นัยสำคัญทางสถิติ - นัยสำคัญทางปฏิบัติ
เรียน
คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์
ผมได้ติดตามบทความใน blog ของคุณหมอมาได้ไม่นานนักพบว่ าเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่ วไปที่ต้องการความรู้ และคำแนะนำในเรื่องสุขภาพเป็ นอย่างมาก คุณหมอให้ความรู้ ตอบคำถามและให้ข้อมูลข้อเท็จจริ งในทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมา
ในแนวทางอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ข่าวสารต่างๆเกี่ยวกั บสุขภาพมีมากมายท่วมท้น ยิ่งทาง
Internet ด้วยแล้วเชื่อได้บางเชื่อไม่ได้ บ้าง
ไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้ อมูล
ผมได้อ่านบทความเรื่อง "Physician Health Study สิ่งที่คนบ้าวิตามินตั้งตาคอย" (22 ตุลาคม 2555) และ เรื่อง "Physician Health Study ภาค 2 อกหักซ้ำสองของคนบ้าวิตามิน" (14 มีนาคม 2556) อยากจะให้ความเห็นเพิ่มเติ มในเชิงวิชาการทางสถิติที่เกี่ ยวกับการสรุปผลทางสถิติของการวิ จัยเรื่องนี้
ซึ่งตรงกับข้อสรุปที่คุณหมอได้ เขียนไว้ในตอนท้าย
แม้ว่าการทำงานวิจัยจะทำในแบบ Randomized Controlled Experiment ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากพอ และผลที่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0 .05="" lang="TH" span="">ซึ่งมีความน่าเชื่ิอถือทีสุดก็0> ตาม
ในการนำผลสรุปทางสถิติไปใช้ก็ต้ องคำนึงถึงความมีนัยสำคั ญในทางปฏิบัติด้วย พูดง่ายๆว่า การมีนัยสำคัญทางสถิติ (statistical
significance) ไม่จำเป็นว่าจะมีนัยสำคั ญในทางปฏิบัติ (practical
significance) ผลงานวิจัยในเรื่องนี้มี ความแตกต่างของอัตราการอุบัติ ของโรคมะเร็งในกลุ่มตัวอย่างเพี ยง 0.13% ถือได้ว่าไม่มีนัยสำคัญในทางปฏิ บัติ (ในความเห็นของผม) คน 1000
คน กินวิตามินทุกวันเป็นเวลาตั้ง 10 ปี
เป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ กินเพียง 1 คน
ในทางสถิ ตเราสามารถออกแบบการทดลองให้มี sensitivity
สูงๆ (สามารถ detect ความแตกต่างที่น้อยมากๆได้โดยมี นัยสำคัญทางสถติ)
ได้โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง (sample size) มากๆ ซึ่งก็เป็นที่ต้องการ
เช่น ในงานวิจัยชิ้นนี้ใช้กลุ่มตั วอย่างถึง 2 x 7320 เราอาจออกแบบการทดลองให้ สามารถตรวจพบความแตกต่างที่น้ อยเพียง 0.01% โดยที่มีนัยสำคัญทางสถิติก็ ทำได้ แต่มันมีความหมายในทางปฏิบัติ หรือไม่เป็นสิ่งที่นักวิจั ยและผู้ที่จะนำผลสรุปไปใช้ต้ องคำนึงถึง อีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันคือ มีการตั้งเป้าหมายของความแตกต่ างที่คิดว่ามีนัยสำคัญในทางปฏิ บัติใว้ล่วงหน้าก่อนการทดสอบนั ยสำคัญทางสถิติ เช่น
ในกรณีนี้อาจตั้งเป้าหมายว่ าหากการกินวิตามินให้ ผลในการลดการเป็นมะเร็งได้ 5% จึงจะถือว่าได้ผลหรือ effective
วิธีนี้ถ้าความแตกต่างเกิดไม่ถึ ง 5% ก็จะถือว่าไม่มีนัยสำคัญ
ขอแสดงความนับถือ
ผมได้ติดตามบทความใน blog ของคุณหมอมาได้ไม่นานนักพบว่
ผมได้อ่านบทความเรื่อง "Physician Health Study สิ่งที่คนบ้าวิตามินตั้งตาคอย" (22 ตุลาคม 2555) และ เรื่อง "Physician Health Study ภาค 2 อกหักซ้ำสองของคนบ้าวิตามิน" (14 มีนาคม 2556) อยากจะให้ความเห็นเพิ่มเติ
แม้ว่าการทำงานวิจัยจะทำในแบบ Randomized Controlled Experiment ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากพอ และผลที่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0 .05="" lang="TH" span="">ซึ่งมีความน่าเชื่ิอถือทีสุดก็0>
ในทางสถิ
ขอแสดงความนับถือ
…………………………………
ตอบครับ
แฮ้.. ดีใจ
แฮ้.. ดีใจ
“...ดีใจ เอ๊ยใครจะเหมือน
มีเมียสี่เดือนลูกเคลื่อนออกมาคน
ลูกเราช่างงามเหลือล้น
ผมขาวตาข้น...เอ๊ะชักยังไหง่...”
