หมอสันต์พูดข้ามช็อตกับรัฐบาลหลังเลือกตั้งเรื่อง " Wellness Tourism"

วัวนอนตากหิมะข้ามคืนมาถึงเช้าตรู่


     ในทางการเมือง หมอสันต์เป็นได้แค่นักร้อง ได้จังหวะก็ร้อง จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ต้องร้องเพราะบรรดาพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งกำลังเขียนนโยบาย ถ้าไม่รีบร้องตอนนี้ไปร้องตอนหลังเลือกตั้งเขาก็โบ้ยว่าทำไม่ได้เพราะไม่ได้เขียนเป็นนโยบายไว้ก่อนหาเสียง ผมจึงต้องรีบร้อง มีใยที่เพื่อนผู้หวังดีเขาจะเตือนอย่างไรก็ตาม คำเตือนของเขาก็เช่นรายหนึ่งบอกว่า 

    "..อย่าไปเสียเวลาเลย การเมืองของไทยติดหล่มอยู่ในวงจร "งกสามเส้า" ที่ไม่มีใครแก้ได้ กล่าวคือเมื่อผู้ออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่งกเงิน เขาก็จะเลือกได้สส.ที่งกเงินเข้ามา เมื่อสส.ส่วนใหญ่เป็นคนงกเงิน เขาก็จะเลือกได้รัฐบาลที่งกเงิน เมื่อได้รัฐบาลที่งกเงินก็จะสอนประชาชนให้งกเงินยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อรอบหน้าจะได้เลือกเขาเข้ามาใหม่ เป็นวงจรซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ทำให้รัฐบาลทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากคอยหาเงินไว้เลือกตั้งครั้งต่อๆไป"

    แต่ผมไม่เชื่อเขาหรอก ผมอาศัยมุมมองทางการแพทย์ คือได้ผลนิดเดียวก็รักษากันไปเถอะเพราะยังดีกว่าอยู่เปล่าๆ อย่างเช่นการใช้ยาสะแตตินป้องกันการตายในโรคหลอดเลือดหัวใจ ให้คนร้อยคนกินยาไปห้าปีมีคนได้ประโยชน์อยู่คนเดียว แต่เราก็ให้ เพราะมันดีกว่าอยู่เปล่าๆ หิ หิ

    กลับมาเข้าเรื่องที่จะร้องดีกว่า คือ Wellness Tourism ที่ใครๆต่างก็แซ่ซ้องว่าเป็นทางเดียวที่ชาติไทยของเราจะทำมาหากินในเวทีโลกต่อไปได้เพราะทางอื่นมันดูจะตีบตันไปหมดแล้วแม้แต่การท่องเที่ยวแบบอาศัยทรัพยากรธรรมชาติของเราก็เริ่มเกิดอาการตีบๆใกล้ๆจะตันเพราะทรัพยากรของเรามันโทรมได้ที่แล้ว หวยจึงมาออกที่ Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ

Wellness ระดับต่ำกับระดับสูง

    แต่คนพูดก็เข้าใจ Wellness Tourism ไปคนละทางสองทาง ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าก็การทำโรงแรมโดยมี สปา บีบ อบ คบ นวด ดีท็อกซ์ อยู่ด้วยไง นั่นแหละเวลเนสทัวริสม์ ซึ่งมันก็ถูกอยู่ แต่วงการเวลเนสเขาถือว่านั่นเป็นเวลเนสระดับต่ำ (low level wellness) ซึ่งมันจะเอามาขายเป็นสินค้าที่ดังระเบิดเถิดเทิงระดับโลกไม่ได้หรอก เพราะใครๆในประเทศไหนๆเขาก็จัดบริการบีบ อบ คบ นวด ดีท้อกซ์ ขายกันทั้งนั้น 

