tag:blogger.com,1999:blog-76229760512277939022024-03-13T14:36:49.358+07:00DrSantDrSant บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
(chaiyodsilp@gmail.com)DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comBlogger1798125tag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-6425344090383047402021-01-06T09:46:00.001+07:002021-01-06T09:46:08.815+07:00หมอสันต์ย้ายไปเขียนบล็อกที่ DrSant.com ตั้งแต่ 1 มค. 64<p> ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป หมอสันต์ย้ายไปเขียนบล็อกที่ <a href="http://DrSant.com">DrSant.com</a> บทความใหม่อ่านได้จากที่นั่นที่เดียว แต่บทความเก่าอ่านได้จากทั้งที่ DrSant.com และที่ VisitDrSant.blogspot.com </p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-59558048188250475822020-12-31T00:20:00.004+07:002020-12-31T00:34:49.562+07:00ทำบอลลูนแล้วทิ้งยาหมด ถูกหมออวยกันใหญ่<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEO7qm4JDa6fbAc9Pj0T_8hrTYkR9bNByrqxr432ExDzTo-pgEOXvjsxrh-fx0V-kgh5Z8WSCQ4UL0GfFaug6NJBKPSVCAnGgrZ0NeVITmeX-igqbPv20WJwpoAEHv2q5nNBjHxNusBXI/s2048/Drawing+Henri+Mouhut.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><i><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEO7qm4JDa6fbAc9Pj0T_8hrTYkR9bNByrqxr432ExDzTo-pgEOXvjsxrh-fx0V-kgh5Z8WSCQ4UL0GfFaug6NJBKPSVCAnGgrZ0NeVITmeX-igqbPv20WJwpoAEHv2q5nNBjHxNusBXI/s320/Drawing+Henri+Mouhut.jpg" width="320" /></i></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>แฟนบล็อกวาดให้ อังรีมูโอต์เดินทานผ่านดงพญาเย็น</i></td></tr></tbody></table><br />เรียน คุณหมอครับ<p></p><p>มีเรื่องปรึกษาครับ ผมเคยทำบอลลูนใส่ขดลวดเส้นเลือดหัวใจ 2 เส้น เมื่อปลายปี 55 จากนั้นกินยา ออกกำลังกายเบาๆตามหมอแนะนำอยู่ 2 ปี ปี 58 อ่านบล๊อกคุณหมอเรื่องการปรับพฤติกรรมชีวิต กินผักผลไม้ปั่นเป็นอาหารเช้า ออกกำลังกายให้หนัก จัดการอารมณ์ ผมทำตามอย่างมีวินัย เลิกกินยาทุกชนิดตั้งแต่ปี 58 นับถึงวันนี้เกือบ 6 ปีครับ แต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอาการหวัดเล็กๆ แล้วไปเล่นฟุตบอล ช่วงดึกรู้สึกปวดหัวตึบๆ แฟนให้กินยาแก้ปวด หลังจากนั้นวัดความดัน ขึ้นไป 170 สุดท้าย แฟนพาไป ร.พ.(แฟนเป็นพยาบาล) หมอสอบถามอาการ ว่ามีโรคประจำตัวไหม ก็บอกไปว่าเคยทำบอลลูน แต่หยุดยามาเกือบ 6 ปีล่ะ ใช้การปรับพฤติกรรมชีวิต แค่นั้นหล่ะครับ ทั้งหมออินเทอร์น หมอประจำ ร.พ.อวยผมกันใหญ่ หัวใจจะวาย เส้นเลือดจะตีบ ให้กลับไปกินยาอีก แล้วให้ไปทำ echo ผลออกมาก็ปรกติ ผมส่งผลการตรวจไขมันในเลือด กับ echo ให้คุณหมอดู ยังคงใช้แนวทางเดิมหมอสันต์ได้น่ะครับ ผมไม่อยากกินยา ยาที่เขาจ่ายมา มี 1ยาลดการหลั่งกรดในกระเพราะ 2.aspirin 3.ยาลดไขมัน 4.ยาลดความดันโลหิต 5.วิตามิน b1-6-12</p><p>รบกวนคุณหมอด้วยครับ</p><div>..........................................</div><div><br /></div><div>ตอบครับ</div><div><br /></div><div><b> ประเด็นที่ 1. การรักษาความดันเลือดสูง</b> หากวินิจฉัยได้ว่าเป็นความดันเลือดสูงจริง (วัดสองครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ในการวัดแต่ละครั้งให้ได้ตัวเลขสามชุด) ก็ควรจะรักษาไปตามขั้นตอนปกติ คือใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใน 4 ประเด็น คือ (1) ลดน้ำหนักถ้าอ้วน (2) กินอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ (3) ออกกำลังกาย (4) ลดเกลือในอาหาร ครบ 6 สัปดาห์แล้วตรวจวัดความดันเลือดซ้ำ หากยังสูงกว่า 140/90 ก็ควรกินยาลดความดันควบคู่ไปกับการปรับวิธีใช้ชีวิต เมื่อความดันลงต่ำกว่า 135/85 จึงค่อยๆลดยาลง เป้าหมายคือความดันต้องไม่เกิน 140/90 จะด้วยวิธีใดก็ได้ เน้นการปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต แต่หกทำไม่ได้ก็แนะนำให้ใช้ยาช่วย</div><div><br /></div><div><b> ประเด็นที่ 2. การรักษาไขมันในเลือดสูงในคนเป็นโรคแล้ว</b> เช่นคนที่ทำบอลลูนมาแล้วอย่างคุณนี้ มาตรฐานหลักวิชาก็คือให้ได้ไขมันเลว LDL ต่ำกว่า 70 ด้วยการปรับอาหารก่อน หากยังไม่ได้ก็กินยาลดไขมันช่วยควบคู่ไปด้วย เมื่อได้ LDL ต่ำกว่า 70 แล้วก็ปรับอาหารให้เข้มงวดขึ้นพร้อมๆกับค่อยๆลดยาลดไขมันลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องให้ LDL ต่ำกว่า 70 ไว้จะได้อัตราตายที่ต่ำที่สุด นี่ว่าเฉพาะคนเป็นโรคแล้วนะ คนอื่นๆที่ไม่ได้เป็นโรคไม่เกี่ยวกับค่า 70 นี้</div><div><br /></div><div><b> ประเด็นที่ 3. การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (แอสไพริน) ในคนทำบอลลูนมาแล้ว</b> ปัจจุบันนี้มาตรฐานหลักวิชาก็คือใช้ไปตลอดชีวิตยกเว้นมีผลข้างเคียงของยามากจนผลเสียมากกว่าประโยชน์ของยา (เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร) วงการแพทย์ยังไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบคนทำบอลลูนใส่ขดลวดสมัยใหม่ผ่านไปนาน 5-10 ปี แล้วเอามาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินยาแอสไพริน อีกกลุ่มหนึ่งกินยาหลอก งานวิจัยแบบนั้นยังไม่มี ดังนั้นจึงไม่สามารถจะตอบได้ว่าหลังทำบอลลูนไป 8 ปีแล้วหากหยุดยาแอสไพรินจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้นหรือไม่ ถ้ามากขึ้น มากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ อันนี้ไม่มีข้อมูลที่จะตอบให้ได้เลย คุณต้องลุยถั่วของคุณเอาเอง </div><div><br /></div><div> กรณีของคุณเป็นการใช้ยาแอสไพรินป้องกันโรคแบบทุติยภูมิ (secondary prevention) มันแตกต่างจากคนที่ไม่เคยป่วยเข้ารพ.ไม่เคยทำบอลลูน ซึ่งคนพวกนั้นเขาใช้แอสไพรินป้องกันโรคแบบปฐมภูมิ (primary prevention) ณ ขณะนี้มาตรฐานใหม่ล่าสุด (ACC/AHA Guidelines 2019) ก็คือการใช้แอสไพรินป้องกันปฐมภูมิไม่มีประโยชน์ จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่การใช้ป้องกันทุติยภูมิยังมีประโยชน์ และยังควรใช้อยู่ หมายความว่าใช้ไปจนมีงานวิจัยใหม่บ่งชี้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดๆบ่งชี้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด เท่ากับหมอเขาก็ตั้งใจจะให้คุณกินจนตายแหละครับ เพราะหลักฐานปัจจุบันบ่งชี้ให้ทำอย่างนั้น </div><div><br /></div><div><b> ประเด็นที่ 4. การใช้วิตามิน</b> ผมไม่ซีเรียส คุณจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของคุณ แต่ในกรณีที่คุณกินอาหารแบบวีแกน (มังเข้ม) การกินวิตามินบี 1-6-12 วันละเม็ดก็มีประโยชน์ตรงช่วยป้องกันขาดวิตามินบี.12 ซึ่งงานวิจัยพบว่าคนกินอาหารวีแกนมักมีระดับวิตามินบี.12 ในเลือดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ</div><div><br /></div><div><b> ประเด็นที่ 5. การกินยาลดการหลั่งกรด (PPI) </b>ไม่ใช่ยารักษาโรคหัวใจ แต่เป็นยาป้องกันผลข้างเคียงของยาต้านเกล็ดเลือด ในกรณีที่กินยาแอสไพรินแล้วไม่มีผลข้างเคียง ยาลดการหลั่งกรดก็ไม่จำเป็น การกินยานี้กันจนลืมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะยานี้ไม่ใช่ยารักษาโรค และตัวยานี้มีพิษต่อไตทำให้เป็นโรคไตเรื้อรัง ดังนั้นผมแนะนำให้กินยานี้เฉพาะเมื่อมีผลข้างเคียงของยาแอสไพริน (แสบท้อง หรือมีเลือดออก) และกินรอบหนึ่งเมื่อผลข้างเคียงของยาหมดแล้วก็หยุด อย่ากินกันจนลืม เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของยานี้จะด้อยลงเพราะร่างกายต่อต้าน (drug tolerance) หากกินยาต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือน นอกจากนี้อาจได้ไม่คุ้มเสียเพราะยานี้มีพิษต่อไต ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยประเมินน้ำหนักความเสี่ยงของผลข้างเคียงของยาแอสไพริน กับความเสี่ยงผลข้างเคียงของยาลดการหลั่งกรด อาจจะพอๆกันหรือข้างใดข้างหนึ่งแย่กว่าก็ได้ไม่มีใครรู้ เพราะข้อมูลยังไม่มี มีแต่ข้อมูลว่ายาลดการหลั่งกรดลดโอกาสเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารในผู้ใช้ยาแอสไพรินลงได้ และขณะเดียวกันก็มีข้อมูลด้วยว่าการกินยาลดการหลั่งกรดไปนานๆจะสัมพันธ์กับการเป็นโรคไตเรื้อรัง</div><div><br /></div><div>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</div><div><br /></div><div>บรรณานุกรม</div><div><br /></div><div>1. 2019 ACC/AHA Guideline on the Primary Prevention of Cardiovascular Disease: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. J Am Coll Cardiol 2019;March 17:[Epub ahead of print].</div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-7357602649456359342020-12-29T22:37:00.003+07:002020-12-29T22:41:56.761+07:00Let Me Thin หมอสันต์ทำแค้มป์ลดน้ำหนักรูปแบบใหม่<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8ykEAoufLlE68pofNVwuDWUfSTpdrmOij3PagEbOKN1qetMGVXXuPqb7St45XihL7iNHyXmiWriNmnPGsPzw-WZPLLBdCVJyrE2tgyr-5syNEHWWbxQbekxiJXVeWkugO98uBIxG6vy0/s2048/WLWC_Let+Me+Thin+Brochure+final-01.png" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="1365" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8ykEAoufLlE68pofNVwuDWUfSTpdrmOij3PagEbOKN1qetMGVXXuPqb7St45XihL7iNHyXmiWriNmnPGsPzw-WZPLLBdCVJyrE2tgyr-5syNEHWWbxQbekxiJXVeWkugO98uBIxG6vy0/s320/WLWC_Let+Me+Thin+Brochure+final-01.png" /></a></div><br /> ในบรรดาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย โรคหนึ่งที่อัตรารักษาหายต่ำอย่างน่าใจหายคือโรคอ้วน ถ้านับกันที่หนึ่งปี ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้ 10% ของน้ำหนักเดิมเป็นเวลานาน 1 ปี มีเพียง 20%เท่านั้น แต่เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปากทางไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆเช่นโรคเบาหวาน หัวใจ ความดัน อัมพาต เป็นต้น ดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้คนในระยะยาวอย่างไรเสียก็ต้องเอาโรคอ้วนให้อยู่หมัดให้ได้ ตัวผมเองได้พยายามทำแค้มป์ลดน้ำหนักมาหลายครั้งแล้ว อัตราความสำเร็จในหนึ่งปีก็ไม่หนี 20-30% และปัญหาที่ผมพบก็คือการติดตามกระตุ้นต่อเนื่องในระยะยาวในรูปแบบของแค้มป์ทำได้ยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะคนมาเข้าแค้มป์ กลับจากแค้มป์แล้วก็กลับเลย ยากมากที่จะติดตามกันต่อเนื่องได้<p></p><p><b> Let Me Thin</b></p><p> มาในปีใหม่ 2564 นี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม คือฉวยโอกาสขณะอยู่ในมู้ด new year resolution หลังจากที่ได้ซุ่มทดลองทำรุ่นเล็กๆมาแล้วหนึ่งรุ่น ผมได้ตัดสินใจทำโปรแกรมลดน้ำหนักในอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า Weight Loss We Care ซึ่งเป็นโปรแกรมลดน้ำหนักผ่านทางอินเตอร์เน็ท คือหมอ เทรนเนอร์ โภชนาการ และสมาชิกผู้เข้าโปรแกรมเจอกันทางอินเตอร์เน็ท ไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆ แต่ใช้อินเตอร์เน็ทเป็นสื่อการฝึกทักษะทางด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการสร้างความบันดาลใจ ทำแอ๊พมือถือขึ้นมาเป็นเครื่องมือช่วยการติดตามกระตุ้นและรับฟังปัญหา โดยงานนี้ผมได้ร้องขอให้คุณหมอตุ่น (พญ. วริศรา รุทระวณิช) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความครบเครื่องทั้งด้านการดูแลผู้ป่วยลดน้ำหนักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาแล้ว ทั้งทำเรื่องเวชศาสตร์ชลอวัย ทั้งเป็นนักนิยมอาหารพืชเป็นหลัก และทั้งเป็นนักออกกำลังกายเทรนเนอร์ด้วยตนเอง มาเป็นหัวหน้าโครงการนี้และเป็นผู้ติดตามเป็นพี่เลี้ยงให้สมาชิกที่เข้ามาลดน้ำหนักทุกคน โดยให้ชื่อคอร์สแรกนี้ว่า Let Me Thin และมีคอนเซ็พท์หลักว่า "ลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี" </p><p><br /></p><p><b> ค่าใช้จ่าย</b></p><p> คนละ 2500 บาท ต่อคอร์ส 90 วัน (เฉพาะรุ่น 1 ลดจากราคาเต็มที่ตั้งไว้ 5000 บาท)</p><p><b><br /></b></p><p><b> สิ่งที่สมาชิกจะได้รับเมื่อเข้าคอร์ส</b> </p><p> (1) การให้คำปรึกษาทางด้านการลดน้ำหนักแบบเฉพาะบุคคลแบบหนึ่งต่อหนึ่งก่อนเริ่มโปรแกรม </p><p> (2) การให้คำปรึกษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องผ่านระบบออนไลน์ตลอดระยะเวลา 90 วัน </p><p> (3) การเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดการความเครียดเพื่อเตรียมพร้อมจิตใจสำหรับการลดน้ำหนัก กิจกรรมออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี และกิจกรรมเรียนทำอาหารสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี เป็นต้น </p><p> (4) แจกเครื่องมือหากิน อันได้แก่ เครื่องชั่งน้ำหนักวัดมวลร่างกาย และ Elastic Band ยางยืดสำหรับออกกำลังกาย</p><p> (5) แถมสิทธิพิเศษสำหรับซื้อคอร์สอาหารเพื่อสุขภาพจากร้านอาหารในแนวพืชเป็นหลัก ได้แก่ร้าน Pranaa ร้าน Always และร้านต้นกล้าฟ้าใส </p><p><b><br /></b></p><p><b> กำหนดการเปิดคอร์ส Let Me Thin รุ่น 1</b></p><p> เปิดรับสมัคร 27 ธ.ค. 2563 - 5 ม.ค. 2564</p><p> ระยะเวลาเข้าคอร์ส 6 ม.ค. 2564 - 4 เม.ย. 2564</p><p><b><br /></b></p><p><b> การติดต่อ</b></p><p> สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้อคอร์ส </p><p> <i>โทร: 065-586-2660</i></p><p><i> Facebook Fanpage: Weight Loss We Care</i></p><p><br /></p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p><br /></p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-70914245068598365592020-12-29T01:01:00.007+07:002020-12-30T12:48:25.268+07:00นี่เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจเรื่องโควิด 19 อีกครั้ง<p><b></b></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><b><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrnxPEW1p_ic0r8QWlpLywiTN9ALlXLjo_JItEyxYpuL7AfyGsACJ4J30C3seeWASgrB1FcTOwGAM3eB2D2eRHqXfI_HXEXH2Ei9codLlPXBFzkYVU06bNQOAuWcujS-L3vgNMJkU5Exc/s2048/IMG_0605.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrnxPEW1p_ic0r8QWlpLywiTN9ALlXLjo_JItEyxYpuL7AfyGsACJ4J30C3seeWASgrB1FcTOwGAM3eB2D2eRHqXfI_HXEXH2Ei9codLlPXBFzkYVU06bNQOAuWcujS-L3vgNMJkU5Exc/s320/IMG_0605.jpg" width="320" /></a></b></div><b><br /> ภาพรวมสถานะการณ์โควิด19 ของไทยวันนี้</b><p></p><p> ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ประเทศไทยของเราได้กลับเข้าสู่การระบาดของโควิด19 ในระยะเร่งหรือระยะที่ 4 (acceleration phase) อีกแล้ว หลังจากที่ดับคลื่นระยะเร่งนี้ลงได้สนิทแล้วเมื่อปลายเดือนเมษายน รูปแบบการกระจายตัวของโรคได้เปลี่ยนจากการอยู่ในระยะติดเชื้อกระปริดกระปรอย (sporadic) อย่างคงที่มานานถึง 8 เดือน กลับมาเป็นการติดเชื้อเป็นกลุ่มๆ (cluster of cases) ในชั่วเวลาไม่กี่วัน และกำลังเดินหน้าไปสู่รูปแบบการติดเชื้อในชุมชน (community transmission) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ </p><p> ก่อนจะพูดอะไรกันต่อ ผมขอซักซ้อมความเข้าใจในสองประเด็นของโรคระบาดก่อนนะ </p><p><i> ประเด็นแรก</i> <i>คือระยะ (phase หรือ interval) ของการระบาด</i> ซึ่งหากแบ่งตามศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ ก็แบ่งเป็นหกเฟส คือ (1) ระยะสอบสวนโรค Investigation (2) ระยะรับรู้ศักยภาพโรค Recognition (3) ระยะเริ่มระบาด Initiation (4) ระยะเร่งระบาด Acceleration (5) ระยะแผ่ว Deceleration (6) ระยะกลับมาเฝ้าระวัง Preparation for future waves</p><p> <i>ประเด็นที่สอง คือระดับชั้นการแพร่โรค (transmission classification)</i> ซึ่งแบ่งรูปแบบออกเป็นสี่ชั้นจากน้อยไปหามากคือ (1) ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ (no cases) (2) ติดเชื้อกระปริดกระปรอย (sporadic) (3) ติดเชื่อเป็นกลุ่มๆ (cluster of cases) (4) ติดเชื้อในชุมชน (community infection)</p><p> ผมประเมินเอาจากข้อมูลวันต่อวันที่ทีมงานของรัฐบาลแถลงมาแล้วผมสรุปเอาเองว่าเรากำลังกลับเข้าสู่การระบาดระยะ acceleration อีกครั้ง แต่ยังมีรูปแบบการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มๆ ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินสามวันก่อนการชื่นชุมนุมเพื่อรื่นเริงเถลิงศกใหม่นะ </p><p><b> นาทีนี้เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจกันอีกแล้ว</b></p><p> เมื่อโรคกลับเข้าสู่ระยะเร่ง ก็เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนนโยบายชลอโรค (mitigation) (อันได้แก่สวมหน้ากาก ใช้เจล และ social distancing) กลับไปใช้นโยบายกดโรค (suppression) หรือพูดง่ายๆว่า Lockdown Thailand อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจนี้ถ้าจะทำแบบหวังผลกันจริงจัง ก็ต้องรีบตัดสินใจทำซะก่อนงานรื่นเริงเถลิงศกใหม่ ซึ่งจะเป็นวาระที่โรคมีโอกาสจะกระจายไประเบิดเถิดเทิงจากการชุมนุมรื่นเริงเถลิงศกใหม่กันเป็นกลุ่มๆเล็กบ้างใหญ่บ้างทั่วประเทศ </p><p><b> มีข้อมูลอะไรประกอบการตัดสินใจครั้งนี้บ้าง</b></p><p> ก่อนจะไปพูดกันถึงว่าตัดสินใจแบบไหนผิดแบบไหนถูก ลองมามองข้อมูลประกอบการตัดสินใจกันหน่อยนะ เพราะหลายแง่หลายมุมได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว</p><p><i> <b>1. อัตราตายของโรคได้เปลี่ยนไป</b> </i>ความเปลี่ยนแปลงนี้มีในสองมิติ คือ </p><p><i> 1.1 อัตราตายแปรผันตามประเทศ</i><b> </b>เมื่อโรคเริ่มระบาดที่จีน มีอัตราตาย 4.95%, อิตาลี 3.51%, อังกฤษ 3.12%, สหรัฐอเมริกา 1.74%, อินเดีย 1.44% พม่า 2.1%, มาเลย์เซีย 0.4%, สิงค์โปร์ 0.04%, ไทย 0.97% </p><p> ความแตกต่างของอัตราตายที่ต่างกันได้เป็นร้อยเท่าตัวนี้เป็นข้อมูลที่จริงแท้แน่นอน เพราะหากไม่นับประเทศไทยทึ่มีผู้ป่วยเรือนพัน ประเทศอื่นๆที่ผมยกตัวเลขมาล้วนมีผู้ป่วยเรือนเหยียบแสนหรือเรือนล้านทั้งสิ้น ดังนั้นข้อมูลนี้ถูกต้องจริงแท้แน่นอน และโปรดสังเกตว่าไทยอยู่ในกลุ่มเดียวกับสิงค์โปร์มาเลย์เซียซึ่งมีอัตราตายต่ำมาก </p><p><i> 1.2 อัตราตายลดลงเมื่อเวลาผ่านไป </i>เพื่อประหยัดเวลาอ่านของท่าน ผมขอยกข้อมูลเฉพาะของไทยนะ </p><p> สามเดือนแรกคือนับตั้งแต่เริ่มมีโรคระบาดมาจนถึงปลายเดือนเมษาซึ่งเรามีผู้ป่วย 2,954 คน ตาย 54 คน อัตราตาย 1.82% </p><p> สามเดือนถัดมา (พค.-กค.) เรามีผู้ป่วย 356 คน ตาย 4 คน อัตราตาย 1.12%</p><p> สามเดือนถัดมา (สค.- ตค.) เรามีผู้ป่วย 470 คน ตาย 1 คน อัตราตาย 0.21%</p><p> สองเดือนสุดท้าย (พย.-28 ธค.) เรามีผู้ป่วย 2,367 คน ตาย 1 คน อัตราตาย 0.04% (หลังจากเขียนบทความนี้หนึ่งวันก็มีคนไข้หัวใจตายจากฮาร์ทแอ็ทแท็คและตรวจพบมีเชื้อโควิด19 ที่ระยองอีก 1 คน หากนับรวมรายนี้ด้วยอัตราตายก็จะเป็น 0.08%</p><p><i style="font-weight: bold;"> </i>โปรดสังเกตว่านอกจากอัตราตายจะลดลงต่อเนื่องแล้ว ในสองเดือนสุดท้ายซึ่งเรามีผู้ป่วยสองพันกว่าคน มีอัตราตายเพียง 0.08% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราตายรวมของสิงค์โปร์ และต่ำกว่าอัตราตายที่หวู่ฮั่นซึ่งอยู่ในใจเราตลอดมาถึง 50 เท่า และเมื่อเทียบกับอัตราตายของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้ประมาณไว้ว่าไข้หวัดใหญ่มีอัตราตายราว 0.13% (ป่วย 9-45 ล้านคนต่อปี ตาย 12000 - 61000 คนต่อปี) นั่นหมายความว่ามาถึงวันนี้โควิด 19 ในประเทศไทย สิงค์โปร์ มาเลย์เซีย มีอัตราตายต่ำลงมาจนใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ (influenza) ทำให้การจะใช้มาตรการแรงๆกับการควบคุมโรคไม่ค่อยมีน้ำหนักมากนัก</p><p><b><i> 2. ประเทศคู่ค้าสำคัญน่าจะเปิดประเทศในปี 2564 นี้ </i></b></p><p> ประเทศหลักๆที่ค้าขายกับเรา โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา มีคนติดเชื้อไปแล้ว 18 ล้านคน ติดเชื้อใหม่วันละสองแสน ด้วยอัตราเร่งขนาดนี้ภายในปลายปี 2564 ประเทศแบบนี้ถึงแม้ไม่มีวัคซีนก็จะจบเกมด้วย herd immunity (แปลว่าภูมิคุ้มกันจากการที่สมาชิกของฝูงจำนวนหนึ่งที่เคยติดเชื้อมีภูมิแล้วช่วยบังไม่ให้โรคมาถึงตัวคนที่ยังไม่มีภูมิ ทำให้การระบาดของโรคสงบลงเอง) แต่วันนี้อย.สหรัฐฯได้อนุมัติวัคซีนออกมาฉีดแล้วสองยี่ห้อ การที่วัคซีนมาเร็ว ยิ่งจะทำให้ประเทศแบบนี้จบเกมและเปิดประเทศได้เร็วก่อนสิ้นปีหน้า ดังนั้นในด้านการทำมาค้าขาย เราก็ต้องเล็งให้ดีว่าตอนนั้นเขาเปิดไปมาค้าขายกันได้แล้ว เรายังปิดเพราะกลัวติดโรคอยู่หรือเปล่า</p><p><b><i> 3. ความล้าหรือดื้อด้านพฤติกรรมใหม่ (behavioral fatigue)</i></b> อันนี้มันเป็นความเห็นของพวกหมออังกฤษซึ่งผมก็หาหลักฐานวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนไม่ได้แต่เมื่อติดตามข่าวโควิด19 ตลอดมาแล้วผมก็อนุมาณจากข่าวว่าความล้านี้น่าจะมีอยู่จริงกระมัง คือคำว่า behavioral fatigue นี้พวกหมอทางอังกฤษจะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าคนเราหากบังคับให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำซ้ำซาก (เช่นสวมผ้าปิดจมูก) อยู่เป็นเวลานาน จะเกิดอาการล้า หรือหน่าย แล้วพาลไม่ทำ หมายความว่าหากรัฐบาลเอามาตรการควบคุมโรคเข้มงวดออกมาใช้เป็นเวลานานเกินไปหรือใช้ซ้ำซากเกินไป ประชาชนจะเกิดล้าและดื้อด้านไม่ร่วมมือ งัดมาตรการอะไรออกมาบังคับใช้ก็ไลฟ์บอยเพราะไม่มีใครทำตาม จะจับเข้าคุกก็ไม่มีคุกจะขังเพราะคนล้าหรือดื้อด้านมีเยอะเกิน </p><p><b> แล้วจะเอายังไงกันดี</b></p><p> การตัดสินใจเป็นเรื่องของลุงตู่ครับ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมก็ได้แต่ให้ข้อมูลเชิงวิชาการแก่ท่านผู้อ่าน ถามความเห็นของหมอสันต์ว่าหากไม่คำนึงถึงเรื่องเศรษฐกิจ เอาแต่มุมมองด้านการแพทย์ล้วนๆ หมอสันต์มีความเห็นว่าควรทำอย่างไร ตอบว่า ควรเลิกนโยบายกดโรค (suppression) เสีย เลิกพูดถึงล็อคดาวน์ไทยแลนด์ไปเลย เก็บนโยบายนั้นลงหีบล็อคกุญแจได้เลย ควรเดินหน้าไปกับนโยบายชลอโรค (mitigation) คือสวมหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ social distancing อย่างที่เคยทำมา พอวัคซีนมาก็ฉีดวัคซีน พอชาวบ้านเขาเปิดผ้า เอ๊ย..เปิดประเทศ เราก็เปิด นี่เป็นความเห็นของหมอสันต์คนเดียวนะครับผม ควรมิควรก็สุดแล้วแต่คุณลุงท่านจะพิจารณา หิ..หิ</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p><p>...............................................</p><p><b>จดหมายจากท่านผู้อ่าน</b></p><p>29 ธค. 63<br /></p><p>เรียน อาจารย์สันต์ที่นับถือ</p><p> ผมติดตามอ่านและได้ประโยชน์จากบทความของอาจารย์มานาน</p><p> แต่ในบทความล่าสุด ที่ว่าอัตราตายของโควิดในประเทศไทยต่ำลง ผมไม่เห็นด้วยกับการนำมาอ้างอิงว่าความรุนแรงของโรคเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดา</p><p> เนื่องจากกลุ่มใหญ่ของโควิดในไทยช่วง สค-พย 63 เป็นกลุ่มประชากรที่สามารถเดินทางผ่านเครื่องบินได้ ซึ่งอายุน่าจะน้อย แข็งแรง ได้รับการคัดกรองโควิดมาแล้ว ซึ่งไทยมาตรวจเจอภายหลัง กลุ่มนี้จึงมีอาการไม่มาก ทำให้อาจรู้สึกว่าความรุนแรงของโควิดลดลง</p><p> แต่ถ้าให้มีการแพร่กระจายในชุมชนทั่วไป อัตราการตายน่าจะสูงขึ้น พิจารณาเฉพาะจังหวัดระยอง ปัจจุบันติดเชื้อ 92 ราย ตาย 1 แม้ขณะนี้ยังการติดเชื้อยังไม่ค่อยไปถึงผู้สูงอายุ</p><p> จึงขออนุญาตท้วง เพื่ออาจารย์พิจารณา</p><p>...............................................</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-22378739695448523672020-12-24T22:23:00.006+07:002020-12-25T09:56:10.925+07:00ส่งท้ายปีเก่า 2563 การเผชิญหน้ากับอีโก้ที่ด่านสุดท้าย<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA3Sq7g80jYVESF_XA3X7MNYQv2irSXk5xe_EbRvAl2IVHcH01WzcwkxGWr6V0fcL53JKzoEE6AkRvWYxxxZ2fP0sI55bImkdEhTvbItyqaVjCtmtgV12CrjxYthiI8KAg3cBXXZZaxZQ/s2048/IMG-5139.JPG" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="1536" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA3Sq7g80jYVESF_XA3X7MNYQv2irSXk5xe_EbRvAl2IVHcH01WzcwkxGWr6V0fcL53JKzoEE6AkRvWYxxxZ2fP0sI55bImkdEhTvbItyqaVjCtmtgV12CrjxYthiI8KAg3cBXXZZaxZQ/s320/IMG-5139.JPG" /></a></div><br /> จะผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว ก่อนอื่นขอขอบคุณแฟนๆที่ติดตามอ่านบทความของหมอสันต์มาด้วยดี (โดยปราศจากความรุนแรง หิ หิ) ผมเขียนบล็อกมาราวสิบสองปีแล้ว เขียนไป 1,794 บทความ มีคนเข้ามาอ่านแล้วประมาณ 30 ล้านครั้ง<div> <div> เท่าที่เขียนมามีปัญหาสามอย่างคือ (1) การเขียนในบล็อกสป็อตซึ่งเป็นของกูเกิ้ลแล้วเอาไปแปะในเพจซึ่งเป็นของเฟซบุ้คมันไม่ค่อยลื่นไหล เพราะสองเจ้านี้เหมือนไม่ถูกกัน ทางเฟซบุ้คชอบตั้งแง่ว่าภาพที่ผมเอามาจากบล็อกสป็อตเป็นภาพลิขสิทธิ์ลงให้ไม่ได้ ทั้งๆที่ภาพนั้นเป็นภาพที่ผมถ่ายเอง (2) ท่านผู้อ่านบ่นมาหลายครั้งว่าอยากค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากหลายๆบทความที่ผมเขียนแต่ทำได้ยาก เพราะมันไม่มีระบบแยกแยะ ได้แต่หาผ่านกูเกิ้ลซึ่งก็หาไม่ค่อยพบ (3) ความที่ผมเปิดอ้าซ่าว่าใครใคร่เอาบทความไปใช้ก็เอาไปได้ จึงมีคนเอาบทความไปใช้มาก เอาไปทำการค้าก็มีซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ที่น่าปวดหัวก็คือเอาบทความไปตัดเหลือเพียงบางส่วนแล้วแจ้งที่มาว่าหมอสันต์เขียนว่าอย่างนี้ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องในเชิงหลักฐานวิชาการผิดไปได้แยะ</div><div><p></p><p> เพื่อแก้ปัญหาทั้งสามอย่างนี้ ผมจึงวานให้น้องที่รู้เรื่องไอทีทำเว็บไซท์ใหม่ขึ้นมาชื่อ <a href="http://drsant.com">drsant.com</a> เพื่อเอาบทความทั้งหมดไปเก็บไว้ที่นั่น แล้วให้เขาใช้หลักวิชาจัดการสาระ (content management) ทำให้มันสะดวกแก่ท่านผู้อ่านในการค้นหาเรื่องที่เขาอยากค้น ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ผมจะโพสต์บทความบน drsant.com ซึ่งมันจะแชร์ไปให้เพจ (Facebook page) ชื่อ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ โดยอัตโนมัติ การทำอย่างนี้จะทำให้ผมทำงานน้อยลงและท่านผู้อ่านเองก็จะค้นหาผ่านกูเกิ้ลได้ง่ายขึ้น โดยที่ท่านที่ติดตามอ่านทางเฟซบุ้คก็ยังติดตามได้เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างก็คือการอนุญาตให้เอาบทความไปใช้แบบเปิดอ้าซ่านั้นจะขอเลิกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ต่อไปผู้ประสงค์จะเอาบทความไปใช้กรุณาติดต่อ drsant.com ผ่านน้องผู้ดูแลที่เบอร์อีเมล <a href="mailto:contactdrsant@gmail.com" style="background-color: white; color: #1155cc; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: small;" target="_blank">contactdrsant@gmail.com</a> และเฉพาะสำหรับท่านที่ติดตามอ่านตรงทางบล็อกสป็อทต่อแต่นี้ไปจะเหลือแต่บทความเก่า โดยบทความนี้จะเป็นบทความสุดท้าย บทความใหม่และบทความเก่าทั้งหมดจะไปโผล่ที่ drsant.com แทนนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป </p><p> ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า 2563 นี้ ขอเล่าเรื่องๆหนึ่ง ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ผมทำแค้มป์ทบทวนการพลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDR-3) ในแค้มป์ตอนเช้าตรู่มีการทำกิจกรรมประจำวันด้วยกันซึ่งมีการฝึกนั่งสมาธิวางความคิดด้วย จบแล้วมีสมาชิกหนุ่มๆท่านหนึ่งวิ่งตามมาถามว่า</p><p><i> "อาจารย์ครับ เมื่อวางความคิดอยู่กับความรู้ตัวได้..แล้วไงต่อครับ"</i></p><p> บรรยากาศในวันนั้นไม่เอื้อให้คุยกันได้นานๆ ผมจึงตอบสั้นๆไปแค่ว่า</p><p><i> "แล้วไงต่อ.. เป็นความคิดนะ มันคือความสงสัย มันเป็นรูปแบบที่สำนึกว่าเป็นบุคคลใช้ดึงคุณให้จำกัดตัวเองไว้ภายในกรอบของคอนเซ็พท์ที่คุณสร้างขึ้นจากประสบการณ์เก่าๆของคุณ ส่วนความรู้ตัวเป็นสิ่งที่อยู่พ้นกรอบนั้นออกไป การจะรู้จักความรู้ตัวให้ลึกซึ้งขึ้น คุณต้องวางความสงสัยลงไปให้ได้ก่อน"</i></p><p> ตอบไปสั้นๆแค่นั้น เดาเอาว่าคนฟังคงไม่เก็ท มาวันนี้พอจะมีเวลาขยายความ ผมจึงขอพูดถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมในโอกาสส่งท้ายปีเก่าอันเปรียบเสมือนการเดินทางมาถึงฝั่งน้ำที่จะข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ</p><p> คนเรา เมื่อเดินทางแสวงหาในชีวิตมาใกล้จะถึงจุดที่จะหลุดพ้นเข้าจริงๆ จะเกิดการข่มขู่ คุกคาม หรือดิ้นรน หรือสะบัด อย่างแรงจากอีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราเอง เพราะอีโก้มันไม่อยากถูกยุบเลิกหน่วยงานหรือถูกสลายตัวไปง่ายๆ มันจึงจะดิ้นแรงมาก จนทำให้ผู้แสวงหาแทบทุกคนหวั่นไหวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต </p><p> <i> "ใจคอจะทิ้งกันไปแบบลุ่นๆงี้เลยหรือ </i></p><p><i> อุตส่าห์ปลูกรักฟูมฟักให้ความเป็นบุคคลคนนี้</i></p><p><i> เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้</i></p><p><i> จะทุบกันทิ้งเสียดื้อๆเลยหรือ </i></p><p><i> จะทำลายกันจนไม่ให้เหลืออะไรเลยหรือ" </i></p><p> ความหวั่นไหวนี้ทำให้เกือบทุกคนที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาจนถึงจุดนี้ มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงฝั่งน้ำข้างนี้แล้ว แค่ข้ามน้ำไปฝั่งโน้นได้ก็พ้นแล้ว แต่กลับยอมหันหลังกลับไปโดยดุษฎีเพราะถูกอีโก้บีบให้หวั่นไหว หรือบางคนที่อายตัวเองว่าเป็นคนไม่เอาจริงก็ใช้วิธีเปลี่ยนวิธีการเดินจากที่เคยเดินตรงอย่างแหลมคมไปเป็นเดินอ้อมๆ เลียบๆ เคียงๆ ข้างๆ คูๆ ด้วยการเลี้ยงความสงสัยและตั้งคำถามให้ตัวเองคอยตอบเรื่อยไป หรือด้วยการเสาะหาอาจารย์เพิ่ม อ่านหนังสือเพิ่ม ดูวิดิโอเพิ่ม ตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็คือการกลับไปอยู่ในโลกของความคิดเดิมๆอีกครั้ง เพื่อจะได้หลบเลี่ยงการแตกหักกับอีโก้ในโอกาสที่ต้องเผชิญหน้ากันตรงด่านสุดท้ายนี้</p><p> ไฮไลท์ที่ผมจะพูดถึงในโอกาสส่งท้ายปีเก่านี้ก็คือการจะฝ่าด่านตรงนี้ให้ใช้กลยุทธ์สองอย่าง คือ </p><p> (1) ต้องเดินหน้าแบบมอบกายถวายชีวิต คือพูดง่ายๆว่าถึงจุดนี้ต้องอาศัย"ศรัทธา" ศรัทธาไม่ใช่ "ความเชื่อ" นะ ความเชื่อเป็นความคิด เป็นเขตอิทธิพลของอีโก้ แต่ศรัทธาเป็นการยอมรับเดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่ต้องคิดอะไร เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออีโก้ ดังนั้นให้ยอมหมด เปิดอ้าซ่ารับได้หมด เดินหน้าไปแบบคนไม่รู้อะไรเลย ไม่มีวาระอะไรล่วงหน้า ไม่มีข้อบ่งชี้ ไม่มีข้อบ่งห้าม ไม่มีความคาดหวัง มีแต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่เข้ามา เป็นการเดินเข้าหาความตื่นเต้นมหัศจรรย์ ผมแนะนำอย่างนี้จากประสบการณ์ของผมเอง ตัวผมเองมีความก้าวหน้าเพราะกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าตาย อะไรจะเกิดก็เปิดรับให้มันเกิด จะแตกให้มันแตก จะตายให้มันตาย เพราะเราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างไรหากเราหงออยู่แต่ในกรอบคอนเซ็พท์ที่กุขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีตของเราเองเท่านั้น เราต้องกล้าวิ่งออกไปกลางทุ่งของความไม่รู้อะไรเลย ยอมรับว่าในที่อย่างนั้นเราเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรเลย เราจึงจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งในทุ่งของความไม่รู้อะไรเลยนี้ อีโก้มันกลัวนักกลัวหนา และมันจะลากเราให้ถอยกลับออกมาอยู่เรื่อย แต่หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้อย่าไปเชื่ออีโก้ เพราะโอกาสที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเก่าไปค้นพบสิ่งใหม่กำลังอยู่แค่เอื้อม </p><p> (2) ต้องตีกรอบเวลาในใจให้แคบลง จากเดิมที่ในใจมีมิติของเวลา มีปีเก่า มีปีใหม่ บีบลงมาให้เหลือเป็นมีแค่เดี๋ยวนี้ ทีละวินาที ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เพราะอดีตทำให้ความเศร้าเสียใจมีที่ซุกซ่อนอาศัย อนาคตทำให้ความกลัวและความอยากได้อยากดีมีที่ซุกซ่อนอาศัย เมื่อเหลือแค่เดี๋ยวนี้แล้วการรับรู้และยอมรับทุกอย่างตามที่มันเป็นจะง่ายขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันสั้นแค่วินาทีเดียว สิ่งที่ซีเรียสในเดี๋ยวนี้มีอย่างเดียวคือมีใครมาบีบคอให้เราหายใจไม่ออกหรือเอาปืนมาจ่อหัวเราอยู่หรือเปล่า อย่างอื่นล้วนไม่ซีเรียส ถ้าไม่มีใครกำลังบีบคอเราให้หายใจไม่ออกอยู่ เราก็ยอมรับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ให้รับรู้ทุกอย่างที่เดี๋ยวนี้ตามที่มันเป็น หมายความว่ารับรู้เป็นภาพ เสียง สัมผัส โดยไม่ต้องมีภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนทำตัวเป็นกล้องถ่ายรูปแบบสะแน็ปช็อต กดถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เข้าที่เดี๋ยวนี้ แชะ แชะ โดยไม่มีคำบรรยายภาพ ไม่มีการตั้งชื่อ ไม่มีการนิยาม หรือพิพากษา หรือตีความ หรือพาดพิงเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตนใดๆทั้งสิ้น เพราะผลประโยชน์ส่วนตนก็คือโครงสร้างของอีโก้นั่นเอง ให้รับรู้แบบมาแบบไหนรับรู้แบบนั้น รวมทั้งการเข้ามาของความคิดซึ่งชงขึ้นมาโดยอีโก้ด้วย รับรู้แล้วเลือกวิธีสนองตอบอันเป็นการสร้างแต่ละประสบการณ์ใหม่อย่างมีความใส่ใจ สนอกสนใจจริงจังไปทีละประสบการณ์ ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่ใช่ปล่อยให้การสนองตอบเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติจากวงจรย้ำคิดย้ำทำที่ปลูกฝังมาแต่อดีต เพราะแบบนั้นจะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา คือเป็นการไปให้อำนาจกับอีโก้ลากเราถอยกลับไปที่เดิม </p><p> ทั้งสองกลยุทธ์นี้คือของฝากส่งท้ายปีเก่า 2563 จากหมอสันต์ ขอให้แฟนบล็อกทุกท่านมีความสุขกับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ขอแจ้งข่าวด้วยว่า <a href="https://visitdrsant.blogspot.com/2020/11/2564.html">โปรแกรมฟังเปียโน</a>ของหมอสันต์ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ (เวลเนสวีแคร์) วันเสาร์นี้ (26 ธค. 63) ก็ยังเดินหน้าไม่เลิกนะ เพราะลุงตู่ไม่ได้สั่งให้เลิกผมก็จึงไม่เลิก ใครที่ขี้ป๊อดจะไปไหนช่วงคริสตมาสปีใหม่ก็กลัวโควิด19 ให้ไปฟังเปียโนกับหมอสันต์ได้ ไม่มีความเสี่ยง เพราะไม่มีการแออัดยัดเยียด และครัวของหมอสันต์เป็นครัวมังสวิรัติ ไม่ต้องไปซื้อกุ้งที่มหาชัย หิ หิ </p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p></div></div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-41857394414502441932020-12-21T22:17:00.007+07:002020-12-21T22:32:56.171+07:00จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม <p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaO4AGY6JybkCB0VIbhskzV6-edLPvvCZ6dmIDMsWTlRT2_Cdydyj5LbwCIORRuANcsSD7kb2oFRA9jPwfn4hstl9iEzTMKqp-7k0ciBu-VSUP2tnIwzQ64FJGdb4gQCCBRwjakR-eGew/s2016/IMG_0595.JPG" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1512" data-original-width="2016" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaO4AGY6JybkCB0VIbhskzV6-edLPvvCZ6dmIDMsWTlRT2_Cdydyj5LbwCIORRuANcsSD7kb2oFRA9jPwfn4hstl9iEzTMKqp-7k0ciBu-VSUP2tnIwzQ64FJGdb4gQCCBRwjakR-eGew/s320/IMG_0595.JPG" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>บรูเช็ตต้า ทำจากมันเทศม่วง แหมะบนขนมปังงา <br />(ขออำไพขนมปังมีรอยหนูแทะ)</i></td></tr></tbody></table><br /> จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม <p></p><p>...................................................