Garden Studio สิ่งใหม่ในชีวิตไม่สำคัญเท่าการลบอดีตทิ้ง

สวัสดีปีใหม่ 2562 ครับ
Garden studio พร็อพด้วยถังนมเก่าย้อมสีดอกผักปั๋งแก้เลี่ยน 

     ก่อนตอบจดหมายขอคุยถึงสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของหมอสันต์ก่อนนะ นั่นคือ Garden Studio หรือ "กระท่อมเขียนภาพในสวน" ซึ่งเกิดจากความอยู่ไม่สุขของผมเอง เรื่องมีอยู่ว่าบ้านบนเขาซึ่งอยู่มาจะครบยี่สิบปีแล้วนี้ยิ่งอยู่นานไปมันยิ่งรกรุงรัง และงูเขียวมันก็ช่างชอบเข้ามาในบ้านเสียเหลือเกิน บางครั้งก็มาเลื้อยโชว์ตัวถึงในห้องนอน บางครั้งก็ทิ้งคราบห้อยต่องแต่งไว้ให้ดูต่างหน้า ผมจึงคิดว่าน่าจะทำความสะอาดครั้งใหญ่แบบที่ฝรั่งเรียกว่า spring cleaning เสียที ฝรั่งเขาทำกันปีละครั้ง ของไทยเราทำยี่สิบปีครั้งก็ไม่น่าจะบ่อยเกินไป

นอนเอกเขนกมองออกไป เห็นถ้วยหมุนๆอยู่ใต้กวางคู่
     อีกเรื่องหนึ่งคือเตียงนอนที่ผมสร้างไว้ใช้เองตั้งแต่สมัยหนุ่มๆนั้นด้วยความที่ไร้ประสบการณ์ก็ทำไว้แคบคับปึ๋งหกฟุตเป๊ะ ทำให้ปูที่นอนยาก จะเปลี่ยนผ้าปูแต่ละทีขนาดสองตายายช่วยกันแข็งขันแล้วก็ยังต้องยกฟูกกันเหนื่อย ผมจึงเกิดความคิดต่อยอดขึ้นมาว่าไหนๆจะทำความสะอาดบ้านแล้วก็เอาช่างเข้ามาซ่อมและทาสีใหม่เสียสิ แล้วเตียงไม้เจ้ากรรมนั้นก็เอาไปแปรรูปเป็นตู้เก็บของซะ แล้วไหนๆก็เอาช่างเข้ามาแล้วทำไมไม่หาเรื่องทำอะไรเล่นๆให้หนุกๆสักหน่อยละ จึงนำโครงการ garden studio เสนอ ม. เธอฟังแล้วก็คัดค้านเสียงแข็งทันทีเพราะกลัวเสียเงิน ผมอาศัยลูกดื้อว่าจะทำเล็กๆไม่เกิน 20 ตรม.และจะล็อคสะเป๊คให้งบประมาณต่ำกว่าที่คนอื่นบางคนซื้อรถจักรยานถีบหนึ่งคันเสียอีก (ผมหมายความในใจว่าคนไข้ของผมคนหนึ่งซื้อจักรยานคันละสี่แสนบาท หิ หิ) จากนั้นผมก็อาศัยช่วงชุลมุนตั้งนั่งร้านซ่อมแซมบ้านใหญ่อยู่นั้นรีบปั่นโครงการสตูดิโอในสวนพรวดเดียวเสร็จในเวลาไม่ถึงสองเดือน เป็นแกลลอรี่สีฟ้าอ่อนตัดด้วยสีเทอร์ควอยซ์ แต่ดูสีฟ้าจะอ่อนมากไปหน่อยผมจึงเอาถังนมเก่าจากตลาดมวกเหล็กมาย้อมสีดอกผักปั๋งวางไว้เป็นพร็อพที่หน้ากระท่อมเพื่อแก้เลี่ยน
กวางคู่และถ้วยหมุนผู้มาใหม่ ที่ปลายสนามหน้าบ้าน

     เมื่อลองเข้าไปเล็งจากในกระท่อมออกไปข้างหน้าพบว่าเห็นวิวกว้างไกลดีก็จริง แต่มันขาดความเคลื่อนไหว คิดขึ้นได้ว่าตอนไปเวอร์มอนต์ได้ซื้อที่วัดความเร็วลมแบบถ้วยหมุนๆอยู่ใต้กวางคู่มาอันหนึ่ง ผมจึงปักเสาที่ขอบสนามหน้าบ้าน เอากวางคู่วัดความเร็วลมขึ้นติดบนยอดเสา คราวนี้มองออกไปเห็นถ้วยที่วัดความเร็วลมหมุนติ้ว ค่อยเกิดความรู้สึกคึกคักขึ้นมาหน่อย
ของตกแต่งระเกะระกะ กับหมอนค่าโง่ 900 บาท

