โง่นั่นแหละดี
อาจารย์สันต์ครับ
ผมก็เป็นนศพ.ปีสี่ครับ ผมได้อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามเรื่องความกลัวของพี่ปี 6 คนหนึ่งเรื่องจะเอาความกลัวนี้ออกไปจากใจได้อย่างไร ในนั้นมีตอนหนึ่งอาจารย์บอกว่าความสงสัยเป็นความคิดที่ชั่วร้าย ทำนองนี้ ผมอยากถามอาจารย์ว่าแล้วหากเราไม่รู้จักตั้งคำถามหรือไม่สงสัยแล้วค้นหาคำตอบ ปัญญาของเราจะพัฒนาขึ้นไปได้อย่างไรละครับ
...................................................
ตอบครับ
ผมต้องขอโทษท่านผู้อ่านทั่วไปที่วนเวียนตอบคำถามนักเรียนแพทย์ซ้ำซาก แต่เนื่องจากผมให้ความสำคัญกับจดหมายของแพทย์รุ่นหนุ่มสาวและนักศึกษาแพทย์มากเป็นพิเศษ พวกเขาถามอะไรมาผมจะพยายามตอบหมดหากถามไม่ซ้ำกัน มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างก็จะพยายามตอบ เพราะว่าสมัยผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมเองก็เคยมีปัญหาชีวิตแทบเอาตัวไม่รอดแล้วก็ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร
ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกท่านผู้อ่านแฟนบล็อกไปแล้วหรือเปล่า จำได้แต่ว่าเคยพูดกับสมาชิก Spiritual Retreat ว่าตัวผมนี้ได้เลิกอ่านหนังสือไปหมดแล้ว แต่ว่าก่อนหน้าที่จะเลิกนั้นก็ได้อ่านหนังสือมาแล้วบ้างพอสมควรจนสรุปแก่ตัวเองได้แน่ชัดว่าเลิกอ่านเสียดีกว่าที่จะทู่ซี้อ่านต่อไป ไม่ใช่หนังสืออย่างเดียวที่เลิก ทั้งทีวี ภาพยนตร์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ผมก็เลิกหมด ได้แต่อาศัย ม. สรุปข่าวให้ฟังที่โต๊ะกินข้าว ในบรรดาหนังสือที่เคยอ่านไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเล่ม ส่วนใหญ่ลืมเนื้อหาไปหมดแล้ว มีเหลือไม่กี่เล่มที่ยังอยู่ในความทรงจำ และหนังสือ The Brothers Karamazov ของ Dostoyevsky ก็เป็นหนึ่งในนั้น หนังสือเล่มนี้ผมจำได้มีอยู่ตอนหนึ่งพูดถึงว่า "โง่นั่นแหละดี"
“The more stupid one is, the closer one is to reality. The more stupid one is, the clearer one is. Stupidity is brief and artless, while intelligence squirms and hides itself. Intelligence is unprincipled, but stupidity is honest and straightforward.”