เนื้อเพลงไม่เกี่ยวกับเรื่องหรอกครับ เกี่ยวแต่คำว่า “ดีใจ” พอดีใจแล้วผมก็เลยนึกเพลงนี้ขึ้นได้
เป็นเพลงลูกทุ่งไร้อันดับสมัยผมเด็กๆ เนื้อหาประชดประชันเมียเช่าช่วงสงครามเวียดนามซึ่งชอบมี
ผ. สองคน ท่านผู้อ่านสมัยนี้คงเกิดไม่ทันหรอกครับ อย่าไปสนใจเลย มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า
ที่ดีใจเพราะมีคนอ่านบล็อกของผมแบบอ่านเอาเรื่องจริงๆจังๆด้วย
แทนที่จะแค่อ่านเอาม่วน แล้วจดหมายที่เขียนมานี้ก็แสดงว่าคนอ่านบล็อกของผมเนี่ย
ขอโทษ ขอนุญาตใช้ภาษาจิ๊กโก๋นะครับ.. ไม่ใช่ขี้ขี้นะเนี่ย
ประเด็นที่ท่านผู้อ่านได้วิสัชนามาดังข้างบนนี้นั้น
มัน “เน็ดขนาด” จนผมต้องขอเอามาย้ำอีกที
ว่าอย่าไปได้ปลื้มกับนัยสำคัญทางสถิติเสียตะพึด เพราะนัยสำคัญทางสถิตินั้น make
ขึ้นมาได้ด้วยการใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่มากพอ นี่เป็นประเด็นที่ดีแต๊ดีว่า
เพราะแม้แต่แพทย์ทั่วโลก เวลาประชุมกันในระดับนานาชาติก็มีอยู่ไม่น้อยที่ผมแอบเห็นว่าข้อคอมเมนต์ของเขาในที่ประชุมแสดงว่าเขาได้ถูกนัยสำคัญทางสถิติลากเข้าป่าไปเสียแล้ว
เลยกลายเป็นยี่ปั๊วให้ห้างยาโดยไม่ได้รับค่าจ้างอีกต่างหาก
ท่านผู้อ่านท่านนี้ได้กระตุกให้ทุกท่านว่าเมื่อตีความผลวิจัยที่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ให้คำนึงถึงนัยสำคัญทางปฏิบัติด้วย ซึ่งผมก็ถือว่านัยสำคัญทางปฏิบัติเป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้เรื่องนัยสำคัญทางสถิติเอง
ในทางการแพทย์ได้ใช้ดัชนีคำหนึ่งมาบอกนัยสำคัญทางปฏิบัติ คือคำว่า “number
needed to treat” หรือ NNT ซึ่งผมขออนุญาตแปลแบบลูกทุ่งว่า
“จำนวนคนที่ถูกจับกรอกยา” หมายความว่าการจะป้องกันผลร้าย (เช่นเป็นมะเร็ง)
ไม่ให้เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง เราต้องเอาคนมากรอกยา (เช่นวิตามิน) ทุกวัน กี่คน จึงจะป้องกันไม่ให้คนเป็นมะเร็งได้หนึ่งคน
ว่าจะจบแล้วแต่ก็ยังไม่อยากจบ
ยังคันปากอยากจะพูดต่อ ไหนๆก็มีคนหาเรื่องปวดหัวขึ้นมาคุยแล้ว
เราก็มาปวดหัวต่อไปให้มันสุดๆก็แล้วกันนะครับท่านผู้อ่าน เพราะวันนี้ผมไม่กลัวเรื่องปวดหัว
เนื่องจากอารมณ์ดีที่เพิ่งกลับจากไปทำเช็ดที่ไร่มวกเหล็กมาจนสำเร็จแล้วหนึ่งหลัง คำว่า “เช็ด”
นี้ไม่ได้หมายถึงไปเช็ดไปล้างอะไรนะครับ แต่หมายถึง garden shed ซึ่งก็คือส้วม..เอ๊ย ไม่ใช่ ก็คือเล้าไก่..ก็ไม่ใช่อีก
หมายถึงที่เก็บของก็แล้วกัน มันเป็นที่เก็บของรกๆเล็กๆเช่นเครื่องมือทำสวน จอบ
