนของคุณได้ เริ่มต้นด้วยอะไรเล็กน้อยๆในบ้านของแม่ผัวที่คุณชอบหรือมีความตื่นเต้นที่จะได้ทำ ที่จะได้เป็นผู้ "ให้" ก่อน เริ่มจับที่ตรงนั้น แล้วลงมือทำโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ไม่คำนึงถึงผลลัพท์ ทำไปเพราะความรัก เพราะความอยากให้ การให้มันไม่ยากดอก ยิ่งให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนยิ่งไม่ยาก แค่ยิ้ม คุณก็เป็นผู้ให้แล้ว ทำเหมือนคนทำงานอดิเรกไม่ได้หวังอะไร คิดเสียว่าผลลัพท์มันจะเป็นศูนย์ ทำอย่างนี้แล้วในชีวิตจริงผลลัพท์ดีๆมันจะตามมาเอง
พอคุณเปลี่ยนมู้ดหรือความเชื่อของคุณได้แล้ว ทิ้งความกลัวสาระพัดเสียได้แล้ว ความเป็นจริงนอกตัวจะเปลี่ยนไปเอง คุณอาจจะคิดว่า ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ความคิดของคนคนหนึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวคนคนนั้นไมใช่หรือ เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นผู้สร้างความเป็นจริงรอบตัวขึ้นจากความกลัวของคุณเอง ไม่ว่าในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากความกลัวว่ามันจะเกิด หรือความเชื่อว่ามันจะเกิดทั้งนั้นแหละ
เรื่องการคิดอ่านแยกออกไปตั้งครอบครัวนอกเขตอิทธิพลของแม่ผัวนั้น ยังไม่ต้องไปกังวลตอนนี้ ถ้าจะทำจริง ยังไงมันก็ต้องทำได้ในที่สุด แต่ผมแนะนำว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน เรื่องสำคัญเร่งด่วนคือคุณทำเรื่องเปลี่ยนจากมู้ดลูกสะใภ้ในบ้านแม่ผัวมาเป็นมู้ดฮ้นนิมูนให้ได้ก่อน เปลี่ยนการเชื่อสมองมาเชื่อหัวใจคุณให้ได้ก่อน ถ้าทำแล้วมันไม่เวอร์คค่อยถึงคิดอ่านหาทางแยกครอบครัวออกไปตั้งหลักแหล่งข้างนอกอย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ในภายหลัง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์