"คนยิ่งโง่ยิ่งใกล้การบรรลุธรรม ยิ่งโง่ยิ่งมีสายตาโปร่งใส ความโง่เป็นอะไรที่รวบรัดไร้ศิลปะ ขณะที่ความฉลาดปราดเปรื่องนั้นบิดเบือนและซุกซ่อนแม้แต่ต่อตนเอง ความฉลาดคือความทุศีล ขณะที่ความโง่คือความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา"
ก่อนอื่นเราขีดวงเรื่องที่เราคุยกันว่าเราโฟกัสที่ "โลกุตระ" คือการหลุดพ้นจากกรงความคิดของตัวเองนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่อง "โลกิยะ" อย่างเช่นการทำมาหากิน หรือเรื่องการสอบวิชาแพทย์ให้ได้คะแนนดีๆ
ปัญญาที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกรงความคิดของคุณเองนั้น ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการคิดใคร่ครวญไตร่ตรองเอา ไม่ใช่ intellect แต่เป็นปัญญาญาณ (intuition) หรือการอยู่ๆก็ปิ๊งขึ้นมาเห็นตามที่มันเป็น ซึ่งเกิดสืบเนื่องจากการที่จิตได้อยู่ในภาวะปลอดความคิดแล้วพักหนึ่งก่อน ถ้าคุณมัวแต่ตั้งคำถามแล้วพยายามตอบคำถาม คุณตั้งและตอบให้ตายคุณก็จะยังไม่ไปไหนเว้นเสียแต่ว่าคุณจะรู้จักวิธีตั้งคำถามแบบดึงความสนใจของคุณให้ทิ้งความคิดถอยเข้าอู่มาอยู่กับความรู้ตัว ซึ่งการตั้งคำถามแบบนั้นเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนที่เราไม่มีเวลาพูดถึงกันในวันนี้ วันนี้เราเอากันแต่เรื่องตื้นๆว่าการตั้งคำถามแล้วตอบหมายถึงคำถามทั่วไปคำตอบทั่วไป การมีนิสัยขี้สงสัยถามโน่นถามนี่แล้วคิดหาคำตอบมันเป็นนิสัยธรรมดาของปัญญาชน ตัวผมเองก็เคยตกอยู่วังวนแบบนั้น อ่านหนังสือไปแล้วหลายตู้ จนหนังสือล้นตู้ต้องแอบ ม. เอาไปทิ้งเพราะ ม. ของผมเป็นคนมีนิสัยประหยัดไม่ชอบเห็นใครทิ้งอะไรก็ตามที่ซื้อเข้าบ้านมาแล้ว นอกจากขยันอ่านแล้วผมยังขยันนั่งทำวิปัสนาตามแนวคิดคนทั่วไปในสมัยโน้นด้วย เพราะเชื่อคำสอนของใครต่อใครว่าวิปัสนาคือการนั่งคิดไตร่ตรองใคร่ครวญเอา ผลที่ได้คือมีแต่การบ่มเพาะให้ความคิดนั้นวกวนและขยายตัวขึ้นในหน่วยความจำของตัวเองโดยไม่ยอมหายไปไหน คิดแล้วก็จำไว้ แล้วความจำนั้นก็จะกลับโผล่ขึ้นมาเป็นคำถามให้คิดใหม่ มีแต่คิด คิด คิด ไม่มีทีท่าว่าปัญญาของผมจะพัฒนาเติบโตพาผมไปสู่ความหลุดพ้นจากอะไรใดๆได้เลย มีแต่คอนเซ็พท์ ภาษา ขี้ปาก บ้าๆบอๆสาระพัดรกหัวเต็มไปหมด ไม่มีคำถามไหนจะนำไปสู่คำตอบ มีแต่จะก่อคำถามใหม่ เพราะคำถามเหล่านั้นล้วนถูกชงขึ้นมาโดย "ใจ" ซึ่งจมลึกอยู่ในความเป็นบุคคล มันชงคำถามขึ้นมาเพียงเพื่อจะหลอกล่อให้เราวนเวียนอยู่กับความคิดที่เชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงอย่างไม่จบสิ้น
ครูของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสพูดอังกฤษไม่ค่อยชัด พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ครูท่านนี้นอกจากจะไม่ตอบคำถามของผมแล้วยังบ้องหูคำถามของผมแต่ละคำให้ตกไปอย่างไม่ปราณีปราศัย เมื่อหมดคำถามโดยครูไม่ให้คำตอบแถมยังทุบคำถามของผมทิ้งเสียหมด ผมก็เลยไม่รู้จะสงสัยอะไรต่อ เมื่อหมดความสงสัยหมดคำถามนั่นแหละ คำตอบจริงจึงจะโผล่มา คือความเงียบนั่นไง หมายถึงว่าเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว จึงถึงบางอ้อว่า อ้อ..ความสงสัยนี่เองที่เป็นต้นเหตุให้ผมติดอยู่ในความคิดตั้งนานหลายสิบปี มาไม่ถึงสักที
