โควิดระบาดรอบใหม่ จะฉีดวัคซีนดี หรือไม่ฉีดดี

ดอกไม้มวกเหล็กหน้าฝน


คุณหมอสันต์คะ

    อายุ 71 แล้วจะไปเที่ยว แต่ก็กลัวป่วยเป็นโควิดเดี๋ยวไปแล้วไม่ได้กลับ จะฉีดวัคซีนก็กลัวเป็นหัวใจอักเสบไม่ทันได้ไป จึงลังเลใจว่าเอาอย่างไรดี ฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีดดี สาสุขก็มีแต่แพร่ข่าวว่าระบาดอีกแล้ว ระบาดอีกแล้ว แต่ไม่เห็นแนะนำว่าให้ฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนให้เป็นเรื่องเป็นราว รบกวนคุณหมอแนะนำด้วย
ขอบคุณค่ะ

...........................................................

ตอบครับ

ไม่ได้คุยกันเรื่องวัคซีนโควิดมาหลายปีแล้ว วันนี้คุยกันก็ดีครับ ว่ากันทีละประเด็นเลยนะ

1. ประโยชน์ของวัคซีนโควิดในยุคนี้

    หากวัดด้วยอัตราป่วยแล้วตาย (Case Fatality Rate - CFR) ถ้าป่วยด้วยเชื้อ H1N1 (ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา) จะมีอัตราป่วยแล้วตาย 0.5% แต่พวกที่เคยป่วยด้วยโควิดที่หวู่ฮั่นมีอัตราป่วยแล้วตาย 5.25%  ส่วนการป่วยด้วยโควิดสายพันธ์ปัจจุบันคือ JN1 ภาพรวมทั่วโลกในสองปีที่ผ่านมามีอัตราป่วยแล้วตายโดยรวม 1% (ยกเว้นเฉพาะคนอายุเกิน 50 อัตราป่วยแล้วตายจะเพิ่มเป็น 19% หรือเมื่อเข้า ICU อัตราป่วยแล้วตายเพิ่มเป็น 37%) ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเก่าเล็กน้อย คือ 1-2 ปีที่ผ่านมาซึ่งอะไรอาจจะเปลี่ยนไปมากแล้ว

    ข้อมูลอัตราป่วยแล้วตายที่เชื่อถือได้ใหม่ล่าสุดมาจากเมืองไทยนี่เอง คือรายงานช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ (เมย 2025) กรมควบคุมโรคได้รายงาน ซึ่งใช้เป็นที่อ้างอิงกันไปทั่วโลก ว่าเชื้อซึ่งส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนจากสายพันธ์ XEC มาเป็นสายพันธ์ JN1 มีอัตราป่วยแล้วตายเพียง 0.02% ซึ่งเป็นอัตราตายที่ต่ำมาก ต่ำกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดาซึ่งมี CFI = 0.1-0.5% ต่ำกว่ากันตั้ง 5 - 25 เท่า 

    อัตราตายที่ต่ำขนาดนี้ย่อมไม่มีความคุ้มค่าที่จะฉีดวัคซีนเพื่อลดอัตราการป่วยแล้วตายสำหรับคนทั่วไป ข้อสรุปนี้ชัดเจนแน่นอนด้วยตัวเลขอัตราตายที่ต่ำมาก แม้ว่าหากพิจารณาจากข้อมูลทั่วโลกซึ่งเป็นข้อมูลเก่า 1-2 ปีที่ไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่  กลุ่มพิเศษเช่นผู้สูงอายุหากติดเชื้อ JN1 จะมีอัตราป่วยแล้วตายสูงถึง 19% หรือถ้าเป็นผู้ที่มีเหตุให้ต้องเข้าไอซียูจะมีอัตรการป่วยแล้วตายถึง 37% แต่อย่าลืมว่านั่นเป็นสถิติเก่า 1-2 ปีมาแล้ว ของใหม่ต้องดูที่ไทยเราเท่านั้น ซึ่งเผอิญเรายังไม่มีอัตราตายแยกตามกลุ่มเสี่ยงประกาศออกมา ผมจึงเดาว่าแม้กลุ่มเสี่ยงอัตราตายก็คงจะต่ำใกล้เคียงกับอัตราตายรวมนั่นแหละ ดังนั้นในแง่ของการลงทุนป้องกันโรคในภาพใหญ่จึงไม่คุ้มค่าที่จะฉีดวัคซีนให้ทุกคนอย่างแน่นอน อันนี้ยืนยันได้ด้วยข้อมูล