เสียม ค้อน เลื่อย ตะปู ที่คนยุโรปเขาทำไว้ท้ายสวน บางคนก็ทำไว้ซะเท่เก๋ไก๋เชียว มันเป็นที่ที่ผู้ชายชาวยุโรปใช้ลี้ภัยจากอำนาจของภรรยาซึ่งมักจะครอบครองตัวบ้านใหญ่อยู่อย่างสมบูรณายาสิทธิ์ สำหรับผู้ชายยุโรป ใครที่ไม่มีที่ลี้ภัยแบบนี้จะถูกเรียกว่าเป็น “ผู้ชายที่ไม่มีเช็ด”
หรือ shedless man ซึ่งจะถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นผู้ชายที่น่าสงสารมาก
และจริงหรือเปล่าไม่รู้ มีคนชอบอ้างว่ามีงานวิจัยในออสเตรเลียพบว่าพวกผู้ชายที่ไม่มีเช็ดมีอัตราฆ่าตัวตายสูงมากกว่าผู้ชายที่มีเช็ด
อันนี้จริงหรือเท็จผมไม่ยืนยันนะ แต่ผมเช็ดแล้ว เอ๊ย ไม่ใช่ ผมมีเช็ดแล้ว
รอดตายแล้ว อิ..อิ
เอ๊ะเมื่อตะกี้คุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ
อ้อ เรื่อง NNT คือการจะเข้าใจเรื่อง
NNT ลึกซึ้งเนี่ย มันต้องเข้าใจความหมายของวิธีรายงานความเสี่ยงในทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งก่อน
อย่างน้อยต้องขึ้นใจในคำอีกสามคำ คือ
(1) ความเสี่ยง หรือ Risk แปลว่าโอกาสเป็นโรค มีความหมายเดียวกับ ความอาจเป็นไปได้ หรือ probability หมายถึงโอกาสเกิดโรคขึ้นในหมู่คน
เช่นความเสี่ยงมะเร็งปอดในคนทั่วไปคือ 0.01 หมายความว่าร้อยคนเป็นมะเร็งปอดหนึ่งคน
(2) การลดความเสี่ยงสัมพัทธ์
หรือ Relative Risk Reduction (RRR) ซึ่งเป็นค่าหลักที่ใช้รายงานในงานวิจัยทางการแพทย์ทั้งหลาย
คือรายงานว่ากลุ่มที่กินยาจริงลดความเสี่ยงลงได้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงของกลุ่มกินยาหลอก
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยสุขภาพแพทย์ กลุ่มที่กินวิตามินรวมของจริงมีอุบัติการณ์เป็นมะเร็ง 17.0 ครั้งต่อ1,000 คน-ปี
ก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 1.7% ขณะที่กลุ่มที่กินวิตามินเก๊มีอุบัติการณ์เป็นมะเร็ง 18.3 ครั้ง ต่อ 1,000คน-ปีก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 1.83% จับเอามาลบกันก็พบว่ามีผลต่างของความเสี่ยงอยู่ = 18.3 – 17.0 =
1.3 แล้วเอาผลได้ไปหาว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มกินวิตามินหลอก =
(1.3 x 100) / 18.3 = 7.1% แล้วก็รายงานผลว่าการกินวิตามินลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ลงได้
7.1% ฟังดูหรูนะครับ
ลดความเสี่ยงได้เป็นเนื้อเป็นหนังทีเดียว แต่ยังก่อน
ต้องตามไปดูอีกค่าหนึ่งซึ่งเป็นของจริงครับ คือค่าการลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ หรือ absolute