</p><p>ตอบครับ</p><p> ถามว่าจะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม หมอสันต์ตอบว่า..ได้สิครับ ตำรวจไม่จับหรอก</p><p> อ้าว ทำไมตอบอย่างนั้นละ ก็ในยุโรปและอเมริกาเขาห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารไม่ใช่หรือ เพราะ อย.สหรัฐ (FDA) มีกฎให้ติดฉลากน้ำมันมัสตาร์ดว่าใช้ทาภายนอกเท่านั้น แปลว่าห้ามกิน แต่นี่หมอสันต์จะให้กิน..ได้ไง</p><p> ฮี่ ฮี่ เรื่องมันยาวนะ คือมาจะกล่าวบทไป นานจนจำไม่ได้มาแล้ว ได้มีผู้นำกรดอีรูซิค (erucic acid) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่งที่ประกอบเป็น 40% ของน้ำมันมัสตาร์ด เอาไปทดลองกรอกปากหนูทุกวันๆ แล้วก็พบว่าหนูเจ้ากรรมเหล่านั้นมีไตรกลีเซอไรด์สูงและมีไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อหัวใจ จึงสรุปว่าน้ำมันมัสตาร์ดเป็นอันตรายต่อหัวใจ ดังนั้นห้ามคนกิน..จบข่าว</p><p><i> "แล้วทำไมหมอสันต์ยืนยันว่าใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารได้"</i></p><p> เพราะหนูก็คือหนู คนก็คือคน ไม่เกี่ยวกัน งานวิจัยเอากรดอีรูซิคกรอกปากหนูแล้วมีไขมันแทรกในหัวใจหนู จะมาเหมาว่าหากให้คนกินกรดอีรูซิคก็จะเกิดไขมันแทรกในหัวใจคน การสรุปอย่างนี้มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นตะแบงศาสตร์ มีความผิดพลาดที่เกิดจากการสรุปแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วนในประวัติของวงการแพทย์ การเอาขัณฑสกรกรอกปากหนูแล้วสรุปว่าขัณฑสกรเป็นสารก่อมะเร็งนั่นก็เป็นความผิดพลาดตัวอย่างหนึ่ง </p><p> ในกรณีของน้ำมันมัสตาร์ดนี้ ต่อมาก็มีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าร่างกายของหนูต่างจากร่างกายคนตรงที่ร่างกายหนูไม่สามารถเปลี่ยนกรดอีรูซิคเป็นอีรูซิลโคเอ (erucyl-CoA) ทำให้เอ็นไซม์ย่อยไตรกลีเซอไรด์ของหนูทำงานได้ไม่ดีจนทำให้ไขมันสะสมในหัวใจหนูได้ ซึ่งปัญหาแบบนี้ไม่มีในคน และที่สำคัญก็คือไม่เคยมีหลักฐานระดับแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบในคนแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่าน้ำมันมัสตาร์ดทำให้เกิดโรคใดๆในคนรวมทั้งโรคไขมันแทรกกล้ามเนื้อหัวใจก็ไม่มี อีกอย่างหนึ่งหากมองดูหลักฐานเชิงระบาดวิทยา คนบางชาติพันธ์เช่นอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เขาเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารกินกันทุกวันโครมๆไม่เห็นว่าเขาจะมีไขมันเข้าไปแทรกในหัวใจกันมากกว่าคนชาติอื่นเลย แต่คำสั่งห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารที่อย.สหรัฐฯออกไปแล้วนั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครไปเปลี่ยน เพราะอะไรอย่าให้ผมเซดเลย เพราะเซดแล้วมันปวดเฮด</p><p> คราวนี้ลองมามองเจาะลึกคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของน้ำมันมัสตาร์ดแบบถอยกลับมาตั้งต้นที่สนามหลวงก่อนนะ ในภาพใหญ่ น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพควรมีคุณสมบัติต่อไปนี้คือ</p><p> 1. มีไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด เพราะเป็นไขมันก่อโรค</p><p> 2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว เพราะเป็นไขมันไม่ก่อโรค</p><p> 3. ถ้าจะใช้ผัดทอดอาหาร ต้องมีจุดไหม้สูง</p><p> 4. (ข้อนี้ยังมีความเห็นแย้งกันอยู่บ้าง) ในบรรดาไขมันไม่อิ่มตัวที่มี ควรมีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ต่างกันไม่มาก </p><p> ซึ่งหากพิจารณาทั้งสี่มุมนี้ น้ำมันมัสตาร์ดดีเลิศประเสริฐศรีครบถ้วนทั้งสี่มุม กล่าวคือ</p><p> 1. มีไขมันอิ่มตัวน้อย (8%) </p><p> 2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก คือมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 70% ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 22% </p><p> 3. มีจุดไหม้สูง (250 องศาเซลเซียส สูงกว่าน้ำมันมะพร้าว (177 องศา) สูงกว่าน้ำมันหมู (188 องศา)</p><p> 4. มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูง กล่าวคือสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 1.2 : 1 จัดเป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก เทียบกับน้ำมันมะกอกซึ่งมีสัดส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 20:1 เรียกว่าน้ำมันมัสตาร์ดมีโอเมก้า 3 สูงกว่ามากหลายเท่า</p><p> กล่าวโดยสรุป คุณอยากเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือแทนน้ำมันคาโนล่าหรือแทนน้ำมันเรพซีดก็เชิญเลยครับ เพราะมันมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันทำอาหารที่ดีเกือบจะเหมือนกัน (ถ้าคุณทนกลิ่นของมันได้ ฮี่..ฮี่)</p><p> <i> ปล. ย้ำคำแนะนำของหมอสันต์อีกครั้ง ว่าในการทำอาหาร ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารเลยดีที่สุด ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ในปริมาณน้อย ให้น้ำมันโดนความร้อนต่ำๆ ให้โดนความร้อนเป็นเวลาสั้นๆ และให้ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เพราะมันเป็นน้ำมันไม่ก่อโรค มีความเสถียรและทนความร้อนได้ดีพอควร</i></p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p>บรรณานุกรม</p><p>1. Mishra S, Manchanda SC. Cooking oils for heart health. J. Preventive Cardiology 2012; 1 (3): 123-133.</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-50708951332174767182020-12-20T23:19:00.002+07:002020-12-20T23:25:00.218+07:00คำถามจากชาวมังสวิรัติ เรื่องการทำอาหารไทยเพื่อสุขภาพ<p><b><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyytFE2dB3fWt7fI5iGKuyFTUDdq6mX8opjEe9tSRP4ecFbjUqlpxGUSYeuS09XV8-6jNuoWIhVY8NsqSSokj_FpHqae3VToWT_v-ZFYHbTl6N11mb9C1Oq-PVAEVKWHQo_XWfx8hM64k/s2048/IMG-5237.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyytFE2dB3fWt7fI5iGKuyFTUDdq6mX8opjEe9tSRP4ecFbjUqlpxGUSYeuS09XV8-6jNuoWIhVY8NsqSSokj_FpHqae3VToWT_v-ZFYHbTl6N11mb9C1Oq-PVAEVKWHQo_XWfx8hM64k/s320/IMG-5237.JPG" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>แอบถ่ายหน้าต่างครัวหมอสมวงศ์</i></td></tr></tbody></table><br />คำถาม 1.</b></p><p> น้ำมันมะพร้าวเทียบกับน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวยังดีกว่าใช่หรือไม่ </p><p><b>ตอบ</b></p><p> อะไรดีกว่าอะไรต้องขึ้นอยู่ก้บว่าเราพูดถึงประเด็นไหนของน้ำมัน เพราะเมื่อพูดถึงน้ำมันในฐานะอาหาร เราพูดถึงในสี่ประเด็น คือ (1) การให้แคลอรี่หรือการทำให้อ้วน (2) การทนความร้อน (3) การก่อโรคหลอดเลือด (4) การกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือด</p><p><i> ในประเด็นที่ 1. คือการทำให้อ้วน</i> น้ำมันปาลม์และน้ำมันมะพร้าวให้ 9 แคลอรีต่อกรัมเท่ากัน จึงทำให้อ้วนได้เท่ากัน สรุปว่าประเด็นนี้ น้ำมันมะพร้าวแย่พอๆกับน้ำมันปาลม์</p><p><i> ในประเด็นที่ 2. คือการทนความร้อน</i> น้ำมันปาล์มมีจุดไหม้ (smoke point) 165 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำมันมะพร้าว (หีบเย็น) มีจุดไหม้ 177 องศาเซลเซียส ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย การทนความร้อนได้ดีกว่าหมายถึงเกิดการไหม้ซึ่งจะก่อโมเลกุลที่เป็นอนุมูลอิสระที่ไม่ดีต่อร่างกายได้น้อยกว่า สรุปว่าประเด็นนี้น้ำมันมะพร้าวดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย</p><p><i> ในประเด็นที่ 3. คือการก่อโรคหลอดเลือด</i> ทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวถูกวงการแพทย์ "เหมาเข่ง" เป็นไขมันอิ่มตัวซึ่งถือว่าเป็นไขมันก่อโรคหลอดเลือด แต่ว่าหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างไขมันอิ่มตัวกับการเป็นโรคนั้นทำวิจัยกับอาหารไขมันจากวัว (เนยและนม) เสียเป็นส่วนใหญ่ นับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะชี้ชัดได้ว่าน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวก่อโรคได้เท่าเนยและนมหรือไม่ และระหว่างน้ำมันปาล์มกับน้ำมันมะพร้าวอย่างไหนก่อโรคมากกว่ากัน ไม่มีหลักฐานวิจัยใดๆที่จะตอบคำถามนี้ได้เลยครับ สรุปว่าประเด็นนี้ไม่รู้คำตอบ</p><p><i> ในประเด็นที่ 4. คือการกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว</i> ผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือดซึ่งเป็นผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือดนั้น มีแต่งานวิจัยเปรียบเทียบเนย (จากวัว) น้ำมันปาลม์ และน้ำมันถั่วเหลือง ว่าทำให้หลอดเลือดหดตัวเหมือนกันหมด แต่ไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันปาล์มว่าทำให้หลอดเลือดของคนตัวหดมากต่างกันหรือไม่ สรุปว่าประเด็นนี้ยังไม่รู้คำตอบ</p><p><b>คำถาม 2. </b></p><p> อาจารย์แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกทำอาหาร แต่ว่ามันมีราคาแพงเกินไป จะไหวหรือ</p><p><b>ตอบ</b></p><p> ผมแนะนำว่า </p><p> <i>"ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารดีที่สุด ใช้น้ำผัดแทน หรือใช้ลมร้อนทอดแทน หากจำเป็นต้องใช้น้ำมันก็ให้ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุด และให้ใช้ที่ความร้อนต่ำที่สุด และให้น้ำมันถูกความร้อนเป็นระยะเวลาสั้นที่สุด โดยน้ำมันที่แนะนำให้ใช้คือน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันเรพซีด น้ำมันแคโนลา ด้วยเหตุผลว่าเป็นน้ำมันที่ไม่ก่อโรค และทนความร้อนได้พอสมควร" </i></p><p><i> </i> ย้ำ..ผมแนะนำว่าไม่ควรใช้น้ำมันทำอาหารนะ ไม่ใช้เลยก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว ถูกหรือแพงจึงไม่ใช่ประเด็น</p><p><b>คำถาม 3. </b></p><p> น้ำมันยังจำเป็นต้องใช้อยู่ไม่ใช่หรือ เพราะจะได้นำวิตามินบางอย่างที่ละลายในน้ำมัน(เอ ดี อี เค)เข้าสู่ร่างกายได้ อย่างสลัด ก็ต้องมีน้ำมันเป็นน้ำสลัด</p><p><b>ตอบ</b></p><p> การทำสลัดให้มีไขมันอยู่ในนั้นทำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันราด ก็คือใส่อาหารไขมันสูงตามธรรมชาติเช่น ถั่วต่างๆ งา นัท อะโวกาโด ปนเข้าไปในสลัด อยากได้ไขมันแยะก็ใส่ถั่ว งา นัท อะโวกาโด ในสลัดแยะๆ ก็จะมีไขมันเหลือเฟือที่จะพาวิตามิน เอ. ดี. อี. เค. ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย </p><p> นอกจากนี้ร่างกายยังมีกลไกการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันอีกกลไกหนึ่งนะ คืออาศัยน้ำดี เพราะในมื้ออาหารน้ำดีจะออกมาปนกับอาหารที่ลำไส้ส่วนต้น แล้วกลับเข้ากระแสเลือดที่ลำไส้ส่วนปลาย โดยพาวิตามินที่ละลายในไขมันเข้าสู่กระแสเลือดด้วย </p><p><b>คำถาม 4. </b></p><p> ไม่ใช้น้ำมันทำให้อาหารแห้ง ไม่น่ากิน ไม่อร่อย</p><p><b>ตอบ</b></p><p> อาหารที่ครัวปราณาก็ไม่ใช้น้ำมันเลยนะ แต่ก็ไม่ถึงกับแห้งแล้ง และก็มีคนชมว่าอร่อย การทำอาหารให้ฉ่ำก็เหมือนการหุงข้าวให้นุ่ม ต้องอาศัยน้ำ และจังหวะเวลาที่พอดี อุณหภูมิที่พอดีให้อาหารสุกขณะที่ยังดูดีโดยไม่ทันแห้งเกินไป และการกะเวลาเสิร์ฟให้พอดีปรุงเสร็จใหม่ๆขณะที่อาหารยังสดและนุ่มอยู่ </p><p><b>คำถาม 5. </b></p><p> กะทิกล่อง มีฟอร์มาลดีไฮด์หรือไม่ กะทิกล่องเติมไขมันทรานส์หรือไม่</p><p><b>ตอบ</b></p><p> ก่อนตอบขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมกะทิกล่องนะครับ ข้อมูลทุกอย่างผมเอามาจากฉลากและงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เราอยากรู้ว่าอาหารสำเร็จรูปใส่อะไรลงไปบ้างก็อ่านฉลากเอาได้เลยครับ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะมีฉลากไว้ทำไม แล้วฉลากไม่มีโกหก เพราะมีกฎหมายและมีอย.ควบคุม </p><p> ประเด็นแรก กะทิกล่องไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์แน่นอน เพราะมันไม่ใช่ของที่อย.อนุญาตให้ใส่เข้าไปในอาหาร ความจริงสิ่งที่คนมักจะระแวงกับอาหารสำเร็จรูปก็คือสารในกลุ่มที่เรียกว่า preservatives หรือสารกันบูดซึ่งคนมักไม่ชอบ แต่กระบวนการทำกระทิกล่องเป็นการทำแบบลดปริมาณแบคทีเรียด้วยการเพิ่มลดอุณหภูมิแล้วบรรจุในกล่องเตตราแพ็คแบบเดียวกับทำนมสดพร้อมดื่มยูเอ็ชที. จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้สารกันบูด เพราะสารกันบูดก็คือสารฆ่าแบคทีเรียนั่นแหละ</p><p> ประเด็นที่สอง การใส่ไขมันทรานส์เข้าไปในกะทิกล่องก็ไม่มีครับ เพราะไขมันทรานส์เป็นสิ่งที่อย.ห้ามใส่เข้าไปในอาหาร ยกเว้นไขมันทรานส์ที่ปรากฎในอาหารอยู่แล้วตามธรรมชาติของอาหารชนิดนั้นซึ่งมีเป็นปริมาณต่ำมาก ไม่มีผลต่อสุขภาพ และเป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไป </p><p><b>คำถาม 6. </b></p><p> การหาอะไรมาทดแทนน้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าวน้ำตาลโตนดใช้แทนได้ไหม? ใช้มากๆจะต่างกับน้ำตาลทรายไหม? ใช้ผลไม้ท้องถิ่นแทนอินทผาลัมได้ไหม?</p><p><b>ตอบ</b></p><p> ประเด็นที่ 1. อะไรจะแทนน้ำตาลทรายได้โดยหวานใกล้เคียงกันแต่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือผลไม้ทั้งผล ทุกชนิด ขอให้มีรสหวาน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นอินทผลัม เพราะผลไม้ทุกชนิดทำให้ได้คุณค่าอื่นๆเช่นวิตามินเกลือแร่และกากด้วย ส่วนตัวเลือกอื่นๆเช่นน้ำตาลโตนดและน้ำตาลมะพร้าวนั้นมีปริมาณกากไวตามินและแร่ธาตุที่ค่อนข้างต่ำ ย่อมจะไม่ดีเท่าผลไม้</p><p> ประเด็นที่ 2. ซึ่งท่านไม่ได้ถาม คือทำอย่างไรจะทำให้ลูกค้าของเราเลิกติดรสหวาน เพราะอย่าลืมว่าอาหารก็เป็นยาเสพย์ติดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสหวานและรสมัน การเปลี่ยนแปลงอาหารเพื่อสุขภาพจะไม่สำเร็จหากไม่ยอม "ลงแดง" จากการเลิกเสพย์ของที่เคยติด การลงแดงนี้เกิดในเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็หาย หลังจากนั้นการยอมรับอาหารดีๆใหม่ๆ จะง่ายมาก ตรงนี้เป็นการบ้านที่สำคัญกว่าการหาอะไรมาแทนน้ำตาล</p><p><b>คำถาม 7. </b></p><p> น้ำผักปั่นที่ใส่แต่ผักกับที่ใส่ผลไม้ด้วย มีความแตกต่างกันหรือไม่ </p><p><b>ตอบ</b></p><p> เป้าหมายของการปั่นก็คือการเปลี่ยนอาหารที่ต้องการรับประทานให้มาอยู่ในรูปที่รับประทานได้ง่ายหรือสะดวกขึ้น ดังนั้นอยากรับประทานอะไรก็เอาสิ่งนั้นมาปั่น ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือจะพูดแบบแม่ครัวก็ได้ว่ามีอะไรเหลือๆอยู่ในครัวก็เอามาปั่น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนกว่านั้น</p><p> ที่ครัวปราณามีอาหารปั่นสามแบบ คือ </p><p> (1) น้ำผลไม้ปั่นไม่ทิ้งกาก เป้าหมายคือเอามาแทนเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์</p><p> (2) เครื่องดื่ม trace element ซึ่งได้จากการปั่นผักกินได้หลายสิบชนิดแบบไม่ทิ้งกาก อย่างละนิดอย่างละหน่อย เป้าหมายเพื่อให้ได้แร่ธาตุรอง (trace element) ที่ไม่เคยได้จากอาหารประจำวัน </p><p> (3) อาหารกลืนง่ายสำหรับคนป่วย เป็นการปั่นอาหารทุกชนิดรวมทั้งอาหารปกติเช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดกระเพราะราดข้าว ให้อยู่ในสภาพของเหลว แล้วผสมแป้งช่วยกลืน เป้าหมายเพื่อให้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่สำลักอาหารง่าย เช่นผู้ป่วยหลังการฉายแสงหรือเคมีบำบัด หรือหลังเป็นอัมพาต เป็นต้น</p><p><b>คำถาม 8.</b></p><p> มีความกังวลเรื่องของการขาดโปรตีน กินถั่วน้อยมีโอกาสขาดโปรตีนไหม เคยมีคนแก่ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าขาดโปรตีนอย่างรุนแรง </p><p><b>ตอบ</b></p><p> การกินอาหารพืชธรรมชาติที่หลากหลายและได้รับแคลอรีพอเพียงจะไม่มีการขาดโปรตีน อันนี้เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด ประเด็นสำคัญคือต้องได้แคลอรีเพียงพอก่อนนะ โปรตีนถึงจะไม่ขาด หากได้แคลอรีไม่เพียงพอ โปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายจะถูกเอามาเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงาน กรณีเช่นนั้นจะเป็นโรคที่เรียกว่า protein - calorie malnutrition บางทีก็เรียกว่าโรค marasmus อาจจะแปลเป็นภาษาบ้านๆว่าโรคขาดอาหาร แต่บางทีหมอก็เรียกเอาง่ายๆว่าโรคขาดโปรตีน ซึ่งเป็นคำเรียกที่สั้นไปหน่อย เพราะรากของปัญหาของโรคนี้คือการขาดแคลอรีก่อน พูดง่ายๆว่ากินน้อยเกินไป โรคนี้มักเป็นกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฟันไม่ดี หรือมีภาวะซึมเศร้า หรือมีเหตุให้เสาะหาอาหารมากินเองได้ยาก หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่ร่างกายมีการเผาผลาญแคลอรีสูง</p><p> ส่วนโรคที่ขาดโปรตีนแบบของจริงคือขาดโปรตีนทั้งๆที่ร่างกายได้รับแคลอรีเพียงพอนั้นเรียกว่าโรค kwashiorkor เป็นโรคที่มีสาเหตุจากการได้กินแคลอรีมากพอแต่กินโปรตีนไม่พอ มักเป็นกับเด็กที่หย่านมแม่เร็วเกินไปแล้วได้กินแต่อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างเดียวซ้ำซากไม่หลากหลาย เช่นกินแต่ข้าวโพดบดซ้ำซากๆทุกวัน และตัวเด็กก็ยังไม่โตพอที่จะไปหาอาหารที่หลากหลายตามธรรมชาติกินเองได้ ทำให้ร่างกายขาดโปรตีน มีอาการบวมตามตัวและไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อตับ โรคนี้ยังมีอยู่ในประเทศที่ยากจนข้นแค้นหรือทำสงครามกลางเมืองกันไม่รู้จักเลิกเช่นในอัฟริกา ในเมืองไทยเดี๋ยวนี้โรคนี้ไม่มีแล้ว ผมรับประกัน ใครพบเห็นโรคนี้ที่จังหวัดไหนของเมืองไทยช่วยบอกผมเอาบุญด้วยผมจะพาสื่อมวลชนไปทำข่าวเพราะเป็นข่าวใหญ่</p><p> ถามว่ากินอาหารแบบมังสวิรัติแล้วกินถั่วกินงาน้อยจะขาดโปรตีนได้ไหม ตอบว่าหลักฐานคนตัวเป็นๆยังไม่มีให้เห็น แต่ว่าก็อาจเป็นไปได้นะครับ เพราะเป็นการกินอาหารแบบกินแต่พืชแต่ว่ากินพืชไม่หลากหลายย่อมจะขาดโปรตีนได้ การเป็นมังสวิรัตหากจะไม่ให้ขาดโปรตีนต้องกินอาหารพืชที่หลากหลาย คือกินทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว งา นัท กินให้หมดไม่มีเว้น และประเด็นสำคัญคือต้องกินให้อิ่ม อิ่มหมายความว่าได้แคลอรีพอ ถ้าได้แคลอรีไม่พอร่างกายก็จะไปเอาโปรตีนมาทำเป็นแคลอรี กล้ามเนื้อก็จะหดหายและร่างกายจะผอมลงๆ ย้ำว่าปัญหาแบบนี้ให้แก้ด้วยการกินให้อิ่ม กินให้ได้แคลอรีเพียงพอ และกินพืชให้หลากหลาย </p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-35719576521466595542020-12-19T21:17:00.001+07:002020-12-19T21:30:30.212+07:00นิทานแขก เรื่องการเสาะหาความสุข<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSrBWsM7tzi9o8HvOaKdnhVDvXAdqPB5KxafGB71zkMJ00XpPsvE0IitVkGRqsaYXHowc-_GMyT4wP7DmzP2yQjFJc0_aTcg7R0sO-2_OBEdj5FAQS-vPqZB0VcczThvs-5iQouX4-0yw/s1600/%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1066" data-original-width="1600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSrBWsM7tzi9o8HvOaKdnhVDvXAdqPB5KxafGB71zkMJ00XpPsvE0IitVkGRqsaYXHowc-_GMyT4wP7DmzP2yQjFJc0_aTcg7R0sO-2_OBEdj5FAQS-vPqZB0VcczThvs-5iQouX4-0yw/s320/%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599.jpg" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>บึงเล็กท้ายสวนของเวลเนสวีแคร์..ที่รอการพัฒนา</i></td></tr></tbody></table> ตั้งแต่คบเพื่อนแขก หมายถึงเพื่อนชาวอินเดีย เดี๋ยวนี้หมอสันต์นิยมแขกมากขึ้น เช่น หลักโภชนาการบอกว่าต้องสร้างความหลากหลายให้อาหาร ตัวบอกความหลากหลายคือสี รสชาติ และฤดูกาล หมอสันต์ก็เสาะหาเครื่องเทศรสชาติใหม่ๆมาใส่อาหารให้หลากหลายขึ้น ทั้งรสฝรั่ง รสแม็กซิกัน รสเกาหลี แต่ท้ายที่สุดก็มาติดใจที่รสแขก ทำให้ลูกค้าเวลเนสวีแคร์พลอยต้องมีเมนูอาหารรสแขกๆไปด้วย <div><br /></div><div> หรือเช่นสมัยก่อนหมอสันต์ฟังพังเพยไทยที่ว่า<p></p><p><i> "เจองู กับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน"</i></p><p> ฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่เดี๋ยวนี้หมอสันต์ฟังความสองข้าง จึงเดาว่าคนคิดคำพังเพยนี้คงจะเป็นลูกหนี้เงินกู้รายวันของนายทุนแขกแน่นอน และเดาเอาว่าฝ่ายนายทุนเงินกู้แขกคงต้องให้การโต้แย้ง </p><p><i> "อีนี่..คนไทยนะนาย </i></p><p><i>ปล่อยกู้ฉิบบาทไปฉิบเอ็ดบาทมา </i></p><p><i>ร้อยบาทไป ร้อยฉิบบาทมา </i></p><p><i>พันบาทไป พันหนึ่งร้อยบาทมา </i></p><p><i>หมื่นบาทไป หมื่นบาท หายแช้บ..บ"</i></p><p> (ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)</p><p> และหมอสันต์เห็นด้วยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศและจบด๊อกเตอร์มาจากอินเดีย ซึ่งพูดให้ฟังถึงความจริงอีกด้านหนึ่งว่า</p><p><i> "พระพุทธเจ้าที่เราไหว้ประลกๆอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแขกนะ"</i></p><p> สรุปว่าเดี๋ยวนี้หมอสันต์โปรแขก แม้แต่นิทานเดี๋ยวนี้ก็ชอบนิทานแขก รวมทั้งเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าให้ฟังในวันนี้ด้วย เรื่องนี้เล่าไว้ในหนังสือเวดะ เรื่องมีอยู่ว่าโยคีแก่ตนหนึ่งสอนลูกศิษย์สามเณรสิบรูป วันหนึ่งเมื่อเห็นว่าสามเณรจบภาคทฤษฎีบทที่ 1 แล้วก็เรียกทั้งหมดมาสั่งว่า</p><p> <i> "พวกเจ้าจะต้องเริ่มออกธุดงค์แสวงบุญ โดยให้มุ่งไปที่วัดเก่าแก่ที่ทางภาคเหนือให้ทันงานเฉลิมฉลองใหญ่ประจำปี ตัวข้าแก่แล้วไปกับพวกเจ้าไม่ได้เพราะมันต้องเดินหลายวัน พวกเจ้าต้องไปกันเอง" </i></p><p> เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องออกธุดงค์ สามเณรทั้งสิบพากันออกเดินทางโดยเกาะกลุ่มกันแจเพราะกลัวหลง รอนแรมขึ้นเขาลงห้วยผ่านชนบทหมู่บ้านจนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่งซึ่งลึก กว้าง และเชี่ยว ต้องว่ายน้ำข้ามไปกัน พอข้ามไปถึงอีกฝั่งเณรรูปหนึ่งก็ขอนับยอดให้แน่ใจว่ามากันได้ครบ แต่ก็นับได้แค่เก้ารูป เพราะลืมนับตัวเอง รูปอื่นข้องใจก็ออกมานับบ้าง ก็นับได้เก้ารูปอีก จึงพากันสติแตกว่าเพื่อนหาย ช่วยกันกระจายค้นหาทั้งสองฝั่งน้ำและเลาะลำน้ำไปทางปลายน้ำเผื่อพบศพเพื่อนจมน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าหาให้ตายก็ไม่พบ เพราะสามเณรรูปที่ขาดไปนั้นคือตัวเขาเอง เขาไปค้นหาตัวเองที่ข้างนอก เขาจะหาพบได้อย่างไร เพราะมันเป็นการไปค้นหาผิดที่</p><p> ฉันใด ก็ฉันเพล ผู้คนที่ล้วนมุ่งหน้าไปเสาะหาความสุขที่ข้างนอกจะไปเจอความสุขได้อย่างไร เพราะมันเป็นการไปค้นหาผิดที่ ความสุขนั้นมันอยู่ที่ข้างใน ความสุขมันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของความรู้ตัว ซึ่งมีธรรมชาติสงบเย็บเบิกบานของมันอยู่แล้ว แต่มันถูกคลุมไปด้วยความคิดสาระพัดสาระเพอย่างหนาจนเจ้าตัวมองเข้าไปข้างในแล้วไม่เห็นอะไรนอกจากจะเห็นแต่ความคิด แต่ถ้าค่อยๆแกะความคิดออกทิ้งไปทีละชั้นๆในที่สุดก็จะเห็นความรู้ตัวยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้นเอง มันอยู่ที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ถูกความคิดบังไม่ให้เห็นมัน</p><p> ถ้าการค้นหาอะไรที่ข้างนอกมันสนุกสนานเหมือนกับการเล่นซ่อนหาก็ดีอยู่หรอก ชีวิตนี้แม้จะหาอะไรไม่เจอแต่ก็ยังมีความสนุกสนานกับชีวิตมันก็คุ้มอยู่ แต่ชีวิตจริงมันไม่สนุก ดั่งเหมือนสามเณรทั้งสิบที่กำลังค้นหาเพื่อนอย่างมีความทุกข์อย่างยิ่งนั่นไง เพราะพวกเขากำลังคิดกังวลว่าเพื่อนสามเณรรูปหนึ่งจมน้ำตายไป จะค้นหาอย่างมีความสุขได้อย่างไร</p><p> เมื่อสามเณรทั้งสิบค้นหาเพื่อนไปหลายชั่วโมงแล้วไม่พบก็มาตั้งวงสรุปว่าเพื่อนคงจมน้ำตายไปเสียแล้วและนั่งร้องไห้กันอยู่ มีตาแก่คนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นและสอบถามเรื่องราวแล้วก็เข้าใจในทันทีว่าพวกสามเณรนับเลขผิดเพราะลืมนับตัวเอง จึงชี้ให้เห็นว่ามีสามเณรครบสิบรูปแล้ว ก็นั่งล้อมวงกันอยู่นี่ไงแล้วชี้ไปทีละรูปนับหนึ่งถึงสิบให้ดู พวกสามเณรก็นับกันเองอีก ก็ไม่ครบอีก เลยพาลโกรธตาแก่ว่ามาล้อเล่นผิดกาละเทศะ </p><p> ฉันใดก็ฉันเพล ท่านสาธุชนทั้งหลาย คนเราซึ่งกำลังมุ่งไปค้นหาความสุขผิดที่ แม้จะมีคนมาบอกความจริงให้ว่าความสุขมันอยู่ที่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอกก็ยังไม่เห็นอยู่ดี ก็ยังไปค้นหาผิดที่อยู่นั่นแหละ แสดงว่าการบอกอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นจึงจะทำให้คนเราเห็นสิ่งที่ถูกความคิดปิดบังไว้ได้</p><p> <i> "พูดชุ่ย อีตาลุง พวกฉันนับกี่ครั้งก็มีแค่เก้า"</i></p><p> ลุงแก่คนนั้นจึงเรียกสามเณรรูปหนึ่งออกมาอยู่นอกกลุ่ม แล้วให้นับใหม่ ก็นับได้เก้า แล้วลุงแก่ก็ชี้ไปที่ตัวสามเณรผู้นับว่าเณรรูปที่สิบก็คือตัวเจ้านี่ไง</p><p><i> "คนที่หายไปคือตัวเจ้า แต่เจ้าไปหาที่ข้างนอก การค้นหาของเจ้าจึงไม่สำเร็จสักที"</i></p><p> เหล่าสามเณรได้ยินก็ตรัสรู้ขึ้นมาทันทีว่า อ้อ.. (หิ หิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)</p><p> นิทานแขกเรื่องนี้นอกจากจะสอนเรื่องวิธีค้นหาความสุขว่ามันต้องหาที่ข้างในแล้ว ยังสอนให้รู้ว่าการที่คนเราจะเก็ทอะไรนั้นการบอกอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องมีวิธีแสดงให้เห็นแบบให้เขาค้นพบความจริงนั้นด้วยตัวเองไปทีละขั้น ทีละขั้นด้วย หมายความว่าวิชาชีวิตนี้คำบอกเล่าไม่สำคัญเท่าวิธีสอนแสดงให้ไปค้นพบด้วยตัวเอง หนังสือ คัมภีร์ วิดิโอ ยูทูป เป็นเพียงคำบอกเล่า บอกให้ตายหากไม่มีวิธีสอนแสดงให้ค้นพบความจริงด้วยตัวเองไปทีละขั้น ผู้คนก็ไม่เก็ท</p><p> การบอกว่าตัวคุณที่แท้จริงซึ่งคือความรู้ตัวนี้ เป็นคนละอันกับความคิด ความรู้ตัวเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต และความรู้ตัวจะไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยความคิดที่ถูกสังเกต พูดไปให้ตายคุณก็ไม่เก็ท เปรียบเหมือนถ้าผมถือลูกแก้วใสแนบกับเสี้อสีแดงที่ผมใส่อยู่ คุณมองอย่างไรก็เห็นลูกแก้วนั้นเป็นสีแดง มิใยที่ผมจะบอกเล่าอย่างไรว่าลูกแก้วมันเป็นสีใสนะ แต่คุณก็ไม่เก็ท เพราะคุณเห็นลูกแก้วเป็นสีแดงอยู่ทนโท่ ตราบจนผมชูลูกแก้วขั้นเหนือศรีษะให้พ้นผ้าสีแดงนั้น เมื่อคุณเห็นลูกแก้วนั้นกลับเป็นสีใส คุณจึงจะเก็ท</p><p> ฉันใดก็ฉันเพล ถึงใครจะพร่ำบอกว่าความรู้ตัวเป็นคนละอันกับความคิดและจะไม่แปดเปื้อนด้วยความคิด คุณก็ไม่เก็ท แต่หากคุณฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองจนอย่างน้อยคุณนั่งสมาธิได้นิ่งแป๊บหนึ่งพอวางความคิดลงได้หมดแม้จะชั่ววินาทีเดียวก็ตาม คุณก็จะมีประสบการณ์ด้วยตนเองว่าความรู้ตัวยามที่ไม่มีความคิดห่อหุ้มอยู่นั้นมันไม่ได้แปดเปื้อนหรือมีสีหรือกลิ่นอายของความคิดติดอยู่เลย และมันมีแคแรคเตอร์ที่สงบเย็นเบิกบานของมันเอง คุณจึงจะเก็ทด้วยตัวของคุณเอง</p><p> หมดประเด็นที่นิทานตั้งใจจะชี้แล้ว</p><p> เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่แฟนบล็อกหมอสันต์ผู้อ่านนิทานนี้ทุกๆท่านเทอญ</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p></div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-10864592103951758992020-12-18T13:06:00.003+07:002020-12-18T13:22:41.958+07:00ผู้พลิกผันโรคด้วยตนเอง<p><i></i></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><i><br /></i></div><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgN-R2b3Nkq4F90OBFGFeoTIKwaFJdXAZwz6r-YRXTfuRbVDHn1mhyphenhyphenwgIL7ZMMDYYsvPDlTW8IJt4I8u63akJdXqx2O7uA08oAnWVvnyCmuPXwqKhLLb7kK59FiN7fRxtavKYFbqD685EQ/s2016/IMG_0563.JPG" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1512" data-original-width="2016" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgN-R2b3Nkq4F90OBFGFeoTIKwaFJdXAZwz6r-YRXTfuRbVDHn1mhyphenhyphenwgIL7ZMMDYYsvPDlTW8IJt4I8u63akJdXqx2O7uA08oAnWVvnyCmuPXwqKhLLb7kK59FiN7fRxtavKYFbqD685EQ/s320/IMG_0563.JPG" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>ช่วงนี้อากาศที่มวกเหล็กเย็นสบายดีมาก</i></td></tr></tbody></table><i><br /> มีบันทึกเผยแพร่ประสบการณ์จริงจากสมาชิกของแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเองท่านหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่าจะมีประโยชน์มากกับแฟนๆบล็อกที่เป็นโรคหัวใจระดับเป็นมากแล้ว จึงเอามาบอกเล่าต่อ ที่ผมชอบมากคือแม้จะอายุเจ็ดสิบแล้วแต่ก็ยังสร้างอิสรภาพให้ตัวเองในเรื่องอาหาร ทำอาหารทานเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ขอขอบพระคุณเจ้าตัวที่กรุณาให้เผยแพร่เรื่องของตัวเองเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ</i><p></p><p>.........................................