เมื่อหมดข้อสงสัย ก็หมดความคิด ความสนใจก็ถอยกลับเข้าอู่จอดของมันซึ่งก็คือความรู้ตัว เมื่อความสนใจจมดิ่งอยู่ในความรู้ตัวซึ่งก็คือความตื่นที่เงียบและนิ่งได้นานพอ ปัญญาญาณก็เกิดขึ้น เพราะความเงียบกับปัญญาญาณนั้นเป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน หมายความ..ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน
ณ ที่เงียบสงัดจากความคิดหรือเงียบจากเสียงนักพากย์ในหัวนี้ ความโง่หรือความฉลาดจะมีค่าเท่ากัน คือมีค่าเท่ากับศูนย์ หรือไม่มีค่าเลย เพราะ ณ ที่ที่ความเป็นบุคคลไม่เหลืออยู่ ที่ตรงนั้นไม่มีภาษา ไม่มีคอนเซ็พท์ ไม่มีการเปรียบเทียบตีความใดๆ โง่กับฉลาดจึงไม่ต่างกัน หมายความว่าการจะมาถึงตรงนี้ได้คุณจะต้องทิ้งการเปรียบเทียบ ทิ้งความฉลาด ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สังคมสอนคุณมานานยี่สิบกว่าปีว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้เป็นของจริงจังต้องปกป้องถนอมกล่อมเกลี้้ยงเสียให้หมดก่อน ตรงนี้มันเป็นโลกลึกลับ เปรียบเหมือนยอดดอยสูงที่จะมองเห็นวิวได้กว้างไกล แต่คนที่จะมาถึงได้ต้องดั้นด้นฝ่าป่าทึบของความสงสัยเคลือบแคลงและจบกิจการขยันตั้งคำถามขยันแสวงหาคำตอบให้ได้เสียก่อน
เขียนมาถึงตรงนี้ผมนึกขึ้นได้ถึงนิทานอีสปเรื่องกบนักปรัชญากับตะขาบ เรื่องมีอยู่ว่ากบนักปรัชญาออกมาเต้นออกกำลังกายตอนเช้าเห็นตะขาบออกมาเดินเล่นตอนเช้าเช่นกันก็ทึ่งที่ตะขาบมีตั้งร้อยตีนแล้วมันจัดการได้อย่างไรโดยตีนไม่พันกัน เอาตีนไหนออกเดินก่อนเดินกลางเดินหลัง คิดสูตรคณิตศาสตร์อธิบายยังไงก็คิดไม่ออก กบจึงเข้าไปถามตะขาบว่าท่านมีตั้งร้อยตีนท่านจัดการตีนเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าขากันได้อย่างไร ตะขาบคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบว่า เออ.. ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วข้าจะหาคำตอบให้นะ วันรุ่งขึ้นกบมาเดินเล่นอีกแต่ก็ต้องประหลาดใจว่าตะขาบตัวนั้นยังอยู่ที่นั่นแบบหมดเรี่ยวหมดแรงไปไหนไม่รอดแถมขาพันกันวุ่น กบถามว่าอ้าว ทำไมยังอยู่ที่นี่อยู่หรือ ตะขาบตอบว่า
"ก็เพราะแกนั้นแหละ เจ้านักปรัชญาปัญญาอ่อน เดิมข้าก็เดินของข้าได้อยู่ดีๆ แต่พอแกมาถามว่าข้าเดินอย่างไรในหัวข้าตอนนี้จึงมีแต่คำถามของแกและคิดหาคำตอบสาระพัดสาระเพแต่ก็ยังไม่รู้ว่าข้าเดินได้อย่างไร และข้าก็ลืมไปเสียแล้วว่าแต่เดิมข้าเดินจากบ้านมานี่ได้อย่างไร"
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
อนึ่ง ในขณะที่ผมบอกคุณว่าอย่าเที่ยวสงสัยอะไร ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณปักใจเชื่ออะไรสักอย่างนะ เมื่อผมบอกคุณว่าให้หัดไว้ใจจักรวาลเสียบ้าง คำว่า "ไว้ใจ (trust)" ผมหมายถึงให้คุณปลดปล่อยความกลัวออกไปจากใจ ไม่ได้หมายถึงให้คุณ "เชื่อ (belief)" ฝังหัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือในคอนเซ็พท์ใดคอนเซ็พท์หนึ่ง ไว้ใจกับเชื่อไม่เหมือนกันนะ..