    แล้วเวลเนสระดับสูงมันเป็นยังไง มันก็คือการมีสุขภาวะหรือมีสุขภาพดีบวกมีความสุขด้วย คือทั้งมีอายุ (life span ) ยืนยาว และมีช่วงชีวิตที่มีความสุข ไม่เดี้ยง เส็งเคร็ง ทุพลภาพ ติดเตียง (health span) ยาวนานจนใกล้ชนวันตายด้วย ทั้งนี้โปรดเข้าใจสถิติของจริงเสียหน่อยนะครับว่าข้อมูลระดับโลกคือสิบปีสุดท้ายของชีวิตคนส่วนใหญ่จะเดี้ยงติดเตียงทั้งนี้ตัดสินกันที่การทำกิจจำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่งในห้าอย่าง (ADL) คือ 1.ลุกนั่งยืนเดิน 2.กิน 3. ขับถ่าย 4. อาบน้ำแปรงฟัน 5. แต่งตัวนุ่งเสื้อผ้า) ด้วยตัวเองไม่ได้  สรุปเป็นตัวเลขก็เท่ากับว่ามี health span สั้นกว่า life span อยู่ถึงสิบปี อย่างนี้เรียกว่าขาดเวลเนสระดับสูง ทั้งนี้สาเหตุก็เป็นเพราะการป่วยเป็นโรคเรื้อรัง (NCDs) นั่นเอง (การขาดเวลเนสระดับสูงนี้ภาษาบ้านๆเรียกว่าจะตายก็ไม่ตาย แต่จะเลี้ยงก็ไม่โต หิ..หิ) แล้วคนในวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกทุกชาติทุกภาษารวมทั้งชาติไทย ประมาณ 70% ล้วนป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้วทั้งนั้น นั่นหมายความว่ามีคนกำลังแสวงหาเวลเนสระดับสูงกันอยู่มาก แล้วเวลเนสระดับสูงนี้จะเป็นจริงได้ก็ต้องอาศัยการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สำเร็จ

Wellness Tourism คืออะไร

    เวลเนสทัวริสม์ ในความหมายของผมก็คือบริการแก่นักท่องเที่ยวหรือผู้พำนักยาวระดับสามเดือนหกเดือนที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองสำเร็จ เกิดเวลเนสระดับสูงได้จริง ขยาย health span ไปชน life span ได้จริง เนี่ยแหละ คือ Wellness Tourism ของจริง แบบว่า

    "คุณหิ้วกระเป๋าไปอยู่เมืองไทยสักสามเดือนสิ แล้วโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ ของคุณจะหายเกลี้ยงเลิกใช้ยาได้เลย"

    ได้ฟังอย่างนี้นักท่องเที่ยวที่เป็นโรคเรื้อรังใกล้จะเดี้ยงอยู่ก็จะตาโต

    "ฮ้า จริงหรือ แล้วคนไทยที่เขาอยู่ที่นั่นกัน แสดงว่าเขาไม่เป็นโรคเรื้อรังกันเลยหรือ" 

    "เอ้อ..อ้า.. ผมตอบแบบอิงหลักฐานนะ 67% ของคนไทยวัยผู้ใหญ่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง และ 68% ของหมอพยาบาลไทยเป็นโรคไขมันในเลือดสูง" 

    "..ฮ้า  ฮ้า ฮ้า  คุณนี่ตลกมากเลย แล้วคุณจะให้ผมเชื่อว่าผมไปอยู่เมืองไทยแล้วผมจะหายจากโรคเรื้อรังเรอะ ฮ้า ฮ้า ฮ้า "

Wellness Tourism ต้องทำอย่างไร

    ไม่มีใครรู้หรอกว่าต้องทำอย่างไร แต่หากไปถาม AI ว่าเป็นโรคเรื้อรังแล้วอยากไปเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองให้หายจากโรคสักสามเดือนหกเดือนแบบคุ้มค่าเงินควรไปที่ประเทศไหนดี มันจะตอบว่ามีสองประเทศให้เลือก คือประเทศไทย กับประเทศโปรตุเกส

    เอ้อ..แล้ว AI มันรู้ได้ไงหงะ หิ..หิ ผมดูจากคำอธิบายเรื่องอาหาร การรักษาพยาบาล และค่าครองชีพของทั้งสองประเทศแล้วก็รู้ว่ามันเดาเอา เพราะมันยังไม่รู้ว่าคนไทยเจ้าของประเทศเองยังเอาตัวรอดจากโรคเรื้อรังไม่ได้เล้ย

    กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ข้อเสนอวิธีทำ Wellness Tourism ที่ผมเสนอให้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง คือ 