    จะมีที่ต้องพิจารณาเจาะลึกเป็นพิเศษก็คือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงตายสูง คือผู้สูงอายุที่ทั้ง (1) อายุมากด้วย (2) ทั้งเป็นโรคเรื้อรังหลายโรคด้วย (3) ทั้งต้องไปสัมผัสโรคด้วย เฉพาะกลุ่มคนที่มีทั้งสามอย่างนี้ครบถ้วนในตัวคนเดียวอาจมีความคุ้มค่าในการฉีดวัคซีน แต่ทั้งหมดนี่ผมเดาเอานะ ไม่มีตัวเลขยืนยัน เพราะทางการไม่ได้เปิดเผยอัตราตายแยกกลุ่มให้ ผมจึงเดาแบบไม่มีตัวเลขแบ้คอัพ  

2. พิษภัยของวัตซีนโควิด

    มาถึงวันนี้ข้อมูลพิษภัยและความปลอดภัยของวัคซีนโควิดมีมากพอที่จะสรุปได้อย่างเป็นเนื้อเป็นหนังจริงจังแล้ว เพราะแต่เดิมความไม่ชัดเจนของข้อมูลทำให้มีความกลัวผลข้างเคียงของวัคซีนในสองเรื่องใหญ่คือ (1) การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ และ (2) การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

2.1 การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ

    งานวิจัยของเมโยคลินิก [1] ดูอัตราการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ (VTE) ภายใน 90 วันก่อนและหลังฉีดวัคซีนของผู้ได้รับวัคซีนโควิด 792 010 คน (Pfizer, n = 452 950, Moderna, n = 290 607, and Janssen [Johnson & Johnson], n = 48 453) โดยเอาภาพ CT ของการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกและในปอดเป็นตัวชี้วัด พบว่ามีลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำเกิดขึ้น 1565 ราย โดย 772 รายเกิดขึ้นใน 90 วันก่อนฉีดวัคซีน และ 793 รายเกิดหลังฉีดวัคซีน (326 รายได้ Moderna (rate 0.11%), ขณะที่ 422 รายได้ Pfizer (rate 0.09%) และ 42 รายได้ Janssen (rate 0.09% เมื่อวิเคราะห์เทียบกับการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำก่อนได้วัคซีนแล้วพบว่าการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำไม่สัมพันธ์กับการฉีดวัคซีน (aHR 0.97 กรณีฉีด Janssen, 1.02 กรณีฉีด Moderna, 1.00 กรณีฉีด Pfizer คณะผู้วิจัยสรุปผลว่าการฉีดวัคซีนทั้งสามไม่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ 

    ตัวผมเองได้ทำการปะติดปะต่อหลักฐานในภาพใหญ่ทั่วโลกก็ได้ผลสรุปคล้ายๆกัน คือการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำระดับรุนแรงถึงขั้นชั่งตวงวัดได้ไม่ใช่ความเสี่ยงของการฉีดวัคซีนโควิด เพราะมันก็เกิดในอัตราที่มันเกิดอยู่ตามปกตินั่นแหละ

2.2 กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

    ข้อมูลวิจัยขนาดใหญ่พบว่าการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) ที่พบหลังการฉีดวัคซีนโควิด มีอุบัติการเกิดการเกิดอักเสบ 19.7 ครั้งต่อการฉีดวัคซีน 1 ล้านครั้ง (0.002% หรือหนึ่งในห้าหมื่น) [2] โดยที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วอาการไม่รุนแรง มีอัตราเกิดหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตต่ำ [3] และงานวิจัยติดตามระยะยาวพบว่าส่วนใหญ่ฟื้นตัวเป็นปกติดี[4] ความรุนแรงจะมีมากเป็นพิเศษก็เฉพาะในผู้รับวัคซีนวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีได้รับวัคซีน mRNA - 1273 (Moderna) 

    ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยอุบัติการณ์เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ไม่ได้รับวัคซีนพบว่ามีอุบัติการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 2.76 รายต่อผู้ติดเชื้อ 1000 ราย ซึ่งเป็นอุบัติการณ์ที่สูงมากกว่าการได้รับวัคซีน [5] 

     สรุปในภาพรวมคือการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังการฉีดวัคซีนโควิดมีอุบัติการณ์ต่ำมากและมีความรุนแรงในระยะยาวต่ำ 