ย้ำ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ "ไว้ใจ" ทำให้คุณปล่อยวางความคิดหวาดระแวงหรือการมุ่งปกป้องความเป็นบุคคลของคุณ แต่ "เชื่อ" ทำให้คุณยึดถือความคิดใดความคิดหนึ่งไว้มั่น คนเรารักกันได้เพราะไว้ใจกัน แต่เกลียดกันฆ่ากันตายได้ทีละเป็นเบือเพราะความเชื่อไม่เหมือนกัน ความเชื่อฝังหัวในความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คุณไม่หลุดพ้น แท้จริงแล้วความสงสัยกับความเชื่อนั้นมันก็คือสิ่งเดียวกัน ความสงสัยคือความไม่เชื่อ ความไม่เชื่อก็คือความเชื่อว่าสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง ทั้งหมดนี้มันล้วนเป็นความคิด ที่ผมว่าความสงสัยมันเป็นความคิดชนิดอันตรายก็เพราะมันสามารถดึงคุณให้หลงอยู่ติดในป่าของความคิดได้นานมาก ยิ่งอีโก้ของคุณแรงตัวตนของคุณแยะ หมายความว่ายิ่งคุณภาคภูมิใจเหลือเกินว่าคุณเป็น "คน" ฉลาด เป็นคนเก่ง คุณยิ่งจะติดอยู่ในป่าของความคิดไปนาน..น แสนนาน
ดังนั้นผมรับประกันว่าคุณไม่ต้องกลัวว่าจะโง่ถ้าคุณเลิกสงสัยอะไรเสีย ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างอิสระเสรีตามธรรมชาติของมัน เรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์จริง อย่ายอมให้ความคิดยึดถือหรือ fixed idea ที่สังคมพร่ำสอนกรอกหูคุณมานำทางชีวิต หรือหากจะพูดอีกอย่างก็พูดแบบดอสโตแยฟสกี้ก็ได้ว่า..
"โง่นั่นแหละดี"
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมก็เป็นนศพ.ปีสี่ครับ ผมได้อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามเรื่องความกลัวของพี่ปี 6 คนหนึ่งเรื่องจะเอาความกลัวนี้ออกไปจากใจได้อย่างไร ในนั้นมีตอนหนึ่งอาจารย์บอกว่าความสงสัยเป็นความคิดที่ชั่วร้าย ทำนองนี้ ผมอยากถามอาจารย์ว่าแล้วหากเราไม่รู้จักตั้งคำถามหรือไม่สงสัยแล้วค้นหาคำตอบ ปัญญาของเราจะพัฒนาขึ้นไปได้อย่างไรละครับ
...................................................
ตอบครับ
ผมต้องขอโทษท่านผู้อ่านทั่วไปที่วนเวียนตอบคำถามนักเรียนแพทย์ซ้ำซาก แต่เนื่องจากผมให้ความสำคัญกับจดหมายของแพทย์รุ่นหนุ่มสาวและนักศึกษาแพทย์มากเป็นพิเศษ พวกเขาถามอะไรมาผมจะพยายามตอบหมดหากถามไม่ซ้ำกัน มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างก็จะพยายามตอบ เพราะว่าสมัยผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมเองก็เคยมีปัญหาชีวิตแทบเอาตัวไม่รอดแล้วก็ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร
ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกท่านผู้อ่านแฟนบล็อกไปแล้วหรือเปล่า จำได้แต่ว่าเคยพูดกับสมาชิก Spiritual Retreat ว่าตัวผมนี้ได้เลิกอ่านหนังสือไปหมดแล้ว แต่ว่าก่อนหน้าที่จะเลิกนั้นก็ได้อ่านหนังสือมาแล้วบ้างพอสมควรจนสรุปแก่ตัวเองได้แน่ชัดว่าเลิกอ่านเสียดีกว่าที่จะทู่ซี้อ่านต่อไป ไม่ใช่หนังสืออย่างเดียวที่เลิก ทั้งทีวี ภาพยนตร์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ผมก็เลิกหมด ได้แต่อาศัย ม. สรุปข่าวให้ฟังที่โต๊ะกินข้าว ในบรรดาหนังสือที่เคยอ่านไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเล่ม ส่วนใหญ่ลืมเนื้อหาไปหมดแล้ว มีเหลือไม่กี่เล่มที่ยังอยู่ในความทรงจำ และหนังสือ The Brothers Karamazov ของ Dostoyevsky ก็เป็นหนึ่งในนั้น หนังสือเล่มนี้ผมจำได้มีอยู่ตอนหนึ่งพูดถึงว่า "โง่นั่นแหละดี"
“The more stupid one is, the closer one is to reality. The more stupid one is, the clearer one is. Stupidity is brief and artless, while intelligence squirms and hides itself. Intelligence is unprincipled, but stupidity is honest and straightforward.”