     จากนั้นก็เป็นการย้ายสัมภารกที่หมอสมวงศ์ใช้ในงานเขียนรูปเข้าประจำที่ ผมเพิ่งรู้ว่าการแต่งสตูดิโอเขียนภาพนี่ง่ายมาก เพียงแค่ตั้งเฟรมผ้าใบ วางภู่กัน กล่อง กระป๋อง และหลอดสีไว้ให้ระเกะระกะก็เป็นอันใช้ได้แล้ว พอดีมีหมอนเหลือใช้อีกใบหนึ่งจึงเอามาวางแหมะที่เตียงเอกเขนกดูวิว หมอนใบนี้มีที่มาว่าวันหนึ่งไปซื้อเตียงที่ร้านอีเกีย ผมเห็นหมอนใบนี้ซึ่งเป็นลายถักมือแบบยุโรปเหนือก็ชอบใจจึงซื้อทันที หมอสมวงศ์บอกว่าอย่าซื้อตอนนี้ เอาไว้เดือนหน้าเขาจะลดราคาค่อยมาซื้อ ผมก็ไม่ฟัง  ดื้อดึงซื้อทันที 900 บาท
     อีกหนึ่งเดือนต่อมามีโอกาสได้ไปอีเกียอีก เห็นหมอนใบเดิมคราวนี้ปิดลดครึ่งราคาเหลือ 450 บาท โอ้โฮ นี่มันเป็นการเสียค่าโง่ชัดๆ ผมจึงตัดสินใจซื้ออีกใบหนึ่ง ภรรยาก็คัดค้านว่าหมอนแบบนี้มีแล้วจะซื้อไปอีกทำไม ผมตอบว่าซื้อถัวเฉลี่ยแบบเขาซื้อหุ้น หึ..หึ จึงได้หมอนเหลือมาประดับสตูดิโอหนึ่งใบ
มุมกาแฟด้านนอก โปรดสังเกตวิธีห้อยกระถางนอกหน้าต่าง

     ยังไม่ทันเปิดใช้สตูดิโอเลย เพื่อนบางคนแวะมาเยี่ยมขณะผมก่อสร้าง เขาไปยืนพิงผนังด้านข้างกระท่อมมองเหม่อไปยังตีนเขาที่ข้างล่างแล้วบอกว่าต้องตั้งโต๊ะกาแฟเล็กๆที่ตรงนี้ ผมก็ทำตาม แล้วก็ไม่ผิดหวัง เป็นมุมดื่มกาแฟทึ่เจ๋งจริงๆ แต่หากท่านผู้อ่านท่านใดได้มีโอกาสมาดื่มกาแฟที่นี่ เวลาจะลุกระวังศีรษะหน่อยนะ เพราะหมอสันต์ทำเท่เอากระถางดอกไม้ขึ้นห้อยนอกหน้าต่างทำทีเป็นว่าเปิดหน้าต่างแล้วจะเห็นดอกไม้ทันที แต่ว่านั่นมันเป็นหน้าต่างปลอม ส่วนกระถางที่จะโขกหัวคนได้แรงระดับโป๊กยักษ์จุหนึ่งลิตรนั้น เป็นของจริง หิ..หิ

     โอเค...ได้อารัมภบทจนพอใจแล้ว มาตอบจดหมายเบาๆสั้นๆสักฉบับหนึ่งดีกว่า

คุณหมอสันต์ที่เคารพ
     ผมได้อ่านบทความเรื่องออกธุดงค์โดยเอาสมุดบัญชีแบงค์ใส่ไว้ในย่ามแล้วชอบมาก ชีวิตของคนถามช่างเหมือนกับชีวิตของผมเสียจริง แต่ผมไม่เข้าใจตรงที่คุณหมอบอกว่า "การบรรลุความหลุดพ้นก็คือเมื่อคุณมองดูภรรยาแล้วเห็นความจำของคุณเองกำลังก่อความคิดขึ้นในหัวคุณ มองเห็นว่าตัวคุณเองอยู่นอกกระบวนการก่อความคิดนั้นโดยอัตโนมัติ คุณเป็นแค่ผู้เฝ้าสังเกตอยู่ นั่นแหละคุณหลุดพ้นแล้ว" ตรงนี้ผมอ่านหลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ คุณหมอช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ
สวัสดีปีใหม่ครับผม

.......................................................

