ถ้าคุณ "นิ่ง" คุณจึงจะได้เห็นความเร่งเร้าของกลไกสนองตอบแบบอัตโนมัติ



เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

    หลังจากไปเข้าแคมป์ SR มาเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2567 ก็ได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้ในการปฏิบัติ ทั้งนั่งสมาธิ ฝึกสังเกตความคิดกับตัวเอง หรือแม้กระทั่งพยายามนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นเวลาทำงาน หรือใช้ชีวิตปกติ ซึ่งก็พบว่าบางครั้งก็เห็นความคิดและเป็นผู้สังเกต บางครั้งก็ไปเป็นผู้เป็ก็พยายามฝึกเรื่อยๆ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือรู้สึกว่าใจนิ่งขึ้น เช่นมีสถานการณ์ลูกชายเลือดกำเดาไหลในคืนหนึ่งแบบเยอะมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะกลัวจนสติแตกเลยค่ะ และจะทำทุกอย่างด้วยความตกใจ แต่พอฝึกมาได้สักระยะเมื่อลูกชายเลือดกำเดาไหล เราก็เห็นว่าเขาเลือดกำเดาไหล แต่ใจเรานิ่งอยู่ มีสติ ใจข้างในมันนิ่งๆ ไม่ตูมตาม ไม่วุ่นวาย และทำทุกอย่างที่ต้องทำด้วยสติ ตั้งแต่เอาทิชชูมาซับ เอาน้ำแข็งมาให้เขาประคบ พูดจากับเขาด้วยความสงบเพื่อให้เขาคลายความกังวล กอดเขา ด้วยความสงบ จนเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ก็เห็นว่าการเผชิญสถานการณ์ด้วยสติมันเป็นแบบนี้นี่เอง 
   ที่เขียนมาหาอาจารย์วันนี้เนื่องจากบทความล่าสุดที่อาจารย์เขียน เรื่องการเชื่อมต่อ (Connecting) เมื่อไม่กี่วันมานี้ นั่งสมาธิยามเช้านั่งแบบไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เมื่อเริ่มนั่ง หูนี้ได้ยินเสียงฝนกระทบหลังคา กระทบหลังคารถ ตามธรรมชาติของมัน หลับตา ความคิดล่องล่อยเข้ามาเป็นระยะ รับสิ่งใดมาในเวลาอันใกล้ก่อนหน้า ก็แว่บๆเข้ามา บางครั้งก็หลงไปอยู่กับมันสักพักรู้ตัวก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ เมื่อรู้สึกถึงความว่างจนจุดหนึ่ง อยู่ดีๆก็มีความรู้สึกประหลาดๆเหมือนอยากร้องให้ ไม่ใช่ด้วยความเสียใจหรืออะไรนะ รู้แค่ว่าร่างกายนี้รู้สึกดีจนร้องให้ออกมา แต่ก็มิได้ลืมตา ในขณะที่ใบหน้านี้เคลื่อนไหวจากการร้องให้ น้ำตาไหล ภาพในดวงตาที่ปิดสนิทนั้นกลับเห็นสีดำสนิทชัดขึ้นชัดขึ้น เมื่อร่างกายนี้หมดจากอาการสะอื้น ความมืดที่เห็นก่อนหน้าก็ค่อยๆสว่างขึ้น แต่ไม่ได้สว่างว่อบแว่บไปมาแล้ว สว่างเป็นเนื้อเดียวกันสีเดียวกัน ภายใต้ความสว่างนั้นจิตนี้รู้สึกว่าง เย็น ปลาบปลื้ม บางเวลารู้สึกว่ามีลมมากระทบเย็นไปทั่วร่างกายเลยทีเดียว เป็นลมเย็นพัดเบาๆ รับรู้ได้อย่างแผ่วเบาไปทั่วเสมือนว่าผ่านในร่างกายนี้ไปมาราวกับขอบเขตของร่างกายที่มีผิวหนังกั้นระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อมนี้มันช่างเบาบางหรือไม่มี จนลมผ่านไปผ่านมาได้โดยง่าย เพราะเมื่อเราดำเนินชีวิตปกติเราแยกว่าร่างกายนี้เป็นเรา คนนี้คือเรา ชุดความคิดแบบนี้เป็นเรา แต่วันนี้ ณ เวลาที่ความเป็นเรามันไม่ได้มี เหลือแต่เพียงการรับรู้ภายใน ความคิดในห้วงเวลานั้นก็พาให้พิจารณาไปถึงว่านี่คือเราในวัยเยาว์ในตอนที่มีแต่เพียงการรับรู้ เห็น ได้ยิน แต่ไม่มีเราอีกคนที่เกิดขึ้นจากการหล่อหลอมด้วยความคิด ความเชื่อ สิ่งแวดล้อม และเราคนนี้มีแต่ความสงบ เย็น เป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก อยู่ดีๆก็มีอาการเหมือนจะร้องให้อีกสองสามรอบแล้ว เมื่อร่างกายหายสะอื้นก็พบกับความสว่างแบบนิ่งๆเย็นๆภายใต้ตาที่ปิดสนิทนั่นอีกครั้ง อยู่กับสภาวะนั้นชั่วครู่
    นี่คือสิ่งที่หนูอยากบันทึกไว้ค่ะ หลังจากหนูได้ลองพยายามทำสิ่งที่อาจารย์บอกว่าเป็นการ Connecting ซึ่งหนูก็ตอบไม่ได้ว่าที่หนูทำมันใช่หรือถูกต้องหรือไม่ค่ะ แต่หนูมีคำถามค่ะ ว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นในการปฏิบัตินั้นนั้น มันมีทั้งสิ่งที่เกิดจากความรู้สึก บางสิ่งเกิดจากการเห็น ณ เวลานั้น แต่ก็มีสิ่งที่ที่เป็นความคิดเกิดขึ้นมาแล้วเราพิจารณาแล้วเราเข้าใจหรือเห็นต่อเป็นทอดๆจากความคิดนั้น หนูเลยไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและเห็นนั้นมันเกิดจากความคิดแล้วมันคือความจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ในการปฏิบัติครั้งต่อไป หากเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นอีก หนูควรมีแนวทางต่อไปอย่างไรคะ  ขอคำแนะนำด้วยค่ะอาจารย์