risk reduction (ARR) ซึ่งเขาจะแอบรายงานแบบซ่อนๆอยู่
ที่มาของค่านี้มียังงี้ครับ
(3) การลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ หรือ Absolute Risk Reduction (ARR) คือรายงานว่ากลุ่มที่กินยาจริงลดความเสี่ยงลงในภาพรวมได้เท่าไร
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยสุขภาพแพทย์ กลุ่มที่กินวิตามินรวมของจริงมีอุบัติการณ์เป็นมะเร็ง 17.0 ครั้งต่อ1,000 คน-ปี
ก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 1.7% ขณะที่กลุ่มที่กินวิตามินเก๊มีอุบัติการณ์เป็นมะเร็ง 18.3 ครั้ง ต่อ 1,000คน-ปีก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยง 1.83% จับเอามาลบกันก็พบว่ามีผลต่างของความเสี่ยงอยู่ = 1.83 – 1.7 = 0.13%
ทำจำนวนเต็ม 100 ให้เป็น 1 ก็เท่ากับว่าการกินวิตามินลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ (ARR)
ลงได้ 0.0013 แต่ว่าค่า ARR นี่เขาไม่ค่อยรายงานในผลวิจัยหรอกครับเพราะมันเข้าใจยาก
ถ้าเขารายงานมา เราก็ต้องเอามาคำนวนหาว่าเขาต้องจับคนกรอกยากี่คนจึงจะลดการเป็นโรคได้หนึ่งคน
หรือหาค่า number needed to treat (NTT) ดังนี้
(4) จำนวนคนที่ถูกจับกรอกยา หรือ number
needed to treat (NNT) อย่างที่ผมบอกความหมายไปแล้ว ว่ามันหมายความว่าการจะป้องกันผลร้าย
(เช่นเป็นมะเร็ง) ไม่ให้เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง เราต้องเอาคนมากินยา (เช่นวิตามิน) ทุกวัน
กี่คน การจะคำนวณค่านี้เมื่อรู้ ARR แล้วก็ง่าย คือเอา 1 ตั้ง แล้วเอา ARR ไปหาร ซึ่งในงานวิจัยสุขภาพแพทย์ที่เราพูดถึงนี้ก็คือ
NNT = 1 / ARR = 1 / 0.0013 = 769.23 คน
นั่นหมายความว่าต้องจับคนไข้กรอกวิตามิน 769 คน จึงจะป้องกันไม่ให้คนเป็นมะเร็งได้หนึ่งคน
ปวดหัวไหมครับ ผมก็ว่าปวดหัวนะ เอาเป็นว่าเมื่อสาธุชนได้ทราบนัยสำคัญทางสถิติ
และจำนวนคนไข้ที่ต้องจับกรอกยาแล้ว ใครจะกินวิตามินหรือจะไม่กินก็จงทำเถิด
เพราะเป็นเรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจเอง
“..ทำไหร่ทำเถิ้ด..อย่าเปิ๊ดผ้า
ทำไร้ไม่ว่า..ผ้าอย่าเปิ๊ด”
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1.
Laupacis, A; Sackett, DL; Roberts, RS (1988). "An
assessment of clinically useful measures of the consequences of
treatment.". The New England Journal of Medicine 318 (26): 1728–33.doi:10.1056/NEJM198806303182605. PMID 3374545