    (1) ให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนทำหมู่บ้านแบบว่า Wellness Village ใกล้แหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาสำหรับนักท่องเที่ยว หนึ่งหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้อาจจะมีสักยี่สิบหลังคาเรือน 

    (2) แล้วเปิดรับบุคลากรทางการแพทย์เช่นพยาบาลที่เกษียณแล้วที่มีสุขภาพดี ฟิต พูดอังกฤษได้ และสอบผ่านการเป็นโค้ชวิถีชีวิตมาแล้ว หมายความว่าเจนจบในการใช้หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตในการช่วยเปลี่ยนนิสัยผู้คนเพื่อจัดการโรคเรื้อรังดีแล้ว ให้มาเช่าบ้านนี้อยู่คนละหลัง 

    (3) บ้านแต่ละหลังออกแบบให้มีสี่ห้องเพื่อนักท่องเที่ยวมาอยู่พักยาวได้ 3 ห้อง อีกห้องหนึ่งเป็นที่พักของพยาบาลเอง 

    (4) ตัวพยาบาลเป็นทั้งโฮสเตสคือเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง และเป็นทั้งโค้ชวิถีชีวิตด้วย อาจมีพนักงานผู้ช่วยคนสองคนก็แล้วแต่ตัวพยาบาลท่านจะจัดให้มีหรือไม่ให้มี 

    (5) มีทางเดินออกกำลังกายรอบหมู่บ้าน และทั้งหมู่บ้านห้ามหมาเข้า (เพราะคนแก่กลัวหมาไล่กัด หิ..หิ) 

    (6) มีครัวกลางที่ทำอาหารไทยสุขภาพขายให้ทุกบ้านวันละสามมื้อ 

    (7) รัฐบาลทำธุรกิจนี้ร่วมกับโฮสเตสแบบแบ่งประโยชน์กัน บ้านหนึ่งหลังก็คือหนึ่งธุรกิจ โดยรัฐบาลเป็นผู้ทำการตลาดให้ในระดับโลก กิมมิกทางการตลาดที่รัฐบาลจะใช้ก็คือ

    (7.1) หลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ตีพิมพ์แล้วยืนยันว่า คนไทยทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้มีสุขภาพดีที่พิสูจน์ได้จากตัวชีวัดสุขภาพ (ซึ่งก็แหงละสิ เพราะคัดเลือกมา) 

    (7.2) หลักฐานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าอาหารไทยที่กินกันในหมู่บ้านนี้กินแล้วรักษาโรคเรื้อรังได้จริง (มีงานวิจัยอยู่เรียบร้อยแล้วเอาไปใช้ได้เลย คืองานวิจัยของหมอสันต์และคณะที่ตีพิมพ์ในวารสาร RMJ เมื่อ Mar 2025 ที่พิสูจน์ได้ด้วยการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ว่าอาหารไทยสุขภาพทำให้น้ำหนักของคนที่อ้วนลด -4  กก ความดันตัวบนของคนที่สูงลด -20 มม. ไขมันเลวลด -22.8 มก./ดล. ลดยาเบาหวานได้ -30% และตัวชี้วัดการทำงานของไตดีขึ้นอย่างมีน้ยยะ ในเวลา 3 เดือน)
     (7.3) หลักฐานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่านักท่องเที่ยวที่มาพำนักในหมู่บ้านนี้ตอนเข้ามาเดี้ยงมากันเป็นแถบๆ แต่ตอนออกไปตัวชีวิตสุขภาพและคุณภาพชีวิตดีขึ้นทุกคน ซึ่งงานวิจัยชิ้นแรกอาจใช้วิธีจ้างหรือรับสมัครฝรั่งที่เป็นโรคเดี้ยงทั้งหลายอยู่แล้วมาอยู่ฟรีกินฟรีสามเดือน งานวิจัยครั้งต่อๆไปก็ทำกับลูกค้าจริงๆ ทำตลอดเวลา ทำต่อเนื่อง ตีพิมพ์ออกมาเป็นพักๆในวารสารการแพทย์ที่เชื่อถือได้ และใช้ผลงานวิจัยเหล่านี้เป็นตัวทำตลาด

    (7.4) ไม่จำเป็นต้องมีโรงยิมในหมู่บ้าน แค่มีทางเดินที่ไม่มีหมาไล่กัด และแจกดัมเบลกับสายยืดคนละคู่ไว้ในห้องแขก แค่นี้พอ