................................

ตอบครับ

    1. ถามว่านั่งสมาธิแล้วปลื้มจนน้ำตาไหลมีอะไรไหม ตอบว่าไม่มีอะไร แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหมุดหมายบอกว่าคุณได้ประสบ พบ กับความเบิกบานที่โผล่ขึ้นมาเองจากข้างใน ความเบิกบานที่ข้างในนี้มันก็มีหลายดีกรี มีหลายรูปแบบ สำหรับบางคนอาจเป็นแค่การได้ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มได้ สบายใจไร้ความกังวลไปชั่วขณะ แค่นี้ก็โอแล้ว ซึ่งดีกรีของความเบิกบานไม่ใช่เรื่องซีเรียส ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่การได้มีประสบการณ์ได้พบด้วยตนเองสักครั้งว่าความสุขระดับลึกที่ผมเรียกว่า "เบิกบาน (Joy)" นี้ มันอยู่ที่ข้างใน นี่แหละที่เป็นประเด็น เพราะเมื่อเรารู้จากประสบการณ์ของเราเองว่าความสุขมันอยู่ที่ข้างใน เราเคยเห็นมัน เคยรู้จักมัน อยากเจอมันเมื่อไหร่เราก็กลับเข้าไปหาได้ทันทีผ่านการวางความคิด จากนั้นเป็นต้นไปเราก็จะไม่เผลอไปวิ่งหามันที่ข้างนอกอีกแล้ว นี่คือประเด็น