</p><p> "..ผม สมชาย โพธิวิชยานนท์ ครับ เคยทำงานเป็นผู้จัดการโครงการพิเศษในเครือบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ตอนนี้ อายุ 70 ปี อาการป่วยของผมเริ่มจากอาการเหนื่อยขึ้นมาฉับพลัน บวม ท้องผูก โดยที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วคือ เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง โรคไตเรื้อรัง และเคยมีเลือดออกที่จอประสาทตา ครั้งนี้แพทย์ตรวจด้วยการฉีดสีพบเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้นและมีหัวใจล้มเหลว แพทย์นัดทำผ่าตัดบายพาส โดยให้รอคิว ระหว่างรอคิวทำผ่าตัดผมเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นทางอินเตอร์เนทจนมาพบการปรับเปลี่ยนชีวิตจากการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย จากคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์</p><p> ขั้นตอนการปรับเปลี่ยนที่ทำไปคืออาหารรับประทานใช้น้ำปรุงอาหารแทนน้ำมัน รับประทานอาหารเจไขมันต่ำ เน้นถั่วและธัญพืช งดของทอด งดอาหารเนื้อสัตว์ บางครั้งทานอาหารนอกบ้านมีเนื้อสัตว์ 20% ทานผักผลไม้แต่ละวัน 4- 5 เสริฟวิ่ง ทานน้ำผักปั่นทุกวัน</p><p> ช่วงแรกๆจะค่อนข้างลำบากต้องซื้อจากข้างนอกบางครั้งมีน้ำมัน กอร์ปกับตัวเองเกษียณจากงานมาจึงมีเวลาทำให้หันมาทำอาหารทานเองตามเมนูต่างๆที่ตนเองสร้างสรรค์เอง การคิดเมนูอาหารล่วงหน้า ช่วงแรกๆค่อนข้างลำบากเล็กน้อยอุปกรณ์ไม่ครบ แต่ปัจจุบันนี้ค่อนข้างลงตัวในเรื่องอาหาร </p><p> ด้านการออกกำลังกาย พยายามใช้วิธีการเดินช้าระยะเวลาสั้นใกล้ๆ หากเดินเร็วกระทันหันจะรู้สึกเสียดหน้าอกเล็กน้อย จะพยายามเดินช้าลง และผ่อนลมหายใจพร้อมอาศัยการแกว่งแขนไปเรื่อยๆบางวันใช้การขี่จักรยาน 30 นาที</p><p> ด้านการจัดการกับความเครียดใช้วิธีการฟังเพลง สวดมนต์ ใส่บาตร นั่งสมาธิ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงสุนัข</p><p> หลังจากทดลองปฏิบัติตัวอยู่ระยะหนึ่งระหว่างรอเข้าแคมป์พลิกผันโรคด้วยตนเองรุ่นที่ 15 และมาเข้าแคมป์กลับไปนำไปปฏิบัติมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากความมีวินัยและมุ่งมั่นในเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย การจัดการความเครียดทำให้เกิดผลลัพธ์ต่อร่างกาย คือ</p><p> 1. ผลเลือดอยู่ในระดับดี สามารถปรับลดขนาดยาได้อย่างเห็นได้ชัด</p><p> 2. อาหารที่ทานมีความลงตัว สามารถทำอาหารทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร</p><p> 3. การออกกำลังกายทั้งการทำชี่กง ไทชิ เล่นกล้ามฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเดินวิ่งเหยาะๆรอบหมู่บ้านวันละ 3 กม โดยไม่มีอาการเสียดหน้าอก สามารถสมัครลงวิ่ง 5 กมใช้ระยะเวลา 1 ชมกับ Run for the animals2020 เมื่อวันที่29 พย 63</p><p> 4. จากการรอเข้าคิวทำ บายพาส ปัจจุบันนี้ผมให้คำยืนยันกับแพทย์ว่าไม่ทำผ่าตัดแน่นอน</p><p> 5. ความสงบทางใจที่ดี จากการรักตนเองทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้ม และยินดี สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการรักสุขภาพ role model</p><p> 6. โรคNCD อื่นๆ มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็เสื่อมไปตามอายุ</p><p> นี่คือตัวอย่างของคนที่เข้าคิวรอผ่าตัดบายพาส ใช้เวลาการปรับพฤติกรรมจากเดิมที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆภายในระยะเวลา 1 ปี ไม่มากไปและไม่น้อยไป ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่าโรคมันสามารถหายได้จริงๆ ตรงตามการวิจัยที่คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ท่านแนะนำอยู่บนพื้นฐานงานวิจัยจริงแท้แน่นอน</p><p> สมชาย โพธิวิชยานนท์ (ผู้พลิกผันโรคด้วยตนเอง).."</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-50156806631219444932020-12-15T20:13:00.005+07:002020-12-15T22:33:38.979+07:00เบื่อหน้าที่ อยากจะทิ้งหน้าที่ไปดื้อๆ<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP3gv3RDWoS40Jd-o-MGNGRsduTVc8t8XZjWyBJ5Pvu6-Ka3s12FckKghPnvdnuuS4e_E4zvPJG1NSDIv0Y7xb6pmqi8D3IWzE4HyxSVIvgH_rXBJyW_PyE70xwUXkbQ6enV-YpQAOSzM/s2048/IMG_0431.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP3gv3RDWoS40Jd-o-MGNGRsduTVc8t8XZjWyBJ5Pvu6-Ka3s12FckKghPnvdnuuS4e_E4zvPJG1NSDIv0Y7xb6pmqi8D3IWzE4HyxSVIvgH_rXBJyW_PyE70xwUXkbQ6enV-YpQAOSzM/s320/IMG_0431.jpg" width="320" /></a></div><br />อาจารย์สันต์คะ<p></p><p>อาจารย์บอกว่าชีวิตเป็นเรื่องสมมุติ แล้วในการทำหน้าที่ในละครสมมุตินี้เราควรจะทำอย่างจริงจังประมาณไหนคะ จะทิ้งไปดื้อๆได้ไหม</p><p>........................................................</p><p>ตอบครับ</p><p> ถามอย่านี้แสดงว่ากำลังเบื่อวิถีชีวิตแบบฆราวาส เหมือนกับที่ฝรั่งเรียกว่ากำลังมี midlife crisis คือทำหน้าที่ในชีวิตมาถึงจุดหนึ่งก็เกิดความรู้สีกว่าทำไปทำไมวะ ช่างงี่เง่า ช่างน่าเบื่อ แต่ก็ไม่รู้จะหยุดหรือจะเลิกตรงไหน ได้แต่ทำต่อไปแกนๆแบบว่าเบื่อๆอยากๆ จนตายไปด้วยความเฉาหรือด้วยความแก่ สุดแล้วแต่ว่าอะไรจะมาเป็นสาเหตุการตายก่อนกัน</p><p> การเซ็งหรือเบื่อหน้าที่ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดกับคนยุคนี้ มันมีในใจคนมานานแล้ว ในหนังสือเล่มเก่าแก่ของอินเดียที่ชื่อเวดะ ซึ่งว่ากันว่าเก่าถึง 3,500 ปี หนังสือนี้เป็นหนังสือแบบว่าใครรู้อะไรหรือคิดอะไรได้ก็มาเขียนไว้ หนังสือนี้จึงมีสารพัดเรื่อง มีนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งชื่อมหาสงครามภารตะยุทธ์ ได้เล่าเรื่องแบบคลาสสิกของความเซ็งในหน้าที่ของมนุษย์ไว้ได้เก๋ไก๋มาก เรื่องมีอยู่ว่าพี่น้องสองสกุลคือสกุลปานฑพ และสกุลเการพ ต้องมาทำสงครามหักล้างกัน อรชุนซึ่งเป็นพระเอกของนิทานเรื่องนี้ เป็นแม่ทัพฝ่ายปานฑพ มีคนขับรถม้าชื่อกฤษณะ กฤษณะตัวจริงนั้นเป็นพระเจ้าอวตารลงมา มีศักดิ์เป็นลุงของทั้งสองฝ่ายที่ตั้งท่าจะรบกัน แต่ว่าถือหางข้างหลานปานฑพ ผมแปลเรื่องนี้ตามสำนวนของผมจากต้นฉบับภาษาอังกฤษนะ ผิดถูกอย่าว่า </p><p> ก่อนการประจันบาน อรชุนสั่งให้กฤษณะเดินรถม้าไปในระหว่างทัพอันมหึมาของทั้งสองฝ่ายเพื่อดูหน้าฝ่ายตรงข้ามว่ามีใครบ้าง เมื่อเห็นว่ามีแต่ "เคง-กัน-อน" (คนกันเอง) ทั้งนั้น อรชุนก็เกิดความเซ็งมะก้องด้องขึ้นในใจ จึงพูดกับคนขับสามล้อ..เอ๊ยไม่ใช่ คนขับราชรถว่า</p><p> <i> “...นี่มันอะไรกันลุงกฤษณะ เขาเหล่านั้นก็เป็นพี่น้องของเราทั้งนั้น ใยต้องมาเข่นฆ่ากันให้เป็นบาปกรรมไปภายหน้าด้วยเล่า ข้าเกิดความเซ็งในหัวใจเหลือเกิน ไม่รบไม่เริ้บมันละ กลับไปอยู่บ้านขายเต้าฮวยดีกว่า..”</i></p><p> ว่าแล้วก็ทิ้งคันศรและธนูลงกับพื้นรถ</p><p> กฤษณะเห็นท่าไม่ดีก็ร้องปรามว่า</p><p><i> “...เฮ้ย อะไรกันอรชุน เอ็งจะมาท้อถอยตอนหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ได้อย่างไร คนเราเกิดมาเป็นคนก็ต้องทำหน้าที่ การจะเกิดจะตายนั้นมีใครบ้างเกิดมาแล้วไม่ตาย รบไม่รบท้ายที่สุดก็ตายกันหมดทุกคนแหละ แต่ว่าคนเราตายก็แค่ตัว แต่อาตมันไม่มีวันตาย มันเป็นแก่นแท้อันนิรันดร์ที่เพียงแค่ละร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่ กะอีแค่หนาวร้อนสุขทุกข์ต่อร่างกายและจิตใจนี้มันก็เป็นเพียงสิ่งภายนอกผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ของอาตมันชั่วคราว จะหาแก่นสารความแน่นอนได้ที่ไหน ใยเอ็งไม่หัดทำใจให้นิ่งต่อโลกธรรมเหล่านี้เสียบ้าง จะมามัวหดหู่กับมันอยู่ทำไม</i></p><p><i> อรชุน.. เมื่อรู้ว่าชีวิตมีอาตมันเป็นนิรันดร์เป็นแก่นแท้เช่นนี้แล้ว ควรหรือจะมามัวกังวลกับชีวิต จงทำหน้าที่ของตนให้มั่นอย่าหวั่นไหว เพราะเกิดมาเป็นชายชาติกษัตริย์จะมีเกียรติอะไรเสมอการทำธรรมสงครามอีกเล่า</i></p><p><i> รบเถิดอรชุน อย่าไปห่วงว่าฆ่าคนแล้วจะเป็นบาปเลย เพราะปรัชญาโยคะมีหลักว่าไม่เสียใจกับสิ่งที่เสียไป ไม่ดีใจกับสิ่งที่ได้มา อรชุน จิตที่เป็นอุเบกขาที่ข้ามพ้นสภาวะธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะการลงมือปฏิบัติฝึกฝนจิตให้นิ่งเท่านั้น ไม่ใช่การนั่งรอผลแห่งกรรมในอดีต หรือการไม่ยอมปฏิบัติการใดๆเพราะกลัวกรรมจะตามไปในอนาคต ดังนั้น รบเถิดอรชน ลุยเถอะอรชุน...” </i></p><p> อรชุนได้ฟังดังนั้น แม้ในใจจะคิดว่าที่คนขับสามล้อพูดมานั้นไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย แต่ก็ทำใจว่าเอาเถอะ เอาเถอะ ไม่รบก็ไม่จบ กลับบ้านไม่ได้สักที จึงสั่งเดินหน้าลุยถั่วทำสงครามเสียสิบกว่าวัน ลูกน้องทั้งสองฝ่ายตายกันเป็นเบือเลือดท่วมทุ่ง โดยฝ่ายอรชุนเป็นฝ่ายชนะในที่สุด เอวังของเรื่องภารตะยุทธ์ก็มีเพียงเท่านี้</p><p> มีหลายประเด็นเป็นคำตอบให้คำถามของคุณอยู่ในนิทานภารตะยุทธ์นี่แล้ว ผมจะไฮไลท์ให้นะ </p><p> (1) เรื่องทั้งหลายในชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นหนาวร้อนสุขทุกข์ล้วนเป็นสิ่งภายนอกที่ผ่านมาสู่การรับรู้ของอาตมัน (ความรู้ตัว) แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น </p><p> (2) มีอะไรที่ตรงหน้าซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำตามหน้าที่ตามบทบาทของตัวละครในละครสมมุติก็จงทำไป</p><p> (3) ไม่พึงไปอินหรือจริงจังกับการทำหน้าที่มากเกินไป ตัวตัดสินว่าอินมากเกินไปก็คือในชีวิตนี้เมื่อใดที่เกิดความเสียใจกับอดีตขึ้น หรือเกิดกังวลถึงอนาคตขึ้น นั่นแปลว่าอินมากเกินไปแล้ว </p><p> (4) สิ่งที่คนเราพึงฉวยโอกาสทำเมื่อเกิดมาเป็นคนและกำลังทำหน้าที่อยู่นี้ คือการหมั่นฝึกฝนจิตใจให้นิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมอันเป็นสิ่งสมมุติเหล่านี้ แม้กระทั่งเกียรติในฐานะชายชาติกษัตริย์ที่คนขับสามล้อพูดโปรนักหนาก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่ไม่พึงไปหวั่นไหวกับมัน </p><p> ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่คนขับสามล้อไม่ได้สอนไว้ในนิทานภารตะคือคำถามของคุณที่ว่าก็ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นสิ่งสมมุติ หากเราเอียนเต็มทีแล้ว เราจะทิ้งหน้าที่ไปเสียกลางคันตอนนี้เลยจะได้ไหม ไม่ทำไม่เทิมมันละ ผมจะตอบคำถามนี้ให้นะ ไม่เกี่ยวกับคำสอนในภารตะยุทธ์ เป็นคำตอบของผมเอง ผมตอบว่าคุณทิ้งหน้าที่ไปได้ อยากทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ทิ้งไปได้ ไม่ว่าหน้าที่ของคุณจะสำคัญล้นฟ้าอย่างไรหากคุณอยากทิ้งก็ทิ้งไปได้เลย เพราะมันล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แต่..ให้คุณสังวรไว้นิดเดียว ว่าไม่ว่าจะทำหน้าที่ หรือทิ้งหน้าที่ ก็ล้วนสัมพันธ์กับความหวั่นไหวในโลกธรรมเสมอ ดังนั้นคุณจะเลือกทางไหนดี คุณต้องชั่งน้ำหนักตรงนี้ก่อน ว่าคุณได้ฝึกฝนจิตใจของคุณมาให้นิ่งพอที่จะไม่หวั่นไหวในโลกธรรมอันจะตามหลังมาจากทั้งการทำหน้าที่หรือการทิ้งหน้าที่แล้วหรือยัง ถ้าคุณยังไม่ได้ฝึกฝนจิตใจของคุณมาจนนิ่งพอ ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรแหกคอกตอนนี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวคุณจะยิ่งหวั่นไหวหนักจนประสาทรับประทานได้ ควรที่คุณจะลงมือฝึกฝนจิตใจของตัวเองให้นิ่งจนไม่หวั่นไหวในโลกธรรมใดๆให้ได้ชัวร์ๆก่อน แล้วอยากจะทำหน้าที่ หรืออยากจะทิ้งหน้าที่ คราวนี้เชิญตามสะดวกเลยพะยะค่ะ ไม่ต้องไปห่วงคนอื่นหรอกว่าคุณทิ้งหน้าที่ไปแล้วพวกเขาจะเป็นจะตายกันอย่างไร เพราะมันเป็นแค่เรื่องสมมุติ ห่วงแต่ว่าทิ้งหน้าที่ไปแล้วตัวคุณเองจะเป็นบ้าหรือเปล่าก็พอแล้ว</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-89190452679551604852020-12-14T17:39:00.002+07:002020-12-14T17:41:23.708+07:00หนูเกลียดตัวเอง<div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimsrjPnoo2jgE7niNhQDL9mWWJBmDSW-rt4QwVuB3uZ2iRR8j4hWx8lOf2kQ329Vun_fNOrUoIaUqFkHP8_zNr2G0AGfpH7wUXDsUlwpCfiHcHxvcyfdLmqs1luRLsRRum9_PMdrMMnJw/s2048/IMG_0438.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="1536" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimsrjPnoo2jgE7niNhQDL9mWWJBmDSW-rt4QwVuB3uZ2iRR8j4hWx8lOf2kQ329Vun_fNOrUoIaUqFkHP8_zNr2G0AGfpH7wUXDsUlwpCfiHcHxvcyfdLmqs1luRLsRRum9_PMdrMMnJw/s320/IMG_0438.jpg" /></a></div><br />กราบเรียนคุณหมอสันต์</div><div>หนูมองคุณหมอเป็นญาติผู้ใหญ่เพราะตัวเองไม่มีญาติผู้ใหญ่ มีแต่ผู้ใหญ่ที่คอยซ้ำเติมว่าหนูเกิดมาเป็นเสนียดจัญไรของครอบครัว ชีวิตของหนูแตกแล้วด้วยความเศร้า หมองหม่น ได้แต่ทุรายทุรนแต่ก็หาทางออกไม่ได้ หนูทำอะไรไม่ดีไว้แยะ จนเป็นเหตุให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ถึงกับฆ่าตัวตาย หนูเข้าใจว่าเขาอ่อนแอไม่ใช่ความผิดของหนู บางครั้งหนูก็บอกตัวเองว่าช่วยไม่ได้ เพราะฉันยากจน แต่หนูก็เกลียดตัวเอง ว่าเกิดมาทำไม ทำได้แค่นี้หรือ คือแค่เที่ยวทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ โดยที่ตัวเองก็ไม่เห็นจะสุขเลย </div><div>หนูไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนมาหาคุณหมอทำไม </div><div><br /></div><div>........................................................</div><div><br /></div><div>ตอบครับ</div><div><br /></div><div> เกลียดตัวเองเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้ได้เริ่มมองเห็น <i>"ตัวเอง"</i> แม้ว่าจะเป็นการมองเห็นด้วยความเกลียด ให้คุณมองให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย "ตัวเอง" นั้นมันเป็นความคิดนะ มันเป็นคอนเซ็พท์ที่ก่อร่างขึ้นมาในใจคุณว่านี่คือตัวตนของคุณ ชื่อนี้ มีร่างกายอย่างนี้ มีความร้ายกาจอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เป็นความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวร มีอยู่แต่ในฐานะที่เป็นสมมุติอยู่ในใจคุณชั่วคราว เมื่อคุณเริ่มมองเห็นมันนั้นดีแล้ว เพราะสิ่งที่คุณมองเห็นซึ่งก็คือความคิดนี้เป็นปัญหาของมนุษยชาติ </div><div><br /></div><div> ความจนไม่ใช่ปัญหาของมนุษยชาติ แต่ความคิดคือปัญหาของมนุษยชาติ นักการเมืองที่ดีคิดว่าหากเขาสร้างระบบสังคมที่ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไปได้เสียอย่างเดียว ให้ทุกคนมีเงินใกล้เคียงกัน หรือให้ทุกคนหายยากจนเหมือนๆกัน ทุกคนก็จะมีความสุข หิ หิ ฝันไปซะแล้วท่านขา มนุษย์เราไม่เหมือนแมว หมา กา ไก่ ที่พอท้องอิ่มแล้วปัญหาก็หมดเกลี้ยง สามารถนอนเขลงอาบแดดสบายใจเฉิบ แต่มนุษย์นี้ตอนท้องหิวดูเหมือนชีวิตมีปัญหาเดียว แต่พอท้องอิ่มคราวนี้ชีวิตมีอีกนับสิบปัญหา เพราะความคิดจินตนาการนี้เป็นพรสวรรค์ที่สัตว์อื่นไม่มีแต่มนุษย์มี น่าเสียใจที่การมีของดีที่สัตว์อื่นไม่มีนี้กลับทำให้มนุษย์เราเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์อื่นๆที่ต่ำกว่าเราเสียอีก </div><div><br /></div><div> ความคิดเป็นพื้นฐานการเคลื่อนไหวทุกชนิดของคนเราไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปของการทำ การพูด และการคิดเอง ความคิดเป็นตัวปั้นแต่งสิ่งที่เรามอง ทำให้เราเห็นไปในทางบิดเบือนไปจากเดิม คือเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เราเห็นว่าชีวิตเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากชีวิตอื่น ตัวเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากคนอื่น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละส่วนกัน ครอบครัวของเราแปลกแยกออกมาจากครอบครัวอื่น สถาบันการศึกษาของเราแตกต่างจากสถาบันอื่น ศาสนาของเราแยกออกมาจากศาสนาอื่น ชาติของเรา แยกออกมาจากชาติอื่นๆ ด้วยความคิดพื้นฐานอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆในรูปของการทำการพูดการคิด ก็เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีทิศทางที่จะปกป้องตัวเรา ครอบครัวของเรา สถาบันของเรา ศาสนาของเรา ชาติของเรา แล้วความทุกข์ยากในชีวิตมนุษย์ในรูปแบบต่างๆก็เกิดขึ้นตามมา เพราะในความพยายามจะปกป้องนี้อย่างเบาะก็ทำลายตัวเองในรูปความรู้สึกผิด ความเศร้าเสียใจ และความกลัวอนาคต อย่างใหญ่กว่านั้นคือมันจะทำลายชีวิตอื่นด้วยในรูปของการสร้างปราการ การกักตุน สะสม อิจฉา แย่งชิง กีดกัน กดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง นี่เป็นกลไกการเกิดความทุกข์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ</div><div> </div><div> "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนั้นไม่ใช่คุณนะ มันเป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณ คุณเป็นความรู้ตัว คุณไม่ได้กุความคิดนี้ขึ้นมา มันมาเอง แต่เมื่อมันมาแล้วคุณก็ไม่ต้องไปเบรก ไม่ต้องไปห้าม ไม่ต้องไปไล่ ปล่อยให้มันเข้ามา แต่ ลองมาเล่นเกมแอบดูความคิด แค่ชำเลืองอยู่ รู้ว่ามันมา แอบดู แต่ไม่เข้าไปผสมโรงคิด ไม่ log in เข้าไปในความคิดนั้น ไม่ subscribe เป็นสมาชิกความคิดนั้น ปล่อยให้ความคิดมันพร่างพรูไปของมันเหมือนนั่งดูหนังแบบไม่อินไปกับเรื่องราว แค่ดูว่าเรื่องราวของหนังมันเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ไปเข้าด้วย หรือไม่ไป identify กับมัน ไม่ไปให้ราคามัน แค่สังเกตดู มันก็จะค่อยๆฝ่อไป จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะต้องหัดสังเกตความคิด อย่ามัวแต่พลัดหลงเข้าไปอวยกับความคิดที่โวยวายว่าเกลียดตัวเองอยู่ร่ำไป</div><div><br /></div><div> ความคิดมีที่มาสามระดับนะ คือ </div><div><br /></div><div> (1) มาจากสัญชาติญาณ (instinct) ซึ่งฝังแฝงอยู่ในเซลร่างกายในรูปของฮอร์โมนและดีเอ็นเอ. แล้วโผล่มาในรูปของความอยาก เช่นอยากกิน อยากมีเซ็กซ์ มาทีก็มาแรงซะจนพัดพาเอาคุณไปกับมันได้ง่ายๆถ้าคุณไม่ตั้งหลักสังเกตให้มั่นเหมาะ พอเผลอไปกับมันแบบสุดๆแล้วก็มานั่งเกลียดตัวเองภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า </div><div><br /></div><div> (2) มาจากความคิดอ่านเชาว์ปัญญา (intellect) ซึ่งชงหรือกำกับโดยความจำจากการเรียนรู้ที่ผ่านมาในอดีตที่เป็นการยัดเยียดให้ยอมรับคอนเซ็พท์ของการเปรียบเทียบระหว่างสองสิ่ง ดี-ชั่ว ถูก-ผิด ฉลาด-โง่ รวย-จน ฟังดูเป็นเรื่องสูงส่งกว่าสัญชาติญาณ แต่ก็ทำให้คุณเป็นทุกข์พอๆกัน ในรูปของความรู้สึกผิด เสียใจ เศร้าใจ หวาดกลัว</div><div><br /></div><div> (3) มาจากความเงียบยามที่ปลอดความคิด (intuition) คือไม่รู้มาจากไหน ราวกับดาวน์โหลดมาจากท้องฟ้า คุณไม่ได้เชิญ มันมาเอง มักจะเป็นการมาชี้ให้เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นอย่างไม่อคติ เป็นการเปิดทางเลือกที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อนให้คุณเห็น</div><div><br /></div><div> ทั้งสามแบบนี้ ใหม่ๆที่เริ่มต้นสังเกตความคิด คุณจะยังแยกแยะไม่ได้หรอกว่าอันใหนเป็นแบบไหน แต่หากหมั่นสังเกตความคิดนานไป สังเกตอย่างใจเย็นๆ อย่างตั้งใจมอง คุณจะแยกได้ ถ้าเป็นสองแบบแรกคุณควรแค่สังเกตดูมัน รู้ว่ามันมา แล้วก็ดูมันจนมันไป อย่าเผลอเปิดช่องให้มีความคิดอื่นมาต่อยอดแล้วเผลอไหลไปด้วยกันเหมือนเวลาหนุ่มมอไซค์มาแวะหน้าบ้านแล้วคุณก็เผลอซ้อนท้ายตามเขาไปทุกที แต่หากเป็นความคิดแบบที่สามที่เกิดขึ้นมาในความเงียบขณะคุณไร้ความคิด ให้คุณเรียนรู้จังหวะที่จะเลือกหยิบมันไว้ใช้</div><div><br /></div><div> กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำให้คุณแยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกตดู "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนักเกลียดหนานั่นแหละ การสังเกตนี้มันเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำแต่คุณจำเป็นต้องหัดทำอย่างตั้งใจเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งตอนกำลังเกลียดตัวเองยิ่งต้องรีบหัดสังเกตความคิดเพราะมันยิ่งเห็นชัดดี ทำใหม่ๆจะถูกดูดเข้าไปอยู่ในความคิดคือไปผสมโรงคิดบ่อยมากแล้วก็ทุกข์มาก แต่ก็ต้องหัดไปด้วยความพยายาม ยิ่งความคิดแรงยิ่งหัดสังเกตได้ง่าย ยกตัวอย่างความคิดอยากมีเซ็กส์ มันมาแรงเสียจนร่างกายของคุณเป็นไปด้วยกับมันหมดราวกับว่าไม่มีทางเลือกอื่นเหลือให้คุณเลย แต่ถ้าคุณปักหลักสังเกตดูนิดเดียวก็จะเห็นมันได้โดยง่าย ยิ่งความคิดแรง ยิ่งเป็นครูที่ดี ขอให้เชื่อผมไปพลางก่อนว่าชื่อว่าความคิด ไม่ว่าจะมาแรงแค่ไหน แต่เมื่อปักหลักสังเกตอยู่อย่างใจเย็น ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปแบบหมดฤทธิ์ดื้อๆ ถ้ามันมาอีก ก็สังเกตอีก เอาจนมันห่างไปๆเพราะความเขิน ในที่สุดคุณก็จะได้อยู่กับความรู้ตัวที่ปลอดความคิด ซึ่งเป็นที่ที่สงบเย็นเบิกบานดี และ "ตัวเอง" ที่ขยันโผล่มาให้คุณเกลียดก็จะหายหน้าไป เมื่อคุณรู้ตัวแล้ว ทางเลือกที่หลากหลายในชีวิตจะโผล่มาให้เลือกเอง ดีดีทั้งนั้น ถึงตอนนั้นคุณค่อยๆบรรจงเลือกเอาได้</div><div><br /></div><div> ที่เขียนมานี้ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเก็ทหรือเปล่า คุณเขียนมาสั้นผมประเมินน้ำยาของคุณไม่ถูก ความสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความเข้าใจ แต่อยู่ที่การลงมือทดลองปฏิบัติในสถานะการณ์จริงบ่อยๆซ้ำๆเนืองๆ หากทดลองปฏิบัติแล้วก็ยังไม่เก็ทเลย ก็ให้หาเวลามาเข้า <a href="https://visitdrsant.blogspot.com/2020/05/spiritual-retreat-sr-15-11-14-63.html">Spiritual Retreat</a></div><div><br /></div><div>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-39449648619486734842020-12-13T13:26:00.005+07:002020-12-13T15:08:19.210+07:00จะตรวจหัวใจตนเองด้วยการขึ้นบันไดแทน EST คุณต้องมีบันได 84 ขั้น<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJsmqe0YCjvkBtMMtO8QLTYudZfOu17EPLjmCAADTCnNYBDykJdaVhio3YJPrnZtpEfYKlyPPMcHE3xCOrQWsPJ5DtuSImD5R6wPkPxfI6stBY-o8M1HYsgOiUZjs_-UDwu9xQwGQO4rQ/s2048/IMG_0458.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJsmqe0YCjvkBtMMtO8QLTYudZfOu17EPLjmCAADTCnNYBDykJdaVhio3YJPrnZtpEfYKlyPPMcHE3xCOrQWsPJ5DtuSImD5R6wPkPxfI6stBY-o8M1HYsgOiUZjs_-UDwu9xQwGQO4rQ/s320/IMG_0458.jpg" width="320" /></a></div><br />เรียนคุณหมอสันต์<p></p><p>ผมเป็นผู้บริหารของบริษัท ... ซึ่งต้องไปตรวจสุขภาพด้วยการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลทุกปี เป็นเรื่องที่เสียเวลาและน่าเบื่อมาก ผมอยากเรียนถามคุณหมอว่าเรามีวิธีตรวจหัวใจของเราเองโดยไม่ต้องไปวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลทุกปีได้ไหมครับ</p><p>.............................................</p><p>ตอบครับ</p><p> ถามว่ามีวิธีตรวจสุภาพหัวใจของตนเองที่บ้านแทนการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลไหม ตอบว่ามีครับ ก็การวิ่งด้วยตัวเองที่บ้านนั่นแหละ โดยต้องวิ่งให้ถึงระดับหนักพอควร คือหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้ ติดต่อกันเป็นเวลาสัก 30 นาที หากทำได้โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกก็ถือว่าการทำงานของหลอดเลือดหัวใจใช้การได้ดีอยู่</p><p> ถ้าคุณต้องการผลตรวจด้วยตัวเองที่ละเอียดเทียบเท่าการตรวจด้วยการเดินสายพานในโรงพยาบาล คุณต้องเดินขึ้นบันได 84 ขั้นให้ได้ในเวลาไม่เกินนาทีครึ่ง เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ ผมขออธิบายลึกสักหน่อย คุณค่อยๆทำความเข้าใจไปนะ อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อคุณในแง่ที่จะทำให้คุณอ่านผลตรวจวิ่งสายพานด้วยตัวเองได้</p><p><b> 1. การตรวจวิ่งสายพาน Exercise stress test (EST)</b></p><p> หลักพื้นฐานของการวิ่งสายพาน หรือ exercise stress test (EST) คือให้เดินสายพานโดยติดคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่องไว้และวัดความดันเลือดเป็นระยะๆ โดยค่อยๆเพิ่มความเร็วของสายพานและความชันของสายพานขึ้น เป้าหมายคือการบังคับให้หัวใจทำงานหนักขึ้นๆจนถึงระดับหนักมาก (high intensity) เพื่อดูว่าหัวใจแสดงอาการขาดเลือดหรืออาการล้มเหลวหรือไม่ โดยดูเอาจาก (1) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (2) อาการเจ็บแน่นหน้าอก (3) อาการหอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่ม (4) ความดันเลือดตกวูบลง (5) หัวใจเต้นผิดปกติ</p><p><b> 2. หน่วยนับปริมาณพลังงาน</b> <b>Metabolic Equivalents (METs)</b></p><p> หน่วยนับพลังงานที่ทำได้ขณะวิ่งเรียกว่า MET ย่อมาจาก metabolic equivalents แปลว่าปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้เมื่อนั่งอยู่เฉยๆ ซึ่งเราก็ต้องใช้พลังงานเพื่อการเผาผลาญของเซลอยู่ปริมาณหนึ่งจึงจะทำให้ร่างกายนี้มีชีวิตอยู่ได้ สมมุติว่าการออกกำลังกายใดๆใช้พลังงานมากเป็น 3 เท่าของพลังงานที่ร่างกายใช้ขณะนั่งอยู่เฉยๆ ก็เรียกว่าการออกกำลังกายนั้นใช้พลังงานไป 3 METs เป็นต้น</p><p><b> 3. ระดับความหนักการออกแรง Exercise Intensity</b></p><p> วิชาแพทย์ในสาขาเวชศาสตร์การกีฬาได้เอาหน่วยนับพลังงานเป็น MET นี้มาใช้แบ่งระดับชั้นความหนักของการออกกำลังกาย ระดับความหนักของการออกกำลังกาย โดยแบ่งระดับความหนักของการอออกกำลังกายเป็นสามระดับคือ</p><p> ระดับเบา (low intensity) คือใช้พลังงาน ต่ำกว่า 3 METs ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการหายใจและชีพจรให้เห็น เช่น ไปเดินเล่นศูนย์การค้า ทำงานเล็กๆน้อยๆในบ้านที่ไม่ต้องออกแรงมากเช่นทำครัว กวาดบ้าน เป็นต้น</p><p> ระดับหนักปานกลาง (moderate intensity) คือใช้พลังงาน 3 - 5.9 METs ซึ่งการหายใจและชีพจรจะเร็วขึ้น วัดแบบบ้านๆก็คือยังพูดได้แต่หอบเหนื่อยจนร้องเพลงไม่ได้ เช่น เดินจ้ำอ้าว วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำเบาๆ เป็นต้น</p><p> ระดับหนักมาก (high intensity) คือใช้พลังงาน 6 METs ขึ้นไป ซึ่งจะหายใจเร็วมากและชีพจรเร็วมาก วัดแบบบ้านๆก็คือเหนื่อยจนพูดไม่ได้ เช่น การเล่นกีฬาแบบแข่งขันต่างๆเช่นเทนนิส แบตมินตัน วิ่งแข่ง เป็นต้น</p><p><b> 4. วิธีตรวจของหมอบรู้ซ Bruce Protocol</b></p><p> ในการตรวจ EST นี้ใช้วิธีการแบ่งชั้นของความหนักของหมอบรู้ซ (Bruce Protocol) ซึ่งแบ่งความหนักของการเดินสายพานขั้นละ 3 นาทีเป็น 7 ขั้น (stage) โดยแต่ละขั้นนิยามประเด็นหลักไว้สามประเด็นคือ (1) ปริมาณพลังงาน METs ที่ใช้ (2) เปอร์เซ็นต์ความชันของสายพาน (grade) (3) ความเร็วของสายพาน (speed) ผมให้ดูรายละเอียดแค่ 4 ขั้นแรกซึ่งใช้บ่อยที่สุด ดังนี้</p><p>Stage 1. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 10% ความเร็วสายพาน 2.7 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 3 METs </p><p>Stage 2. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 12% ความเร็วสายพาน 4.0 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 4-5 METs</p><p>Stage 3. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 14% ความเร็วสายพาน 5.5 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 7 METs </p><p>Stage 4. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 16% ความเร็วสายพาน 6.8 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 10 METs </p><p> เนื่องจากผลวิจัยในภาพรวมมีอยู่ว่าใครก็ตามที่สามารถออกแรงได้ถึง 10 METs จะมีอัตราตายเฉลี่ยในหนึ่งปีต่ำกว่า 1% หรืออัตราตายในสิบปีต่ำกว่า 10% ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงตายในระดับใกล้เคียงปกติ ดังนั้นในการตรวจวิ่งสายพานจึงมักจะปักหมุดเอาให้ถึง Stage 4 ซึ่งได้พลังงาน 10 METs เป็นเป้าหมายต่ำสุด ใครที่ทำได้ถึงตรงนี้ก็ถือว่าหัวใจฮ้อแร่ดใช้การได้เท่าคนปกติทั่วไป แต่ก็มีบ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะในการตรวจสุขภาพประจำปีแก่คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ ถ้าหมอหัวใจเห็นว่าผู้ป่วยผอมแห้งแรงน้อยหรือไม่ฟิต ก็อาจจะให้วิ่งแค่ Stage 3 แล้วก็สรุปว่าโอเค.พอละ แล้วรวบรัดเอาดื้อๆว่าปกติ หิ หิ นี่ถือว่าเป็นความปกติแบบผสมการคาดเดา ซึ่งก็กล้อมแกล้มยอมรับกันได้ในชีวิตจริง แต่หากจะเอาปกติตามสถิติของแท้แล้วต้องวิ่งให้ถึง Stage 4 หรือให้ได้ 10 METs </p><p><b> 5. การเทียบการตรวจเดินสายพานกับการขึ้นบันไดบ้าน</b></p><p> ไม่นานมานี้ พวกหมอที่สเปญได้ทำวิจัยกับคนไข้หัวใจ 167 คน ให้แต่ละคนทั้งเดินสายพานด้วย เดินขึ้นบันไดตึกด้วย แล้วเทียบพลังงานที่ใช้ในการเดินสายพานกับการขึ้นบันไดตึก พบว่าการจะเดินขึ้นบันไดตึกให้ได้ 10 METs หรือ stage 4 ต้องเดินขึ้นให้ได้ 4 ชั้นโดยใช้เวลาขึ้นถึงไม่เกินนาทีครึ่ง (90 วินาที) </p><p> ดังนั้นหากคุณจะตรวจวัดหัวใจของตัวเองที่บ้านโดยให้ได้ความแม่นยำใกล้เคียงกับการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาล คุณก็ต้องไปหาที่ที่มีบันไดที่เดินขึ้นลูกเดียวได้อย่างน้อย 84 ขั้น เพราะชั้นหนึ่งมีบันได 21 ขั้น หากคุณเดินขึ้นครบ 84 ขั้นได้ในเวลาไม่เกินนาทีครึ่ง ก็เท่ากับว่าผลตรวจสมรรถนะหัวใจของคุณได้ผลลบ หรือได้ผลปกติ</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p>บรรณานุกรม</p><p>1. European Society of Cardiology. "Test your heart health by climbing stairs." ScienceDaily. ScienceDaily, 11 December 2020. <www.sciencedaily.com/releases/2020/12/201211083104.htm>.</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-51049583378729135332020-12-11T18:49:00.000+07:002020-12-11T18:49:58.205+07:00อยากตายแบบไปนิพพานแต่เข้าฌาณไม่เป็น<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEji0ZV_27bv1Xe5OSDyExwSKSVEcycgnObyCKKL2yy_s1ybjV9Fw-vo2sVOrEKSuMxAEV0XyU-pprFDFM8tQhbTB7GhfJHtrv6zAYNayzs8tfJawTd56xue0s0fUFO84hbXVQ_jEQH180c/s1600/automatron.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1600" data-original-width="1600" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEji0ZV_27bv1Xe5OSDyExwSKSVEcycgnObyCKKL2yy_s1ybjV9Fw-vo2sVOrEKSuMxAEV0XyU-pprFDFM8tQhbTB7GhfJHtrv6zAYNayzs8tfJawTd56xue0s0fUFO84hbXVQ_jEQH180c/w200-h200/automatron.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>ลูกเป็ดออโตมาตรอนรุ่นเก๋า</i></td></tr></tbody></table>เรียนคุณหมอสันต์<div>ผมอยากจะเลิกอยากจะปล่อยวางความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆแต่ก็ทำไมได้ ชีวิตจึงวนเวียนอยู่ในความกังวล พยายามจะหยุดคิดก็ไม่สำเร็จ ควรทำอย่างไรดี ผมเป็นคนกิเลสหนาแต่ตัดกิเลสไม่ขาด อยากจะไปศึกษาเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมตามวัดก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เพราะร่างกายก็อาจจะป่วยเกินจุดที่จะกลับมาใช้การได้อีกแล้ว ถ้าร่างกายอ่อนแอเกินกว่าที่จะกลับมาใช้การได้อีกแล้ว ผมจะทำอย่างไรกับร่างกายดี เมื่อถึงเวลาตายผมอยากจะตายแบบพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่สามารถเข้ารูปฌาณ อรูปฌาณ ได้ ก็คงจะหมดโอกาสที่จะไปนิพพานใช่ไหมครับ ถ้าเข้าฌาณไม่เป็นผมควรจะตายอย่างไรดี</div><div><br /></div><div>........................................................