"คนยิ่งโง่ยิ่งใกล้การบรรลุธรรม ยิ่งโง่ยิ่งมีสายตาโปร่งใส ความโง่เป็นอะไรที่รวบรัดไร้ศิลปะ ขณะที่ความฉลาดปราดเปรื่องนั้นบิดเบือนและซุกซ่อนแม้แต่ต่อตนเอง ความฉลาดคือความทุศีล ขณะที่ความโง่คือความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา"
ก่อนอื่นเราขีดวงเรื่องที่เราคุยกันว่าเราโฟกัสที่ "โลกุตระ" คือการหลุดพ้นจากกรงความคิดของตัวเองนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่อง "โลกิยะ" อย่างเช่นการทำมาหากิน หรือเรื่องการสอบวิชาแพทย์ให้ได้คะแนนดีๆ
ปัญญาที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกรงความคิดของคุณเองนั้น ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการคิดใคร่ครวญไตร่ตรองเอา ไม่ใช่ intellect แต่เป็นปัญญาญาณ (intuition) หรือการอยู่ๆก็ปิ๊งขึ้นมาเห็นตามที่มันเป็น ซึ่งเกิดสืบเนื่องจากการที่จิตได้อยู่ในภาวะปลอดความคิดแล้วพักหนึ่งก่อน ถ้าคุณมัวแต่ตั้งคำถามแล้วพยายามตอบคำถาม คุณตั้งและตอบให้ตายคุณก็จะยังไม่ไปไหนเว้นเสียแต่ว่าคุณจะรู้จักวิธีตั้งคำถามแบบดึงความสนใจของคุณให้ทิ้งความคิดถอยเข้าอู่มาอยู่กับความรู้ตัว ซึ่งการตั้งคำถามแบบนั้นเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนที่เราไม่มีเวลาพูดถึงกันในวันนี้ วันนี้เราเอากันแต่เรื่องตื้นๆว่าการตั้งคำถามแล้วตอบหมายถึงคำถามทั่วไปคำตอบทั่วไป การมีนิสัยขี้สงสัยถามโน่นถามนี่แล้วคิดหาคำตอบมันเป็นนิสัยธรรมดาของปัญญาชน ตัวผมเองก็เคยตกอยู่วังวนแบบนั้น อ่านหนังสือไปแล้วหลายตู้ จนหนังสือล้นตู้ต้องแอบ ม. เอาไปทิ้งเพราะ ม. ของผมเป็นคนมีนิสัยประหยัดไม่ชอบเห็นใครทิ้งอะไรก็ตามที่ซื้อเข้าบ้านมาแล้ว นอกจากขยันอ่านแล้วผมยังขยันนั่งทำวิปัสนาตามแนวคิดคนทั่วไปในสมัยโน้นด้วย เพราะเชื่อคำสอนของใครต่อใครว่าวิปัสนาคือการนั่งคิดไตร่ตรองใคร่ครวญเอา ผลที่ได้คือมีแต่การบ่มเพาะให้ความคิดนั้นวกวนและขยายตัวขึ้นในหน่วยความจำของตัวเองโดยไม่ยอมหายไปไหน คิดแล้วก็จำไว้ แล้วความจำนั้นก็จะกลับโผล่ขึ้นมาเป็นคำถามให้คิดใหม่ มีแต่คิด คิด คิด ไม่มีทีท่าว่าปัญญาของผมจะพัฒนาเติบโตพาผมไปสู่ความหลุดพ้นจากอะไรใดๆได้เลย มีแต่คอนเซ็พท์ ภาษา ขี้ปาก บ้าๆบอๆสาระพัดรกหัวเต็มไปหมด ไม่มีคำถามไหนจะนำไปสู่คำตอบ มีแต่จะก่อคำถามใหม่ เพราะคำถามเหล่านั้นล้วนถูกชงขึ้นมาโดย "ใจ" ซึ่งจมลึกอยู่ในความเป็นบุคคล มันชงคำถามขึ้นมาเพียงเพื่อจะหลอกล่อให้เราวนเวียนอยู่กับความคิดที่เชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงอย่างไม่จบสิ้น
ครูของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสพูดอังกฤษไม่ค่อยชัด พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ครูท่านนี้นอกจากจะไม่ตอบคำถามของผมแล้วยังบ้องหูคำถามของผมแต่ละคำให้ตกไปอย่างไม่ปราณีปราศัย เมื่อหมดคำถามโดยครูไม่ให้คำตอบแถมยังทุบคำถามของผมทิ้งเสียหมด ผมก็เลยไม่รู้จะสงสัยอะไรต่อ เมื่อหมดความสงสัยหมดคำถามนั่นแหละ คำตอบจริงจึงจะโผล่มา คือความเงียบนั่นไง หมายถึงว่าเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว จึงถึงบางอ้อว่า อ้อ..ความสงสัยนี่เองที่เป็นต้นเหตุให้ผมติดอยู่ในความคิดตั้งนานหลายสิบปี มาไม่ถึงสักที
เมื่อหมดข้อสงสัย ก็หมดความคิด ความสนใจก็ถอยกลับเข้าอู่จอดของมันซึ่งก็คือความรู้ตัว เมื่อความสนใจจมดิ่งอยู่ในความรู้ตัวซึ่งก็คือความตื่นที่เงียบและนิ่งได้นานพอ ปัญญาญาณก็เกิดขึ้น เพราะความเงียบกับปัญญาญาณนั้นเป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน หมายความ..ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน
ณ ที่เงียบสงัดจากความคิดหรือเงียบจากเสียงนักพากย์ในหัวนี้ ความโง่หรือความฉลาดจะมีค่าเท่ากัน คือมีค่าเท่ากับศูนย์ หรือไม่มีค่าเลย เพราะ ณ ที่ที่ความเป็นบุคคลไม่เหลืออยู่ ที่ตรงนั้นไม่มีภาษา ไม่มีคอนเซ็พท์ ไม่มีการเปรียบเทียบตีความใดๆ โง่กับฉลาดจึงไม่ต่างกัน หมายความว่าการจะมาถึงตรงนี้ได้คุณจะต้องทิ้งการเปรียบเทียบ ทิ้งความฉลาด ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สังคมสอนคุณมานานยี่สิบกว่าปีว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้เป็นของจริงจังต้องปกป้องถนอมกล่อมเกลี้้ยงเสียให้หมดก่อน ตรงนี้มันเป็นโลกลึกลับ เปรียบเหมือนยอดดอยสูงที่จะมองเห็นวิวได้กว้างไกล แต่คนที่จะมาถึงได้ต้องดั้นด้นฝ่าป่าทึบของความสงสัยเคลือบแคลงและจบกิจการขยันตั้งคำถามขยันแสวงหาคำตอบให้ได้เสียก่อน
เขียนมาถึงตรงนี้ผมนึกขึ้นได้ถึงนิทานอีสปเรื่องกบนักปรัชญากับตะขาบ เรื่องมีอยู่ว่ากบนักปรัชญาออกมาเต้นออกกำลังกายตอนเช้าเห็นตะขาบออกมาเดินเล่นตอนเช้าเช่นกันก็ทึ่งที่ตะขาบมีตั้งร้อยตีนแล้วมันจัดการได้อย่างไรโดยตีนไม่พันกัน เอาตีนไหนออกเดินก่อนเดินกลางเดินหลัง คิดสูตรคณิตศาสตร์อธิบายยังไงก็คิดไม่ออก กบจึงเข้าไปถามตะขาบว่าท่านมีตั้งร้อยตีนท่านจัดการตีนเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าขากันได้อย่างไร ตะขาบคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบว่า เออ.. ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วข้าจะหาคำตอบให้นะ วันรุ่งขึ้นกบมาเดินเล่นอีกแต่ก็ต้องประหลาดใจว่าตะขาบตัวนั้นยังอยู่ที่นั่นแบบหมดเรี่ยวหมดแรงไปไหนไม่รอดแถมขาพันกันวุ่น กบถามว่าอ้าว ทำไมยังอยู่ที่นี่อยู่หรือ ตะขาบตอบว่า