ตอบครับ

     แหม ตั้งใจหยิบจดหมายฉบับสั้นๆเบาๆแล้วนะ แต่พอจะตอบจริงๆกลับไม่ค่อยเบาเท่าไหร่แฮะ ผมตอบสั้นๆแบบจับความเป็นข้อๆละกันนะ

     1. เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ คือการมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์

     2. คนมักจะคิดว่าความทุกข์เกิดจากอาการทางร่างกายหรือความรู้สึกที่ร่างกายเช่นความปวด (pain) แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการของร่างกายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่ที่เป็นความทุกข์ (suffering) ของจริงนั้น คือความคิด (thought) ซึ่งอาจเป็นความคิดที่เกิดขึ้นต่อยอดอาการบนร่างกาย แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นความคิดงี่เง่าถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

     3. กลไกการเกิดความคิดนั้นมีขั้นตอนที่แน่นอนดังนี้

     3.1 เริ่มต้นด้วยการที่ร่างกายรับรู้สิ่งกระตุ้นจากภายนอก (stimuli) ก่อน ซึ่งมาในรูปของคลื่นเช่นภาพ เสียง ความสั่นสะเทือน เป็นต้น

     3.2 ทันทีที่ได้รับสิ่งเร้ากระตุ้น กลไกของร่างกายและจิตใจจะเปลี่ยนสิ่งเร้านั้นให้เป็นภาษาหรือเป็นชื่อและรูปภาพ (names and forms) ที่ตัวเรารู้จักและเข้าใจโดยอัตโนมัติ

     3.3 สิ่งเร้าที่เรารู้จักในรูปของภาษาแล้วนี้จะถูกเทียบเคียง (match) กับสิ่งที่เราจดจำไว้แต่อดีตแล้วสรุปในชั้นต้นได้ทันทีว่าเป็นสิ่งร้ายหรือสิ่งดี

     3.4 หลังจากนั้นจะเกิดอาการบนร่างกาย (symptom) และความรู้สึก (feeling) ขึ้นในใจโดยอัตโนมัติ อาการบนร่างกายก็เช่นถ้าสิ่งกระตุ้นเป็นของไม่ดีก็จะเป็นอาการใจใจสั่นเหงื่อแตกร้อนผ่าวที่หน้าเป็นต้น ถ้าเป็นสิ่งกระตุ้นที่ดีก็จะเป็นอาการวาบหวิวเย็นสบาย ส่วนความรู้สึกทางใจก็จะมีสองแบบ คือชอบก็เป็นความรู้สึกดี ไม่ชอบก็เป็นความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ความรู้สึกนี้เป็นแค่ความรู้สึกนะ ไม่เกี่ยวกับความคิด

     3.5 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การก่อความคิดใหม่ในรูปของความอยาก (desire) คือถ้าชอบก็เกิดเป็นความคิดยึดติดอยากได้อีก (attachment) ไม่ชอบก็อยากหนีหรือไม่ยอมรับ (non-acceptance) ความอยากได้หรืออยากหนีนี้เมื่อถูกนำไปคลุกกับคอนเซ็พท์เรื่องเวลาอดีตอนาคตก็จะกลายเป็นความคิดถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงแต่สามารถทิ่มแทงชีวิตให้ทุกข์ร้อนได้ดีนัก กล่าวคือหากเอาความไม่ชอบไปผูกกับอดีตก็เป็นความซึมเศร้าเสียใจรันทดหรือรู้สึกผิด (guilt) หากเอาความไม่ชอบไปวาดอนาคตก็กลายเป็นความกลัว (fear)

     4. เมื่อเข้าใจกลไกการเกิดความคิดแล้ว คราวนี้คุณก็ต้องมาทำความเข้าใจกับกลไกการดับไปของความคิด ซึ่งมีหลักง่ายๆว่าเมื่อคุณรู้ตัวมีสติกำกับตรงขั้นตอนไหนก็ตาม (จากขั้นตอน 3.1 ไปจนถึงขั้นตอน 3.5) ขั้นตอนถัดไปจะถูกระงับไม่ให้เกิดทันที การใช้สติกำกับนี้เป็นการมองดูอย่างผู้สังเกต ไม่ใช่อย่างผู้เข้าไปมีส่วนร่วม