</div><div><br /></div><div>ตอบครับ </div><div><br /> การใช้ชีวิตของมนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกวันนี้เปรียบไปก็เหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ซึ่งนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรียกว่าออโตมาตรอน (automatron) ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดเวลาตามสิ่งเร้าแต่ไม่มีการพัฒนาอะไรในสาระสำคัญเลยตั้งแต่เกิดมา ผมเอารูปของออโตมาตรอนรุ่นเก่ามาให้ดูด้วยว่ามันซิมเปิ้ลขนาดไหน ชีวิตแต่ละขณะถูกกำหนดโดยสิ่งเร้าภายนอกอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามวงจรย้ำคิดย้ำทำโดยไม่มีความรู้ตัว ชีวิตของคนที่เทียบได้กับหุ่นยนต์รุ่นโบราณนี้เหมือนกับอาณาจักรเล็กๆในนิทานหลอกเด็กที่ประชาชนผลัดกันขึ้นมานั่งบัลลังก์เป็นกษัตริย์คนละไม่กี่นาที คนนี้ขึ้นมามีอำนาจมาก็บ้องหูคนเก่าให้ตกบัลลังก์ไปแล้วสั่งการเอาอย่างหนึ่ง คนนั้นขึ้นมามีอำนาจก็บ้องหูคนอยู่เดิมให้ตกบัลลังก์ไปอีกแล้วตัวเองก็สั่งการเอาอีกอย่างหนึ่ง ความคิดที่โผล่ขึ้นมาแสดงตัวเป็น "ฉัน" ในแต่ละวินาทีแบบอัตโนมัติในตัวเรานี้ก็เปลี่ยนหน้ากันไปตามแต่จะถูกสิ่งเร้าแหย่อะไรเข้ามาวันหนึ่งๆไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยความคิด เหมือนกับประชาชนที่ผลัดขึ้นมาเป็นกษัตริย์ในดินแดนของนิทานหลอกเด็กนั่นแหละ <p></p><p> แล้วที่ว่าคนเหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณตัวนี้ตรงที่ไม่มีการพัฒนาเลยนั้นก็เพราะการพัฒนาจริงมันต้องมีสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือด้านความรู้ และด้านความรู้ตัวซึ่งเป็นสารัตถะ (essence) ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ ด้านความรู้ของคนเราอาจจะมีการพัฒนาไม่หยุด แต่ด้านความรู้ตัวนั้นไม่มีการพัฒนาเลย เช่นแม้จะเรียนจบปริญญาโทปริญญาเอก หรือปริญญาเยอะแยะ จากเดิมขับรถไม่เป็นมาขับรถเป็น จากเดิมตีเทนนิสไม่ได้มาตีได้ จากเดิมมีคำนำหน้าว่าคุณมาเป็นคำว่าท่าน แต่ก็ยังเป็นคนที่หมกมุ่นในเซ็กซ์ ขี้ลืม ขี้ใจลอย จินตนาการฟุ้งสร้าน มือถือสาก ปากถือศีล โกรธง่าย และชอบอิจฉาริษยาอยู่เหมีย..น เดิม หุ่นยนต์รุ่นโบราณแบบนี้ความรู้ของเขาอาจเอาไปสร้างอาวุธมหาประลัยได้ แต่การที่ความรู้ตัวไม่ได้พัฒนาเขาจะกลายเป็นหุ่นยนต์อันตรายที่อาจทำให้โลกนี้ฉิบหายได้ ถ้าเกิดมาเป็นได้แค่นี้มันเสียเที่ยวที่เกิดมานะ ไปเป็นขี้ข้าของหุ่นยนต์ AI รุ่นใหม่ๆที่มีคอมพิวเตอร์กำกับเสียยังจะดีกว่า</p><p> เอาเถอะ เอาเถอะ เลิกพล่ามไร้สาระเสียทีสิลุง ตอบคำถามเหอะ <br /><br /></p><p> 1. ถามว่าพยายามที่จะหยุดคิดแต่มันหยุดไม่ได้จะทำอย่างไร ตอบว่าความพยายามจะหยุดคิดเป็นความคิด คุณจะไปหยุดคิดด้วยการพยายามคิดได้อย่างไร เมื่อมีความคิดคุณไม่ต้องไปพยายามหยุดคิด แค่สังเกตดูว่ามีความคิดเกิดขึ้นมา สังเกตดูเฉยๆ แล้วความคิดที่ถูกเฝ้าสังเกตมันจะฝ่อหายไปเอง ถ้ามันไม่ยอมฝ่อหายก็หันหลังให้มันเสีย ดึงความสนใจออกมาจากมัน มาสนใจร่างกายเช่นสนใจลมหายใจแทน ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปเอง</p><p> 2. ถามว่าเป็นคนกิเลสหนา กะโหลกกะลา จะตัดกิเลสขาดได้อย่างไร ตอบว่าไม่มีใครตัดกิเลสขาดได้ดอก เพราะสิ่งที่คุณเรียกว่ากิเลสนั้นก็คือความคิดนั่นเอง ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีใครหยุดความคิดได้ แต่ทุกคนสามารถสังเกตเห็นหรือรู้ทันความคิดได้ เมื่อรู้ทันมัน แล้วมันก็จะฝ่อหายไป เมื่อความคิดฝ่อหายไป ความรู้ตัวซึ่งอยู่ที่นั่นแล้วก็จะฉายแสงออกมาเอง</p><p> 3. ถามว่าไม่มีเวลาศึกษาธรรมะแล้วจะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณไม่ต้องศึกษาธรรมะ ผมพูดแบบนี้บ่อยมาก ไม่ต้องเลย ไม่ต้องตระเวณไปตามสำนักต่างๆด้วย ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องดูวิดิโอ ยิ่งคุณไปบ้าอาจารย์ ไปบ้าตำรา คุณยิ่งจะไม่หลุดพ้นไปไหน มันไม่มีประโยชน์ดอก เหมือนคุณออกธุดงค์แสวงหาความหลุดพ้น แต่ใจคุณยังปักหลักอยู่กับความคิดยึดมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคลเดิมๆนี้ไม่ได้ออกไปธุดงค์ที่ไหนด้วย แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นคุณแค่ลงมือวางความคิดด้วยการถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจหรืออยู่กับความรู้สึกบนร่างกายก่อน ครั้งละสักหนึ่งนาที ทำแค่นี้ให้ได้ก่อน แล้วคุณก็จะพบทางไปต่อของคุณเอง</p><p> 4. ถามว่าถ้าไม่มีเวลาฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว จะให้ทำทางลัดอย่างไรดี ตอบว่า แล้วคุณมีเวลาหายใจหรือเปล่าละ ถ้าคุณมีเวลาหายใจ คุณก็มีเวลาฝึกวางความคิดได้ เพราะการฝึกวางความคิดก็แค่ถอยความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น</p><p> 5. ถามว่าถ้าร่างกายป่วยมากทำอะไรก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรต่อไปดี ตอบว่าก็ถ้าคุณซื้อรถยนต์มาคันหนึ่งหากถึงวันหนึ่งมันเก่ามากซ่อมยังไงก็วิ่งต่อไม่ได้แล้วคุณจะทำยังไงกับมันดี คุณก็ขายทิ้งเป็นเศษเหล็กใช่ไหม ร่างกายก็เช่นเดียวกัน คุณดูแลมันเต็มที่ ใช้มันให้เป็นประโยชน์เต็มที่ให้สมกับที่เกิดมามีร่างกายให้ใช้ แต่เมื่อทำอย่างไรมันก็ใช้การต่อไปไม่ได้แล้ว คุณก็ต้องทิ้งมันไป อย่าลืมว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณนะ คุณคือความรู้ตัว เมื่อคุณทิ้งร่างกายก็คือคุณถอยความสนใจจากร่างกายไปอยู่กับความรู้ตัว ตัดหางปล่อยร่างกายนี้ไปซะ ขอบคุณนะที่รับใช้กันมา ถึงตอนนี้ไปกันต่อไม่ได้แล้ว ต้องจากแล้ว ลากันไปก่อนนะ เมื่อคุณทำอย่างนี้ ถ้าคุณส่งสัญญาณถอยจริงจัง และถ้าร่างกายมันหมดสภาพแล้วจริงๆ พลังชีวิตที่เคยถูกความสนใจของคุณปลุกเร้าให้ขับเคลื่อนร่างกายอยู่ก็จะค่อยๆถอยออกจากร่างกายไปด้วย แล้วคุณก็จะตายไปอย่างสงบ เหมือนงูเห่าที่เวลามันจะตาย มันจะเลื้อยไปนอนบนคาคบไม้ ไม่ออกหาเหยื่อ ไม่กิน ไม่ดื่ม แล้วมันก็ตายไปอย่างสงบ</p><p> 6. ถามว่าอยากตายแบบพระพุทธเจ้า แต่เข้าฌาณไม่เป็น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงนิพพานใช่ไหม ตอบว่า ฮี่..ฮี่ ผมเผอิญไม่รู้คำสอนของศาสนาพุทธลึกซึ้ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธเจ้านิพพานอย่างไร เข้าฌาณไหนก่อน ออกจากฌาณไหนแล้วไปต่อฌาณไหนอย่างไร ผมไม่รู้เลย ตรงนี้ผมตอบคุณไม่ได้เลยจริงๆ เพราะผมไม่รู้ </p><p> แต่ถ้าถามถึงประสบการณ์ของผมเองเท่าที่ผมเคยลองซ้อมตายก่อนนอนหลับมา ผมพอแนะนำคุณได้นะ ว่าเวลาจะตายคุณควรทำอย่างไร คุณลองวิธีง่ายๆของผมก็ได้ วิธีของผมคุณไม่ต้องไปพะวงเรื่องเข้าฌาณนั้นออกฌาณนี้ แต่คุณต้องขยันซ้อมก่อนนอนหลับ คือให้คุณสมมุติเอาว่าการนอนหลับคือการตาย คือคุณก็ผ่อนคลายร่างกาย วางความคิดลง เอาความสนใจมาอยู่กับความว่างที่ตรงหน้าให้มันเหลือแต่ความว่างหนึ่งเดียวนี้ก่อน ต่อจากนั้นจึงหยุดเพ่งอะไรเสียทั้งหมด ปล่อยจิตไปไม่ต้องควบคุมอะไร แค่รู้ตัวอยู่กับความว่างที่ตรงหน้า อย่าไปอยู่กับความคิด ปล่อยวางความคิดไปให้หมด แค่นี้แหละ เมื่อใจคุณเป็นอิสระจากความคิดทั้งมวลแล้ว ใจมันจะยิ้มได้เองโดยไม่ต้องเล่าเรื่องตลกให้มันฟังเลย มันยิ้มเพราะมันไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวใดๆอีกแล้ว คุณก็จะตายไปพร้อมกับรอยยิ้ม ถ้าคุณตายแบบนี้ได้ ผมว่าก็โอแล้วนะ</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p></div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-53358180033177040122020-12-10T13:27:00.004+07:002020-12-10T13:45:56.318+07:00ส่งท้ายปีเก่า 2020 แต่จะต้อนรับการกลับมาใหม่ของโควิด19 ด้วยไหม<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHQeiKrsO8SP_jaiuoIL9d3hAV6pt75hTF29EBeSpCLAk0_BkDcLq6PQ7II3KlyQlGQWhZ8nPseLzlf61_z3K4v9mxbxSbQUW3Ke_gkqHbQm_YEV6UI7UbxQLzgyo1OSj2g1YDsfoeIMM/s2048/IMG_0461.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHQeiKrsO8SP_jaiuoIL9d3hAV6pt75hTF29EBeSpCLAk0_BkDcLq6PQ7II3KlyQlGQWhZ8nPseLzlf61_z3K4v9mxbxSbQUW3Ke_gkqHbQm_YEV6UI7UbxQLzgyo1OSj2g1YDsfoeIMM/s320/IMG_0461.jpg" width="320" /></a></div><br /> เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ผมได้เขียนถึงตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) ของสถานะการณ์โรคโควิด19 ว่ามีอยู่ 7 ตัว ตัวเบ้งตัวหนึ่งในเจ็ดตัวนั้นก็คืออุณหภูมิและความชื้น เพราะงานวิจัยกับเชื้อไวรัสซาร์สโควี1ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกับซาร์โควี2ที่ทำให้เกิดโรคโควิด19นี้ พบว่ามันทนมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวแห้งนอกร่างกายคนได้นานถึงมากกว่า 5 วันหากอุณหภูมิต่ำอยู่ระหว่าง 22-25 องศาและอากาศแห้งระดับความชื้น 40-50% ซึ่งก็คือบรรยากาศในห้องแอร์ แต่หากอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 38 องศาซี.และความชื้นสูงถึง 95% ขึ้นไปมันจะตายเกือบเกลี้ยง แต่โปรโมชั่นหน้าร้อนที่ผ่านมานึกว่ามันจะพาโควิด19ตายเกลี้ยงแต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ บัดนี้หน้าหนาวได้กลับมาเยือนอีกแล้ว ประเทศที่สำลักโควิดส่วนใหญ่อยู่บนซีกโลกเหนือรวมทั้งไทยเราด้วย วันนี้เรามาประเมินสถานะการณ์โควิด19 กันอีกสักครั้งเพื่อจะได้ทำตัวของเราได้ถูก<p></p><p><b>สถานะกาณณ์ของโลก ณ วันนี้</b></p><p> นับถึงวันนี้ โลกนี้ยังอยู่ภายใต้อุ้งบาทาของโควิด 19 อยู่อย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ โดยผมจะแบ่งโลกนี้ได้ออกเป็นสามย่าน หรือสามกลุ่มประเทศ ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก คือ</p><p><b> 1. ประเทศที่เอาโควิด19ไม่อยู่แล้ว</b> เรียกตามการจำแนกขั้นตอนการกระจายโรคว่าอยู่ในขั้นแพร่กระจายในชุมชนแล้ว (community transmission) หากเรียงตามลำดับความสาหัสจากมากไปหาน้อยก็ได้แก่ประเทศ สหรัฐอเมริกา บราซิล ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปญ อาร์เจนตินา โคลัมเบีย เม็กซิโก โปแลนด์ อิหร่าน เปรู ตุรกี ยูเครน อัฟริกาใต้ เบลเยียม อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ อิรัค ชิลี เช็ค โรมาเนีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ แคนาดา สวิส อิสราเอล ออสเตรีย สวีเดน ฮังการี จอร์แดน เซอร์เบีย เป็นต้น </p><p> ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ โอกาสที่จะควบคุมโควิด19 ให้อยู่หมัดในหน้าหนาวนี้นั้นมันช่างริบหรี่เหลือเกิน ทางไปของกลุ่มประเทศเหล่านี้คือใช้ยุทธศาสตร์บรรเทาโรค (mitigation) ไปตามมีตามเกิด ที่ป่วยก็รักษากันไป ที่ตายก็ตายกันไป จนกว่าการฉีดวัคซีนจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งตอนนี้หลายประเทศได้นำวัคซีนลงฉีดแล้วแม้ว่าการวิจัยเฟสสามจะยังไม่เสร็จก็ไม่รอกันแล้ว หากวัคซีนดี การฉีดวัคซีนและผลของวัคซีนจะใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงประมาณเดือน สค. 64 ในช่วงเวลานี้โลกในย่านนี้ก็ยังจะมั่วอยู่กับโควิดอยู่ไม่เลิก</p><p><b> 2. ประเทศที่มีโควิด19 เกิดเป็นหย่อมๆ</b> (cluster of cases) หากเรียงตามความรุนแรงจากมากไปหาน้อยก็ได้แก่ อินเดีย รัสเซีย อิตาลี เยอรมัน ปากีสถาน มอร็อคโค โปรตุเกส เนปาล คาซัคสถาน บุลกาเรีย ญี่ปุ่น อาเซอร์ไบจัน อียิปต์ สโลวาเกีย พม่า จีน สโลเวเนีย มาเลเซีย อุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน อัลบาเนีย เกาหลี ศรีลังกา ออสเตรเลีย ไซปรัส มาลดีฟ ไทย นิวซีแลนด์ เวียดนาม มองโกเลีย</p><p> ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ยุทธศาสตร์มาตรฐานที่ใช้คือการกดโรค (suppression) คือโผล่มาก็ไล่จับเลยไม่ให้กระจายออกไป ซึ่งได้ผลดีมาก แม้ในประเทศที่โรคแพร่ไปมากอย่างอินเดียก็ยังได้ผลดี คือเริ่มจะเอาโรคอยู่ ถึงติ๊งต่างว่าไม่มีวัคซีนก็ยังมีอนาคตว่าจะเอาโรคอยู่ เกือบทั้งหมดของประเทศในกลุ่มนี้จะเปิดให้ผู้คนไปมาหาสู่ค้าขายกันภายในประเทศได้ รวมทั้งประเทศไทย เพราะไทยนั้นเอาโรคอยู่มาตั้งแต่เดือนมิย. 63 แล้ว</p><p><b> 3. ประเทศที่มีโควิดกระเด็นเข้ามาติดเล็กๆน้อยๆ</b> (sporadic cases) ได้แก่ ซาอุดิอาราเบีย สิงคโปร์ เฟรนซ์โพลินีเซีย โซมาเลีย เยเมน ลิกเกนสไตน์ กัมพูชา ลาว</p><p> ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็ใช้ยุทธศาสตร์กดโรคเช่นกัน แต่สถานะการณ์เบาบางกว่ามาก คือมีผู้ติดเชื้อน้อยมาก และยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเลย<br /></p><p> ทอดสายตาดูแล้วจะเห็นว่าในปีหน้าเกินครึ่งหนึ่งของโลกนี้ในแง่ของพื้นที่ และเกือบสองในสาม ในแง่ของความสำคัญทางเศรษฐกิจ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่ 1 คือเอาโควิด19 ไม่อยู่แล้ว และไม่มีวิธีไหนจะออกจากตรงนี้ได้นอกจากรอการมาของวัคซีน..หรือการมาของความตายในอัตรา 2.3% ของผู้ติดเชื้อ สุดแล้วแต่ว่าอย่างไหนจะมาถึงก่อนกัน ดังนั้นในปีหน้าอย่าคาดหวังถึงขั้นจะได้เดินทางไปมาหาสู่กับโลกภายนอกเลยเพราะโลกข้างนอกมันยังไม่สงบ มามองแค่ทำอย่างไรจะกดโรคภายในประเทศไทยของเราให้สงบจนการฉีดวัคซีนแล้วเสร็จดีกว่า </p><p><b></b></p><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqXF0scnwYj2WsBpOF2F2TVX_UJCDyjQrwAnS-xH6uCwL4-YXxjebVHf56yZ_bNYA1XaQpbmZRiphCJ8lKqf6Ne1Xqr_ov4bs3F7pQc7W61UzLloln0Gv_uY20Xtbw7r90aXb-Ced4pYM/s1851/chart+covid19.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1175" data-original-width="1851" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqXF0scnwYj2WsBpOF2F2TVX_UJCDyjQrwAnS-xH6uCwL4-YXxjebVHf56yZ_bNYA1XaQpbmZRiphCJ8lKqf6Ne1Xqr_ov4bs3F7pQc7W61UzLloln0Gv_uY20Xtbw7r90aXb-Ced4pYM/s320/chart+covid19.jpg" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>ผู้ติดเชื้อสะสมของไทยตั้งแต่มค. ถึง ธค. 63</i></td></tr></tbody></table><b><br />สถานะการณ์ของประเทศไทย ณ วันนี้</b><p></p><p> ในภาพรวม ไทยนับถึง 8 ธค. 63 มีผู้ติดเชื้อสะสม 4126 คน ตายไป 60 คน ในวันสุดท้าย (8 ธค. 63) มีผู้ติดเชื้อใหม่ 19 คน มองภาพรวมอย่างนี้ หากไม่นับช่วงเดือนมีนาคมที่การกระจายเชื้อเกิดพรวดพราด (ซึ่งเราประสบความสำเร็จในการกดโรคเอาไว้ได้) ในภาพรวมถือว่าเป็นสถานะการณ์ราบเรียบสงบเงียบตลอดช่วงหน้าร้อน แต่หากมองปลายของเส้นกร๊าฟช่วงเดือนพย.และธค.ซึ่งเป็นหน้าหนาว จะดูเหมือนว่าความชันของมันกระดกขึ้นพิกลผิดสังเกตนิดหนึ่ง ซึ่งหากเข้าไปไล่ดูรายละเอียดวันต่อวันจะเป็นภาพที่ชัดขึ้นดังนี้</p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAMaY1u6z-2GVuzJF-ffSDqcUec7_RWv_-vJMQUmdaQlwMq4PQulH9N2Vd82SHdTax_aMOCnIUWShRJ9X6w_kL3cHyU2jjcH97-QAfeoxLtbJwBvvOCCgyBysK4mEhb89u5sGUjw_WX8w/s2048/ChartDailyCaseCovid19.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1251" data-original-width="2048" height="195" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAMaY1u6z-2GVuzJF-ffSDqcUec7_RWv_-vJMQUmdaQlwMq4PQulH9N2Vd82SHdTax_aMOCnIUWShRJ9X6w_kL3cHyU2jjcH97-QAfeoxLtbJwBvvOCCgyBysK4mEhb89u5sGUjw_WX8w/w320-h195/ChartDailyCaseCovid19.jpg" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 ใหม่ รายวันช่วง พย.-ธค.63</i></td></tr></tbody></table><p><b> ผู้ติดเชื้อรายวันแอบเพิ่มขึ้น </b></p><p> จะเห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นจาก 2 รายต่อวันมาเป็น 25 รายต่อวันในเวลา 17 วันเท่าที่ผมเก็บสถิติย้อนหลังไว้ อัตราการเพิ่มหรือความชันของกราฟมากขึ้นชัดเจนแต่ยังไม่มากจนน่าตกใจเหมือนช่วงมีค. - พค. ที่ผ่านมาซึ่งมีการเพิ่มผู้ป่วยรายใหม่วันละเป็นร้อย แต่อย่างไรก็ตาม การที่ตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเร็วในสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มันนัยสำคัญอยู่ตรงที่ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่นำเชื้อเข้ามาจากทางประเทศพม่า ไม่ว่าจะโดยคนพม่าหรือโดยคนไทยเองที่ไปหากินในพม่าก็ตาม ดังนั้นจึงน่าจะมีประโยชน์หากเราชำเลืองมองสถานะการณ์ในประเทศพม่าไว้สักหน่อย</p><p><b> การติดเชื้อจากทางพม่ามีแนวโน้มลดลง</b></p><p> ในภาพรวมพม่ามีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว 100,431 คน เมื่อวานนี้ (8 ธค. 63) มีผู้ติดเชื้อใหม่ 1,276 คน ตายไปแล้วรวม 2,132 คน เฉพาะเมื่อวานนี้ตายไป 22 คน ซึ่งมองภาพรวมอาจจะน่าตกใจ แต่หากมองแนวโน้มจากกราฟนี้</p><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKZUO4sAAaIw3eSBMS9576wRWge1YPejZhYBBsYOdOI5i9dmmu-XzApHznMGyM_wG4Jn6_N16I9WI3blj2yAuB8EJC_yid-aPKrc_wIeXdw9DLVO39SZjz2agU2jzKGJm72Jdwo8kYF2Y/s1528/Myanmar+covid19+chart.jpg" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="722" data-original-width="1528" height="208" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKZUO4sAAaIw3eSBMS9576wRWge1YPejZhYBBsYOdOI5i9dmmu-XzApHznMGyM_wG4Jn6_N16I9WI3blj2yAuB8EJC_yid-aPKrc_wIeXdw9DLVO39SZjz2agU2jzKGJm72Jdwo8kYF2Y/w440-h208/Myanmar+covid19+chart.jpg" width="440" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด19 ของพม่าตั้งแต่ กค.-ธค. 63</i></td></tr></tbody></table><br /><div>จะเห็นได้ว่าพม่าอยู่อย่างสงบไม่มีการติดเชื้อเลยมาจนถึงเดือนกค.63 แล้วก็มีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างพรวดพราดในเดือน สค.ต่อเดือน กย. คือเพิ่มวันหนึ่งเป็นพัน แต่รัฐบาลพม่าก็เริ่มคุมโรคได้ในเดือนตค.63 และยังคุมได้ในระดับไม่ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยมาจนถึงเดือนธค.63 โรคมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่เดือนพย.63เป็นต้นมา แม้แนวโน้มการลดโรคยังไม่ชัดเจนมาก แต่ชัดเจนว่าโรคคุมอยู่และผู้ติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้น สถานะการณ์เป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว ยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ ดังนั้นจากหลักฐานที่มี สถานะการณ์ทางด้านพม่าจะไม่กระทบประเทศไทยมากกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในสามเดือนที่ผ่านมา <div><p><b> สถานะการณ์ทางลาวและกัมพูชา</b></p><p> ทางด้านลาวและกัมพูชานั้นยังไม่มีอะไรที่น่าห่วงว่าจะมากระทบไทยเลย เพราะทั้งลาวและกัมพูชามีสถานะการระบาดของโรคอยู่ในระดับ sporadic คือมีเคสกระเส็นกระสายเข้ามาประปรายน้อยมากและไม่มีคนตายจากโรคนี้เลย จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะแพร่เชื้อให้ประเทศเพื่อนบ้านได้ มีก็แต่จะได้รับเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าไปเท่านั้น ส่วนข้อกังวลที่ว่าข้อมูลจากสองประเทศนี้เป็นข้อมูลไม่จริงนั้นเป็นข้อกังวลที่ไร้สาระ เพราะการควบคุมโรคโควิดในระดับนานาชาติบริหารโดยองค์การอนามัยโลกซึ่งประเมินข้อเท็จจริงจากหลายด้านแบบวันต่อวัน ทั้งการตรวจหาและเฝ้าระวังโรคในประเทศกัมพูชาก็ได้รับความช่วยเหลือจากแล็บของสถาบันปาสเตอร์ของฝรั่งเศสซึ่งเป็นสถาบันที่ก่อกำเนิดวัคซีนให้แก่โลกนี้ในอดีต มีความเชื่อถือได้แน่นอน ดังนั้นข้อมูลโรคจากทั้งสองประเทศนี้เชื่อถือได้ในระดับเดียวกับข้อมูลจากประเทศอื่นๆ ส่วนข่าวไร้ที่มาที่ร่อนกันในอินเตอร์เน็ทนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ</p><p><b> ตัวเปลี่ยนเกม (Game Changers) สามอย่าง</b> </p><p> บทสรุปในภาพรวมคือเมื่อวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้านแล้ว ประเทศไทยยังคงไปได้ฉลุยในแง่ของการควบคุมโรค เพราะสถานการณ์โดยรอบไม่มีอะไรส่อไปทางร้าย และสถานะการภายในยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ระบบการสอบสวนควบคุมโรคยังเวอร์คดีมาก ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่กระดกขึ้นในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังอยู่ในปริมาณที่น้อย และอยู่ในความชัน (อัตราเพิ่ม) ที่ไม่ต่างจากหกเดือนที่ผ่านมามากนัก แต่อาจมีตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญสามตัวที่อาจเปลี่ยนสถานะการณ์ดีนี้ให้เป็นร้ายได้ คือ</p><p><i><b> 1. การเข้ามาของผู้ติดเชื้อรายใหม่แบบเนียนๆไม่มีใครรู้</b></i> หมายถึงเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางพม่า เพราะแม้พม่าจะคุมโรคภายในได้ แต่พม่ามีผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับแสนคน ในจำนวนนี้หากมีบ้างที่เล็ดลอดผ่านด่านคัดกรองเข้ามาปะปนกับฝูงชนที่เราคิดว่าปลอดเชื้อ ก็อาจจะเปลี่ยนเกมได้ </p><p><b><i> 2. การชื่นชุมนุมในเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่</i></b> การชื่นชุมนุมในเทศกาลจะไม่มีปัญหาเลย หากไม่มีผู้ติดเชื้อเข้าไปร่วมชื่นชุมนุมด้วย จะเบียดกันเอาให้แน่นขนัดหรือเอาให้มันสะแด่วแห้วอย่างไรก็ได้ แต่หากมีผู้ติดเชื้อเหน่งๆเล็ดลอดเข้าไปร่วมเบียดเสียดชื่นชุมนุมได้แม้เพียงคนเดียว เกมก็อาจจะเปลี่ยนได้ทันที</p><p><b><i> 3. ความเย็นและความชื้นของอากาศ</i></b> หลักฐานเรื่องอุณหภูมิและความชื้นต่อการแพร่กระจายเชื้อซาร์โควี2 (โควิด19) ยังไม่มี มีแต่ว่าซาร์สโควี1ซึ่งเป็นพี่น้องกันนั้นกระจายเร็วในอากาศเย็นระดับ 22-25 องศา และความชื้นระดับ 40-50% พูดง่ายๆว่าชอบหน้าหนาว และหากเราย้อนดูอดีตตอนที่โควิด19 ระบาดระเบิดระเบ้อทั่วโลกนั้นเป็นช่วงเดือนมีค. 63 รวมทั้งในประเทศไทยเราด้วย ดังนั้นความเย็นและความชื้นก็เป็นตัวเปลี่ยนเกมอีกตัวหนึ่ง</p><p><b> บทสรุป</b></p><p> สรุปว่าสถานะการณ์โควิด19 นับถึงวันนี้ยังชิลๆอยู่ แต่มีตัวเปลี่ยนเกมที่คาดเดาไม่ได้จ่ออยู่สามตัว ในฐานะแพทย์ผมทราบแต่การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของโรคและการป้องกันโรคด้วยการจัดการปัจจัยเสี่ยงซึ่งผมเล่าให้ฟังหมดแล้ว แต่หากถามผมว่าอนาคตของโควิด19ปลายปีนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ได้แต่ร้องเพลงให้ฟังว่า</p><p><i> "ต่อไปจะเป็นฉันใด..ม่าย..ย...รู้"</i></p><p> ตัวหมอสันต์เองจะเป็นเจ้าภาพจัดฟังเปียโนคลาสสิกในสวนที่มวกเหล็กในวันที่ 26 ธค. 63 ซึ่งก็คือการทำตัวเป็นคนมือบอนสร้างตัวเปลี่ยนเกมตัวที่สองขึ้นมา คือการชื่นชุมนุมในเทศกาลคริสตมาสปีใหม่ นั่นเอง หิ..หิ รู้ รู้อยู่ ว่าถ้าให้ทุกคนอยู่บ้านเฉยๆไปจนโลกแตกก็จะเป็นวิธีป้องกันโควิด19ที่ดีที่สุด แต่ไหนๆปีใหม่ทั้งทีมันอดมือบอนไม่ได้ </p><p> อย่างไรก็ตาม ขอถือโอกาสนี้ป่าวประกาศให้แฟนบล็อกหมอสันต์ที่จะมาฟังเปียโนเสียเลยว่าทุกท่านจะต้องมาพร้อมกับมาสก์ ไม่งั้นต้องซื้อของแพงที่หน้าบ้านไม่รู้ด้วยนะ และจะต้องถูกส่องอุณหภูมิก่อนทุกคน อย่าว่ากันว่าจุกจิกหยุมหยิม ส่วนการจะนั่งใกล้ชิดอี๋อ๋อแบบซึ้งๆนั้นไม่ห้าม เพราะถ้าขืนห้ามความโรแมนติกก็ไม่รู้จะมีเทศกาลคริสตมาสปีใหม่ไปทำไม</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p></div></div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-54935630946215487242020-12-09T21:59:00.008+07:002020-12-10T08:38:01.011+07:00ชายมียีนแฝงทาลาสซีเมียเบต้า หญิงมียีนแฝงอัลฟ่า จะแต่งงานกันได้ไหม<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1ibJhyphenhyphenJ5FBcwAhVej1Lk-sqMcwRIGT8QctPPiy6PzBdPqP7mjA4Ar16dsOoBsIlinbbNgosUQbtVL7kQy0yW5067P1BeAt-eOB8iJ4xMzOGEU4iC93hZQdDlC9NW1mBDHReRlZtAKhrI/s2048/IMG_0516.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="1536" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1ibJhyphenhyphenJ5FBcwAhVej1Lk-sqMcwRIGT8QctPPiy6PzBdPqP7mjA4Ar16dsOoBsIlinbbNgosUQbtVL7kQy0yW5067P1BeAt-eOB8iJ4xMzOGEU4iC93hZQdDlC9NW1mBDHReRlZtAKhrI/w150-h200/IMG_0516.jpg" width="150" /></a></div><br />กราบเรียนคุณหมอสันต์<p></p><p>สองคนไปตรวจคัดกรองทาลาสซีเมียมาแต่ได้ผลมาแล้วแปลผลไม่ถูก ตรวจมาทั้ง hemoglobin typing และตรวจ Alpha gene PCR หมอก็บอกแต่เพียงว่าหญิงเป็นพาหะอัลฟ่า ชายเป็นพาหะเบต้า บอกแค่นั้น จะแต่งงานกันได้ไม่ได้ก็ไม่บอก หนูส่งผลตรวจมาให้คุณหมอช่วยแนะนำด้วย อยากให้คุณหมอสอนเรื่องโรคทาลาสซีเมียและการอ่านผลตรวจ และอยากถามว่าหนูกับแฟนจะแต่งงานกันได้ไหมคะ</p><p>............................................</p><p>ตอบครับ</p><p> 1. ถามว่าคนหนึ่งมียีนแฝงอัลฟ่า อีกคนมียีนแฝงเบต้า จะแต่งงานกันได้ไหม ตอบว่าการแต่งงานกันนั้นยังไงก็แต่งได้อยู่แล้ว พังเพยมีว่าพระจะสึก หรือผู้ชายจะมีเมีย ใครจะขวางได้</p><p> 2. ถามว่าคนหนึ่งมียีนแฝงอัลฟ่า อีกคนมียีนแฝงเบต้า แต่งงานกันแล้วจะได้ลูกเป็นโรคโลหิตจางแบบทาลาสซีเมียชนิดรุนแรงไหม ตอบว่าไม่เลยครับ ไม่มีโอกาสได้ลูกเป็นโรคทาลาสซีเมียเลย อย่างเลวที่สุดก็ได้ลูกเป็นพาหะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่หรือเหมือนทั้งสองคน แต่ฟลุ้คๆอาจได้ลูกที่มียีนดีกว่าพ่อและดีกว่าแม่</p><p> เพื่อให้คุณและท่านผู้อ่านที่สนใจเรื่องนี้ได้เข้าใจกระจ่าง ผมขออธิบายเพิ่มหน่อยนะ ว่าในเม็ดเลือดของคนเรามีโมเลกุลที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนเรียกว่า “ฮีโมโกลบิน” ซึ่งแต่ละตัวมีโมเลกุลย่อยสองแบบมาจับกัน คือโมเลกุล "ฮีม (heme)" เป็นลูกกลมสีแดงอยู่ตรงกลาง และโมเลกุล “โกลบิน (globin)” เป็นเส้นสายยั้วเยี้ยเหมือนขาปูอยู่สองคู่หรือสี่สาย สายยั้วเยี้ยนี้มีอยู่สี่แบบ คือ อัลฟ่า เบต้า แกมม่า เดลต้า การสร้างสายโกลบินนี้ควบคุมด้วยยีน ยีนนี้คนเราได้มาจากพ่อครึ่งหนึ่ง แม่ครึ่งหนึ่ง มาบวกกันเป็นยีนของตัวเอง เขียนคั่นกลางของพ่อกับของแม่ด้วยเครื่องหมาย “ / ” แต่ละข้างที่รับมา ถ้าเป็นยีนสมบูรณ์จะเขียนด้วยอักษรสองตัว เช่นถ้าเป็นยีนสายอัลฟ่าของคนปกติก็เขียนว่า αα/αα หมายความว่ายีนที่คุมการผลิตโกลบินสายอัลฟ่าปกติครบสี่ตัวไม่แหว่งหายไปไหนเลย กล่าวคือปกติการควบคุมการผลิตโกลบินสายอัลฟ่านั้นต้องใช้ยีนคุมถึงสี่ตัวซึ่งอยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 16 ส่วนการควบคุมการผลิตสายเบต้านั้นใช้ยีนคุมการผลิตแค่สองตัวซึ่งอยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 11 ถ้าโครโมโซมเหล่านี้ถูกอะไรกัดแหว่งไป (deletion) หรือกลายพันธ์ไปแบบกะทันหันแต่เซลยังแบ่งตัวออกลูกต่อได้ (mutation) การผลิตสายโกลบินของเซลลูกก็จะผิดปกติไป กลายเป็นโรคที่เรียกว่าทาลาสซีเมีย ซึ่งมีระดับความรุนแรงได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับว่ายีนจะถูกกัดแหว่งไปมากหรือน้อย คือเป็นได้ตั้งแต่เป็นพาหะ (heterozygous) โดยไม่มีอาการอะไร ไปจนถึงเป็นโรครุนแรง (homozygous) ชนิดที่เกิดมาปุ๊บตายปั๊บหรือเกิดมาแล้วไม่ตายแต่เลี้ยงไม่โตก็มี</p><p> วิธีที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้เร็วขึ้นก็คือให้คุณหัดแปลผลการตรวจวิเคราะห์ฮีโมโกลบิน (hemoglobin typing) ที่คุณได้รับมานั่นแหละ ซึ่งผมจะให้คำแนะนำในการแปลผลสั้นๆดังนี้</p><p> HbA อ่านว่า ฮีโมโกลบิน เอ. เขียนเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะยีนว่า αα/αα มีความหมายว่าเป็นฮีโมโกลบินที่สมบูรณ์แบบที่เกิดจากร่างกายได้รับยีนสร้างสายอัลฟาแบบสมบูรณ์มาจากทั้งข้างพ่อ 2 สายและข้างแม่ 2 สาย ถือว่าเป็นฮีโมโกลบินแบบปกติ ทุกคนต้องมีฮีโมโกลบินแบบนี้อย่างน้อย 95% ขึ้นไป</p><p> HbA2 อ่านว่าฮีโมโกลบิน เอ.2 เขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า αα/δδ มีความหมายว่าถ้าร่างกายมีโกลบินสายเบต้าจำนวนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โกลบินสายอัลฟาที่เหลือใช้จะต้องไปจับคู่กับโกลบินชนิดเดลต้า เกิดเป็นฮีโมโกลบินเอ.2 ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติ คนทั่วไปไม่ควรมีฮีโมโกลบินชนิดนี้เกิน 3.5% อย่างของแฟนคุณนี้มีเกินแสดงว่าเกิดความผิดปกติของยีนที่คุมการสร้างโกลบินสายเบต้า หมายความว่ายีนที่รับมาจากพ่อหรือแม่มีส่วนแหว่งไป เช่น -β/ββ ซึ่งมีชื่อเรียกว่าเป็นพาหะเบต้า (beta thalassemia trait)</p><p> HbE อ่านว่าฮีโมโกลบินอี. หมายความว่าพันธุกรรมของคนคนนี้ผลิตโกลบินสายเบต้าที่ผิดปกติแบบพิเศษแบบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำสายเบต้านั้นมาสร้างเป็นฮีโมโกลบินแล้วมันจะกลายเป็นฮีโมโกลบินที่ผิดปกติแบบเป็นกรณีพิเศษไม่เหมือนของชาวบ้านเขา เรียกว่าฮีโมโกลบินอี. (HbE) คนปกติเขาจะไม่มีฮีโมโกลบินแบบนี้ คนมีฮีโมโกลบินอีจะมีสองระดับความรุนแรง คือ ระดับเป็นยีนแฝง เรียกชนิดของโรคทาลาสซีเมียที่เกิดขึ้นว่า EA ซึ่งเกิดจากยีนแฝงหรือยีนพันธุ์ทาง (βE/β) มักไม่มีอาการอะไรเหมือนอย่างแฟนคุณนี่แหละ กับอีกระดับหนึ่งเป็นระดับรุนแรง เรียกว่าฮีโมโกลบินชนิด EE ซึ่งเกิดจากยีนผิดปกติแบบพันธุ์แท้ (βE/βE) ในคนพันธุ์แท้นี้มักมีฮีโมโกลบินอี.มากระดับเกิน 85% ขึ้นไปเลยทีเดียว</p><p> Osmotic fragility เป็นการตรวจความเปราะของเม็ดเลือด โดยหย่อนเม็ดเลือดลงไปในน้ำเกลือเจือจาง ถ้าเม็ดเลือดแดงแตกเร็วก็เรียกว่าได้ผลตรวจเป็นบวกหมายความว่าเม็ดเลือดแดงเปราะ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากเป็นโรคทาลาสซีเมียหรือสาเหตุอื่นใดก็ได้</p><p> 3. ถ้าอ่านแค่เท่าที่ผลแล็บของคุณและแฟนที่ให้มา ผมวินิจฉัยว่า</p><p> 3.1. ฝ่ายชายเป็นโรคทาลาสซีเมียแบบมีความผิดปกติในสายเบต้า ชนิดมียีนแฝงฮีโมโกลบินอี.</p><p> 3.2. ฝ่ายหญิงดูจากผลการตรวจยีนด้วยวิธี PCR แล้วเป็นพาหะทาลาสซีเมียสายอัลฟาชนิดไม่รุนแรง (alpha-2) คือยีนคุมการสร้างสายอัลฟ่ามันมียีนที่หากแหว่งแล้วจะผิดปกติรุนแรงก็ได้ไม่รุนแรงก็ได้ แต่อย่างของคุณนี้แม้จะแหว่งก็เป็นชนิดไม่รุนแรง </p><p> 3.3. คุณสองคนสามารถแต่งงานกันได้ ไม่มีโอกาสที่จะได้ลูกผิดปกติแบบรุนแรง 3 ชนิดต่อไปนี้แน่นอน</p><p> 3.3.1 โอกาสได้ลูกผิดปกติทางสายอัลฟ่าแบบรุนแรงชนิดยีนคุมการผลิตสายอังฟ่าชำรุดเกลี้ยงครบสี่ยีน (thalassemia major) ซึ่งทำให้ตายได้ โอกาสอย่างนั้นไม่มี เพราะฝ่ายชายมียีนสายอัลฟ่าปกติ ฝ่ายหญิงก็แค่แหว่งนิดหน่อยในระดับเป็นพาหะ อย่างแย่ที่สุดก็จะได้ลูกเป็นพาหะแบบแม่ หรือเหมือนทั้งพ่อและแม่ </p><p> 3.3.2 โอกาสที่จะได้ลูกผิดปกติทางสายอัลฟาชนิดฮีโมโกลบินเอ็ช. (HbH) ซึ่งบางครั้งก็รุนแรงเอาเรื่อง ก็ไม่มีโอกาสเลย เพราะฝ่ายชายมียีนอัลฟ่าปกติหมด การจะเกิด HbH ได้จะต้องมีความบกพร่องในยีนอัลฟ่าของทั้งฝ่ายชายและหญิง และข้างหนึ่งมีความผิดปกติแบบรุนแรง (alpha-1) </p><p> คือการจะเกิด HbH ได้จะต้องเป็นดังนี้ (ยกตัวอย่างเฉยๆ ไม่เกี่ยวกับกรณีของคุณนะ) คือฝ่ายหนึ่งมียีนแฝงทาลาสซีเมียชนิดอัลฟ่า-2 (alpha thal-2) ซึ่งเป็นความชำรุดระดับเล็กน้อย คือทำให้ยีนคุมการสร้างฮีโมโกลบินสายอัลฟ่าสี่ยีนชำรุดไปยีนเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งมียีนแฝงชนิดอัลฟ่า-1 อันเป็นยีนแฝงแบบชำรุดมากพอควร คือยีนคุมสี่ยีนใช้การได้แค่สองยีน ลูกที่ออกมาจึงมีโอกาสหนึ่งในสี่ที่จะมียีนแบบทำให้ยีนสายอัลฟ่าชำรุดมากถึง 3 ยีนจากที่มีทั้งหมด 4 ยีน เป็นความชำรุดระดับมาก ผลที่ได้ก็คือโรค hemoglobin H </p><p> 3.3.3 โอกาสจะได้ลูกเป็นโรคเบต้าทาลาสซีเมียชนิดจ๊ะกับฮีโมโกลบินอี. (beta thalassemia hemoglobin E disease) ซึ่งเป็นโรครุนแรงอีกแบบหนึ่งก็ไม่มี เพราะแม้ยีนเบต้าของฝ่ายชายจะมียีนแฝงฮีโมโกลบินอี. แต่ยีนเบต้าของภรรยาปกติหมด</p><p> สรุปว่าคุณสองคนแต่งงานกันได้ มีลูกได้ รับประกันว่าไม่มีโอกาสได้ลูกเป็นทาลาสซีเมียแบบรุนแรง อย่างเลวที่สุดก็จะได้ลูกเป็นพาหะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ (double heterozygous) แต่ฟลุ้คๆอาจได้ลูกที่มียีนดีกว่าของพ่อของแม่ </p><p> 4. ก่อนจบขอย้ำสำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปไว้หน่อยว่า การตรวจคัดกรองทาลาสซีเมียก่อนแต่งงาน ไม่ใช่ตรวจแค่ Hemoglobin typing ซึ่งบอกได้แต่ความผิดปกติของยีนสายเบต้าเท่านั้น แต่ควรตรวจยีนสายอัลฟ่าด้วยวิธี PCR ด้วย จึงจะได้ผลตรวจที่ครบถ้วนว่ายีนทั้งข้างเบต้าและอัลฟ่าของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-43543381510170149522020-12-05T22:43:00.001+07:002020-12-05T22:43:40.167+07:00มีกลไกการดูดซึมน้ำมันมะพร้าวตรงเข้าตับโดยไม่ผ่านกระแสเลือดจริงไหม<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifVCXZ9m0JMUrNscztShat6L0EF_0xKmsSUho2KZUtghbMoolp7LmZsASC-s64WZS_RFAe9Ya_6J5aHiNLNxsYKBBXP4jMq71qa_TeNbbyW0fmoo85KwM3euGd3VOA-xfhv71o-XyaJ44/s2048/IMG_0518.