"ก็เพราะแกนั้นแหละ เจ้านักปรัชญาปัญญาอ่อน เดิมข้าก็เดินของข้าได้อยู่ดีๆ แต่พอแกมาถามว่าข้าเดินอย่างไรในหัวข้าตอนนี้จึงมีแต่คำถามของแกและคิดหาคำตอบสาระพัดสาระเพแต่ก็ยังไม่รู้ว่าข้าเดินได้อย่างไร และข้าก็ลืมไปเสียแล้วว่าแต่เดิมข้าเดินจากบ้านมานี่ได้อย่างไร"
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
อนึ่ง ในขณะที่ผมบอกคุณว่าอย่าเที่ยวสงสัยอะไร ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณปักใจเชื่ออะไรสักอย่างนะ เมื่อผมบอกคุณว่าให้หัดไว้ใจจักรวาลเสียบ้าง คำว่า "ไว้ใจ (trust)" ผมหมายถึงให้คุณปลดปล่อยความกลัวออกไปจากใจ ไม่ได้หมายถึงให้คุณ "เชื่อ (belief)" ฝังหัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือในคอนเซ็พท์ใดคอนเซ็พท์หนึ่ง ไว้ใจกับเชื่อไม่เหมือนกันนะ..ย้ำ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ "ไว้ใจ" ทำให้คุณปล่อยวางความคิดหวาดระแวงหรือการมุ่งปกป้องความเป็นบุคคลของคุณ แต่ "เชื่อ" ทำให้คุณยึดถือความคิดใดความคิดหนึ่งไว้มั่น คนเรารักกันได้เพราะไว้ใจกัน แต่เกลียดกันฆ่ากันตายได้ทีละเป็นเบือเพราะความเชื่อไม่เหมือนกัน ความเชื่อฝังหัวในความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คุณไม่หลุดพ้น แท้จริงแล้วความสงสัยกับความเชื่อนั้นมันก็คือสิ่งเดียวกัน ความสงสัยคือความไม่เชื่อ ความไม่เชื่อก็คือความเชื่อว่าสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง ทั้งหมดนี้มันล้วนเป็นความคิด ที่ผมว่าความสงสัยมันเป็นความคิดชนิดอันตรายก็เพราะมันสามารถดึงคุณให้หลงอยู่ติดในป่าของความคิดได้นานมาก ยิ่งอีโก้ของคุณแรงตัวตนของคุณแยะ หมายความว่ายิ่งคุณภาคภูมิใจเหลือเกินว่าคุณเป็น "คน" ฉลาด เป็นคนเก่ง คุณยิ่งจะติดอยู่ในป่าของความคิดไปนาน..น แสนนาน
ดังนั้นผมรับประกันว่าคุณไม่ต้องกลัวว่าจะโง่ถ้าคุณเลิกสงสัยอะไรเสีย ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างอิสระเสรีตามธรรมชาติของมัน เรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์จริง อย่ายอมให้ความคิดยึดถือหรือ fixed idea ที่สังคมพร่ำสอนกรอกหูคุณมานำทางชีวิต หรือหากจะพูดอีกอย่างก็พูดแบบดอสโตแยฟสกี้ก็ได้ว่า..
"โง่นั่นแหละดี"
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์