    (7.5) มีหนังสือรับรองของรัฐบาลว่าหมู่บ้านนี้เป็น Certified Wellness Village โดยเกณฑ์รับรองก็อาศัยมาตรฐานวิชาชีพ เช่น 1. จำนวนโค้ชที่ผ่านการรับรองต่อจำนวนผู้ป่วย 2. คุณภาพอาหาร 3. ดัชนีสุขภาพของโฮสเตส และ 4. ที่สำคัญ..ผลงานการเปลี่ยนแปลงดัชนีสุขภาพของลูกค้า เป็นต้น

    (7.6) กิมมิกทางการตลาดอื่นๆก็เช่น โปรแกรมทริปของหมู่บ้านในแต่ละสัปดาห์เช่น ไปวิ่งมินิ ไปอาบป่า ไปวาดรูป ไปปั้นหม้อ ไปเดินทัวร์ทุ่งนา ไปเที่ยวดูวัดวาป่าเขา ไปเข้าแค้มป์วิปัสนา ฯลฯ   

    รูปแบบของ Wellness Village นี้เมื่อสำเร็จเชิงธุรกิจแล้วก็ให้เอกชนก๊อปไปใช้ทั่วประเทศได้ เพราะสองปัจจัยสำคัญคือตัวพยาบาลแก่ อุ๊บ..ขอโทษ ตัวพยาบาลหรือบุคลกรทางการแพทย์ซึ่งเกษียณแล้วแต่ยังฟิตที่ได้รับการฝึกเป็นโค้ชวิถีชีวิตแล้ว และอาหารไทยสุขภาพ นั้นสร้างขึ้นได้ทั่วประเทศ ส่วนการสร้างหมู่บ้านนั้นเรื่องเด็กๆเพราะเป็นดีเอ็นเอของนักธุรกิจไทยทุกระดับอยู่แล้ว เมื่อมีหลายหมู่บ้าน ก็ทำวิจัยร่วมกันแบบ multicenter trial แล้วขยันตีพิมพ์จนครอบคลุมผู้เข้าใช้บริการเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน มีการติดตามผลนานหลายปีหรือเป็นสิบปีจนบอกความแตกต่างใน health span ของผู้เข้ารับบริการเมื่อเทียบกับคนทั่วไปได้ หลักฐานวิทยาศาสตร์ก็จะค่อยๆชัดขึ้นๆ ว่าหิ้วกระเป๋ามาอยู่เมืองไทยสามเดือนหกเดือนแล้วโรคเรื้อรังดีขึ้นหรือหายได้จริง จนท้ายที่สุดใบเสร็จรับเงินของ Wellness Village ที่มีตรารับรองของรัฐบาลไทยอาจเอาไปเบิกประกันสุขภาพหรือประกันสังคมที่บ้านเขาได้นะ


ปล. ผู้รับเหมาก่อสร้างที่คิดจะเอาโมเดลนี้ไปสร้างหมู่บ้านเวลเนสวิลเล็จให้คนไทยผมขอเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนนะว่าท่านจะเจ๊งแน่นอนเพราะมันจะไม่เวิร์คด้วยประการทั้งปวง เหตุใหญ่ที่สุดที่มันจะไม่เวอร์คก็คือคนไทยมีความเชื่อลึกๆว่าน้ำยาของตัวเองมีไม่พอที่จะแก้ไขนิสัยไม่ดีของตัวเองได้ ถ้าท่านอยากทำธุรกิจนี้กับคนไทย ให้ท่านใจเย็นๆ อดใจรอจนคนไทยพากันเห่อตามฝรั่งหิ้วกระเป๋าไปพักยาวอยู่ใน Wellness Village ที่สร้างให้ฝรั่งนักท่องเที่ยวกันโครมๆแล้วเมื่อใด เมื่อนั่นแหละท่านจึงจะทำธุรกิจนี้กับคนไทยได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

หมอสันต์แนะนำตัวเอง ในโอกาสที่มีผู้อ่านครบ 4 ล้านครั้ง

เจ็ดใครหนอ

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

สอนวิธีอ่านผล CBC (การตรวจนับเม็ดเลือด)

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025