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="2048" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifVCXZ9m0JMUrNscztShat6L0EF_0xKmsSUho2KZUtghbMoolp7LmZsASC-s64WZS_RFAe9Ya_6J5aHiNLNxsYKBBXP4jMq71qa_TeNbbyW0fmoo85KwM3euGd3VOA-xfhv71o-XyaJ44/w200-h200/IMG_0518.jpg" width="200" /></a></div><br />เรียนคุณหมอสันต์<p></p><p>น้ำมันมะพร้าวถูกใส่ร้ายว่าเป็นไขมันก่อโรคหัวใจหลอดเลือด เรื่องนี้เป็นความจริงไหมครับ ผมอ่านมาพบว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดสายโซ่ขนาดกลาง (medium chain triglyceride) ซึ่งมีกลไกการดูดซึมตรงเข้าสู่ตับเอาไปใช้งานได้เลยโดยไม่เข้าสู่กระแสเลือด จึงไม่เพิ่มไขมันในเลือด แล้วทำไมน้ำมันมะพร้าวจะไปทำให้ไขมันในเลือดสูงได้อย่างไรครับ</p><p>............................................. </p><p><b>ตอบครับ</b></p><p> 1. ถามว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันก่อโรคหัวใจหลอดเลือดจริงไหม ตอบว่า นับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานตรงๆที่ชี้ชัดว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือดจริงหรือไม่ และคงจะไม่มีหลักฐานดังกล่าวนี้ไม่ว่าอีกกี่ปีในอนาคตด้วย เพราะการวิจัยต้องใช้ต้นทุนสูงมากใช้เวลานานมากและอาจทำไม่ได้เลยเพราะมีอุปสรรคเชิงจริยธรรมการวิจัย เพราะน้ำมันมะพร้าวมีความสัมพันธ์แน่ชัดกับการเพิ่มไขมันเลว (LDL) ในเลือด ซึ่ง LDL นี้สัมพันธ์แน่ชัดกับการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด การจะจับฉลากเอาคนพวกหนึ่งไปกินแต่น้ำมันมะพร้าวนานยี่สิบสามสิบปีย่อมจะไม่ถูกต้องด้วยจริยธรรมของการวิจัยเพราะมีหลักฐานโดยอ้อมแล้วว่ากลุ่มที่ถูกเลือกให้กินน้ำมันมะพร้าวจะมีไขมัน LDL สูงขึ้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับการเป็นโรคมากขึ้น</p><p> ดังนั้นทุกวันนี้ หรืออาจจะต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย เราจะต้องมีชีวิตอยู่กับความรู้แค่หางอึ่งที่วงการแพทย์มีนี้แหละ คือเรารู้เพียงแต่ว่า</p><p> 1.1 เรายังไม่รู้ว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้เป็นโรคหัวใจหลอดเลือดมากกว่าน้ำมันพืชแบบไม่อิ่มตัวหรือไม่</p><p> 1.2 เรารู้ว่าน้ำมันมะพร้าวเพิ่มทั้งไขมันดี (HDL) และไขมันเลว (LDL) ในเลือด โดยในแง่ของการเพิ่ม LDL นั้น น้ำมันมะพร้าวเพิ่ม LDL ได้น้อยกว่าไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ (เช่นเนย) แต่น้ำมันมะพร้าวเพิ่ม LDL ได้มากกว่าไขมันไม่อิ่มตัว(เช่นน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง)</p><p> 1.3 เรารู้ว่าการกินมะพร้าวแบบอาหารเชิงวัฒนธรรม เช่นกินน้ำมะพร้าว เนื้อมะพร้าว กะทิมะพร้าว และน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบที่กินมาแต่ดั้งเดิมของชาติพันธ์และชนเผ่าในเอเซียและหมู่เกาะทะเลใต้ (ก่อนที่จะมีอาหารแบบตะวันตกเข้าไปผสม) ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด</p><p> 1.4 ขณะเดียวกันก็ไม่เคยมีหลักฐานเลยว่าการกินน้ำมันมะพร้าวสัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดน้อยลง หรือทำให้คนอ้วนผอมลงได้แต่อย่างใด </p><p> 2. ถามว่าก็ในเมื่อน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดสายโซ่ขนาดกลาง (medium chain fatty acid - MCFA) ซึ่งมีกลไกการดูดซึมตรงเข้าตับโดยไม่เข้าสู่กระแสเลือด แล้วทำไมน้ำมันมะพร้าวจะไปทำให้ไขมัน LDL ในเลือดสูงได้อย่างไร ตอบว่า หิ หิ การจะเข้าใจเรื่องนี้คุณต้องค่อยๆอ่าน</p><p> มาจะกล่าวบทไป ขอเล่าถึงระบบดูดซึมอาหารไขมันจากลำไส้ไปเลี้ยงร่างกายก่อนนะ ว่ามันมีทางไปได้สองทาง </p><p><i> ทางที่ 1.</i> เป็นถนนมาตรฐาน คืออาหารไขมันจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้ ไปเข้าหลอดน้ำเหลืองฝอย (lacteal) ที่อยู่ในผนังลำไส้ กลายเป็นน้ำเหลืองขุ่น (chylomicron) แล้วไปตามท่อน้ำเหลือง ไปรวมกันเป็นท่อน้ำเหลืองใหญ่ (thoracic duct) ซึ่งเทเอาน้ำเหลืองทั้งหมดเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด (systemic circulation) ตรงหลอดเลือดดำใหญ่ที่คอ (subclavian vein) จากนั้นก็ล่องลอยไปตามกระแสเลือด ไปแทรกเป็นตุ่มไขมันตามผนังหลอดเลือดได้</p><p><i> ทางที่ 2.</i> เป็นถนนแคบ จะมาได้เฉพาะโมเลกุลขนาดเล็กเท่านั้น คือไขมันและอาหารอื่นๆรวมทั้งสารพิษจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เช่นกัน แต่จะไปเข้าหลอดเลือดฝอย (capillary) ซึ่งจะไหลไปเข้าหลอดเลือดดำฝอย (venule) แล้วไหลไปรวมกันเป็นหลอดเลือดดำเข้าสู่ตับ (portal vein) เอาอาหารและสารพิษที่กินเข้าไปไปแจกให้เซลตับทุกเซลก่อน แล้วจึงจะไหลต่อไปรวมกันที่หลอดเลือดดำออกจากตับ (hepatic vein) แล้วเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดที่หลอดเลือดดำใหญ่อันล่าง (inferior vena cava) ทั้งหมดนี้เรียกว่าวงจรลัดจากลำไส้สู่ตับ (portal circulation) </p><p> เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้วค่อยมาตอบคำถามของคุณ</p><p> <i> ประเด็นที่ 1.</i> ข้อที่ว่าไขมันอิ่มตัวสายโซ่ขนาดกลาง หรือ MCFA (อันหมายถึงกรดไขมันที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยอะตอมคาร์บอน 6 -12 ตัว) มีกลไกดูดซึมเข้าสู่ตับโดยตรง (portal circulation) โดยไม่ผ่านกลไกการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด (systemic circulation) เยี่ยงโมเลกุลไขมันสายโซ่ยาวทั้งหลายนั้น เป็นคอนเซ็พท์หรือ "<b>ข้อสันนิษฐาน</b>" เชิงทฤษฎี </p><p> <i>ประเด็นที่ 2.</i> การที่คนกินน้ำมันมะพร้าวแล้วไขมัน LDL เพิ่มสูงขึ้น เป็น "<b>ข้อเท็จจริง</b>" จากการวิจัยในคน</p><p> <i>ประเด็นที่ 3.</i> วิชาแพทย์ก็เหมือนวิชากฎหมายนั่นแหละ คือข้อเท็จจริงย่อมหักล้างข้อสันนิษฐาน</p><p> <i>ประเด็นที่ 4. </i>ติดตามมาด้วยการมีผู้เสนอข้อสันนิษฐานใหม่ว่ากรดลอริก (lauric acid) ซึ่งประกอบเป็นส่วนใหญ่ของน้ำมันมะพร้าวนั้น โมเลกุลของมันค่อนข้างใหญ่เพราะมีอะตอมคาร์บอน 12 อะตอม และไม่ได้มีพฤติการณ์ทางชีวเคมีแบบโมเลกุลสายโซ่ขนาดกลางหรือ MCFA ทั้งหลาย แต่มีพฤติการณ์แบบโมเลกุลสายโซ่ขนาดยาวหรือ LCFA คือถูกดูดซึมเข้าสู่ทางกระแสเลือด (systemic circulation) </p><p> ข้อสันนิษฐานอันหลังนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการวิจัยโดย Denke ที่พบว่ากรดลอริกถูกดูดซึมเข้าทางกระแสเลือด (คือผ่านผนังลำไส้แล้วมาก่อตัวเป็นนมน้ำเหลือง (chylomicron) ในท่อน้ำเหลือง แล้วเข้าสู่กระแสเลือด) </p><p> ปวดหัวแมะ เดี๋ยวข้อสันนิษฐาน เดี๋ยวข้อเท็จจริง ถ้าคุณไม่ชอบแยกแยะคุณก็ต้องเลิกอ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ทซะ เพราะหากแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเป็นข้อเท็จจริง อันไหนเป็นข้อสันนิษฐาน คุณจะถูกข้อมูลในอินเตอร์เน็ทพาให้เสียเงินซื้อของที่เขาหลอกขายให้อยู่ร่ำไป </p><p> นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p>บรรณานุกรม</p><p>1. Neelakantan N, Seah JYH, van Dam RM. The effect of coconut oil consumption on cardiovascular risk factors: a systematic review and meta-analysis of clinical trials.Circulation. 2020; 141:803–814. doi: 10.1161/CIRCULATIONAHA.119.043052</p><p>2. Eyres L, Eyres MF, Chisholm A, and Brown RC. Coconut oil consumption and cardiovascular risk factors in humans. Nutr Rev. 2016 Apr; 74(4): 267–280. doi: 10.1093/nutrit/nuw002</p><p>3. Mensink RP. Effects of Saturated Fatty Acids on Serum Lipids and Lipoproteins: A Systematic Review and Regression Analysis. Geneva: World Health Organization; 2016:1–7</p><p>4. DiBello JR, McGarvey ST, Kraft P, Goldberg R, Campos H, Quested C, Laumoli TS, Baylin A. Dietary patterns are associated with metabolic syndrome in adult Samoans. J Nutr. 2009 Oct; 139(10):1933-43.</p><p>5. Prior IA, Davidson F, Salmond CE, Czochanska Z. Cholesterol, coconuts, and diet on Polynesian atolls: a natural experiment: the Pukapuka and Tokelau island studies. Am J Clin Nutr. 1981 Aug; 34(8):1552-61.</p><p>6. Denke MA, Grundy SM. Comparison of effects of lauric acid and palmitic acid on plasma lipids and lipoproteins. Am J Clin Nutr. 1992; 56:895–898. doi: 10.1093/ajcn/56.5.895</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-37478216353851484652020-12-04T08:21:00.000+07:002020-12-04T08:21:50.124+07:00ร่างกายนี้สร้างขึ้นมาด้วยข้อมูลจากข้างใน<div><i><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUb14Bop_GuSU06FRrtUzB_ZIBOfAazGDwLljhvC8irxi5vYevhjD2ZSqkNQuwBA5moY3F7yU-e7nFrPRcwoFXxqDpVLR9bBK8v4yT3kXq4zBugKzrgRKQ5CY0B29aj46b1u974kdRH6U/s2048/IMG_0393.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="2048" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUb14Bop_GuSU06FRrtUzB_ZIBOfAazGDwLljhvC8irxi5vYevhjD2ZSqkNQuwBA5moY3F7yU-e7nFrPRcwoFXxqDpVLR9bBK8v4yT3kXq4zBugKzrgRKQ5CY0B29aj46b1u974kdRH6U/w200-h200/IMG_0393.jpg" width="200" /></a></div><br /> (หมอสันต์พูดแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนผู้แสวงหาด้วยกัน เห็นว่าอาจมีประโยชน์ จึงเอามาเขียนไว้ให้ท่านผู้สนใจได้อ่าน)</i></div><div><br /></div><div><b>วิธีที่จะรู้จักชีวิต</b></div><div><br /></div><div> "การจะรู้จักชีวิต ไม่ใช่ด้วยการผ่าศพดูร่างกายให้ละเอียดไปทีละอวัยวะ หรือด้วยการคิดคาดเอาตามตรรกะและเหตุผล เพราะร่างกายก็มีแต่เซลที่ผลัดกันเกิดผลัดกันตายตลอดเวลา ความคิดก็เป็นเพียงการรีไซเคิลข้อมูลเก่าที่เราเคยรับเข้ามา มันจะพารู้จักชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนได้อย่างไร วิธีคิดอย่างตรรกะเป็นเหตุเป็นผลหรือวิธีที่เรียกกันว่าวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่วิธีที่จะพาคุณไปรู้จักชีวิตให้ได้มากกว่านี้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นเพียงรูปแบบของการคิดหรือเป็นเพียงระบบความเชื่ออย่างหนึ่งแค่นั้นเอง การจะรู้จักชีวิตให้มากกว่าที่เรารู้จักอยู่ตอนนี้มีวิธีเดียว คือคุณต้องทำให้การรับรู้หรือ perception ของคุณแหลมคมขึ้น ถ้าคุณทำให้มันแหลมคมขึ้นและเปิดมันรับข้อมูลเต็มๆ คุณก็จะรู้หรือจะดาวน์โหลดข้อมูลความจริงทั้งหมดได้ตูมเดียว ซึ่งในทางปฏิบัติความแหลมคมนี้สร้างขึ้นได้จากการใช้เครื่องมือต่างๆมาช่วยทิ้งความคิดไปให้หมดก่อน จนความสนใจไปอยู่ในความรู้ตัวที่ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป จนพ้นไปจากสิ่งที่อายนตนะทั้งห้าเคยรับรู้และที่ภาษาเคยอธิบายได้ ลึกระดับนั้นแหละ ความแหลมคมในการรับรู้จะคมมากพอจนพาคุณหลุดพ้นได้" </div><div><br /></div><div><b>ความหลุดพ้นคืออะไร</b></div><div><br /></div><div> "ความหลุดพ้นก็คือ เมื่อคุณนั่งอยู่ตรงนี้ ร่างกายของคุณอยู่ที่นี่ ใจของคุณอยู่ที่นั่น แต่คุณจริงๆอยู่อีกที่หนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากร่างกายและใจหรือความคิดของคุณไว้ระยะหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นที่ร่างกายและที่ใจไม่ระคายเคืองคุณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นก็คือความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวตน (change of identity) </div><div><br /></div><div> พูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นคือการตระหนักรู้ธรรมชาติของร่างกายและใจ ตระหนักรู้หมายความว่ากายและใจนี้มันเป็นของมันอย่างนี้มาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่เราโง่มาตลอด เราไม่เคยรู้จักมัน แล้วอยู่ๆเราก็รู้จักมันจริงๆขึ้นมา แค่นั้นเอง</div><div> </div><div> พูดอีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นก็คือการที่ประสบการณ์ชีวิตเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็เป็นอิสระต่อกันอยู่แล้วแต่เราไม่เคยรู้ เพราะประสบการณ์เกิดจากการสนองตอบต่อสิ่งเร้า เดิมเราสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปอย่างอัตโนมัติตามความเคยชินเราจึงนึกว่าสิ่งเร้าภายนอกเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา แต่เมื่อเรารู้จักสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบเอาความสนใจจดจ่อและเลือกสนองตอบต่อแต่ละสิ่งเร้าอย่างพินิจบรรจง เราจึงได้รู้ว่าการสนองตอบต่อสิ่งเร้านี้เป็นอิสระต่อสิ่งเร้า</div><div><br /></div><div><b>ประโยชน์ของความหลุดพ้น</b></div><div><br /></div><div> ประโยชน์ของความหลุดพ้นมีอย่างน้อยก็สามข้อ <i>ข้อหนึ่ง</i> คือทำให้พ้นจากทุกข์ <i>ข้อสอง</i> คือทำให้ได้รู้สิ่งที่อยากรู้แต่ไม่เคยรู้มาก่อน <i>ข้อสาม</i> คือเพิ่มศักยภาพที่จะใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ได้มากขึ้น"</div><div> </div><div> "ดังนั้นคนที่โหยหาความหลุดพ้นจึงมีสามจำพวก <i>พวกที่หนึ่ง</i> คือพวกที่กำลังมีความทุกข์แล้วอยากพ้นทุกข์ <i>พวกที่สอง</i> คือพวกที่อยากรู้ <i>พวกที่สาม</i> คือพวกที่อยากจะเพิ่มศักยภาพในการสร้างสรรค์เพื่อโลกและเพื่อชีวิตอื่นๆให้เต็มศักยภาพที่ตนมี"</div><div> </div><div><b>ทุกคนหลุดพ้นได้ถ้าอยากหลุดพ้น</b></div><div><b><br /></b></div><div><b> </b>การเกิดมาเป็นคนซึ่งมีระบบประสาทกลางพัฒนามามากมายผิดสัตว์ชนิดอื่นนี้ มันเปิดโอกาสให้คนทุกคนหลุดพ้นจากกรงของความคิดที่จองจำตัวเองอยู่ได้ หากเขาหรือเธออยากหลุดพ้น คนรุ่นก่อนเป็นผู้ชี้ให้เห็นทางเส้นนี้ คนรุ่นเราแค่ตัดสินใจเลือกว่าจะทดลองเดินไป หรือจะเลือกมีชีวิตอยู่แบบสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่งกิน นอน ขับถ่าย สืบพันธ์ แล้วตายไป ตรงนี้เป็นทางเลือกที่แต่ละคนเลือกเอง</div><div><br /></div><div><b>ร่างกายและใจนี้คือข้อจำกัด</b></div><div><b><br /></b></div><div> "มองย้อนกลับไปดูประสบการณ์เก่าๆในชีวิตสิ สิ่งที่จำกัดคุณไว้ก็คือร่างกายและใจนี้แหละ แต่ขณะเดียวกัน คุณก็เรียนรู้ทุกประสบการณ์ผ่านร่างกายและใจนี้ ทั้งคู่นี้ ผมหมายถึงร่างกายกับใจ ต่างก็เป็นทั้งเครื่องมือที่ทำให้คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ได้ และขณะเดียวกันก็เป็นข้อจำกัดไม่ให้คุณรู้อะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าประสบการณ์เก่าๆของคุณ"</div><div><br /></div><div> "ความทุกข์ทุกชนิดที่เกิดกับคุณ ล้วนผ่านมาทางร่างกายนี้หรือใจนี้ทั้งสิ้น มีความทุกข์ที่ผ่านมาทางอื่นโดยไม่ผ่านกายและใจนี้ไหม ไม่มี้ โรงงานอุตสาหกรรมผลิตความทุกข์ทุกชนิดอยู่ในใจนี้หมด แม้สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ทางกายแท้จริงแล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ใจ ทั้งชีวิตคุณหมดไปกับความพยายามเสาะหาความปลอดภัยและมั่นคงเพราะคุณกลัวทุกข์ที่ผ่านมาทางใจนี้ คุณไม่กล้าใช้ชีวิตเต็มที่เพราะคุณกลัวเป็นทุกข์กลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย แต่คุณรู้ไหมการเสาะหาความมั่นคงปลอดภัยก็คือการเสาะหาความตายนั่นเอง ความตายเป็นความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่มีเสียหรอกที่จะมั่นคงหรือปลอดภัย ชีวิตมีธรรมชาติพริ้วไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"</div><div><br /></div><div><b>อิสรภาพเกิดเมื่อฝ่าข้ามข้อจำกัดได้</b></div><div><br /></div><div> "เมื่อใดที่คุณได้มีโอกาสรับรู้ว่าคุณจริงๆนั้นเป็นอิสระจากกายและใจนี้ เป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งมวล เมื่อนั้นทุกข์ที่ผลิตขึ้นที่ในกายและใจนี้จะไม่มีผลระคายอะไรต่อคุณตัวจริงเลยแม้แต่น้อย แล้วคุณก็จะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ไม่กลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคงปลอดภัยอีกต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆลองนึกดูสิคุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร คุณจะยังใช้ชีวิตแบบกล้าๆกลัวๆ กลัวจะเหยียบพลาดแล้วเกิดทุกข์อย่างที่เคยเป็นมาตลอดอีกไหม หรือว่าคุณจะใช้ชีวิตต่อแต่นี้ไปอย่างอิสระเสรีปลอดจากความกลัว เบิกบาน เมตตา และสร้างสรรค์ มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาลสุดประมาณ คุณจะเล่นกับชีวิตอย่างไรก็ได้ โดยที่ชีวิตไม่อาจขีดข่วนคุณได้แม้แต่น้อย คุณโยนตัวคุณทั้งตัวเข้ามาในชีวิตได้เลย คุณเต็มที่กับชีวิตได้เลย</div><div><br /></div><div><b>ความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดที่ข้างใน</b></div><div><br /></div><div> ร่างกายนี้ใจนี้มันมีข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยไกลโพ้นไปจากที่เราจะจินตนาการถึงมากมาย เพราะจินตนาการของเราถูกจำกัดด้วยการเรียนรู้ในอดีตซึ่งเป็นแค่การรับข้อมูลผ่านอายตนะ แต่อายตนะมันหยาบ ข้อมูลละเอียดลึกซึ้งจริงๆนั้นเรารับรู้ผ่านอายตนะไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นแค่ข้อมูลรายละเอียดภายในอะตอมซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเซลร่างกายนี่เราก็ไม่อาจรับรู้ได้แล้วเพราะขีดจำกัดของอายตนะไม่เอื้อให้เรารับรู้ได้ แล้วขึ้นชื่อว่าข้อมูลมันไม่ได้อยู่ที่เซลสมองเท่านั้นแต่มันอยู่ที่เซลร่างกายทุกเซล ทุกเซลมีดีเอ็นเอ. การทิ้งความคิดไปรับรู้ข้อมูลที่ข้างในอันมากมายลึกซึ้งเหล่านี้จะทำให้ตระหนักรู้กระบวนการสร้างและการดำเนินไปของชีวิตจากต้นจนจบ เพราะร่างกายนี้สร้างขึ้นมาจากข้อมูล (information) ที่อยู่ข้างใน ร่างกายประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ ส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์ใหญ่กว่าฮาร์ดแวร์มาก และฝังแฝงอยู่ในเซลทุกเซล ซอฟท์แวร์ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนโดยพลังงานชีวิต ซึ่งเป็นทั้งลมหายใจที่ช่วยต่ออายุร่างกายไปทีละขณะ ทีละขณะ เป็นทั้งพลังให้ความอบอุ่น เป็นทั้งความรู้สึกหรือ feeling ให้รับรู้ได้ เป็นทั้งพลังงานรักษาไม่ให้เซลเน่าเปื่อย และเป็นทั้งแรงพยุงร่างกายนี้ให้กึ่งๆลอยอยู่หรือตั้งอยู่ได้ ในแง่ของการเป็นเครื่องมือไปสู่ความหลุดพ้น พลังชีวิตเป็นตัวกลางช่วยดึงความสนใจออกมาจากความคิดเสมือนว่าเป็นสะพานเชื่อมโยงให้ความสนใจถอยกลับไปอยู่กับความรู้ตัวอันเป็นจุดตั้งต้นที่จะก่อให้เกิดความแหลมคมของการรับรู้ขึ้น ดังนั้นเมื่อคิดจะถอยความสนใจจากความคิดกลับเข้าข้างใน ให้คุณเริ่มที่พลังชีวิต</div><div><div><b><br /></b></div><div><b>ควรเลิกคุยกันเสีย แล้วลงมือวางความคิด</b></div><div><br /></div><div> "คอนเซ็พท์ ไอเดีย ปรัชญา ความเชื่อ คำสอนต่างๆ ทั้งหมดนั้นชวนให้เราลืมชีวิตตามที่มันเป็น แต่ชวนให้เรามายึดกุมความคิดที่คนรุ่นก่อนหรือตัวเราเองเต้ากันขึ้นโดยไม่มีรากฐานอยู่บนชีวิตของเราเองที่แท้จริงเลย จริงอยู่คอนเซ็พท์หรือหลักการต่างๆช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ง่ายขึ้นและทำให้สังคมสงบได้ชั่วคราวตรบใดที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังยอมเชื่อตามคอนเซ็พท์นั้น แต่ในแง่ของการแสวงหาความหลุดพ้น คอนเซ็พท์ทั้งหมดนั้นอย่างเก่งก็เป็นแค่การชี้ทาง ไม่ใช่การเดินทาง เราไม่ควรย้ำคิดหรือไตร่ตรองอยู่กับเส้นทางที่คนรุ่นก่อนชี้ว่าไปถึงตรงไหนแล้วมันจะเป็นอย่างไร เพราะการคิดหรือไตร่ตรองเป็นความคิด ธรรมชาติของความคิดมีแต่บวกกับคูณ ไม่มีลบหรือหาร คือยิ่งคิดยิ่งเพ้อเจ้อ เราต้องลงมือวางความคิด ไม่ใช่คิดไตร่ตรอง" </div><div><br /></div><div> "ลงมือวางความคิดผมหมายถึงว่าการเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น เห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นผมหมายถึงว่าเห็นทุกอย่างแบบการถ่ายรูปสะแน็ปช็อตโดยไม่ต้องมีคำบรรยายภาพ แล้วคำว่าเห็นนี้ไม่ใช่หมายถึงเห็นสิ่งภายนอกผ่านลูกกะตานะ เพราะเมื่อเรามองออกมาจากความรู้ตัวซึ่งเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของเรา สิ่งที่เราจะเห็นเป็นด่านแรกไม่ใช่ทิวทัศน์ข้างนอก แต่ก็คือใจของเราซึ่งดาระดาษไปด้วยความคิดสนองตอบอัตโนมัติต่อทิวทัศน์ภายนอก ความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจทีละช็อตทีละช็อตนั่นแหละที่เราจะต้องเห็นมันตามที่มันเป็น"</div><div><br /></div><div> "ผมเห็นว่ายิ่งอ่านหนังสือมาก ดูวิดิโอคลิปมาก คุยกันมาก ยิ่งมีประโยชน์น้อย เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าอุปสรรคใหญ่ที่ขวางทางความหลุดพ้นก็คือความคิด ดังนั้นสิ่งที่พึงทำไม่ใช่การอ่าน การดู การฟัง หรือการพูดคุย เพราะกิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่จะเพิ่มความคิด สิ่งที่พึงทำคือการลงมือวางความคิด ถอยความสนใจออกจากความคิดกลับไปอยู่กับความรู้ตัว โฟกัสอยู่ตรงนั้น ทำทุกเมื่อเชื่อวัน ทำอยู่บ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ แล้วในที่สุดก็จะหลุดพ้น ไม่ต้องไปคิดคาดการณ์หรือสงสัยว่าจากตรงนั้นแล้วชีวิตจะดำเนินต่อไปทางไหน ความสงสัยนั้นคุณคิดมันขึ้นมาเอง คุณต้องวางมันลงเอง ผมไม่มีหน้าที่เคลียร์ความสงสัยให้คุณ ผมบอกคุณได้แต่ว่าไม่ต้องไปสงสัยหรือคาดการณ์อะไร เพราะชีวิตที่เบิกบานและเป็นอิสระจากสิ่งเร้าภายนอกแล้ว มันจะมีทางไปที่ดีของมันเอง"</div></div><div><br /></div><div>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-78506558359986871222020-12-03T18:45:00.003+07:002020-12-03T18:48:38.433+07:00ตั้งครรภ์แล้วตรวจไทรอยด์หมอบอกต่ำ กลัวได้ลูกเป็นคนง่าวคนเอ๋อ<p> </p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZNoRPmbmfQqUIaoUqdGzW_h7ek2DSgVi-X38X85aYg9hU4DrFIJkKHprHxXO8L2dFTgVWdfBoKcHHU3MQ4CVtrr22JPQySH88uXCbabPPZEzQyMQRfseFPup_yYo9T0jPGjASjhiDTc/s2048/IMG_0523.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="2048" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZNoRPmbmfQqUIaoUqdGzW_h7ek2DSgVi-X38X85aYg9hU4DrFIJkKHprHxXO8L2dFTgVWdfBoKcHHU3MQ4CVtrr22JPQySH88uXCbabPPZEzQyMQRfseFPup_yYo9T0jPGjASjhiDTc/w200-h200/IMG_0523.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>พวงครามที่หลังบ้าน</i></td></tr></tbody></table><br />คุณหมอคะดิฉันรบกวนถามคำถามคุณหมอนะคะ. คือดิฉันตั้งครรภ์ 10 สัปดาห์แล้ว พอไปฝากครรภ์แล้วตรวจเลือด ผลออกมาว่า ค่าฮอร์โมนไทรอยด์ 0.53 คะ หมอที่ฟากครรภ์บอกว่าค่อนค้างต่ำ คือดิฉันฟังเขาเข้าใจแค่นั้น (อยู่ที่มาเลเซีย) ดิฉันรบกวนคุณหมอช่วยดูผลตรวจเลือดให้ได้ไมคะ (รบกวนด้วยคะ) ค่า 0.53 นั้นเป็นอันตรายมากไมคะกับการตั้งครรภ์ แล้วกินยากะตุ้นฮอร์โมนตอนนี้จะยังทันไมคะ ลูกจะมีพัฒนาการช้าลึปล่าวคะ จะมีผลกะทบอะไรกับลูกไมคะ.ขอรบกวนคุณหมอด้วยคะ<p></p><p>TSH 0.53 mIU/L</p><p>Thyroxine (FT4) 13.3 pmol/L</p><p>Triiodothyronine (FT3) pmol/L</p><p>ด้วยความเคารพ.</p><p>...........................................................</p><p>ตอบครับ</p><p> อยู่มาเลเซีย ท่าทางภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรง หรือบางที่เป็นชนชาติบ้านพี่เมืองน้อง แต่ไม่ว่าเป็นคนชาติไหนก็เขียนมาเถอะ ผมตอบให้หมด เพราะสำหรับหมอสันต์ชีวิตต่างหากที่เป็นหน่วยนับที่มีความหมายแท้จริง ชาติ ศาสนา ประเทศ เป็นสมมุติบัญญัติที่ไม่ได้มีความหมายแท้จริงอะไร แต่เคยมีเหมือนกันนะที่แฟนบล็อกนี้เป็นชาวเวียดนามเขียนมาโดยเอากูเกิ้ลแปลมาให้ ผมอ่านดูแล้วงงเต๊กไม่รู้เรื่องเลยว่าถามอะไร อย่างนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน แล้วอย่าเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษนะ เพราะบล็อกนี้ไม่รับตอบจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ เพราะกลัวว่านานไปบล็อกนี้จะกลายเป็นบล็อกภาษาอังกฤษไปเสียฉิบ </p><p> พูดถึงว่าภาษาอังกฤษนี้เป็นภาษากลางซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย วันหนึ่งพวกเด็กๆวัยรุ่นน้องๆที่มาถ่ายทำวิดิโอให้เล่าโจ๊กให้ฟังว่าที่บริษัทสัมภาษณ์พนักงานใหม่สาวสวยผมสีทองเป็นที่ต้องตากรรมการ ซึ่งเธอออกตัวว่า</p><p><i> "ภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ"</i> กรรมการสัมภาษณ์บอกว่า</p><p><i> "ไม่เป็นไร ใช้วิธีเขียนด้วยขณะคุยกันก็ได้"</i> เธอตอบว่า</p><p><i> "เขียนก็ยิ่งไม่ค่อยได้ค่ะ" </i>กรรมการบอกว่า</p><p><i> "ไม่เป็นไร งั้นคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก็แล้วกัน"</i> เธอตอบชัดถ้อยชัดคำว่า</p><p><i> "ภาษาอังกฤษไม่ได้เลยค่ะ" </i></p><p> (ฮ่า ฮ่า ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)</p><p> เลิกคุยเล่นมาตอบคำถามของคุณดีกว่า</p><p> 1. ถามว่า TSH คืออะไร ตอบว่าคือฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ชื่อเต็มของมันคือ thyroid stimulating hormone มันปล่อยออกมาจากต่อมใต้สมอง ยามใดที่ต่อมไทรอยด์ขี้เกียจหรือผลิตฮอร์โมนไทรอยด์น้อยลง ต่อมใต้สมองก็จะผลิต TSH ออกมามากเพื่อกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากขึ้น แต่ยามใดที่ฮอร์โมนไทรอยด์มีมากเกินไป ต่อมใต้สมองก็จะผลิตฮอร์โมน TSH น้อยลง ทำให้ต่อมไทรอยด์ลดกิจกรรมการผลิตลง</p><p> 2. ถามว่า TSH ตรวจได้ 0.53 mIU/L ต่ำผิดปกติไหม ตอบว่าไม่ต่ำหรอกครับ ค่าปกติคือ 0.35 - 4.94 ปกติก็คือปกติ เพราะนี่มันเป็นพื้นฐานของวิชาสถิติซึ่งเหมาโหลเรียกคนส่วนใหญ่ 95% ว่าเป็นคนปกติ ยกตัวอย่างเช่นในตำบลปากแหว่งที่ผู้คนปากแหว่งกันหมด แหว่งมากบ้าง แหว่งน้อยบ้าง ทุกคนก็ถือว่าเป็นคนปกติตราบใดที่ยังแหว่งอยู่ ส่วนคนไม่แหว่งเลยนั่นแหละจึงจะถือว่าผิดปกติ เส้นแบ่งระหว่างปกติกับผิดปกติก็คือเส้นสมมุติที่แบ่งระหว่างคนส่วนใหญ่ (95%) ซึ่งถือว่าเหมือนชาวบ้านเขา กับคนส่วนน้อย (5%) ซึ่งไม่เหมือนชาวบ้านเขา </p><p> อีกวิธีหนึ่งคือวงการแพทย์ได้ค่าปกติมาจากการนับเอาว่าไม่มีอาการของโรค ยกตัวอย่างเช่นคนที่ค่า TSH อยู่ในระหว่าง 0.35 - 4.94 เป็นคนไม่มีอาการของโรคไื่ฮเปอร์ไทรอยด์ (ต่อมทำงานมากเกิน) หรือไฮโปไทรอยด์ (ต่อมทำงานน้อยเกิน ของคุณได้ค่า 0.53 ก็อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่มีอาการของโรค ก็คือปกตินั่นแหละ อย่าไปหาเรื่องตะแบงค่าปกติให้มันกลายเป็นผิดปกติโดยใช้คำพูดว่ามันปกติมากไปหรือปกติน้อยไป เพราะนั่นไม่ใช่วิชาสถิติแล้ว เป็นวิชาเล่นคำ</p><p> 3. ถามว่าแล้วค่า Thyroxine (FT4) คืออะไร ตอบว่าคือฮอร์โมนไทรอยด์ที่ต่อมไทรอยด์ผลิตขึ้นแล้วปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด F ย่อมาจาก free แปลว่าอิสระเสรี T ย่อมาจาก thyroxine แปลว่าฮอร์โมนไทรอยด์ เลข 4 ที่ห้อยก้นอยู่แปลว่ามีธาตุไอโอดีนอยู่ในโมเลกุลนี้ 4 อะตอม ค่า FT4 นี้เป็นค่ามาตรฐานในการใช้ประเมินระดับฮอร์โมนไทรอยด์ ถ้าสูงเกินไปก็เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ซึ่งจะมีอาการกินจุ แต่ผอม นอนไม่หลับ ใจสั่นเพราะการเผาผลาญสูง ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นไฮโปไทรอยด์ซึ่งจะมีอาการอ้วน ขี้หนาว ไขมันในเลือดสูง ของคุณนี้ค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติก็เรียกว่า euthyroid คือกำลังดี ไม่ไฮเปอร์ ไม่ไฮโป</p><p> 4. ถามว่าแล้วค่า Triiodothyronine (FT3) คืออะไร ตอบว่ามันก็คือฮอร์โมนไทรอยด์อีกตัวหนึ่งซึ่งมีอะตอมไอโอดีนอยู่ 3 อะตอมต่อหนึ่งโมเลกุล อันที่จริง FT3 นี้เป็นตัวออกฤทธิ์เดชเป็นฮอร์โมนจริงๆ ขณะที่ FT4 นั้นเป็นสารตั้งต้น (prohormone) ที่จะเอามาผลิตเป็น FT3 อีกทีหนึ่ง แต่เวลาเราตรวจดูฮอร์โมนต่อมไทรอยด์วงการแพทย์นิยมตรวจ FT4 ตัวเดียว เพราะมันเป็น 80% หรือเป็นบ่อใหญ่ของฮอร์โมนไทรอยด์ทั้งหมดในร่างกายก่อนเอาไปผลิตเป็น FT3 ซึ่งเป็น 20% ของฮอร์โมนทั้งหมด ถ้าบ่อใหญ่แห้ง เราจะรู้จากการที่ค่า FT4 ลดลงต่ำก่อนระดับ FT3 เสียอีก ของคุณทั้ง FT3 และ FT4 ก็ล้วนอยู่ในเกณฑ์ปกติดี</p><p> 5. ถามว่าแล้วคนท้องจะมีปัญหาอีท่าไหนกับต่อมไทรอยด์ ตอบว่ามีปัญหาได้สองแบบ</p><p><i> แบบที่หนึ่ง</i> คือหากต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (hypothyroidism) ซึ่งทราบจากค่า TSH สูงผิดปกติ และค่า FT4 ต่ำผิดปกติ นอกจากแม่จะมีการเผาผลาญต่ำและมีอาการอ้วน ขี้หนาว ขี้เกียจแล้ว ลูกที่ออกมายังจะกลายเป็นคนง่าว คนเอ๋อ หรือคนสึ่งตึงอีกด้วย รู้จักไหม ง่าว เอ๋อ สึ่งตึง ทั้งสามคำนี้แปลรวมๆได้ว่า "ฉลาดน้อย" ดังนั้นในการตั้งครรภ์อย่างน้อยควรจะได้เจาะเลือดดูฮอร์โมน TSH และ FT4 สักหนึ่งครั้งเป็นการคัดกรองโรคนี้ หากพบว่าแม่เป็นโรคนี้ก็จะได้รีบรักษาโดยการให้ฮอร์โมนทดแทน ก็จะทันป้องกันไม่ให้ลูกเป็นคนง่าวคนเอ๋อ</p><p><i> แบบที่สอง</i> คือคือหากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (hyperthyroidism) ซึ่งทราบจากค่า TSH ต่ำผิดปกติ และค่า FT4 สูงผิดปกติ นอกจากแม่จะมีอาการกินจุแต่ผอม ใจสั่น นอนไม่หลับแล้ว อาจมีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้ คือออกมาแล้วไม่โง่ แต่ตัวเล็กเป็นปลาเค็ม ซึ่งหากตรวจพบเสียก่อนว่าแม่เป็นโรคนี้ก็จะได้รีบรักษาโดยการให้ยาต้านไทรอยด์ชนิดที่ไม่มีผลต่อทารก แม่ก็จะคลอดลูกได้ปลอดภัย </p><p> กล่าวโดยสรุป กรณีของคุณผลการตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ขณะตั้งครรภ์พบว่าปกติดี ไม่ต้องขยันไปทำอะไรต่ออีกแล้ว ไม่ต้องกังวลโน่นนี่นั่นด้วย เฉยไว้ เดี๋ยวดีเอง</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-81707541802448952872020-12-02T23:45:00.002+07:002020-12-02T23:48:18.977+07:00ผ.มีกิ๊ก แล้วจะทำอย่างไรดี<p> <table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyndW_-AAIvTw6qNsLVNaEmzxRbFJn4z0lcSn4Ua17TKMA1HZFBN_WYkHJIT4MQzqdQGZKNn-mrF94nXTT__KN7IKwttsM-a5uUxNX8ufjiIV68Qs7Vp0F8Fpc9JYZiPIrZ8JBT486H8g/s2048/IMG_0463.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyndW_-AAIvTw6qNsLVNaEmzxRbFJn4z0lcSn4Ua17TKMA1HZFBN_WYkHJIT4MQzqdQGZKNn-mrF94nXTT__KN7IKwttsM-a5uUxNX8ufjiIV68Qs7Vp0F8Fpc9JYZiPIrZ8JBT486H8g/w200-h150/IMG_0463.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ถั่วฝักยาวล็อตใหม่หลังฝน<br /></td></tr></tbody></table><br />คุณหมอคะ</p><p>เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ดิฉันเพิ่งทราบว่าสามีรับเพื่อน ผญ ที่เคยทำงานด้วยกันจากบริษัทเก่ามาร่วมงานด้วย ผญ คนนี้เคยลืมชุดว่ายน้ำในห้องพักสามี ตอนไปประชุมด้วยกันค่ะ สามีบอกดิฉันว่า "ไม่มีอะไร" มาเปลี่ยนชุดเฉยๆ...ดิฉันก็หลับตาฟังและเชื่อเค้า...หลังจากนั้นก็มีเหตุให้สามีต้องย้ายงานค่ะ ผ่านมาได้ 6-7 ปี จนมาทราบว่า ผญ มาทำงานกับสามีอีก สามีรับเข้ามา และปิดดิฉันมา 1 ปีค่ะ เหตุที่ไม่บอกดิฉันเพราะเดี๋ยวดิฉันมีปัญหา สามีบอกว่าทำงานไม่มีอะไร ปฏิเสธทุกอย่าง ผญ แต่งงานมีครอบครัวแล้วเหมือนกัน มีอายุมากกว่า มีตำแหน่งสูงกว่า แต่ขอมาเป็นลูกน้องสามีค่ะ...