3. ชนิดของวัคซีนที่จะเลือกใช้

    ปัจจุบันนี้มีวัคซีนให้เลือกใช้ได้สามตัวคือ (1) Comirnaty ของ Pfizer-BioNTech (2) Spikevax ของ Moderna (3) Nuvaxovid ของ Novavax

    ก่อนจะอธิบายว่าแต่ละตัวต่างกันอย่างไรผมขออธิบายกลไกทำงานของเซลล์ร่างกายปกติก่อนเพื่อให้ท่านเข้าใจกลไกการทำงานของวัคซีน กล่าวคือเซลล์ร่างกายปกติจะมีรหัสพันธุกรรม (gene) มีลักษณะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวสองเส้นพันกันอยู่ เรียกว่า DNA หากฉีกเอาออกมาเหลือเส้นเดียวเรียกว่า RNA ตัว RNA นี้คือใบสั่งผลิตซึ่งสามารถสั่งให้โรงงานผลิตของเซลล์นั้น (ribosome) ผลิตโปรตีนออกมามีรูปร่างตามต้องการได้เป๊ะได้ แต่ใบสั่งนี้มีเพียงใบเดียวและเก็บรักษาไว้ที่ศูนย์บัญชาการ (nucleus) ของเซลล์ ซึ่งเป็นเสมือนเมืองหลวง ขณะที่โรงงานผลิต (ribosome) นั้นอยู่บ้านนอกไกลออกไป การจะส่งใบสั่งนี้ไปจึงต้อง "ก๊อป" เป็นสำเนาใบสั่งเรียกว่า mRNA ตัว m ย่อมาจาก messenger เมื่อก๊อปแล้วก็ส่งใบสั่งฉบับสำเนาถูกต้องนี้ไปให้โรงงานผลิต โรงงานผลิตเมื่อได้รับใบสั่งฉบับก๊อปปี้แล้วก็จะทำการผลิตโปรตีนออกมาตามสะเป๊คที่ระบุไว้ในใบสั่งนั้น

    วิธีผลิตวัคซีน mRNA ก็คือเอา RNA ของไวรัสโควิดมาตัดแต่งในจานเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นใบสั่งปลอมเพื่อสั่งให้เซลล์ผลิตโปรตีนหน้าตาเหมือนหนามบนหัวของไวรัสโควิดออกมา เรียกวัคซีนนี้ว่า mRNA ปลอมก็แล้วกัน แล้วฉีดเข้าไปในร่างกายมนุษย์ มันก็จะวิ่งไปหาโรงงานไรโบโซมเองโดยไม่ไปยุ่งกับรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ที่เก็บไว้ในนิวเคลียส โรงงานไรโบโซมเมื่อเห็นใบสั่งก็จะเดินเครื่องผลิตโปรตีนหน้าตาเหมือนหนามที่หัวไวรัสโควิดออกมาล่อเป้าให้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนตี้บอดี้มาทำลายหนามนั้น ซึ่งก็จะมีผลทำลายเชื้อไวรัสโควิดผู้รุกรานได้ นี่เป็นวิธีผลิดวัคซีนแบบใหม่ที่เลิศสะแมนแตนซะ ความที่เป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยคอนเซ็พท์ใหม่เข้าใจยาก ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนกลัว

    วัคซีนสองตัวแรกคือของ Pfizer-BioNTech กับของ Moderna เป็นวัคซีนแบบ mRNA ที่ผู้คนกลัวๆกันอยู่นี่แหละ

    ส่วนวัคซีนตัวที่สาม คือของ Novavax เป็นวัคซีนที่ผลิตโดยเทคโนโลยีเก่าที่เรียกว่า protein sub-unit ที่เราเคยใช้ผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีใช้กันมานมนานตั้งสามสิบปีมาแล้ว วิธีทำคือเอาตัวไวรัสโควิดที่ตายแล้วมายุ่ยให้เป็นฝุ่นผงเม็ดเล็กเม็ดน้อยเรียกว่า protein subunit แล้วล้างและเลือกเอาส่วนที่เป็นหนามบนหัวของไวรัสมาทำเป็นวัคซีนชนิดน้ำฉีดเข้าไปในร่างกายคนเพื่อไปทำหน้าที่ล่อเป้า ระบบภูมิคุ้มกันเห็นหนามเข้าก็จะสร้างแอนตี้บอดี้ออกมาทำลาย วัคซีนแบบนี้มีความปลอดภัยมาก มากระดับ very safe เลยทีเดียว แต่ว่าขีดความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันอาจไม่มากเท่า mRNA แต่งานวิจัยทั้งที่อเมริกาและอังกฤษก็บ่งชี้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้ระดับ 77-93% แม้ติดตามวัดนานถึง 6 เดือนซึ่งก็ไม่เลวเลย วัคซีนนี้จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากฉีดวัคซีนแต่กลัวผีวัคซีน mRNA แบบขี้ขึ้นสมอง