    2. ถามว่ามีลมมากระทบก็รับรู้ได้อย่างแผ่วเบาไปทั่วเสมือนว่าลมผ่านในร่างกายนี้ไปมาราวกับขอบเขตของร่างกายที่มีผิวหนังกั้นระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อมนี้มันช่างเบาบางหรือไม่มี อย่างนี้เป็น connecting หรือเปล่า ตอบว่าก็เป็น connecting เล็กๆอย่างหนึ่งแล้วครับ
    ถามว่าแล้ว connecting หรือการเชื่อมโยงขนาดใหญ่คืออะไร ตอบว่า ก็คือการทุบหรือสลายอุปาทาน (คอนเซ็พท์) ที่ว่าเราเป็นตัวตนที่แยกเด็ดขาดจากจักรวาลนี้ ซึ่งอุปาทานนี้นำไปสู่ความหลงผิดขนาดใหญ่ว่าเราควบคุมความเปลี่ยนแปลงใดๆในตัวเราหรือสิ่งที่จะมากระทบตัวเราได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเราเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆของ mother nature ที่เปลี่ยนแปลงไปแบบไร้การควบคุม ดังนั้นการเชื่อมโยงที่ผมพูดถึงนี้จริงๆแล้วก็คือการยอมรับ (acceptance) หรือการยอมแพ้อย่างศิโรราบ (surrender) ต่อ mother nature ดุจต้นอ้อที่ยอมลู่ตามแรงลมอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง

    3. ถามว่าขณะนั่งสมาธิ ประสบการณ์ในใจที่เกิดขึ้นมีทั้งการเห็น มีทั้งความรู้สึก มีทั้งความคิดที่เป็นการพิจารณาไตร่ตรองของเราเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดนั้นมันถูกต้องหรือเป็นความจริงไหม
    ตอบว่าชีวิต (existence) ก็คือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจทีละช็อตๆนี่แหละ ซึ่งมีองค์ประกอบอยู่ห้าส่วนย่อย คือ สิ่งเร้า ความจำ ความรู้สึก ความคิด และความรู้ตัวที่เข้ามารับรู้ประสบการณ์นั้น ความคิดที่เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์นั้น จะเป็นความคิดที่ถูกหรือที่ผิดไม่ใช่ประเด็น เพราะถูกหรือผิด จริงหรือไม่จริง ก็ล้วนเป็นแค่คอนเซ็พท์หรืออุปาทาน ประเด็นอยู่ที่เราจะสนองตอบต่อประสบการณ์นั้นอย่างไร จะสนองตอบแบบให้เราสุข (joyfully) หรือจะสนองตอบแบบให้เราทุกข์ (miserably) นี่ต่างหากที่เป็นประเด็น
    วิธีปฏิบัติก็คือ ขณะนั่งสมาธิเมื่อเกิดประสบการณ์ขึ้นในใจ ให้คุณ "นิ่ง" สังเกตลูกเดียว ถ้าคุณไม่นิ่ง กลไกการสนองตอบแบบอัตโนมัติก็จะทำงานของมันไปทันที แปลว่าคุณเผลอคิดตามมันไปเรียบร้อย คุณจะเรียกมันว่าเป็นการคิดไตร่ตรองหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆคือคุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความคิดอัตโนมัติเหล่านั้นเลย
    แต่ถ้าคุณนิ่ง คุณจะได้เห็นความเร่งเร้าที่จะสนองตอบอัตโนมัติ(ในรูปของการก่อความคิดใหม่) ถ้าคุณปักหลักยืนหยัดนิ่งต่อไปได้อีกโดยไม่ยอมตามความเร่งเร้านั้นไป หรือคุณยั้งความเร่งเร้านั้นไว้ได้ถ้ายั้งอยู่ คุณก็จะได้เห็นมากขึ้นไปอีก คือเห็นความว่างเปล่าเมื่อความคิดแรกดับลง ขณะที่ความคิดที่สองยังไม่โผล่มา ตรงนี้เป็นโมเมนต์ไฮไลท์ ยิ่งคุณนิ่งสังเกตได้นานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะมันเป็นที่ที่คุณจะได้เรียนรู้สิ่งที่คุณไม่เคยรู้จัก (unknown) และมันเป็นความเป็นไปได้ไร้ขอบเขต (unlimited possibility) ที่สติของคุณจะเลือกสนองตอบต่อโมเมนต์นั้นอย่างไรก็ได้ เพราะมันเป็นนาทีทองระหว่างที่กลไกสนองตอบอัตโนมัติอันทรงพลังกำลังถูกสยบไว้อยู่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)