โลกสีชมพูที่ทำงานของเค้าทำให้ดิฉันเหมือนโดนลากมาตบให้ตื่น ตื่นมางงๆ </p><p>และยังไม่ทราบจะทำตัวอย่างไรต่อไปดีคะคุณหมอ</p><p>..........................................................................................</p><p><br /></p><p>ตอบครับ</p><p> หิ..หิ ขำตรงโดนลากมาตบให้ตื่น</p><p> เออ ว่าแต่คุณเขียนมาหาผมทำไมละครับ จะถามว่าอะไร หรือจะเขียนมาระบายเฉยๆ เหมือนโจ๊กที่สาระวัตรเล่าว่าคุณยายสูงอายุสาวโสดคนหนึ่งขึ้นมาบนโรงพัก แล้วก็บรรยายความกับสารวัตรฉอดๆๆยาวเหยียดสรุปได้ว่า</p><p> <i> "มันเป็นผู้ชาย ขึ้นมาถึงบนบ้านฉัน ฉันกลัวจึงหลบอยู่ในตู้ แต่มันก็หาฉันจนพบแล้วดึงแขนฉันออกมาแล้วจับหน้าอกฉัน แต่อยู่ๆมันก็เหมือนได้ยินอะไรหรือคิดอะไรได้ มันก็ผลุนผลันลงจากบ้านไปเฉยๆ"</i></p><p> สารวัตรจึงถามว่า</p><p><i> "ที่คุณยายเล่ามาเนี่ย ต้องการอะไรหรือครับ จะให้ผมลงบันทึกประจำวัน สืบจับตัวคนร้าย หรืออย่างไร"</i></p><p> คุณยายตอบว่า</p><p><i> "ฉันก็ไม่ต้องการอะไรหรอกค่าท่านสารวัตร แค่อยากเล่าสู่กันฟัง"</i></p><p> (ฮ่า ฮ่า ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)</p><p> แต่ในกรณีของคุณนี้ผมเดาคำถามให้ก็แล้วกันนะ ว่าคุณอยากจะถามว่าถ้า ผ. มีกิ๊ก แล้วคุณควรจะทำอย่างไรต่อไปดี จะรื้อวงให้แตกเห็นดำเห็นแดงกันไป หรือจะทำเป็นหลับตาเสียข้างหนึ่งกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กันไปแบบหลวมๆต่อไป </p><p> ตอบว่า..ก่อนอื่นอย่าว่าหมอสันต์แก่แล้วตอบแบบไม่เข้าใจหัวอกคนที่อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างคุณนะ ผมเข้าใจ ทำไมผมจะไม่เข้าใจ เพราะคนไข้ของผมเองที่มีปัญหาแบบนี้ก็มีมากอยู่ ผมเข้าใจว่าแรงกระแทกทางอารมณ์ความรู้สึกต่อคู่สมรสที่รู้สึกว่าตัวเองถูกทรยศนั้นมันหนักหนาสาหัสเหลือเชื่อ บ้างกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่นานหลายปี บ้างกลายเป็นโรคซึมเศร้าตลอดชีพ บ้างกลายเป็นโรคกังวลว่าเรื่องบ้าๆนี้มันจะพาชีวิตไปจบที่ตรงไหนเพราะมองอย่างไรก็ไม่เห็นทางออกนอกจากข้อสรุปล่วงหน้าว่าชีวิตของฉันนี้มัน..ชิพหายเสียแล้ว เหมือนคนถูกถีบตกบ่อลึก ร้องหาคนมาช่วย เจ้า ผ. เฮงซวยทำทีจะมาโยนเชือกช่วยแต่ก็ดันเอาหินโยนลงมาแทนเสียฉิบ มองไปทางไหนก็ไม่รู้สึกว่าในโลกนี้มีคนที่เชื่อถือได้เหลืออยู่อีกเลย</p><p> แต่ทั้งที่รู้หัวอกของคุณว่าเป็นอย่างไร คำตอบของผมก็ยังเป็นคำตอบของผมเหมือนเดิม เพราะผมตอบจากมุมของคนแก่แดดแก่ลมมาได้ที่แล้ว ว่าทางเลือกที่คุณควรทำมากที่สุดคือ</p><p> 1. ถอยฉากออกมาจากทุกคนที่ร่วมแสดงในเรื่องนี้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกาคาบข่าวนั่นแหละตัวดีที่คุณต้องอยู่ห่างๆไว้ </p><p> 2. ให้อภัยทุกคนที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง ผ. ของคุณด้วย ถ้าเขามาเสาะข่าวว่าคุณจะเอายังไงกับเขาก็บอกเขาไปตรงๆว่าคุณเชื่อเขา หรือคุณให้อภัยเขาถวายสุนัขไปแล้ว ไม่ต้องไปคิดเอาเรื่องเอาราวอะไรกับใครตอนนี้ อะไรจะเกิดจากนี้ต่อไปก็ให้มันเกิด ช่างมัน หันมาสนใจดูแลตัวเองก่อน </p><p> 3. หันมาดูแลตัวคุณเอง ถ้ายังไม่เคยไปออกกำลังกายให้เริ่มเปลี่ยนชีวิตใหม่ด้วยการไปออกกำลังกายทุกวัน จัดเวลานอนหลับให้เต็ม อาศัยภาระหน้าที่ประจำวันจดจ่อทำทุกงานอย่างตั้งใจไม่ว่อกแว่ก ว่างงานก็ฝึกวางความคิด ตามดูลมหายใจ ฝึกรับพลังงานจากภายนอกเข้ามาเสริมพลังชีวิตด้วยการหายใจเข้าลึกๆ เป่าลมหายใจออกทางปากช้าๆ ผ่อนคลายร่างกาย พร้อมกับรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าแผ่สร้านไปทั่วร่างกาย ทำอย่างนี้บ่อยๆเพื่อสร้างพลังชีวิต ถ้ามีเวลาเหลือมากก็ไปเรียนดนตรี เต้นรำ ร้องเพลง ปลูกต้นไม้ คือใช้ชีวิตอย่างแอคทีฟและเป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อน ทำอะไรก็ได้ ขอแค่อย่าไปจมอยู่กับความคิดเรื่องผัวมีชู้เป็นพอ ช่วงนี้เป็นช่วงสะสมกำลังรบ อย่าไปยุ่งเรื่องอื่น สะสมกำลังรบอย่างเดียว</p><p> 4. ช่วงสะสมกำลังรบอาจจะนานหลายเดือนหรือหลายปี จนคุณยืนบนขาตัวเองในทางจิตใจได้แน่นอนแล้ว จึงค่อยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา เรียงทางเลือกที่เป็นไปได้ไว้ตรงหน้า ให้คะแนนข้อดีข้อเสียแต่ละทาง แล้วตัดสินใจเลือก ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเลือกทางไหน คุณก็จะไปได้สวยทั้งนั้น เพราะในทางจิตใจคุณยืนบนขาตัวเองได้แล้ว คุณจะเลือกแกล้งโง่แล้วอยู่กันต่อไปแบบทำเป็นไม่รู้ หรือเลือกให้อภัยสามียอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วให้มันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเลือกถีบเขาทิ้งออกไปจากชีวิตคุณเลย คุณเลือกได้ทั้งนั้น และทุกทางเลือกผลมันจะออกมาดี เพราะคุณแข็งแรงแล้ว</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-80193536650471339092020-12-01T11:22:00.011+07:002020-12-01T12:21:21.665+07:00วิ่งแล้วเสียชีวิต ประเด็นที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSpVAeKEMqmXs-ECdoADirfax58VcTDqTJi1SHt3Y4k7Jhb6WDtCi2IwI2HWO9QjacGpWArKQIf7UgN3ZE73yrKcc1FJj6eyXF1EdqPEd9nRrx0OdKWcWw_HgspNoF7wDgrqakpWerKuw/s2048/IMG_0462.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSpVAeKEMqmXs-ECdoADirfax58VcTDqTJi1SHt3Y4k7Jhb6WDtCi2IwI2HWO9QjacGpWArKQIf7UgN3ZE73yrKcc1FJj6eyXF1EdqPEd9nRrx0OdKWcWw_HgspNoF7wDgrqakpWerKuw/w200-h150/IMG_0462.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>หญ้ารกที่ทางเข้าบ้านมวกเหล็ก</i><br /></td></tr></tbody></table><br /><p></p><p>เรียน คุณหมอสันต์</p><p> จากข่าวเร็ว ๆ นี้ "สลดงานวิ่งดับวันเดียว 3 ราย รองอธิบดีควบคุมโรค-ระยอง 2" ทั้ง ๆ ที่มีหน่วยรักษาพยาบาลอยู่ในเหตุการณ์ อยากทราบว่าทำไมไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทัน และมีทางจะป้องกันเหตุการณ์แบบนี้บ้างหรือไม่ คำตอบของคุณหมอคงจะได้คลายสงสัยให้กับคนที่ชอบออกกำลังกายครับ</p><p>ขอแสดงความนับถือ</p><p>.........................................</p><p>ตอบครับ</p><p> ปกติผมไม่ยุ่งกับข่าว แต่จดหมายถามเรื่องข่าววิ่งแล้วตายนี้มีเข้ามาหลายฉบับ และการตอบอาจจะมีประโยชน์ในแง่การอาศัยข่าวนี้สร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลตัวเองมากขึ้น</p><p><b> ประเด็นที่ 1. ความเสี่ยงของการตายกะทันหันนอกโรงพยาบาล</b> ก่อนที่เราจะตื่นตูมเรื่องอะไร เราต้องเข้าใจเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงของเรื่องนั้นๆก่อน เช่นคนเขาตื่นกันว่าโลกจะแตกหรือน้ำจะท่วมกรุงเทพ โลกมันอาจจะแตกจริงๆหรือน้ำมันอาจจะท่วมกรุงเทพจริงๆสักวันหนึ่ง แต่โอกาสที่มันจะเกิดในแต่ละวันที่ผ่านไปมันมีกี่เปอร์เซ็นต์ หากเปอร์เซ็นต์มันน้อยมากมันก็ไม่คุ้มที่เราจะไปตื่นตูม ไม่งั้นเราก็จะมีชีวิตอยู่แต่ในความกลัวทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่เกิดเลยตลอดชีวิตเรา แบบที่พวกนักปฏิบัติธรรมเขาเรียกกันว่า <i>"หาเรื่องทุกข์ฟรี"</i></p><p> กลับมาที่ความเสี่ยงของการตายกะทันหันนอกโรงพยาบาลโดยไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุ สถิติที่เก็บอย่างดีและเชื่อถือได้มากที่สุดน่าจะเป็นของแคนาดา คือโอกาสตายกะทันหันนอกโรงพยาบาลมี 56/100,000 ต่อปีหมายความว่าในหมู่คนหนึ่งแสนคน แต่ละปีจะตายกะทันหัน 56 คน เทียบเป็นคนไทยซึ่งปีนี้มี 66.5 ล้านคนก็เท่ากับว่าคนไทยมีตายกะทันหันปีละ 37,240 คน หรือวันละ 102 คน ฟังให้ดีนะ วันหนึ่งตายกะทันหันกันเป็นร้อย ขณะที่ตายทำอะไรกันอยู่บ้างก็มีตั้งแต่หลับตาย ตื่นใหม่ๆแล้วตาย ตายขณะนั่งเฉยๆ ตายขณะกินข้าว ตายขณะออกกำลังกาย ตายคาอก ฯลฯ ดังนั้นเมื่อมีข่าวการตายกะทันหันขึ้นมาสามรายในหนึ่งวัน ขอให้เราเข้าใจว่าปกติมันเกิดวันละเป็นร้อย เพียงแต่ที่เหลือมันไม่เป็นข่าว</p><p><b> ประเด็นที่ 2. ความเสี่ยงของการตายกะทันหันขณะวิ่งมาราธอน</b> วารสารการแพทย์อังกฤษ (BMJ) เคยตีพิมพ์การตายกะทันหันขณะวิ่งมาราธอนว่ามีอัตราตาย 1/126,000 (คนครั้ง) หมายความว่าหากมีคนมาวิ่งในงานราวหนึ่งแสนสองหมื่นคน จะเกิดการตายกะทันหันประมาณหนึ่งคน วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (NJOM) ก็เคยตีพิมพ์สถิติอัตราตายกะทันหันขณะวิ่งมาราธอนไว้ว่าอยู่ที่ 1/250,000 (คนครั้ง)ทั้งสองรายงานเป็นข้อมูลความจริงที่เชื่อถือได้ทั้งคู่แต่รวบรวมมาจากคนละการแข่งขัน จะเห็นว่าในภาพใหญ่ความเสี่ยงของการตายกะทันหันขณะวิ่งมาราธอนเป็นความเสี่ยงในระดับที่ถือว่าต่ำมาก ทุกครั้งเมื่อเราเข้าร่วมวิ่งมาราธอน เรารู้ว่ามีความเสี่ยงนี้อยู่แล้ว แต่เราไปวิ่งเพราะประโยชน์ที่จะได้จากการวิ่งมันมีมากกว่าความเสี่ยง ส่วนด้านความเสี่ยงนั้นเราก็จัดการป้องกันในส่วนที่ป้องกันได้เสีย</p><p> <b>ประเด็นที่ 3. การตายกะทันหันขณะวิ่งมาราธอนเกิดจากอะไรได้บ้าง</b> ความเป็นไปได้ของสาเหตุการตายกะทันหันขณะวิ่งออกกำลังกาย ผมคัดมาเฉพาะความเป็นไปได้สูงสุดเก้าอันดับแรก ดังนี้</p><p><i><b> 1. ร่างกายไม่ฟิต</b></i> ไม่เคยใช้งานหนัก แล้วอยู่ๆก็ถูกโหมใช้งานหนัก ระบบทั้งระบบปรับตามไม่ได้ ทำให้เกิดความล้มเหลวเฉียบพลันขึ้นในระบบสำคัญเช่นระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ เป็นต้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทุกระบบก็ทำงานได้ตามปกติ</p><p><i><b> 2. กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI)</b></i> หมายความว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่ก่อน แล้วเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดนั้นเฉียบพลัน (acute MI)</p><p><b><i> 3. กล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) </i></b>แล้วเกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน กรณีนี้มักจะเป็นกับคนหนุ่มคนสาวซึ่งเป็นนักกีฬาเล่นกีฬาหนักๆแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ เพราะโรคนี้พวกหนึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด อีกพวกหนึ่งมาเป็นเอาตอนโตแล้วจากการติดเชื้อไวรัสบ้าง จากความดันเลือดสูงบ้าง</p><p> <i><b> 4. อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไป (heat stroke)</b></i> เหมือนรถยนต์ที่หม้อน้ำแห้งแล้วเครื่องร้อนจนลูกสูบแตก</p><p><i><b> 5. เกิดการหดตัวของหลอดเลือดหัวใจ (coronary spasm)</b></i> และหลอดเลือดในที่อื่นๆทั่วร่างกาย มักเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลไกในระดับหลอดเลือดนั้นวงการแพทย์รู้ว่าหลอดเลือดนี้มันขยายตัวพองอยู่ได้เพราะมีการผลิตสารไนตริกออกไซด์ (NO) ขึ้นที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือด ร่วมกับการบีบและคลายหลอดเลือดโดยระบบประสาทอัตโนมัติ มีหลายเหตุการณ์ที่พบร่วมกับการที่กลไกนี้หยุดทำงาน เหตุการณ์เหล่านั้นได้แก่ </p><p>(1) ร่างกายขาดน้ำ </p><p>(2) อดนอน </p><p>(3) ความเครียดเฉียบพลัน (ระดับปรี๊ด..ด แตก) </p><p>(4) การมีระดับเกลือ (sodium) ในกระแสเลือดสูง </p><p>(5) การมีระดับไขมันในกระแสเลือดสูง </p><p>(6) การมีสารพิษเช่นสารจากบุหรี่ ยาฆ่าแมลง ในกระแสเลือดสูง </p><p><b><i> 6. น้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)</i></b> มักเกิดในผู้ป่วยเบาหวานที่กินยาลดน้ำตาลในเลือดอยู่แล้วไม่ได้ปรับยาตามอาหารและกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ผิดแผกไปจากวันปกติ</p><p><b><i> 7. หลอดเลือดใหญ่ปริแตก (aortic dissection)</i></b> มักเป็นกับคนที่ความดันเลือดสูง และเป็นโรคหลอดเลือดอยู่ก่อน</p><p><b><i> 8. ลิ่มเลือดอุดปอด (pulmonary embolism)</i></b> คือมีลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในหลอดเลือดดำใหญ่ที่ท่อนล่างของร่างกาย แล้วลิ่มเลือดนั้นหลุดไปอุดหลอดเลือดที่ปอด มักเป็นกับคนที่ปกตินอนแซ่วเช่นนอนหลังผ่าตัดในโรงพยาบาลนานๆ หรือคนมีนิสัยนั่งๆนอนๆเป็นวิถีชีวิต แล้ววันหนึ่งเกิดขยันลุกขึ้นขยับหรือกระโดดโลดเต้นกระแทกกระทั้น ลิ่มเลือดที่เคยจอดนิ่งอยู่ในหลอดเลือดดำก็วิ่งจู้ดขึ้นไปอุดหลอดเลือดที่ปอดทำให้ปอดหายใจไม่ได้</p><p><i><b> 9. หัวใจเต้นผิดปกติ (arrhythmia)</b></i> อันสืบเนื่องมาจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานขัดข้อง ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติแบบต่างๆ บางแบบเป็นชนิดอันตรายถึงตาย เช่น VF, VT แม้บางแบบเช่น AF ปกติไม่ก่อปัญหาถึงตาย แต่พอออกกำลังกายหนักๆก็ก่อปัญหาได้ แต่สำหรับหัวใจเต้นผิดปกติชนิด PVC ซึ่งคนเป็นกันมากนั้นไม่เกี่ยว หมายความว่า PVC ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับการตายกะทันหัน </p><p> นี่ว่ากันเฉพาะเหตุที่พบบ่อยนะ ยังเกิดจากเรื่องอื่นๆได้อีกอึดตะปือ แต่มันมีโอกาสเกิดน้อยไม่คุ้มที่จะเสียเวลาไปพูดถึง</p><p><b> ประเด็นที่ 4. จะวิ่งมาราธอนอย่างไรให้ปลอดภัย </b></p><p><i><b> 1. ต้องซ้อมก่อน</b></i> ร่างกายของคนเรานี้มีความสามารถปรับตัวได้เยอะมากถ้าค่อยๆซ้อม การซ้อมแบบค่อยๆเพิ่มความหนักจะเพิ่มความฟิตของร่างกายได้ถึง 30% ในเวลาแค่ 2 เดือน การพาร่างกายซึ่ง "อ่อนซ้อม" ลงสนามแข่ง ทำให้ต้องรีดต้องเค้นร่างกายมาก จนในที่สุดร่างกายก็สู้ไม่ไหว..ตายดีกว่า</p><p><i><b> 2. ควรปรับอาหารด้วย</b></i> เพราะการวิ่งมาราธอนต้องพึ่งพาการขยายตัวของหลอดเลือดที่มั่นคงแน่นอน งานวิจัยพบว่าการผลิตไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในของหลอดเลือดซึ่งทำให้เลือดขยายตัวดีนั้น จะผลิตได้ดีมากหากได้อาหารพืชบางชนิดที่ให้ไนเตรท เช่น บีทรูท แตงโม ส้ม ผักใบเขียว ทับทิม องุ่น ถั่วและนัท นักวิ่งมาราธอนจึงควรเพิ่มปริมาณอาหารพืชให้หลากหลายโดยให้มีอาหารที่ให้ไนเตรทสูงเหล่านี้รวมอยู่ด้วย </p><p><i><b> 3. ถ้าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้ว</b></i> ต้องแม่นยำในการจำแนกอาการเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน (stable angina) กับการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) อย่างแรกนั้นอาการจะทุเลาลงทันทีและหายไปเมื่อผ่อนการออกกำลังกายลง ส่วนอย่างหลังนั้นอาการจะมากขึ้นๆแม้ว่าจะพักนานถึง 20 นาทีแล้วก็ยังไม่หาย อย่างหลังเป็นการเจ็บหน้าอกแบบอันตราย ต้องเรียกรถฉุกเฉินให้พาไปโรงพยาบาลทันที</p><p><i><b> 4. ถ้าจะเล่นกีฬาเป็นอาชีพ</b></i> ซึ่งต้องเล่นระดับหนักมากเป็นประจำ หรือหากคิดจะวิ่งแบบอยากจะเอาให้หนักมากโดยไม่เคยวิ่งหนักอย่างนั้นมาก่อน ควรตรวจคัดกรองโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการเสียหน่อยก็ดี เพราะการออกกำลังกายระดับหนักมากเป็นความเสี่ยงต่อหัวใจอย่างหนึ่ง การตรวจต้องไปให้หมอหัวใจใช้เครื่องเอ็คโค (echo) เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจ ไม่เจ็บตัว เพราะไม่ได้ฉีดสีหรือทำอะไรรุกล้ำ</p><p><i><b> 5. ให้ร่างกายได้พักผ่อนนอนหลับให้พอ</b></i> โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คืนก่อนลงสนาม </p><p><i><b> 6. ดื่มน้ำให้มากพอ </b></i>ทั้งก่อนวิ่ง ขณะวิ่ง และหลังวิ่ง</p><p><b><i> 7. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและอาหารไขมันสูง</i></b> โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ปรุงด้วยการใช้น้ำมันผัดทอด เพราะงานวิจัยโดยใช้กล้องถ่ายรูปในหลอดเลือด (IVUS) พบว่าเกลือก็ดี ไขมันก็ดี ทำให้หลอดเลือดหดตัวง่าย</p><p><i><b> 8. กรณีกินหรือฉีดยาเบาหวาน ต้องปรับลดขนาดยาวันก่อนวิ่ง</b></i> เพราะร่างกายจะใช้กลูโค้สมากกว่าปกติ ขณะที่อาหารที่กินมักจะมีปริมาณน้อยกว่าปกติ</p><p><i><b> 9. ในขณะวิ่งต้องเลี้ยงตัวให้อยู่ในระดับหนักพอควรก็พอ</b></i> คือระดับความหนักของการออกกำลังกายนี้มีสามระดับ ถ้าร้องเพลงได้แสดงว่าอยู่ในระดับเบา ระดับหนักพอควร (moderate intensity) หมายความว่าเหนื่อยหอบจนร้องเพลงไม่ได้แต่ยังพูดได้ ส่วนระดับหนักมากหมายถึงเหนื่อยจนพูดไม่ได้เลย ในการวิ่งมาราธอนควรหลีกเลี่ยงการวิ่งในระดับหนักมาก นั่นเป็นวิธีวิ่งร้อยเมตร ไม่ใช่วิ่งมาราธอน ในแง่ของผลวิจัย การออกกำลังกายระดับหนักมากเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดจุดจบที่เลวร้ายของโรคหัวใจมากขึ้น</p><p><i><b> 10. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์</b></i> หรือใช้สารกระตุ้นระบบประสาทกลางทุกชนิด</p><p><b><i> 11. เมื่อมีอาการเหนื่อยหรือแน่นหน้าอกเกิดขึ้น ให้ผ่อนคลายตัวเองทันที </i></b> แม้แค่รู้สึกเปลี้ย เพลีย สู้ไม่ไหวก็ให้ใส่เกียร์ถอยได้แล้ว อย่าพยายามฝืนหรือมุ่งมั่นวิ่งเข้าเส้นชัย หรือฝืนสร้างสถิติทั้งๆที่เริ่มแน่นหน้าอก ให้ผ่อนการออกแรงลงทันที หากอาการยังอยู่ก็ลดระดับการออกแรงลงไปอีกๆๆ ลดจากวิ่งเป็นเดิน จากเดินเป็นหยุดยืน จากยืนเป็นนั่ง จากนั่งเป็นนอน ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายโดยการหายใจเข้าลึกๆเต็มปอด แล้วหายใจออกโดยค่อยๆเป่าลมออกจากปากช้าๆพลางสั่งให้กล้ามเนื้อร่างกายผ่อนคลายตั้งแต่หัวถึงเท้า ยิ้มที่มุมปากเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายผ่อนคลายได้แล้วจริง ทำอย่างนี้ซ้ำๆหลายๆครั้งจนอาการเหนื่อยและแน่นหายไป หัดทำอย่างนี้บ่อยๆ </p><p> ทุกครั้งขณะเดินเร็วหรือวิ่งอยู่ให้หัดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมโดยเป่าออกทางปากช้าๆ พร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายไปด้วย รับรู้ความรู้สึก (feel) ร่างกายว่ายังมีพลังพอไหม ยังสบายดีอยู่หรือเปล่าตลอดเวลา ในการวิ่งอย่าคิดอะไรฟุ้งสร้านเปะปะ ให้ความสนใจอยู่กับลมหายใจและร่างกายตลอดเวลา พูดง่ายๆว่าให้ทิ้งความคิดมาอยู่กับเวทนาของร่างกาย ฝึกอย่างนี้ให้ชำนาญ</p><p><b> ประเด็นที่ 5. ผู้จัดงานวิ่งควรเตรียมความพร้อมอย่างไร</b> การจัดงานวิ่งทุกครั้งผมสังเกตเห็นว่ามีการเตรียมรถพยาบาล มาตรฐานของรถพยาบาลไทยมีเครื่องช็อกไฟฟ้า (AED) อยู่แล้วทุกคัน มีคนที่ได้รับการฝึกอบรมในการช่วยชีวิตมาอย่างดีแล้วทุกคัน แต่ยังมีบางประเด็นที่อาจจะมีประโยชน์ คือ</p><p> 1. งานวิจัยพบว่าส่วนใหญ่การเสียชีวิตกะทันหันขณะวิ่งมาราธอนเกิดขึ้นที่ 20% สุดท้ายของระยะวิ่ง หมายถึงช่วงก่อนเข้าเส้นชัย ดังนั้นการเอารถฉุกเฉินคลานตามคนวิ่งได้ที่โหล่ไป รถจะอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นช่วงก่อนเข้าเส้นชัยมาก มีอะไรเกิดขึ้นทางโน้น ทางนี้ไปไม่ทัน ดังนั้นสรรพกำลังหลักต้องปักหลักอยู่ในย่านที่มีโอกาสเกิดเหตุสูง แล้ววางแผนจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วไปยังจุดอื่น</p><p> 2. ผมสังเกตเห็นว่าน้องๆทีมงานช่วยชีวิตที่มากับรถฉุกเฉินเองมักจะมีสภาพร่างกายไม่พร้อม แค่ดูหุ่นและวิธีการเคลื่อนไหวไกลๆก็รู้แล้วว่าไม่พร้อม ผมพูดอย่างนี้น้องๆคงไม่โกรธ เพราะผมเองเป็นครูตระเวณสอนการช่วยชีวิตทั่วประเทศมายาวนานหลายสิบปี น้องๆที่อยู่ในแวดวงการช่วยชีวิตทุกวันนี้มีไม่น้อยที่เป็นลูกศิษย์ หรือหลานศิษย์ หรือเหลนศิษย์ของผมเอง ในการปกป้องพื้นที่ที่ยาวไกลอย่างการวิ่งมาราธอน หรือในพื้นที่ยากลำบากอย่างการวิ่ง trail ในป่า ผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิตต้องมีร่างกายที่ฟิตอย่างยิ่ง ผมเคยพาคนไปออกกำลังกายโดยการแข่งกันวิ่งขึ้นบันไดวัดพระขาวที่กลางดง ซึ่งมีบันไดหกร้อยกว่าขั้น พอมีคนหมดสติที่ข้างบน พยาบาลผู้ช่วยชีวิตต้องขึ้นๆลงๆบันไดนั้นถึงสามรอบ ลองนึกภาพว่าหากพยาบาลไม่ฟิตจะเป็นอย่างไร ดังนั้นอย่ามองมิชชั่นการปกป้องการวิ่งมาราธอนว่าเป็นจ๊อบแถม แบบลงเวรดึกมาแล้วมาต่องานนี้ การทำงานนี้เราควรจะต้องฟิตอย่างยิ่ง ร่างกายต้องพร้อมอย่างยิ่ง ใจต้องถูกฝึกให้มีสติพร้อมรับมือภาวะฉุกเฉิน (crisis management) อยู่ตลอดเวลา</p><p><b> บทสรุป</b> ข่าวคนตายขณะวิ่งนี้ ช่วยให้ความรู้แก่เรา ช่วยให้เราปรับปรุงวิธีการออกกำลังกายของเราให้ปลอดภัยขึ้น แต่อย่าไปแพร่ข่าวเพื่อสร้างความกลัว หรือกระจายความขี้เกียจออกกำลังกาย เพราะในบรรดาความเสี่ยงตัวเบ้งๆของการตายและทุพลภาพจากโรคหัวใจนั้นมีห้าตัวคือ (1) บุหรี่ (2) ไขมัน (3) ความดัน (4) เบาหวาน (5) การไม่ออกกำลังกาย ความเสี่ยงในการออกกำลังกายมีอยู่ก็จริงแต่มีน้อย ประโยชน์ที่จะได้จากการออกกำลังกายมีมากกว่าความเสี่ยง แม้สำหรับคนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเองก็ตาม ตัวผมเองก็เป็นตัวอย่างได้ ตัวผมเองเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆอยู่เกือบทุกวันโดยใช้หลักการความปลอดภัยที่เล่าไปข้างต้นทั้งหมด </p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p>บรรณานุกรม</p><p>1. Kim JH, Malhotra R. et al. for the Race Associated Cardiac Arrest Event Registry (RACER) Study Group. Cardiac Arrest during Long-Distance Running Races. N Engl J Med 2012; 366:130-140 DOI: 10.1056/NEJMoa1106468</p><p>2. Corrado D, Basso C, Rizzoli G, Schiavon M, Thiene G. Does sports activity enhance the risk of sudden death in adolescents and young adults? J Am Coll Cardiol. 2003; 42: 1959–1963.</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-17120386717732962502020-11-29T22:22:00.002+07:002020-11-29T22:33:27.300+07:00หลักสูตร Cooking Class รุ่นพิเศษสำหรับแม่ครัวของวัดและศาสนสถาน<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-Kf75YgbnTrOiCZAYVwpDuQDPqXHDaFOFlDh53d18eqyuRrZXnVy22HK9rVH4yQQkND9qtmxB-6zHuUtQuH8QT0bKJ48GnDFq7-XD3QSLmJUcGB3ujdLn3TvsyBacuKuysPY78f3O0Qs/s2048/IMG_0464.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-Kf75YgbnTrOiCZAYVwpDuQDPqXHDaFOFlDh53d18eqyuRrZXnVy22HK9rVH4yQQkND9qtmxB-6zHuUtQuH8QT0bKJ48GnDFq7-XD3QSLmJUcGB3ujdLn3TvsyBacuKuysPY78f3O0Qs/s320/IMG_0464.jpg" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">หลุมขนมครก ยังขังน้ำฝนไว้ได้อย่างน้อยถึงสิ้นปี<br /></td></tr></tbody></table><br /> วันที่ 14 ธค. 63 นี้ เวลเนสวีแคร์จะให้การฝึกอบรมการทำอาหาร (cooking class) ให้แก่แม่ครัวของวัดและศาสนสถาน จำนวน 50 คน (เต็มแล้ว) เป็นหลักสูตรสองวันหนึ่งคืน โดยเวลเนสวีแคร์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมทั้งหมด ด้วยเป้าหมายว่าแม่ครัวที่ผ่านการฝึกอบรมนี้จะไปทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้แก่สาธารณชนที่เข้าไปใช้ศาสนสถานและสถานที่บริการอาหารสาธารณะต่างๆ และจะช่วยกันสร้างสรรค์อาหารไทยเพื่อสุขภาพให้เติบโตเผยแพร่กว้างขวางต่อๆไป ผมเห็นว่าเนื้อหาสาระที่เตรียมไว้ให้การอบรมแก่แม่ครัวในครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ จึงนำมาลงให้แฟนบล็อกที่สนใจได้อ่าน <p></p><p><br /></p><p><b><u>บทที่ 1. เนื้อหาสาระของการเป็นอาหารสุขภาพ</u></b></p><p> <i><b>1. ต้องเป็นพืช (plant based)</b></i> คือเป็นอาหารพืชเป็นหลัก เนื้อสัตว์ถ้าจะมีก็เป็นแค่กระสายหรือเป็นแค่ส่วนประกอบ</p><p><i><b> 2. ต้องเป็นอาหารในรูปแบบใกล้ธรรมชาติ (whole food)</b></i> ซึ่งมีประเด็นย่อยสำคัญสองประเด็นคือ</p><p><i> 2.1 ไม่มีการสกัด</i> หมายถึงการแยกเอามาแต่ส่วนที่ให้แคลอรี่ เช่นเอามาในรูปของน้ำมัน หรือน้ำตาล หมายความว่าน้ำมันกับน้ำตาลเป็นอาหารสกัดเอากากทิ้ง ซึ่งไม่ใช่อาหารสุขภาพ </p><p><i> 2.2 ไม่มีการขัดสี</i> หมายถึงการขัดผิวของธัญพืชหลายๆครั้งเพื่อเอารำออกจากเมล็ด เช่นการขัดข้าวกล้องให้เป็นข้าวขาว อาหารไทยที่ดีจึงต้องเป็นข้าวกล้องไม่ใช่ข้าวขาว</p><p><b> <i> 3. ต้องมีคุณค่าต่อหน่วยแคลอรีสูง (nutrient density)</i></b> หมายความว่าในจำนวนแคลอรีที่เท่ากันอาหารสุขภาพควรมีคุณค่าอื่นคือกาก เกลือแร่ วิตามิน สูงด้วย เช่นเปรียบเทียบน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องกับสลัดผักหนึ่งจานต่างก็มีแคลอรีเท่ากันคือ 110 แคลอรี แต่ว่าสลัดมีคุณค่ามากกว่า ขณะที่น้ำอัดลมมีแต่แคลอรี</p><p><i><b> 4. ต้องมีความหลากหลายทางโภชนาการ</b></i> อาหารที่ดีต้องมีความหลากหลายเพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุเล็กๆน้อยๆแม้จะต้องการไม่มากแต่ก็ขาดไม่ได้ ความหลากหลายของอาหารนี้บอกได้จากสี รสชาติ ฤดูกาล</p><p><b><i> 5. ต้องไม่ก่อโรค</i> </b>ในที่นี้ก็คือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่นอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดัน โรคหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม ซึ่งผมขนานนามว่าหกสหายวัฒนะ อาหารที่ก่อโรคหกสหายวัฒนะนี้มีสามส่วนเท่านั้นแหละ คือ</p><p><i> 5.1 แคลอรี </i>หรือพลังงาน ถ้ามีมากเกินไปก็ทำให้เป็นโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน แคลอรีนี้มาจากอาหารให้แคลอรี่อันได้แก่ไขมันทุกชนิด น้ำตาล และแป้งขัดสี</p><p><i> 5.2 ไขมันอิ่มตัว</i> ซึ่งเป็นตัวก่อโรคหลอดเลือด มักมาสองทาง คืออาหารเนื้อสัตว์ และน้ำมันผัดทอดอาหาร ดังนั้นอาหารที่ดีจึงไม่ควรปรุงด้วยการผัดทอดด้วยน้ำมัน</p><p><i> 5.3 เกลือ</i> หมายถึงโซเดียม เป็นของจำเป็นแต่ถ้ามีมากเกินไปก็ก่อโรคความดันเลือดสูง</p><p> การจะสร้างอาหารไทยเพื่อสุขภาพต้องให้มีสาระสำคัญครบถ้วนทั้งห้าประเด็นนี้</p><p><b><i> 6. ควรมีรูปแบบในการนำเสนอที่หลากหลาย</i></b> เนื่องจากคนกินอาหารมีหลายกลุ่ม มีระดับการยอมรับอาหารเพื่อสุขภาพต่างกัน จึงต้องมีรูปแบบของการนำเสนอให้เหมาะกับกลุ่ม ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีสามกลุ่ม คือ</p><p><i> รูปแบบที่ 1. ง่ายๆแบบธรรมชาติ</i> หมายถึงกินง่ายๆไม่ปรุงแต่งมาก ตัวอย่างเช่น เอาฟักต้มในน้ำเปล่าแล้วกินได้เลยเป็นหนึ่งมื้อ หรือเช่นเอาถั่วลิสงซึ่งแช่ข้ามคืนไว้แล้วมาใส่โถ แล้วซอยกล้วยลูกหนึ่งเป็นแว่นใส่ลงไปด้วย แล้วปั่น แล้วเอาช้อนตักกินได้เป็นอาหารสำหรับทั้งวัน นี่เรียกว่ากินในรูปแบบง่ายๆแบบธรรมชาติ เหมาะสำหรับพวกฮาร์ดคอร์สายสุขภาพซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก</p><p><i> รูปแบบที่ 2. ตรงๆแต่กลมกล่อม</i> หมายถึงกินมังสวิรัติก็เป็นมังสวิรัติแบบตรงไปตรงมาไม่หลอกล่อแต่ว่าปรุงรสให้มันกลมกล่อม ซึ่งคำว่ากลมกล่อมนี้มันหมายถึงรสของกลูตาเมตซึ่งเป็นโมเลกุลโปรตีนชนิดหนี่งในอาหารธรรมชาติ และมีคนสกัดออกมาเป็นผลึกเรียกว่าผงชูรสนั่นแหละ อาหารในรูปแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่เห็นความสำคัญของอาหารสุขภาพแต่ยังติดในรสชาติเดิมที่คุ้นเคย</p><p><i> รูปแบบที่ 3 อาหารลอกเลียนรูปลักษณ์เนื้อสัตว์</i> หมายถึงอาหารพืชแต่ทำหน้าตาและรสชาติเลียนแบบเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่นกรณีลูกค้าเป็นเด็กถ้าอาหารไม่ใช่หน้าตาแบบไส้กรอกหรือแฮมเบอร์เกอร์จะไม่แตะเลย แต่ถ้าทำหน้าตาเหมือนไส้กรอกหรือแฮมเบอร์เกอร์แม้รสชาติจะไม่เหมือนมากก็ยังจะยอมลองกินบ้าง </p><p> ในการสร้างอาหารไทยเพื่อสุขภาพ ต้องทำทั้งสามรูปแบบ เพราะแต่ละรูปแบบก็เหมาะสำหรับแต่ละกลุ่มคน ไม่อาจจะใช้แทนกันได้</p><p><b><u><br /></u></b></p><p><b><u>บทที่ 2. วิธีการทำอาหารไทยเพื่อสุขภาพ</u></b></p><p> ที่ศูนย์สุขภาพเวลเนสวีแคร์ ทำอาหารไทยเพื่อสุขภาพโดยใช้หลักดังนี้</p><p> 1. ใช้พืชที่สะอาดเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร ไม่ใช้เนื้อสัตว์เลย </p><p> 2. ไม่มีการใช้น้ำมันผัดทอดอาหารเลยไม่ว่าน้ำมันชนิดใดๆทั้งสิ้น กรณีเป็นเมนูผัดทอด จะใช้น้ำในการผัด หรือใช้ลมร้อนในการทอดแทน แต่ผู้บริโภคจะไม่ขาดไขมัน เพราะในอาหารธรรมชาติเช่นถั่วต่างๆ งา นัท อะโวกาโด เนื้อมะพร้าว ก็มีไขมันอยู่ในตัวมากอยู่แล้ว อีกทั้งเครื่องปรุงที่ทำจากพืชบางชนิดก็มีไขมันอยู่ในตัวระดับหนึ่ง</p><p> 3. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทำอาหารให้มากที่สุด โดยอาศัยความหวานตามธรรมชาติของอาหารช่วย เช่นทำน้ำสต๊อกจากพืชผัก หรือใช้ผลไม้ที่มีรสหวานตามธรรมชาติเช่นอินทผลัมเข้ามาช่วยปรุงรส เป็นต้น</p><p> 4. ลดปริมาณเกลือลงให้เหลือน้อยที่สุด ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรในการสร้างรสทดแทน</p><p> 5. ใช้วิธีหมักพืชบางชนิดเช่นเห็ด หรือใช้ผงปรุงรสสำเร็จรูปที่ได้จากการหมักเห็ดหรือพืชอื่นๆจนเกิดกลูตาเมทขึ้น แล้วนำมาปรุงรสอาหาร</p><p> 6. เน้นการใช้ ถั่ว งา นัท แฟลกซีด และเมล็ดพืชต่างๆ เป็นแหล่งของโปรตีนและไขมัน</p><p> 7. เน้นการใช้ธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งของแคลอรี</p><p> 8. เลือกใช้วิธีปรุงอาหารที่สงวนคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้มากที่สุดตามลำดับจากมากไปหาน้อย คือ (1) ใช้ความเย็น (2) ตากแห้งหรืออัดแท่ง (3) ไมโครเวฟ (4) ต้มหรือนึ่ง (5) ผัดด้วยน้ำ (6) ทอดด้วยลมร้อน (7) อบในเตาอบ (6) ย่างไฟ</p><p><br /></p><p><b><u>บทที่ 3. ตัวอย่างเมนู</u></b> ที่จะใช้ในการฝึกอบรมครั้งนี้</p><p>Station 1. ไอซ์ฟรุต (การใช้ความเย็น)</p><p>Station 2. คุ้กกี้ไร้แป้ง (การตากแห้งหรืออัดแท่ง)</p><p>Station 3. <span> แกงเลียง (</span>การทำและใช้น้ำสต๊อค)</p><p>Station 4. ข้าวต้มถั่วธัญพืช (การต้ม)</p><p>Station 5. ข้าวผัดผักรวมมิตร (การผัดด้วยน้ำ)</p><p>Station 6. เต้าหู้แอร์ฟรายด์ (การทอดด้วยลมร้อน)</p><p>Station 7. ถั่วและนัทอบ (การอบด้วยเตาอบ), และทำสลัดหลากสี</p><p>Station 8. ทาโค่ (อาหารด่วน) และทำนมถั่วลิสง</p><p>Station 9. แกงฮังเลเทมเป้</p><p>Station 10. การทำอาหารด้วยไมโครเวฟ</p><p>Station 11. น้ำผลไม้ปั่นไม่ทิ้งกาก และทำเครื่องดื่ม trace element </p><p><br /></p><p><b><u>บทที่ 4. (ภาคผนวก) ความรู้หลักโภชนาการพื้นฐาน</u></b></p><p><i><b>1. สารอาหาร (nutrients) </b></i></p><p> คือสิ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับผ่านการกินการดื่ม แบ่งเป็น 6 หมู่ คือ (1) คาร์โบไฮเดรต (2) ไขมัน (3) โปรตีน (4) วิตามิน (5) เกลือแร่ (6) น้ำ</p><p><i><b>2. คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวกับเชิงซ้อน</b></i></p><p> คาร์โบไฮเดรต คืออาหารแป้งและน้ำตาล ที่โมเลกุลประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ที่ให้พลังงาน 4 แคลอรีต่อกรัม แบ่งเป็นสองชนิดคือ</p><p><i> (1) คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (simple carbohydrate)</i> ก็คือน้ำตาล ซึ่งประกอบขึ้นจากโมเลกุลพื้นฐานเช่นกลูโคสเพียงหนึ่งหรือสองโมเลกุลและให้แต่พลังงานโดยไม่มีกากและคุณค่าอย่างอื่น ตัวน้ำตาลนี้ยังแบ่งออกเป็นอีกสองชนิด คือ</p><p> น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosacharide) เช่นกลูโค้ส ฟรุ้คโต้ส กับ</p><p> น้ำตาลโมเลกุลคู่ (disacharide) เช่นน้ำตาลทรายหรือซูโครส (กลูโคส + ฟรุ้คโต้ส) น้ำตาลในนมหรือแล็คโต้ส (กลูโคส + กาแล้คโต้ส) เป็นต้น</p><p> แต่ไม่ว่าจะเป็นโมเลกุลเดี่ยวหรือคู่ก็มีลักษณะเหมือนกันคือให้แต่แคลอรีโดยไม่มีวิตามินเกลือแร่และกาก</p><p><i> (2) คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrate)</i> ก็คือแป้ง ซึ่งประกอบขึ้นจากโมเลกุลกลูโคสจำนวนมากมาต่อกันเป็นสายโซ่ อาหารแป้งในธรรมชาติมีความโดดเด่นตรงที่มันมีกากหรือเส้นใย (fiber) และอาหารธรรมชาติที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธัญพืชไม่ขัดสี มักเป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ด้วย</p><p><b><i>3. กากชนิดละลายน้ำได้และชนิดละลายไม่ได้</i></b></p><p> กากหรือเส้นใย (fiber) มีแต่ในอาหารพืชเท่านั้น อาหารเนื้อสัตว์ไม่มีกาก กากแบ่งออกเป็นสองชนิด คือ</p><p><i> (1) กากชนิดที่ละลายน้ำได้ (soluble fiber) </i>เช่นยางเหนียวที่ผิวของธัญพืชต่างๆและผลไม้เช่นแอปเปิลเป็นต้น มีคุณต่อร่างกายมาก ทั้งเป็นแหล่งให้วิตามินและเกลือแร่และเป็นตัวดูดซับไขมันโคเลสเตอรอลในอาหารไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าไปในลำไส้ เราจะได้รับกากชนิดนี้มากจากการเปลี่ยนธัญพืชแบบขัดสีเป็นแบบไม่ขัดสีเช่นเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง</p><p> <i> (2) กากชนิดละลายน้ำไม่ได้ (insoluble fiber)</i> คือเส้นใยหยาบทั้งหมดในอาหารพืช มีประโยชน์ที่ช่วยสร้างมวลอุจจาระทำให้อาหารไม่คั่งค้างหมักหมมอยู่ในลำไส้นานจนก่อมะเร็ง กากชนิดนี้เป็นอาหารให้แก่แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ด้วย เราจะได้กากชนิดนี้มากจากการกินอาหารพืชทุกชนิด</p><p><b><i>4. ไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว</i></b></p><p> ไขมัน คืออาหารที่มีส่วนประกอบของโมเลกุลคล้ายคาร์โบไฮเดรตคือทำจากธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนเหมือนกัน แต่จัดตัวภายในโมเลกุลต่างกัน โดยหนึ่งโมเลกุลไขมันประกอบขึ้นจากกรดไขมัน (fatty acid) สามโมเลกุลมาจับกับกลีเซอรอลหนึ่งโมเลกุล ไขมันไม่ละลายในน้ำ ไขมันให้พลังงาน 9 แคลอรีต่อกรัมซึ่งมากกว่าที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตสองเท่า ไขมันเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลของร่างกายและเป็นตัวพาวิตามินที่ละลายในไขมันคือวิตามิน เอ, ดี, อี, เค จากอาหารเข้าสู่ร่างกาย ไขมันแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ</p><p><i> (1) ไขมันอิ่มตัว (saturated fat)</i> คือไขมันที่โครงสร้างโมเลกุลไม่มีแขนว่างที่จะรับเอาโมเลกุลไฮโดรเจนเข้าไปผนวกได้อีกแล้ว สามารถอยู่ในสภาพของแข็งนอกตู้เย็นได้ ตัวอย่างเช่น น้ำมันสัตว์ต่างๆรวมทั้งน้ำมันหมูและเนยที่ทำจากไขมันวัว น้ำมันปาลม์ น้ำมันมะพร้าว วงการแพทย์ถือว่าไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันก่อโรคหลอดเลือด จึงควรหลีกเลี่ยง</p><p><i> (2) ไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fat)</i> คือไขมันที่โครงสร้างโมเลกุลมีแขนว่างที่จะรับเอาโมเลกุลไฮโดรเจนเข้าไปผนวกได้อีก วงการแพทย์ถือว่าไขมันไม่อิ่มตัวเป็นไขมันที่ไม่ก่อโรคหลอดเลือด</p><p><i><b>5. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน</b></i></p><p>ไขมันไม่อิ่มตัวยังแบ่งออกเป็นสองชนิด</p><p><i> (1) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) </i>คือไขมันที่โครงสร้างโมเลกุลมีแขนว่างที่จะรับเอาโมเลกุลไฮโดรเจนเข้าไปผนวกได้อีกเพียงหนึ่งโมเลกุล เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา มีความเสถียรและทนความร้อนได้ดีพอควร คือมีจุดเดือดสูงถึง 300 องศา แต่ว่าเวลาเอาอาหารลงทอดในน้ำมันซึ่งร้อนแต่ยังไม่เดือด พอใส่อาหารปุ๊บเดือดปั๊บ นั่นไม่ใช่น้ำมันเดือดนะ เป็นน้ำที่ติดอยู่ในอาหารเดือด เพราะน้ำมีจุดเดือดต่ำ คือ 100 องศาก็เดือดแล้ว</p><p><i> (2) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fat) </i> คือไขมันที่โครงสร้างโมเลกุลมีแขนว่างที่จะรับเอาโมเลกุลไฮโดรเจนเข้าไปผนวกได้อีกมากกว่าหนึ่งโมเลกุล เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันบางชนิดเช่นน้ำมันรำมีส่วนผสมของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนประมาณเท่าๆกัน ไขมันชนิดนี้ทนความร้อนได้น้อย มีจุดเดือดและจุดไหม้ต่ำ</p><p><b>6. สี่ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไขมันชนิดต่างๆ</b></p><p><i> (1) การให้แคลอรี่ </i>ไขมันไม่ว่าชนิดไหน อิ่มตัวไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยวหรือเชิงซ้อน ล้วนให้ 9 แคลอรีต่อกรัมเหมือนกันหมด นั่นหมายความว่าไขมันทุกชนิดทำให้อ้วนได้เท่ากันหมด</p><p><i> (2) การกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว</i> งานวิจัยพบว่าไขมันเป็นสารเคมีที่กระตุ้นให้ผนังหลอดเลือดหดตัวได้โดยตรง ซึ่งเป็นการเหนี่ยวไกให้เกิดสมองหรือหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โดยงานวิจัยพบว่าไขมันทุกชนิดกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวได้เท่ากันหมด</p><p><i> (3) การก่อโรคหลอดเลือด</i> งานวิจัยพบว่าไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันก่อโรค ขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัวเป็นไขมันไม่ก่อโรค</p><p><i> (4) การทนความร้อน</i> ไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันที่มีจุดเดือดและจุดไหม้สูงที่สุด คือทนความร้อนมากที่สุด ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวทนความร้อนได้ดีรองลงมา ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนทนความร้อนได้น้อยที่สุด งานวิจัยพบว่าหากใช้ไขมันที่ทนความร้อนได้น้อยปรุงอาหารในรูปแบบที่ใช้ความร้อนสูงเกินจุดไหม้ของมัน ไขมันนั้นส่วนหนึ่งจะกลายเป็นไขมันทรานส์ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพ</p><p> เนื่องจากคนส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาได้รับแคลอรีจากอาหารมากเกินไป จึงแนะนำให้กินอาหารไขมันที่อยู่ในอาหารธรรมชาติเช่นถั่วต่างๆ นัท และเมล็ดพืช เป็นหลัก แต่หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันปรุงอาหารเพราะงานวิจัยพบว่าการใช้น้ำมันปรุงอาหารเพิ่มแคลอรีให้อาหารได้ถึงสามเท่า ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันปรุงอาหาร ให้ใช้ครั้งละน้อยๆ โดยใช้ความร้อนต่ำๆ และให้น้ำมันสัมผัสความร้อนเป็นระยะเวลาสั้นที่สุด โดยแนะนำให้ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลาในการปรุงอาหาร เพราะเป็นไขมันไม่ก่อโรคที่ทนความร้อนได้ดีพอควร</p><p><b><i>7. น้ำมันมะกอกแบบเวอร์จินกับแบบธรรมดา</i></b></p><p> สภาน้ำมันมะกอกนานาชาติ (IOC) ได้กำหนดวิธีเรียกชื่อน้ำมันมะกอกไว้ว่าหากผลิตโดยวิธีหีบหรือบีบอัดโดยไม่ใช้สารเคมีเข้าไปสกัดหรือใช้ความร้อนเข้าไปกลั่น เรียกว่า vergin olive oil ซึ่งจะมีกรดไขมันอิสระค้างเจืออยู่ไม่เกิน 2g/100g จัดเป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพสูง ไม่มีสารเคมีที่นำมาสกัดเจือปน และไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยความร้อนในกระบวนการผลิต จึงคงสีและกลิ่นตามธรรมชาติไว้ได้ นิยมใช้ปรุงอาหารเพื่อเอากลิ่นเช่นใช้ราดสลัด กรณีที่หีบเอา vergin olive oil ออกมาโดยมีกรดไขมันอิสระอื่นๆเจือปนต่ำกว่า 0.8g/100g ก็เรียกว่าเป็น extra vergin olive oil ถือว่าคุณภาพสูงสุด แต่เนื่องจากน้ำมันมะกอกชนิด vergin นี้มีกรดไขมันอิสระซึ่งมีจุดไหม้ต่ำแทรกอยู่มาก หากเอาน้ำมันมะกอกชนิดนี้ไปทำอาหารที่ใช้ความร้อนสูงจะได้กลิ่นไหม้ของกรดไขมันอิสระเหล่านั้นซึ่งมีจุดไหม้ต่ำ</p><p> ในกรณีที่ทำน้ำมันมะกอกออกมาแล้วมีกรดไขมันค้างอยู่เยอะแต่ไม่เกิน 3.3g/100g ก็เรียกว่า ordinary vergin olive oil แต่ถ้ามีค้างอยู่เกิน 3.3g/100 ให้เรียกว่า lampante virgin olive oil ซึ่งไม่เหมาะแก่การบริโภค มีไว้สำหรับใช้เพื่อการอื่น เช่นเอาไปกลั่นเอาน้ำมันมะกอกแบบ refined olive oil</p><p> ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นกลุ่ม vergin olive oil หรือน้ำมันที่ได้จากการหีบ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ refined olive oil ซึ่งผลิตมาโดยการเอาสารเคมีเข้าไปสกัดน้ำมันออกจากกากมะกอกที่เหลือจากการหีบแล้ว ต่อจากนั้นจึงใช้ความร้อนไล่สารสกัดให้ระเหยออกไป น้ำมันมะกอกแบบนี้มีสีใส ไม่มีกลิ่น มีกรดไขมันอิสระปนอยู่น้อยกว่า 0.3g/100g ทนความร้อนได้ดีมากเพราะไม่มีกรดไขมันอิสระซึ่งมีจุดไหม้ต่ำเจือปน เมื่อใช้ทำอาหารที่ใช้ความร้อนสูงจะไม่มีกลิ่นไหม้ของกรดไขมันอิสระ</p><p><b><i>8. โคเลสเตอรอลคืออะไร</i></b></p><p> โคเลสเตอรอลเป็นสารคล้ายไขมันหรือคล้ายขี้ผึ้งที่ร่างกายผลิตขึ้นภายในร่างกายเองเพื่อนำไปเป็นประกอบเป็นเยื่อหุ้มเซลและเส้นประสาท นอกจากนี้ยังใช้เป็นสารตั้งต้นสร้างวิตามินดี.และฮอร์โมนต่างๆ โคเลสเตอรอลเป็นสารที่พบในอาหารเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น ไม่พบในอาหารพืช โคเลสเตอรอลไม่ใช่สารอาหารที่จำเป็นเพราะร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นเองได้โดยตับ เราไม่จำเป็นต้องกินโคเลสเตอรอลจากอาหาร และถ้ามีโคเลสเตอรอลในร่างกายมากเกินไปจะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เป็นโรคหลอดเลือด</p><p><i><b>9.ไขมันเลว (LDL) ไขมันดี (HDL) </b></i></p><p> ทั้งไขมันเลว (LDL) และไขมันดี (HDL) ต่างก็เป็นไขมันในเลือดที่เป็นตัวขนส่งโคเลสเตอรอล แต่ว่าไขมันมันเลวเป็นตัวขนส่งโคเลสเตอรอลไปพอกที่ผนังหลอดเลือด หากมีไขมันเลวในร่างกายมากเกินไปก็ทำให้เป็นโรคหลอดเลือด ส่วนไขมันดีเป็นตัวดึงเอาโคเลสเตอรอลออกมาจากผนังหลอดเลือดเพื่อไปทำลายที่ตับหรือขับทิ้งที่ลำไส้ จึงเป็นไขมันที่ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด หากกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวในอาหารนั้นมากจะทำให้ระดับไขมันเลวในเลือดสูงขึ้น วงการแพทย์จึงจัดไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันที่ก่อโรค</p><p><i><b>10. โปรตีน</b></i></p><p> โปรตีนคือสารอาหารที่มีธาตุไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ ร่างกายใช้โปรตีนสร้างส่วนประกอบของเซลทุกเซล และขณะเดียวกันก็สามารถนำโปรตีนไปเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงานได้ด้วย โดยโปรตีนให้พลังงาน 4 แคลอรีต่อกรัม โมเลกุลโปรตีนประกอบขึ้นจากโมเลกุลพื้นฐานขนาดเล็กชื่อกรดอามิโน (amino acid) จำนวนมากมาต่อกัน กรดอามิโนมี 20 ชนิด โดยที่ 9 ชนิดร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ (essential amino acid) จำเป็นต้องได้รับมาจากอาหาร อาหารบางชนิดเช่น นมวัวและไข่ มีกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วน ส่วนอาหารพืชไม่มีชนิดใดที่มีกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วน แต่หากกินอาหารพืชให้หลากหลายก็จะได้รับกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วนได้โดยไม่จำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย</p><p><i><b>11. ความเข้าใจผิดเรื่องโปรตีน</b></i></p><p><i> 1. เข้าใจผิดว่าอาหารโปรตีนได้มาจากสัตว์เท่านั้น</i> ความเป็นจริงก็คือต้นกำเนิดของกรดอามิโนจำเป็นทุกตัวซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราผลิตไม่ได้ล้วนมาจากพืชทั้งสิ้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดรวมทั้งหมูและวัวก็ต้องไปเอาโปรตีนมาจากพืช เพราะร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดสร้างกรดอามิโนจำเป็นเองไม่ได้ อาหารพืชจึงเป็นแหล่งของโปรตีนที่ครบถ้วน อาหารพืชที่มีโปรตีนมากเป็นพิเศษได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วต่างๆ ควินัว นัท เมล็ดพืช รำข้าว </p><p><i> 2. เข้าใจผิดว่าต้องกินเนื้อสัตว์เท่านั้นจึงจะได้โปรตีนครบถ้วน</i> หากกินพืชจะได้กรดอามิโนจำเป็นไม่ครบและจะขาดโปรตีน ความเป็นจริงก็คือการกินโปรตีนจากพืชที่หลากหลายก็จะได้รับกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วน เพราะร่างกายเลือดดูดซึมเอากรดอามิโนที่ต้องการจากอาหารพืชหลากหลายทั้งที่กินเวลาเดียวกันและต่างเวลากัน พืชบางชนิดเช่น ถั่วเหลือง และควินัว มีกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วนอยู่ในตัวของมันเอง </p><p><i> 3. เข้าใจผิดว่าการขาดโปรตีนเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในทางโภชนาการ</i> ความเป็นจริงก็คือการขาดโปรตีนไม่ใช่ปัญหาที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน โรคขาดโปรตีน (kwashiorkor) ไม่มีใครพบเลยในประเทศไทยในยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ งานวิจัยพบว่าคนอเมริกันโดยเฉลี่ยได้รับโปรตีนมากเกินความต้องการของร่างกายซึ่งเป็นภาวะต่อไตในการขับทิ้ง ภาวะทุโภชนาการที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบันไม่ใช่การขาดโปรตีน แต่เป็นการได้รับแคลอรี่มากเกินไป และการขาดไวตามิน เกลือแร่ และกาก เท่ากับว่าคนทั้งโลกทุกวันนี้บ้าโปรตีนมากเกินเหตุ</p><p><b><i>12. แคลอรีคืออะไร</i></b></p><p> แคลอรี (calorie) คือหน่วยนับของพลังงานความร้อนที่ร่างกายผลิตขึ้นได้จากอาหารแต่ละชนิด สามารถวัดได้โดยเอาอาหารชนิดนั้นไปเผาในเครื่องวัดแล้ววัดความร้อนที่เกิดขึ้น หน่วยที่พูดกันทั่วไปว่าแคลอรีนี้จริงๆแล้วคือกิโลแคลอรี (1,000 แคลอรี)แต่เรียกกันจนติดปากเสียแล้วว่าแคลอรี</p><p> ในการผลิตพลังงานขึ้นมาจากอาหารนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนโมเลกุลเดี่ยวในสารอาหารที่ให้แคลอรีได้ (คือกลูโคสจากอาหารคาร์โบไฮเดรต กรดไขมันจากอาหารไขมัน และกรดอามิโนจากอาหารโปรตีน) ไปเป็นสารตั้งต้นการให้พลังงานชื่ออาเซติลโคเอ. (AcetylCo-A) ซึ่งเมื่อสารนี้ถูกเผาผลาญในวงจรเคร็บ (Kreb’s cycle) โดยการช่วยเหลือของน้ำ วิตามิน และแร่ธาตุบางตัวแล้ว ในที่สุดก็จะได้พลังงานมาใช้และได้ก้าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นของเสียเหลืออยู่</p><p><b><i>13. วิตามิน</i></b></p><p> วิตามิน คือสารอาหารที่ช่วยให้เซลร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ร่างกายสร้างวิตามินขึ้นมาเองไม่ได้ และไม่สามารถเผาผลาญวิตามินเพื่อให้เกิดพลังงานได้ จะต้องได้รับมาจากภายนอกเท่านั้น วิตามินมีสองชนิด คือที่ละลายในไขมัน และที่ละลายในน้ำ</p><p><b><i> วิตามินที่ละลายในไขมัน</i></b></p><p> วิตามินเอ. ได้จากพืชผักผลไม้สีส้ม เหลือง เขียว และไข่แดง ร่างกายใช้ช่วยการทำงานของตา ผิวหนัง สร้างกระดูกและฟัน หากขาดก็จะเป็นโรคตาบอดกลางคืน ติดเชื้อที่ตา ผิวหยาบ ติดเชื้อทางเดินหายใจ</p><p> วิตามินดี. ได้จากแสงแดด โดยได้จากอาหารน้อยมาก ร่างกายใช้ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสเฟต ช่วยสร้างกระดูก หากขาดจะเป็นโรคกระดูกอ่อน และโรคฟันผิดปกติ การขาดวิตามินดียังพบร่วมในผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่นเบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็ง หอบหืด เป็นต้น</p><p> วิตามินอี. ได้จากธัญพืชกำลังงอก ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว นัท ผักใบเขียว ร่างกายใช้ป้องกันเม็ดเลือดแดงแตก ทำให้เยื่อหุ้มเซลทำงานดี หากขาดจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก โลหิตจาง และเกิดความผิดปกติของระบบประสาท</p><p> วิตามินเค. ได้จากผักใบเขียว และสร้างในลำไส้คนโดยแบคทีเรีย ร่างกายใช้ช่วยการแข็งตัวของเลือดหากขาดจะทำให้เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด</p><p><b><i> วิตามินที่ละลายในน้ำ</i></b></p><p> วิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถจัดเก็บไว้ในร่างกายได้ ต้องได้จากอาหารประจำวัน เช่นผักและผลไม้ต่างๆ ได้แก่</p><p> วิตามินบี.1 (Thiamine) ได้จากธัญพืชไม่ขัดสี โดยเฉพาะตรงส่วนผิวของธัญพืช เนื้อสัตว์ ถั่ว นัท และเมล็ดพืชต่างๆ ร่างกายใช้เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลของระบบประสาท </p><p> วิตามินบี.2 (Riboflavin) ได้จากผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี นมและผลิตภัณฑ์จากนม ร่างกายใช้เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลของตาและผิวหนัง </p><p> ไนอาซีน (B3) ได้จากธัญพืชไม่ขัดสี ผัก เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง ถั่ว เนื้อ สัตว์ปีก ปลา ร่างกายใช้เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซลในระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบผิวหนัง </p><p> วิตามินบี.6 (Pyridoxine) ได้จากผัก ผลไม้ เนื้อ ปลา สัตว์ปีก ร่างกายใช้เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซล ช่วยสร้างเม็ดเลือด </p><p> กรดโฟลิก(โฟเลท) ได้จากผักใบเขียวสดๆ ถั่ว เมล็ดพืช ผลไม้ เนื้อสัตว์ ร่างกายใช้เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซล ช่วยสร้างดีเอ็นเอ.โดยเฉพาะของเม็ดเลือด </p><p> วิตามินบี.12 (Cobalamin) ได้จากเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา อาหารทะเล ไข่ นมวัว แต่ไม่มีในอาหารพืช ผู้กินอาหารมังสะวิรัติเข้มงวดจึงควรทดแทนวิตามินบี.12 ร่างกายใช้วิตามินบี.12 เป็นส่วนของเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการเผาผลาญและทำงานของเซล โดยเฉพาะของเซลระบบประสาทและเม็ดเลือด และใช้เป็นผู้รีไซเคิลสารโฮโมซีสเตอีนกล้บไปใช้งานใหม่ หากขาดจะทำให้เป็นโรคเกี่ยวก้บระบบประสาท โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโต และโรคหลอดเลือดซึ่งเกิดจากการคั่งของสารโฮโมซีสเตอีน </p><p> วิตามินซี. (Ascorbic acid) ได้จากพืชผักผลไม้ เช่น กล่ำ แคนตาลูบ สตรอเบอรี พริก มะเขือเทศ มันฝรั่ง ผักสลัด มะละกอ มะม่วง กีวีฟรุต ไม่มีในเนื้อสัตว์ ร่างกายใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นในการเผาผลาญโปรตีน ช่วยการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยการดูดซึมเหล็กเข้าร่างกาย </p><p><b><i>14. แร่ธาตุ</i></b></p><p> คือธาตุในธรรมชาติที่ร่างกายจำเป็นต้องนำมาใช้ควบคุมการทำงานของเซลร่างกายทั้งหมด ใช้ในการสร้างกระดูก ในการแข็งตัวของเลือด และใช้เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อร่างกาย แร่ธาตุเป็นสารอาหารที่ใช้เร็วขับทิ้งเร็ว ยกเว้นเหล็กซึ่งร่างกายเก็บและรีไซเคิลได้ แร่ธาตุแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ</p><p><i> (1) ธาตหลัก (Major elements) </i>คือธาตุที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในปริมาณมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม คลอรีน เป็นต้น แคลเซียมร่างกายใช้เพื่อสร้างกระดูก โซเดียมและโปตัสเซียมนั้นร่างกายใช้เพื่อขนส่งของเหลวไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่หากโซเดียมมีมากเกินไปก็ทำให้เป็นความดันเลือดสูง</p><p><i> (2) ธาตุเล็กธาตน้อย (Trace elements) </i>คือธาตุที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในปริมาณน้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เช่นเหล็ก ไอโอดีน แมงกานีส สังกะสี ฟลูออรีน เป็นต้น เหล็กนั้นร่างกายได้จากอาหารทั้งที่เป็นสัตว์และพืช แล้วนำมาสร้างเป็นโมเลกุลตัวพาออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ไอโอดีนนั้นร่างกายได้จากอาหารทะเล แล้วนำมาสร้างเป็นฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ซึ่งช่วยควบคุมปฏิกริยาเคมีและการเผาผลาญของเซลร่างกาย</p><p> แร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุเล็กธาตุน้อย มีอยู่ในอาหารพืชที่หลากหลาย ตัวบอกความหลากหลายของสารอาหารในอาหารแต่ละอย่างคือ (1) สีของอาหาร (2) รสและกลิ่นของอาหาร และ (3) ฤดูกาลที่พืชชนิดนั้นเกิดขึ้น ควรกินอาหารพืชให้หลากหลาย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดธาตุอาหารที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุเล็กธาตุน้อย</p><p>...................................</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-87821931295307592762020-11-29T08:57:00.002+07:002020-11-29T09:02:00.382+07:00เห็นคนตายมาแยะ แต่ทำไมปลงไม่ตก<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirMfsBEwtjskS6kzlK_KZZ1c47NPQFmkGfbwvrwbE1h2jus7WLhVxccpIX2yYlZkAWVwQR18pda3UsSM79ppggrRL_JlR4ympoX5OCoWfkmF-XpG9B-hP2F2zLdAb9HUc7lhkmsRU828A/s2048/IMG_0453.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirMfsBEwtjskS6kzlK_KZZ1c47NPQFmkGfbwvrwbE1h2jus7WLhVxccpIX2yYlZkAWVwQR18pda3UsSM79ppggrRL_JlR4ympoX5OCoWfkmF-XpG9B-hP2F2zLdAb9HUc7lhkmsRU828A/w200-h150/IMG_0453.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>ซื้อไก่ตัวนี้มาเพราะเห็นว่าอัตตามันแยะดี</i><br /></td></tr></tbody></table><br />ถาม..อ.จารย์หมอว่า ตัวเองทำงานในรพ.เห็นคนเจ็บป่วย คนตาย ประจำ ทำไมไม่ปลงตก เมื่อเกิดกับตัวเอง ยังทำใจไม่ได้ ยังมีการเศร้าโศกอีก ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมชาติ<p></p><p>..............................................</p><p><b>ตอบครับ</b></p><p> คุณถามว่า "ทำไม" แต่ใจผมอยากจะตอบคำถามว่า "ทำอย่างไร" มากกว่า เพื่อให้ทั้งคุณและทั้งผู้อ่านท่านอื่นๆเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง</p><p> ต่อคำถามว่าทำไม เห็นคนตายอยู่ตำตาทุกวันแล้วทำไม "ไม่เก็ท" คำตอบมีได้หลายแบบนะ เช่น</p><p> 1. แฟนบล็อกนี้ท่านหนึ่งซึ่งคงเป็นสายพุทธออร์โธด็อกซ์ เขียนตอบมาไว้ใต้คำถามของคุณว่า </p><p><i> "คนที่เห็นความตายทุกวัน หรือคนที่ผ่าศพทุกวัน แต่ไม่สามารถทำใจได้นั้นก็เพราะขาดการใคร่ครวญ หรือน้อมเข้ามาหาตน หรือ โอปนยิโก ยังประมาทอยู่"</i> </p><p> ผมถือว่านั่นก็เป็นคำตอบให้คุณได้อย่างหนึ่ง</p><p> 2. เพื่อนผมคนหนึ่งแวะมาชะโงกดูหน้าจอคอมขณะผมนั่งตอบคำถามนี้ พูดว่า </p><p><i> "อ้าว ถ้าเห็นคนตายทุกวันแล้วบรรลุธรรมได้ สัปเหร่อก็บรรลุธรรมกันหมดแล้วสิ" </i> </p><p> หิ หิ ผมถือว่านั่นก็เป็นคำตอบให้คุณได้อีกอย่างหนึ่ง </p><p> พูดถึงตรงนี้ขอเล่าเพิ่มเติมกึ่งนอกเรื่องหน่อย สมัยที่ผมเป็นหมอฝึกหัด คนงาน (ชุดน้ำเงิน) หญิงสาวคนหนึ่งเธอไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ระดับมัธยมต้น เธอตั้งใจจะเพิ่มความก้าวหน้าในงานอาชีพด้วยการวางแผนไปเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาลในอนาคต เวลาอยู่เวรห้องฉุกเฉินด้วยกันเธอชอบเอาการบ้านมาถามผม ผมเหลือบเห็นหนังสือวิชาเรียนพุทธศาสนาของเธอจึงถามเธอว่าเขาสอนอะไรเธอบ้าง เธอตอบอย่างฉะฉานว่า </p><p><i> "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็จะทุกข์"</i> </p><p> เห็นแมะ เรื่องหลักพื้นฐานของชีวิตนี้อย่าว่าแต่คนคร่ำวอร์ดแล้วอย่างคุณเลย แม้แต่เด็กนักเรียน ม.ต้นยังรู้และเข้าใจเลย แต่ว่าการ "รู้และเข้าใจ" ว่าไม่ควรคิดยึดมั่นถือมั่น มันเป็นคนละเรื่องกับการ "หลุดพ้น" จากความคิดยึดมั่นถือมั่น</p><p> ผมขอข้ามคำถามว่าทำไม ไปตอบในประเด็นว่า "ทำอย่างไร" ดีกว่านะ ก่อนตอบคำถามคุณต้องเข้าใจก่อนว่าผมนี้เป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เชื่อคำสอนของศาสนาใดๆตะพึดแบบ 100% ผมอาจจะขโมยไอเดียของศาสนาโน้นนิดศาสนานี้หน่อย บางที่ก็เป็นไอเดียของคนธรรมดาอย่างเช่นช่างปั้นหม้อ หรือคนเพี้ยนๆเช่นคนทรงมนุษย์ต่างดาว ผมรับเอามาทดลองปฏิบัติดู ถ้ามันเวอร์คผมก็เอาไว้ใช้ต่อ ถ้ามันไม่เวอร์คผมก็ทิ้งไป คำแนะนำของผมจึงเป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวของคนคนหนึ่งเท่านั้น เอามาเล่าให้คุณฟัง คุณจะเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับตัวเองแค่ไหนผมไม่รู้และไม่มีการรับประกัน คำแนะนำของผมคือ </p><p> ขั้นที่ 1. ให้คุณฝึกถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้สัก 1 นาทีก่อน 1 นาทีก็คือ 10 ลมหายใจโดยประมาณ เพราะคนเราหายใจราว 10 ครั้งต่อนาที ไม่ต้องโลภมาก ขอแค่ 1 นาที ถ้าคุณหายใจเข้าออกช้าๆแบบปกติ 10 ลมหายใจหรือ 1 นาทีโดยปลอดความคิดได้ นั่นคุณใกล้จะหลุดพ้นเต็มทีแล้วนะ เพราะวันนี้คุณปลอดความคิดได้ 1 นาที อนาคตคุณก็มีโอกาสปลอดความคิดได้ 2, 3, 4, 5.. นาที</p><p> ในการจะทำอย่างนี้ได้ผมให้เครื่องมือคุณไว้ 7 อย่าง คือ (1) ตัวความสนใจ (attention) เอง (2) ลมหายใจ (3) ความรู้สึกบนร่างกาย (4) การผ่อนคลายร่างกาย (5) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเมื่อง่วง (6) การสังเกตความคิดจากข้างนอกความคิด (7) การจดจ่อความสนใจอยู่กับลมหายใจหรือร่างกาย ซ้ำๆซากๆให้ได้นานที่สุด เครื่องมือทั้งเจ็ดนี้คุณสลับกันใช้ตามจังหวะเวลาอันควร เป้าหมายคือให้คุณหายใจได้นาน 1 นาที โดยไม่มีความคิด จะฝึกขณะหลับตาหรือลืมตาก็ได้</p><p> ขั้นที่ 2. ให้คุณฝึกเปลี่ยนตัวตน (change of identity) คุณทำงานอยู่ในโรงพยาบาล สมมุติว่าใครๆก็เรียกคุณว่า "หมอติ๊งต่าง" คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าตัวคุณนี้คือหมอติ๊งต่าง มีร่างกายนี้เป็นที่สถิตย์ มีชุดความคิดนี้เป็นสิ่งบอกตัวตน การฝึกในขั้นที่ 2 นี้ผมจะให้คุณแบ่งตัวเองเป็นสองคน คุณที่แท้จริงนั้นไม่ใช่หมอติ๊งต่าง เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่หมอติ๊งต่าง คุณยังไม่ต้องไปรู้ตอนนี้ก็ได้ว่าคุณจริงๆนั้นเป็นอะไร เอาเป็นว่าไม่ใช่หมอติ๊งต่าง ไม่ใช่ร่างกายของหมอติ๊งต่าง ไม่ใช่ชุดความคิดของหมอติ๊งต่างก็แล้วกัน รู้แต่ว่าคุณที่แท้จริงนั้นสามารถมองเห็นและรับรู้ร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่างได้ คล้ายๆกับคุณเป็นนายหนังตะลุงเป็นคนเชิดหนังตะลุงที่ตัดเป็นหุ่นชื่อหมอติ๊งต่าง เวลาทำงานคุณอาศัยร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่างทำงาน แต่คุณไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวดองกับหมอติ๊งต่างและหรือร่างกาย/ความคิดของเธอเลย เวลาคุณมองร่างกายและความคิดของหมอติ๊งต่าง คุณมองราวกับว่าคุณไม่เคยรู้จักหมอติ๊งต่างมาก่อน </p><p> คอนเซ็พท์ของการเปลี่ยนตัวตนหรือ change of identity นี้มันคล้ายๆกับคอนเซ็พท์ที่คนเราลาเพศฆราวาสไปบวชเป็นพระ ต้องทิ้งชื่อแซ่ดั้งเดิม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เปลี่ยนทรงผมใหม่คือโกนหัวซะเลย ทิ้งสมบัติที่เคยมี ทิ้งบ้านช่องห้องหอ ทิ้งไปหมด ไปครอบครองแต่ผ้านุ่งกับเข็มเย็บผ้ากับอะไรอีกไม่กี่อย่าง คอนเซ็พท์มันคล้ายกัน แต่การไปบวชยุคนี้มันอาจจะเป็นแค่พิธีกรรมเปลี่ยนตัวตนภายนอกชั้นผิวเผิน ที่ผมให้คุณทำนี้คือให้เปลี่ยนตัวตนภายใน 100% โดยที่ตัวตนภายนอกคือหมอติ๊งต่างนั้นเธอยังอยู่คุณไม่ต้องไปยุ่งกับเธอ คุณเปลี่ยนตัวตนภายในไปเป็นอีกคนหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่หมอติ๊งต่างอีกต่อไปแล้ว ขั้นตอนการเปลี่ยนตัวตนหรือ change of identity นี้จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ก่อน ไม่งั้นคุณจะหลุดพ้นไปไหนได้ยาก </p><p> ขั้นที่ 3. ให้คุณเริ่มมองออกมาจากมุมของคุณที่แท้จริงคือมุมมองของนายหนังตะลุง มองออกมาดูที่ใจของหมอติ๊งต่างซึ่งเป็นหุ่นหนังตะลุง มองอย่างสนใจจริงจังแบบวินาทีต่อวินาที absolute attention สนใจว่าวินาทีต่อไปจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในใจของหมอติ๊งต่างบ้าง มองให้เห็นตามที่มันเป็นนะ อย่าไปตัดสินว่านั่นมันถูกนี่มันผิด แม้แต่นั่นมันเป็นสิ่งนั้นนี่มันเป็นสิ่งนี้ก็ไม่ต้องไปตั้งชื่อให้ เพราะการไปตั้งชื่อหรือไปนิยามสิ่งที่เห็นเข้า คุณจะหมดโอกาสเห็นส่วนที่คุณยังไม่ได้เห็นและควรจะได้เห็น ยกตัวอย่างเช่นหากคุณไปนิยามเพศให้หมอติ๊งต่างว่าเป็นผู้หญิง แค่นี้คุณก็จะพลาดโอกาสเห็นอะไรในใจหมอติ๊งต่างในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงไปหมดสิ้น เพราะคำนิยามของคุณไปบดบังการมองของคุณไว้ไม่ให้เห็นส่วนที่นอกเหนือจากการเป็นผู้หญิงเสียแล้ว ดังนั้น อย่าไปนิยาม อย่าไปพิพากษา แค่มองอย่างสนใจอย่างยิ่ง และมองเห็นตามที่มันเป็น หมอติ๊งต่างจะพูดอะไร จะทำอะไร จะคิดอะไรคุณอย่าไปขัด แค่สังเกตดูอย่างผู้สังเกตที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง แค่นั้น หมอติ๊งต่างหัวเราะคุณก็นั่งดู หมอติ๊งต่างร้องไห้คุณก็นั่งดู ไม่ต้องไปสมเพทเวทนาหรือไปปลอบโยน เพราะคุณไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวดองอะไรกับเธอ ในขั้นนี้คุณจะใช้เวลาฝึกมองดูนานเท่าใดก็ได้ไม่ต้องรีบร้อน มันจะเป็นช่วงชีวิตที่มหัศจรรย์และสนุกมาก เพราะคุณเดาไม่ถูกหลอกว่าในหนึ่งวินาทีข้างหน้าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในใจของหมอติ๊งต่างบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าๆ คุณก็จะเห็นเองว่าความคิดของหมอติ๊งต่างเมื่อถูกคุณนั่งมอง มันจะเขิน แล้วค่อยๆห่างไป ห่างไป รวมทั้งความยึดติดในยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติพัสถาน และความผูกพันกับลูกกับสามีของหมอติ๊งต่างด้วย มันจะค่อยๆซาไปเองโดยไม่ต้องไปอบรมสั่งสอนอะไร เหลืออย่างเดียวเท่านั้นที่มันจะไปช้ากว่าเขาเพื่อน คือความผูกพันกับร่างกายนี้ แต่ไม่เป็นไร คุณให้เวลามันโดยไม่ต้องไปเร่งรัด มันอยากจะผูกพันต่อไปอีกนานเท่าใดก็ช่างมัน มองมันให้เห็นตามที่มันเป็น ทำบ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ ทำอย่างนี้ไป วันหนึ่งคุณก็จะวางมันลงได้</p><p> นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-77029190996824283342020-11-28T18:14:00.001+07:002020-11-28T18:14:53.477+07:00นอกจากเลือกชนิดลิ้นหัวใจแล้ว ยังต้องฟูมฟักระบบภูมิคุ้มกันโรคด้วย<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmK7lHdb1gFrxTzECHGxX0Ox5IPEFA3WOnANptcGIi9Q7LJZeyJHIFcEmVPWiSwPRpHL8Batevge0tugFcpczmROal2vzJWz4EptUEOmdNMTvCkv3ZRx8TsyJnKu-iovi-y8Vd0tnGRAo/s2048/IMG_0492.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="2048" data-original-width="1536" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmK7lHdb1gFrxTzECHGxX0Ox5IPEFA3WOnANptcGIi9Q7LJZeyJHIFcEmVPWiSwPRpHL8Batevge0tugFcpczmROal2vzJWz4EptUEOmdNMTvCkv3ZRx8TsyJnKu-iovi-y8Vd0tnGRAo/s320/IMG_0492.jpg" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>โชว์ต้นประดู่ปลูกเองกับมือที่หัวนอน</i><br /></td></tr></tbody></table><br />คุณหมอสันต์ครับ<p></p><p>พ่ออายุ 58 ปี ป่วยเป็น Infective endocarditis with severe MR with CHF และตรวจพบ HbsAg positive แต่ยังไม่ได้ตรวจเพิ่มเติมละเอียด ยังไม่ได้ ultrasound ตับ หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ มีตัวเลือก 2 ชนิด คือลิ้นแบบโลหะและลิ้นแบบเนื้อเยื่อ พ่อผมเลือกไม่ถูก จะโยนเหรียญหัวก้อยครับ</p><p>...............................................</p><p>ตอบครับ</p><p> 1. ข้อมูลที่ส่งมานั้นครบถ้วนดีมาก ผมสรุปการวินิจฉัยจากข้อมูลทั้งหมดที่ส่งมาว่าคุณพ่อเป็นโรคต่อไปนี้</p><p> 1.1. ลิ้นหัวใจไมทรัลอักเสบติดเชื้อ (infective endocarditis) และมีกระจุกเชื้อ (vegetation) ที่พร้อมจะหลุดไปอุดหลอดเลือดในที่ต่างๆได้</p><p> 1.2. ลิ้นหัวใจไมทรัลรั่วแบบเฉียบพลันระดับรุนแรงมาก</p><p> 1.3. หัวใจล้มเหลวและน้ำท่วมปอดจากลิ้นหัวใจรั่วเฉียบพลัน</p><div> 2. แผนการรักษาที่คุณหมอวางไว้ว่าจะผ่าตัดเพื่อเอากระจุกเชื้อโรคออกและเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่นั้นก็แทบจะเป็นทางเลือกทางเดียวที่มีอยู่ เพราะทางเลือกอื่นคือการไม่ผ่าตัดนั้นเป็นทางเลือกที่ไม่ควรเลือกเพราะจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง (80%) จากการติดเชื้อในกระแสเลือด การที่กระจุกเชื้อหลุดลอยไปทำให้เป็นอัมพาต และการเกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันซ้ำซาก</div><div><br /></div><div> 3. ถามว่าควรเลือกใช้ลิ้นหัวใจเทียมชนิดไหน ระหว่างลิ้นหัวใจแบบโลหะกับแบบเนื้อเยื่อ ตอบว่าในภาพรวมควรเลือกลิ้นหัวใจแบบเนื้อเยื่อดีกว่า เพราะมีโอกาสติดเชื้อหลังเปลี่ยนลิ้นแล้วน้อยกว่าลิ้นโลหะ และหลังผ่าตัดมีระยะที่ต้องใช้ยากันเลือดแข็งสั้นกว่า และไม่ต้องใช้ตลอดชีวิต ซึ่งการใช้ยากันเลือดแข็งนี้เป็นสิ่งที่จะมีปัญหากับคนเป็นโรคตับเรื้อรังอย่างคุณพ่อของคุณมาก</div><div><br /></div><div> 4. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ คือการที่คุณพ่อทั้งติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.