4. กล่าวโดยสรุป

    ในการระบาดของโควิดรอบใหม่นี้ โรคเกิดจากเชื้อ JN1 ซึ่งมีอัตราตายต่ำมาก (0.02%) และโรคได้ผ่านระยะ peak ตามฤดูกาลไปแล้ว การฉีดวัคซีนในคนทั่วไปไม่มีความคุ้มค่าที่จะฉีดอย่างแน่นอน

    เฉพาะผู้มีความเสี่ยงพิเศษหลายอย่างในตัวคนเดียว คือทั้ง (1) อายุมากด้วย (2) ทั้งเป็นโรคเรื้อรังหลายโรคด้วย (3) ทั้งต้องไปสัมผัสโรคด้วย อาจจะได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนหากเจ้าตัวมีใจยอมรับการฉีดเอง ทั้งนี้ผมอาศัยเดาความคุ้มค่าเอาจากอัตราตายของสถิติเก่าเพราะสถิติใหม่ที่แสดงการตายแบบแยกกลุ่มยังไม่มี  

    หากท่านจะฉีดวัคซีนโควิด ควรฉีดแบบฉีดเบิ้ลต่อไปจากของเดิมอีกหนึ่งเข็ม กรณีอายุ 65 ปีขึ้นไปอาจเบิ้ลถึง 2 เข็มห่างกันเข็มละสัก 6 เดือนก็ได้ ส่วนจะเลือกวัคซีนตัวไหนในสามตัวนี้ก็เลือกได้ทั้งนั้นตามใจท่านเลย เลือกได้หมดโดยไม่ต้องสนใจว่าของเก่าเคยฉีดอะไรไว้ ในแง่การป้องกันโควิดแล้วทั้งสามตัวดีเสมอกันหมด 

       อนึ่ง ในการไปฉีดวัคซีนทุกตัว ต้องระบุรุ่นที่ต้องการฉีดให้ชัดๆ คือต้องเป็นรุ่น 2024-2025 หรือรุ่น 2025-2026 เท่านั้น หากไม่พูดไม่จาอะไรคนเขาจะนึกว่าเป็นคนเหม่อ แล้วอาจจะถูกมั่วนิ่มเอาวัคซีนเก่ารุ่นค้างสะต๊อกมาฉีดให้แทน วัคซีนรุ่นก่อน 2024-2025 ไม่มีหัวเชื้อสายพันธ์ JN1 ซึ่งกำลังระบาดอยู่ตอนนี้ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์    

บรรณานุกรม

1. Houghton DE, Wysokinski W, Casanegra AI, Padrnos LJ, Shah S, Wysokinska E, Pruthi R, Ashrani A, Sridharan M, Baumann-Kreuziger L, McBane R, Padmanabhan A. Risk of venous thromboembolism after COVID-19 vaccination. J Thromb Haemost. 2022 Jul;20(7):1638-1644. doi: 10.1111/jth.15725. Epub 2022 Apr 20. PMID: 35398975; PMCID: PMC9115120.

2. Ishisaka Y., Watanabe A., Aikawa T., Kanaoka K., Takagi H., Wiley J., Yasuhara J., Kuno T. Overview of SARS-CoV-2 infection and vaccine associated myocarditis compared to non-COVID-19-associated myocarditis: A systematic review and meta-analysis. Int. J. Cardiol. 2024;395:131401. doi: 10.1016/j.ijcard.2023.131401.

3. Yaamika H., Muralidas D., Elumalai K. Review of adverse events associated with COVID-19 vaccines, highlighting their frequencies and reported cases. J. Taibah Univ. Med. Sci. 2023;18:1646–1661. doi: 10.1016/j.jtumed.2023.08.004.

4. Molina G., Khawaja U., Contreras R., Burdowski J. COVID VACCINE MYOCARDITIS WITH COMPLETE RECOVERY. J. Am. Coll. Cardiol. 2023;81:2626. doi: 10.1016/S0735-1097(23)03070-X. 

5. Florek K, Sokolski M. Myocarditis Associated with COVID-19 Vaccination. Vaccines (Basel). 2024 Oct 19;12(10):1193. doi: 10.3390/vaccines12101193. PMID: 39460358; PMCID: PMC11512328.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"