     ยกตัวอย่างเช่นเมื่อได้ยินเมียของคุณบ่น หากคุณไม่สังเกต คุณก็จะโมโหทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น โมโหแบบอัตโนมัติชนิดที่คุณควบคุมกะเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย แต่หากคุณถอยออกมาเป็นผู้สังเกตอย่างละเอียดละออ คุณจะเห็นคำบ่นของเมียถูกแปลงเป็นภาษาที่คุณเข้าใจอย่างรวดเร็วและถูกนำไปคลุกกับเรื่องเก่าๆที่เคยโมโหกันมาแล้ว แล้วถูกชงหรือนำเสนอขึ้นมาเป็นความโมโหครั้งใหม่ที่คล้ายๆเดิมแต่แรงกว่าเดิมโดยอัตโนมัติ คือคุณจะสังเกตเห็นว่าความจำในอดีตของคุณกำลังสมคบกับสิ่งเร้าครั้งใหม่ออกฤทธิ์เป็นความคิดใหม่ แต่คุณสังเกตอยู่ข้างนอกนะ คุณไม่ได้เข้าไปจงใจทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ได้ไปเออออห่อหมดกับความคิดใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น แค่สังเกตดูอย่างจดจ่อว่ามันกำลังเกิดขึ้นของมันเองโดยไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ถ้าคุณทำได้อย่างนี้แล้วความโมโหครั้งใหม่มันจะแผ่วแล้วมอดลงทันที ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าหากทำได้แล้วก็จะหลุดพ้น เพราะความทุกข์ของคนเรานี้ แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลยนอกจากความคิดใหม่ที่เรากำลังกุขึ้นในหัวที่เดี๋ยวนี้แบบช็อตต่อช็อต ช็อตต่อช็อต เท่านั้น ดังนั้นเมื่อทำความคิดให้ดับลงเสียได้ ก็หลุดพ้น

     พิเคราะห์กลไกการกุความคิดนี้ให้ดี คุณจะเห็นว่าสิ่งเก่าๆที่เก็บไว้ในหัวหรือพูดแบบบ้านๆว่า "กรรมเก่า" ของคุณนั่นแหละที่จะกลายเป็นพิษต่อคุณหากคุณรู้ตัวไม่ทันมัน เมื่อใดที่คุณรู้ตัวทันขณะที่มันเสนอตัวเองขึ้นมา คุณก็จะไม่หลงกลถูกมันเสี้ยมให้เกิดความคิดใหม่ขึ้นอีก เมื่อนั้นกรรมเก่าใดๆไม่ว่าดีหรือชั่วก็ล้วนหมดความหมาย

     ปีใหม่ เป็นธรรมชาติว่าคนเราย่อมแสวงหาสิ่งใหม่ๆมาเป็นสีสันของชีวิต แต่สิ่งใหม่ๆเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ การรู้ทันสิ่งเก่าๆที่เก็บไว้แล้วในหัวนั่นสำคัญกว่า มันเสนอตัวขึ้นมาเมื่อไหร่คุณรู้ทัน อดีตในหัวของคุณหรือความเป็นบุคคล (persona) ของคุณนั่นแหละที่เป็นตัวถ่วงความหลุดพ้น ดังนั้นปีใหม่นี้ทิ้งอดีตไปเสีย คอนเซ็พท์ ความเชื่อใดๆไม่ว่าจะดีหรือชั่วที่ประสบมาในอดีต ทิ้งไปให้หมด มาเป็นคนที่ไม่มีอดีตดีกว่า

     ชีวิตใหม่จริงๆ เริ่มต้นเมื่อลบอดีตในหัวทิ้งได้หมดเกลี้ยงแล้ว หันมาอยู่แต่กับปัจจุบัน ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่แล้ว ที่เป็นอยู่แล้ว ณ เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่ยอมรับได้แล้วก็ขอบคุณ ที่เผลอทำพลาดไปก็ขอโทษ ที่โกรธขึ้งไปก็ให้อภัย และมองชีวิตอื่นทุกชีวิตด้วยเมตตา ปีใหม่นี้สี่คำนะ ขอบคุณ, ขอโทษ, ให้อภัย, เมตตา แล้วเดินหน้าไปกับชีวิตในปัจจุบันไปทีละขณะ ทีละขณะ  ซ้า..า ธุ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"