แล้วร่างกายกำจัดได้ไม่หมด (เป็นพาหะ) และการที่ต้องมาติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจซ้ำอีก มันบ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันโรค (immune system) ของคุณพ่ออ่อนแอ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆในวันหน้าอีกมาก สิ่งที่พึงทำควบคู่ไปกับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจก็คือ<b>การฟูมฟักระบบภูมิคุ้มกันโรค </b>ซึ่งได้แก่</div><div><br /></div><div><i> 4.1 จัดการความเครียด</i> เพราะในภาวะเครียดสมองส่งโมเลกุลข่าวสาร (cytokines) ส่งถึงเม็ดเลือดขาวได้โดยตรงผ่านไปทางกระแสเลือดโดยไม่ต้องอาศัยเส้นประสาทใดๆ เหมือนเราเขียนข่าวสารในรูปอีเมลปล่อยเข้าอินเตอร์เน็ท ซึ่งเมื่อได้รับข่าวสารนี้แล้วเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นกำลังหลักของระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานน้อยลง อีกด้านหนึ่งความเครียดจะเพิ่มฮอร์โมน cortisol ซึ่งลดกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทั้งระบบ</div><div><br /></div><div><i> 4.2 การออกกำลังกาย</i> เพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านการผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้ให้จิตใจร่าเริง ดังนั้นแม้หัวใจล้มเหลวก็ต้องออกกำลังกายทุกวันแบบคนไข้หัวใจล้มเหลว</div><div><br /></div><div><i> 4.3 การนอนหลับ</i> งานวิจัยพบว่าการผลิตโมเลกุลข่าวสารเกี่ยวกับการอักเสบชนิดสั่งให้เม็ดเลือดขาวทำงานมากขึ้นจะผลิตได้ดีช่วงนอนหลับฝัน ดังนั้นการอดนอนจึงทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลง งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่นอนน้อยจะติดเชื้อหวัดบ่อยกว่าคนที่นอนมาก นอกจากนี้งานวิจัยหนึ่งพบหากกินอาหารที่มีกากมาก (ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว) โดยมีไขมันต่ำ นี้ทำให้หลับได้ลึกขึ้น</div><div><br /></div><div><i> 4.4 แสงแดดและวิตามินดี.</i> เม็ดเลือดขาวชนิดที.เซลล์จะทำงานได้ต้องอาศัยวิตามิน ดี. ซึ่งมักจะมีระดับต่ำกว่าปกติในผู้สูงอายุ การขาดวิตามิน ดี.ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลง งานวิจัยพบว่าการกินวิตามินดี.เสริมอาจช่วยลดการติดเชื้อไวรัสและติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบนโดยการลดการผลิตสาร pro-inflammatory compound ทำให้การอักเสบลดลง [1,2] งานวิจัยที่ผมทำด้วยตัวเองกับผู้ใหญ่คนไทยที่มีสุขภาพดี 211 คนและตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Bangkok Medical Journal [3] พบว่าคนไทยวัยผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามขาดวิตามินดี. เนื่องจากวิตามินดี.มีน้อยในอาหารธรรมชาติแต่ร่างกายได้มาจากแสงแดด ดังนั้นช่วงนี้ต้องขยันออกแดด เปิดแขนเปิดขาอ้าซ่ารับพลังงานจากแสงอาทิตย์ทุกวัน ถ้าไม่มีแดดให้ออกก็ควรกินวิตามินดี.ทดแทน อาจจะกินตามขนาดอาหารแนะนำ (recommended dietary allowance) คือวันละ 400-800 IU แต่บ้างก็มีสูตรการกินของตัวเองเป็นสองเท่าสามเท่าหรือแม้กระทั่งสิบเท่าของ RDA อันนั้นเรื่องของใครของมันแล้วครับ</div><div><br /></div><div><i> 4.5 กินอาหารบำรุงภูมิคุ้มกัน</i> กล่าวคือกินอาหารไขมันต่ำที่มีปริมาณพืชมาก (low fat, plant-based) เพราะงานวิจัยพบว่าการกินอาหารไขมันสูงทำให้การทำงานของเม็ดเลือดขาวเสียไป ทำให้กลไกการเชื่อมกาวให้ผิวเซลเชื้อโรคเชือมติดกับเซลของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสียไป นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารมังสะวิรัติมีวิตามินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมาก ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานดีขึ้น [4,5] และลดระดับตัวชี้วัดการอักเสบในร่างกายลงได้ และทำให้แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เพิ่มขึ้น [6] ขณะที่การกินอาหารเนื้อสัตว์ทำให้ตัวชี้วัดการอักเสบในร่างกายสูงกว่ากินอาหารพืช [7] อาหารพืชผักผลไม้ให้วิตามินเช่นเบต้าแคโรทีน ซึ่งลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน วิตามินซี. และ วิตามินอี. ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ก็ได้จากพืช กล่าวคือวิตามินซีมีมากในส้ม บร็อคโคลี มะม่วง มะนาว ผลไม้อื่นๆ และผัก วิตามินอี.มีมากในนัท เมล็ดพืช อีกด้านหนึ่ง สังกะสีเป็นธาตุรองที่จำเป็นในการช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว อาหารที่เป็นแหล่งของสังกะสีได้แก่ นัท เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา ถั่วต่างๆ</div><div> </div><div>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </div><div><br /></div><div><div>บรรณานุกรม</div><div>1. Grant WB, Lahore H,. McDonnell SL, et al. Vitamin D supplementation could prevent and treat influenza, coronavirus, and pneumonia Infections. Preprints. 2020;2020030235;</div><div>2. Chung C, Silwal P, Kim I, Modlin RL, Jo EK. Vitamin D-cathelicidin axis: at the crossroads between protective immunity and pathological inflammation during infection. Immune Netw. 2020;20:e12-38.</div><div>3. Chaiyodsilp S, Pureekul T, Srisuk Y, Euathanikkanon C. A Cross section Study of Vitamin D level in Thai Office Workers. The Bangkok Medical Journal. 2015;9:8-11</div><div>4. McAnulty, L.S.; Nieman, D.C.; Dumke, C.L.; Shooter, L.A.; Henson, D.A.; Utter, A.C.; Milne, G.; McAnulty, S.R. Effect of blueberry ingestion on natural killer cell counts, oxidative stress, and inflammation prior to and after 2.5 h of running. Appl. Physiol. Nutr. Metab. 2011, 36, 976–984.</div><div>5. Hutchison, A.T.; Flieller, E.B.; Dillon, K.J.; Leverett, B.D. Black currant nectar reduces muscle damage and inflammation following a bout of high-intensity eccentric contractions. J. Diet. Suppl. 2016, 13, 1–15.</div><div>6. Rinninella E, Cintoni M, Raoul P, et al. Food Components and Dietary Habits: Keys for a Healthy Gut Microbiota Composition. Nutrients. Published online October 7, 2019; SoldatiL , Di Renzo L, Jirillo E, Ascierto PA, Marincola FM, De Lorenzo A. The influence of diet on anti-cancer immune responsiveness. J Transl Med. 2018;16:75-93.</div><div>7. Ley, S.H.; Sun, Q.; Willett, W.C.; Eliassen, A.H.; Wu, K.; Pan, A.; Grodstein, F.; Hu, F.B. Associations between red meat intake and biomarkers of inflammation and glucose metabolism in women. Am. J. Clin. Nutr. 2014,99, 352–360. [CrossRef] [PubMed]</div></div>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-46709043850183165192020-11-27T18:56:00.002+07:002020-11-27T18:56:24.198+07:00ตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไรให้มีความสุข<p> </p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI8CdtR6_42q3RAS6ZXUHKA9ZbMPlt43yMRQkYoXR8W-DCuVKPQMMf7w1YOz0evmjEnZQQAJ0okEfjKo_R4GMz9nux9S8QuEBMH6VEwo7D8ws76LFBusCZ90vMCVU-xnj3jP-EOdJHod8/s2048/IMG_0499.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI8CdtR6_42q3RAS6ZXUHKA9ZbMPlt43yMRQkYoXR8W-DCuVKPQMMf7w1YOz0evmjEnZQQAJ0okEfjKo_R4GMz9nux9S8QuEBMH6VEwo7D8ws76LFBusCZ90vMCVU-xnj3jP-EOdJHod8/s320/IMG_0499.jpg" width="320" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>โรงเก็บเครื่องมือ (เล้าไก่) ของหมอสันต์</i><br /></td></tr></tbody></table><br />เรียนคุณหมอ<p></p><p>ดิฉันตัวคนเดียว อายุ 46 ปี เป็นโรคซึมเศร้ามานานแล้ว ทุกวันนี้กินยา และใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ มีบางวันจิตตกบ้าง กลัว กังวลเวลามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย กลัวเป็นโรคร้ายมากๆ ไม่รู้ทำไมกลัวขนาดน้้น บางครั้งกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย จะปรึกษาใครก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว ตกงานมาหลายปี ไม่มีใครรับ คงจะเพราะอายุมากแล้ว ดิฉันทำงานบริษัทเอกชนมาตลอด จนอายุ 40 ก็ตกงาน มีเงินเก็บพอใช้นิดหน่อย ทุกวันนี้เบื่อชีวิต มันเงียบเหงา มันไม่มีใครคุย หรือปรึกษาได้เลย ถ้ายังต้องอยู่สภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ดิฉันโทรหาเพื่อนบ้าง แต่เค้าก็คุยตามมารยาท ไม่มีใครโทรมาถามทุกข์สุขดิฉันเลยสักครั้ง มีแต่ดิฉันเป็นฝ่ายโทรไป ได้คุยสัก 5 นาที เค้าก็วางแล้ว ทำให้ดิฉันไม่อยากไปรบกวนพวกเค้าอีก แต่การอยู่คนเดียวมันก็ทรมานใจนะคะ ไม่รู้ชีวิตจะไปทางไหน ไม่รู้จะปรึกษาใคร และจะอยู่ไปทำไม ดิฉันอ่านเรื่องการฝึก self awareness ของคุณหมอ ก็พยายามจะทำให้ได้ แต่สภาพแวดล้อมที่อยู่มันโดดเดี่ยวเหลือเกิน จะแก้ไขอย่างไรได้คะ ขอโทษที่รบกวนเวลาคุณหมอนะคะ แต่ไม่มีใครจริงๆ และอยากหลุดจากวังวนแบบนี้ซักที มันทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ค่ะ</p><p>ด้วยความนับถือ</p><p>......................................................</p><p>ตอบครับ</p><p> ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าหมอสันต์ไม่รับทำจิตบำบัดด้วยวิธีปลอบโยนหรือที่เรียกว่า psychotherapy นะ ไม่ได้หมายความว่าวิธีรักษาแบบนั้นไม่ดี แค่ผมไม่ชอบที่จะทำแบบนั้น เรียกว่าไม่ถูกจริตก็แล้วกัน ดังนั้นการตอบปัญหาของคุณผมจะชี้ทางให้เห็น เพื่อเป็นทางให้คุณเลือกเดินไป แล้วก็จบกันแค่นั้น ถ้าคุณรู้ทางไปแล้วแต่ก็ยังเดินไปเสียอีกทางหนึ่ง ฮี่..ฮี่ แล้วผมจะทำอะไรได้เล่าครับ นอกจากกล่าวคำว่าสวัสดี</p><p> สิ่งที่คุณเล่ามา มันเป็นอาการของโรคซึมเศร้าขนานแท้และดั้งเดิม สาระหลักเกี่ยวกับชีวิตของคุณก็คือคุณปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดที่ชงขึ้นมาโดย "สำนึกว่าเป็นบุคคล" ของคุณเองหรือ "ดิฉัน" นั่นแหละ มันชงความคิดต่างๆขึ้นมาเพื่อให้คุณปักใจเชื่อและลุ่มหลงในสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้มากขึ้นๆ แบบว่า</p><p><i> "..ฉัน ตรมระทมหนักหนา ดู หรือโชคชะตา </i></p><p><i> เกิดมาอาภัพเหลือทน</i></p><p><i> เหมือน ฝุ่น ละอองตามท้องถนน อาภัพ อับจน</i></p><p><i> ความหวังมืดมน จนรักก็จาง</i></p><p><i> ..ชีวิตแทบวาย จุดหมายเลือนลาง</i></p><p><i> ญาติ มิตรเมินห่าง คิดไป คิดไป คิดไป อ้างว้าง เหลือ เกิน..."</i></p><p><i> ..ไหว หวั่นร้าวราญหวั่นไหว </i></p><p><i> ชีวิตก้าวผิดไป โทษใครเรามันไร้เงิน</i></p><p><i> ไร้ เกียรติ เขาจึงเหยียดหยามกล้ำเกิน</i></p><p><i> เพื่อนฝูงไม่มอง พี่น้องกลับเมิน เดินหนีร่ำไป</i></p><p><i> ..ที่รักก็จาง ที่หวัง ก็ไกล ยิ่งคิด ครวญใคร่</i></p><p><i> น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ..."</i></p><p> (ฮือ ฮือ ฮือ..เศร้าโว้ย)</p><p><b> ประเด็นที่ 1. กายและใจของคุณ ถูกฝึกมาโดยคุณเอง </b>ถ้าร่างกายทำท่าไม่สบายคุณรีบเข้านอนห่มผ้า ลางาน ทำตัวซึมๆเซื่องๆ คุณจะเป็นคนป่วยบ่อย แต่ถ้าคุณตั้งใจจะทำอะไรแล้วร่างกายของคุณกระบิดกระบวนแล้วคุณไม่ยอม คุณดื้อดึงบังคับให้ร่างกายไปทำสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำจนเสร็จ ถึงเวลาออกกำลังกายคุณต้องไปออกไม่ว่าจะมีไข้ไม่มีไข้เพลียไม่เพลีย คุณจะเป็นคนที่ไม่ป่วยบ่อย เพราะวิธีที่คุณดูแลร่างกายคุณ เสี้ยมนิสัยให้ร่างกายคุณ</p><p> เช่นเดียวกัน ถ้าคุณอวยความคิดลบที่เกิดขึ้นในใจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการดราม่า (คิดต่อยอด) อารมณ์เศร้า การย้ำคิดอยู่กับความกลัว ความกังวล ความน้อยใจคนอื่น ความสงสารตัวเอง นี่คุณกำลังซ้อมเป็นบ้าอยู่นะ ซ้อมไปซ้อมมา พอชำนาญถึงระดับหนึ่งคุณก็จะกลายเป็นบ้าจริงๆ</p><p><b> ประเด็นที่ 2. ความคิดไม่ใช่คุณ</b> คุณคือความรู้ตัว สามารถตื่นรับรู้อะไรได้ แต่ความคิดคือสิ่งที่งอกขึ้นมาภายในความรู้ตัว คุณเป็นผู้สังเกตเห็นความคิด คุณไม่ใช่ความคิด ความคิดมาแล้วก็ไป แต่คุณอยู่นี่มานานแล้วตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยไปไหน</p><p> ความเศร้าเป็นความคิดชนิดมีสองหัว หัวหนึ่งปรากฎเป็นภาษาเป็นเนื้อหาสาระเรื่องราว อีกหัวหนึ่งปรากฏเป็นความรู้สึกในใจ ตัวความรู้สึกในใจแบบว่าอึมๆครึมๆอึดๆอัดๆไม่ชอบเลยนี้ ถ้าคุณเฉยๆกับมันเสีย มันมีธรรมชาติมาแล้วก็ไป แต่หากคุณไปผสมโรงเล่นด้วย เรียกว่าไปดราม่ากับมันเข้า เปรียบเหมือนไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์ผ่านมาแวะจอดหน้าบ้านทีไร คุณก็เผลอตัวขึ้นซ้อนท้ายมอไซค์ไปกับเขาทุกที พอเกิดเรื่องงามหน้าขึ้นแล้วคุณจะโทษใครได้ละ</p><p><b> ประเด็นที่ 3. สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้ เป็นเพียงความคิด </b>สิ่งที่คุณเรียกว่า "ดิฉัน" นี่แหละคือสำนึกว่าเป็นบุคคล มันเป็นคอนเซ็พท์ หรือกลุ่มของความคิดที่ถักทอเรื่องราวไว้แบบค่อยๆแน่นขึ้น แน่นขึ้น ตั้งแต่เล็กจนโตโดยคุณไม่รู้ตัว มันเต้าความคิดขึ้นมาให้คุณกังวลห่วงใยมัน สงสารมัน และเรียกร้องให้คุณไปอ้อนวอนคนอื่นๆรอบๆตัวคุณให้มาร่วมห่วงใยมันและสงสารมันด้วย บางทีคนอื่นไม่ยอมมาสงสารมัน มันก็จะยุแยงตะแคงรั่วให้คุณไปโกรธไปแค้นไปอิจฉาริษยาเลิกนับญาติกับคนพวกนั้นซะจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้คุณ แล้วมันก็จะบอกคุณว่า..เห็นแมะ "ดิฉัน" ตัวนี้ช่างอาภัพอับวาสนาน่าสงสารซะเหลือเกิน ทั้งหมดนี้คือความคิดนะ ซึ่งผมจัดกลุ่มง่ายๆว่าเป็นความคิดขี้หมา ซึ่งไม่มีประโยชน์สร้างสรรค์อะไรกับชีวิตคุณเลย คุณอย่าไปเคารพนับถือความคิดต่อยอดความเศร้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวคุณ มันคือความคิดขี้หมาที่คอยครอบคุณไว้ไม่ให้คุณได้มีโอกาสมีชีวิตที่เบิกบานและสร้างสรรค์</p><p><b> ประเด็นที่ 4. เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่อย่างสิ้นเชิง ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ</b> ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต วิธีใช้ชีวิตที่ผ่านมาของคุณคือมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ "ดิฉัน" ซึ่งเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณ แต่ว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้ชีวิตของคุณทุกข์ระทมไส้ขมอกไหม้มากมายดังที่คุณได้พรรณามาแล้ว สูตรของการใช้ชีวิตมีอยู่ง่ายๆแค่ว่า </p><p><i> "..หากวิธีใช้ชีวิตแบบเดิม คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ทำให้คุณเป็นทุกข์ </i></p><p><i> ไม่มีทางเสียหรอกที่คุณจะออกจากทุกข์นั้นได้</i></p><p><i> ด้วยการใช้ชีวิตแบบเดิมๆนั้น..."</i></p><p> ฮี่..ฮี่ ไม่ใช่คำสอนของใครที่ไหนหรอก เป็นสูตรที่หมอสันต์เต้าขึ้นมาเอง แปลว่าการจะออกจากทุกข์ที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบเดิมๆนี้ได้ คุณต้องเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่อย่างสิ้นเชิง ดังนี้</p><p> 3.1 เลิกอวยกับ "ดิฉัน" เสียที มันเป็นแค่ความคิด มันจะเป็นตายอย่างไรก็ช่างแม..อุ๊บ ขอโทษ ช่างมันเถอะ เลิกฟัง เลิกสน เลิกสนอง เลิกสนใจคอนเซ็พท์ ความเชื่อ ความบ้าใดๆในใจที่ยึดถือไว้เสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นความบ้าดี ความบ้าถูกผิด ความบ้ากตัญญู ความบ้า ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดที่คุณย้ำคิดแล้วพาคุณจมลงมาอยู่ ณ ที่ตรงนี้</p><p> 3.2 ตื่นมาตอนเช้าของแต่ละวัน ตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่เมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆในชีวิตไม่เคยทำ เคยเป็นทาสในเรือนเบี้ยของความซึมเศร้า วันนี้ลองใหม่จะไม่ยอมแพ้แก่ความซึมเศร้า ผมรู้ เวลามันมามามาเหมือนม่านหมอกที่แผ่คลุมไปทั่วแล้วจิตใจก็จะเศร้าในบัดดลเหมือนกับปลาที่ถูกแหเหวี่ยงลงมาครอบสุดที่จะหลุดลอดออกไปไหนได้ แต่นั้นเป็นเพราะเราไปให้ค่ามัน ในความเป็นจริงความเศร้ามันเป็นแค่ feeling มันมาแล้ว มันก็ไป หากคุณไม่ยอมไปดราม่ากับมัน ผมหมายถึงไม่ไปคิดอะไรต่อยอดเป็นตุเป็นตุ มันมาแล้วก็แค่รู้ว่ามันมาแต่ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ราคา อยู่สักพัก แล้วมันก็ไป ไม่มีเสียหรอกที่มันจะอยู่กับคุณทั้งวันทั้งคืนหากคุณแค่มองมันเฉยๆโดยไม่ยอมไปดราม่ากับมัน </p><p> 3.3 หันมาใช้ชีวิตนี้ให้มันมีค่ากับโลกกับชีวิตอื่นให้สมกับที่อุตส่าห์ได้เกิดมาทั้งที ร่างกายที่เราใช้งานอยู่นี้เป็นหนี้บุญคุณดินอยู่นะ เพราะร่างกายนี้โตขึ้นมาได้ด้วยอาหารที่ได้มาจากดิน ลองทำอะไรตอบแทนดินสักหน่อยสิ ลองปลูกต้นไม้สักต้นก็ได้ หรือออกไปนอกบ้านเก็บขยะที่ถนนนอกบ้าน หรือกวาดใบไม้ที่ถนนนอกบ้าน ถ้าไม่เคยออกกำลังกาย ทุกวันออกไปวิ่งออกกำลังกายดูหน่อย ผมรู้ว่าคุณไม่เคยทำ แต่ผมให้คุณลองดู</p><p> ชีวิตที่ได้มานี้มันมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างนะ คือพลังงานกับสัมปะทานเวลา ก่อนที่สัมปะทานจะหมด จะไม่ใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์กับโลกหรือชีวิตอื่นดูสักหน่อยเลยหรือ อย่าไปฟังคำทัดทานของ "ดิฉัน" ที่ร้องทักท้วงว่าเฮ้ย </p><p><i> "ทำงั้นได้ไง คนอื่นเขาต้องมาช่วยอวยเรา ไม่ใช่ให้เราซึ่งกำลังเศร้าไปช่วยอวยคนอื่น" </i></p><p> คุณอย่าไปสนใจคำทักท้วง ให้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่โดยไม่ต้องสนใจ "ดิฉัน" เดินออกไปนอกบ้าน เจอใครก็ไม่รู้คนแรกที่เดินสวนมา ยิ้มให้เขาด้วยความปรารถนาดี ลองดูหน่อยสิ อย่าไปสนใจว่าเขาจะตกใจหรือรีบเบือนหน้าหนี ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็จะยิ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองวิธีใช้ชีวิตใหม่วิธีที่สอง คือให้อภัยเขาด้วยความเห็นใจ หรือขอโทษเขาอย่างอ่อนน้อมเสียเลย </p><p> แนวทางชีวิตใหม่มีคำสำคัญอยู่สี่คำ คือ ขอบคุณ เมตตา ให้อภัย ขอโทษ ทุกๆวันที่ตื่นขึ้นมาให้คุณถามตัวเองสักหน่อยว่าวันนี้จะทำอะไรสักอย่างสองอย่างบนแนวทางชีวิตใหม่นี้ที่เมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆยังไม่เคยทำ </p><p><b> ประเด็นที่ 5. สนใจอะไรจริงจังแล้วจะพบกับความหมายของชีวิต</b> กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้คุณมีความสุขกับการใช้ชีวิตก็คือความสนใจ (attention) ของคุณนั่นแหละ มันเป็นแหล่งของพลังงานระดับมหาศาล ให้คุณสนใจ pay attention อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ "ดิฉัน" อย่างจริงจัง เมื่อคุณมองดูดอกไม้ดอกหนึ่งให้คุณมองดูมันอย่างจริงจังในรายละเอียด รับรู้มันตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องเอาภาษา หรือคอนเซ็พท์ หรือคำตัดสินถูกผิดในใจไปครอบ ไม่ต้องไปสร้างเรื่องราวประกอบ แค่สนใจมันตามที่มันเป็น สนใจอย่างยิ่ง absolute attention ทำอย่างนี้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความสนใจอะไรสักอย่างตามที่มันเป็นนี้ จะให้ชีวิตใหม่แก่คุณเอง</p><p> นานมาแล้วสมัยผมทำงานเป็นหมออยู่เมืองนอก มีคนไข้เก่าฝากนกกระดาษพับมาให้ตัวหนึ่ง ผมจำไม่ได้หรอกว่าเป็นคนไข้คนไหนเพราะชื่อฝรั่งจำยาก แต่เมื่อรับนกมาผมมองดูนกนั้นอย่างละเอียดก็เห็นว่านกนั้นพับมาอย่างได้เหลี่ยมได้มุมอย่างปราณีตบรรจง ประมาณปีต่อมาก็ได้พบกับผู้ป่วยเจ้าของนกซึ่งมาที่คลินิกติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัด เธอเล่าว่าหลังผ่าตัดไปใหม่ๆเธอว้าวุ่นกังวลเรื่องสุขภาพของตัวเองมากมีแต่ความทุกข์ความกลัวและความเศร้า แต่เมื่อได้สนใจหัดพับนกอย่างจริงๆจังๆเธอพบว่าชีวิตเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดี เธอเล่าว่าเธอไปสอนให้เด็กนักเรียนพับนกอย่างปราณีตแล้วระบายสี แบบสอนให้ฟรีๆหลังเด็กเลิกเรียน นี่แหละเป็นตัวอย่างที่ผมบอกว่าให้สนใจอะไรอย่างจริงจังสักอย่าง แล้วก็จะพบว่าความหมายของชีวิตซ่อนอยู่ในนั้น</p><p><b> ประเด็นที่ 6. ความแตกต่างระหว่าง "ความเหงา" กับ "วิเวก"</b> เมื่อเราอยู่คนเดียว ใจเราจะเข้าไปอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งในสองภาวะนี้ คือ <i>"ความเหงา"</i> ซึ่งหมายถึงเราอยู่ในความคิดที่สำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา หรือ "ดิฉัน" ชงขึ้น โอดโอย ร่ำร้อง เรียกหา ให้มีใครมารักมาสนใจหรืออย่างน้อยก็มาเป็นเพื่อนให้ "ดิฉัน" คนนี้คลายเหงา พูดง่ายๆว่าอยู่คนเดียวแล้วเป็นทุกข์ </p><p> กับอีกภาวะหนึ่งคือ <i>"วิเวก"</i> ซึ่งหมายถึงเราอยู่ในความรู้ตัว ปลอดความคิด ที่ตรงนั้นมันสงบเย็น ว่าง สบายดี เป็นความสงบสุขที่รอเราอยู่ที่นั่นที่ข้างในตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหน แค่เราวางความคิดได้เมื่อไหร่ก็ไปถึงตรงนั้นได้เมื่อนั้น พูดง่ายๆว่าอยู่คนเดียวแล้วเป็นสุข</p><p> คุณอยู่คนเดียว เป็นโอกาสดีที่จะฝึกเดินทางจากความเหงาไปหาวิเวกด้วยตัวเองโดยไม่มีอุปสรรคภายนอกเช่นความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอันรกรุงรังมาเป็นเครื่องขวางกั้น ที่คุณร้องโอดโอยว่ามันโดดเดี่ยวเหลือเกินนั้นแท้จริงมันคือสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับคุณแล้ว ขอให้มองเห็นตรงนี้ </p><p> วิเวกนั้นอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เส้นทางไปสู่วิเวกก็มีอยู่แล้ว ผมกำลังชี้ทางให้อยู่นี่ไง ตอนนี้คุณจึงมีทางเลือกอยู่สองทาง <i>หนึ่ง</i> คือทดลองเดินไปตามทางที่ผมชี้ หรือ <i>สอง</i> ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดที่ "ดิฉัน" กุขึ้นซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมเรียกว่า "ซ้อมบ้า" ต่อไปเหมือนเดิม จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ </p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ </p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7622976051227793902.post-42593032059111450072020-11-26T07:47:00.002+07:002020-11-26T08:01:46.708+07:00ควรใช้ยารักษากระดูกพรุนในคนอายุ 90 ปีไหม<p></p><table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnPhcpTEWvIwb5EqOMfuZIYwDqH80NWUfGFKvN9vSRO3gT06xb6DJWhqC_ZRQ9WO1D07u2ht8gE5MJkPQ3Vjnodj_8FflT1o0Gpxpy62uCpUxuiORwQPe4hRrNYHSm9qILz4A97UiK2CY/s2048/%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599.jpg" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="1365" data-original-width="2048" height="133" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnPhcpTEWvIwb5EqOMfuZIYwDqH80NWUfGFKvN9vSRO3gT06xb6DJWhqC_ZRQ9WO1D07u2ht8gE5MJkPQ3Vjnodj_8FflT1o0Gpxpy62uCpUxuiORwQPe4hRrNYHSm9qILz4A97UiK2CY/w200-h133/%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599.jpg" width="200" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>ขอมดำดิน หน้าบ้านโกรฟเฮ้าส์</i><br /></td></tr></tbody></table><br /> คุณแม่อายุ 90 ปี ยังเดินได้แบบเบาๆ รักษาโรคสมองเสื่อมกับแพทย์ทางประสาทวิทยา ตรวจมวลกระดูกพบว่าเป็นกระดูกพรุน หมอจะส่งไปฉีดยารักษากระดูกพรุนเพื่อป้องกันกระดูกหัก มันจำเป็นด้วยหรือคะ เพราะคุณแม่อายุมากแล้ว ยานี้เราต้องให้กันถึงอายุเท่าไหร่คะ<p></p><p>.......................................................</p><p>ตอบครับ</p><p><b> ประเด็นที่ 1. หลักฐานเรื่องการฉีดยารักษากระดูกพรุนในคนอายุ 90 ปี มีไหม</b> ตอบว่าไม่มีข้อมูลเลยครับ งานวิจัยใช้ยารักษากระดูกพรุนเกือบทั้งหมดทำในคนอายุต่ำกว่า 80 ปี ที่อายุเกิน 80 มีน้อยมาก ที่เกิน 90 ยิ่งไม่มีข้อมูลอะไรจะเอามาสรุปให้เป็นตุเป็นตะได้เลย ดังนั้นการใช้ยารักษากระดูกพรุนในวัยเกิน 80 ปีไปแล้ว ต้องใช้หลักตัวใครตัวมันครับ ไม่ต้องใช้หลักฐาน คือท่านชอบแบบไหนก็ทำแบบน้้น จะถือว่าใช้การแพทย์แบบอิงหลักฐานก็อ้างได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่มีหลักฐานให้อิง </p><p><b> ประเด็นที่ 2. ยามีประโยชน์จริงแค่ไหนในแง่การลดความเสี่ยง</b> เป็นธรรมเนียมว่าการนำเสนอคุณประโยชน์ของยาจะนำเสนอในรูปของการลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ (relative risk reduction - RRR) ซึ่งเป็นวิธีที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าผลของยาดูดีกว่าที่มันเป็นจริง ขณะที่ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่นั้นเข้าใจการลดความเสี่ยงในแง่ของการลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ (absolute risk reduction - ARR) ทำให้คนทั่วไปเข้าใจประสิทธิภาพของยาผิดความจริงไปมาก วันนี้ผมเขียนถึงเรื่องนี้สักหน่อยก็ดีนะ ท่านผู้อ่านต้องตั้งใจอ่านนิดหนึ่ง เพราะมันน่างุนงงแต่มันก็สำคัญ</p><p> ก่อนอื่นขอพูดถึงนิยามของสองคำนี้ก่อน</p><p><i><b> (1) การลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ หรือ Relative Risk Reduction (RRR)</b></i> คือรายงานว่ากลุ่มที่กินยาจริงลดความเสี่ยงลงได้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงของกลุ่มกินยาหลอก ยกตัวอย่างเช่น เอาคนสูงอายุมา 2000 คนแบ่งเป็นสองกลุ่มๆละ 1000 คน กลุ่มหนึ่งให้กินยาจริงอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้กินยา (กินยาหลอก) พบว่ากลุ่มที่กินยาจริงมีอุบัติการณ์กระดูกหัก 20 คนหรือ 2.0% ต่อปี ขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้กินยามีอุบัติการณ์กระดูกหัก 30 คนหรือ 3.0% ต่อปี จับเอาคนกระดูกหักมาลบกันก็พบว่ามีผลต่างอยู่ = 30 – 20 = 10 คน แล้วเอาผลต่างนี้ไปหาว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของคนกระดูกหักที่ไม่ได้กินยา = (10 x 100) / 30 = 33% แล้วก็รายงานผลว่าการกินวิตามินลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ลงได้ 33% ฟังดูหรูนะครับ ลดความเสี่ยงได้เป็นเนื้อเป็นหนังทีเดียว แต่ยังก่อน ต้องตามไปดูอีกค่าหนึ่งซึ่งเป็นของจริงครับ คือ</p><p><i><b> (2) การลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ หรือ Absolute Risk Reduction (ARR)</b></i> คือรายงานว่ากลุ่มที่กินยาจริงลดความเสี่ยงลงในภาพรวมได้เท่าไร ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยในข้อ 1 พวกกินยาเกิดกระดูกหัก 2% พวกไม่กินยาเกิดกระดูกหัก 3% เท่ากับว่ากินยาไม่กินยากระดูกหักต่างกัน 1% และ 1% นี่แหละคือการลดความเสี่ยงสมบูรณ์ (ARR) ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ลดได้อย่างแท้จริง ARR นี่เป็นภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆตรงไปตรงมา แต่ว่าค่า ARR นี่เขาไม่ค่อยรายงานในผลวิจัยหรอกครับ </p><p> ผมจะบอกผลวิจัยในภาพรวมของยารักษากระดูกพรุนให้ เอาของจริงเลยนะ คือโอกาสที่หญิงสูงอายุ (50 ปีขึ้นไป) จะเกิดกระดูกหักเนี่ย ผลวิจัยที่ออสเตรเลียพบว่ามันมีโอกาสอยู่ประมาณ 637 คนต่อ 100,000 คน หรือประมาณ 0.64% ต่อปี มีเลขศูนย์นำหน้าจุดทศนิยมนะครับ คือโอกาสกระดูกหักมีน้อยกว่า 1%</p><p> แล้วผมจะลองยกตัวอย่างงานวิจัย VERT ที่รายงานผลว่ายารักษากระดูกพรุนลดโอกาสเกิดกระดูกหักซ้ำซากในสามปีได้ 59% ไส้ในของมันเป็นอย่างนี้นะ งานวิจัยนี้เลือกเอาแต่คนที่มีความเสี่ยงกระดูกหักสูงมากมาทดลอง ในกลุ่มไม่กินยา 678 คนเกิดกระดูกหัก 93 คน ในกลุ่มกินยา 696 คน เกิดกระดูกหัก 61% คำนวณการลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ (RRR) ลงได้ 59% ในสามปีหรือประมาณ 19.7% ในหนึ่งปีซึ่งเป็นตัวเลขที่หรูเชียว แต่หากคำนวณเป็นตัวเลขการลดความเสี่ยงสมบูรณ์ (ARR) กรณีในหมู่ประชาชนสูงอายุทั่วไป คนไม่กินยาจะเกิดกระดูกหัก 0.64% ต่อปี (ุ637 ต่อแสน) หากยาลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ RRR ลงไปได้ 19.7% ต่อปีก็เท่ากับว่าลดความเสี่ยงสมบูรณ์ (ARR) จากเดิม 0.64% ลงไปเหลือ = (100-19.7) x 0.64 / 100 = 0.51% ต่อปี คือลดความเสี่ยงสมบูรณ์ (ARR) ได้ 0.13% ต่อปี ลดได้เยอะไหมละครับ 0.13% ต่อปี มีเลขศูนย์นำหน้าจุดด้วยนะ มันจิ๊บๆมากเลยนะ หิ หิ ดังนั้นท่านต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง RRR กับ ARR ไม่งั้นท่านจะตัดสินใจใช้ยาไปด้วยความเข้าใจผิดว่ายามันดีเกินจริง</p><p><b> ประเด็นที่ 3. ยารักษากระดูกพรุนเกือบทุกตัว ต้องอาศัยไตขับทิ้ง </b>มีรายงานความสัมพันธ์ระหว่างพิษของยากับการเกิดไตวายเข้ามายัง FDA (อย.สหรัฐ) เข้ามาประปราย บางตัวเช่น zoledronic acid (Reclast) มีรายงานมากจนอย.สหรัฐฯถึงกับออกกฎห้ามใช้ในคนไข้ที่การทำงานของไตเริ่มเสื่อมถึงปลายระยะที่ 3 ผลต่อไตของยารักษากระดูกพรุนจะยิ่งมากขึ้นในผู้ป่วยอายุมาก</p><p><b> ประเด็นที่ 4. ผลดีที่ได้จากงานวิจัยยา ไม่เหมือนผลในประชากรจริงๆ </b> </p><p> งานวิจัยผู้ประกันตนที่โอเรกอน ย้อนหลังดูผู้ป่วยหญิงหมดประจำเดือนที่คะแนนความแน่นกระดูกต่ำกว่า -2.0 ที่ใช้ยารักษากระดูกพรุนจำนวน 1829 คน เทียบกับคนที่ไม่ใช้ยาอีกจำนวนเท่ากัน ช่วงเวลาตามดูนาน 10 ปี พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอุบัติการกระดูกหักไม่ต่างกันเลย..แป่ว..ว </p><p> เรื่องแบบนี้มักเกิดเป็นประจำกับยาต่างๆที่นำออกมาใช้รักษาโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยานานๆ คือตอนออกมาใหม่ข้อมูลที่บริษัทยาทำวิจัยมาบ่งชี้ไปทางว่ายาได้ผลดีจริง แต่พอนานไป ข้อมูลก็เริ่มแพล็มออกมาเพิ่มขึ้นว่าผลวิจัยในประชากรไม่เหมือนกับผลวิจัยที่บริษัทยานำเสนอตอนเอายาออกขาย ในฐานะผู้ใช้ยาก็ต้องคำนึงถึงข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลของบริษัทยาด้วย ข้อมูลแบบหลังนี้มักไปโผล่ในประเทศสังคมนิยมหรือในระบบประกันสุขภาพซึ่งเจ้าภาพผู้จ่ายเงินกลัวเสียเงินฟรีจึงยอมลงทุนทำวิจัยซ้ำ </p><p><b> ประเด็นที่ 5. อะไรคือหัวใจของการป้องกันกระดูกหัก</b> การเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดเกิดจากการลื่นตกหกล้ม ดังนั้นหัวใจของการป้องกันกระดูกหักคือการป้องกันการลื่นตกหกล้ม อันได้แก่การฝึกการทรงตัว การออกกำลังกาย การเล่นกล้าม และการจัดการสิ่งแวดล้อมในบ้าน ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วยการปรับวิธีใช้ชีวิตให้ได้ออกแดดทุกวัน</p><p> กล่าวโดยสรุป เรื่องยารักษากระดูกพรุนนี้ ในคนอายุมากระดับ 90 ปี ผลวิจัยต่างๆไม่มีพอจะบอกได้ว่าประโยชน์กับโทษอย่างไหนจะมากกว่ากัน จะใช้ยาหรือไม่ใช่ยา ขอให้ท่านตรองดูเอาเองเถอะนะครับ</p><p>นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์</p><p>บรรณานุกรม</p><p>1. FDA Drug Safety Communication: New contraindication and updated warning on kidney impairment for Reclast (zoledronic acid). Accessed on November 26, 2020 at https://www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/fda-drug-safety-communication-new-contraindication-and-updated-warning-kidney-impairment-reclast.</p><p>2. Harris ST, Watts NB, Genant HK, McKeever CD, Hangartner T, Keller M, Chesnut CH 3rd, Brown J, Eriksen EF, Hoseyni MS, Axelrod DW, Miller PD. Effects of risedronate treatment on vertebral and nonvertebral fractures in women with postmenopausal osteoporosis: a randomized controlled trial. Vertebral Efficacy With Risedronate Therapy (VERT) Study Group. JAMA. 1999 Oct 13; 282(14):1344-52.</p><p>3. Feldstein AC, Weycker D, Nichols GA, Oster G, Rosales G, Boardman DL, Perrin N. Effectiveness of bisphosphonate therapy in a community setting. Bone. 2009 Jan; 44(1):153-9.</p>DrSanthttp://www.blogger.com/profile/00456312279678939976noreply@blogger.com